จิตปรมัตถ์ ตอนที่ 078


    ผู้ฟัง มหากุศลญาณสัมปยุตต์ให้ผลเป็นมหาวิบากที่เป็นญาณสัมปยุตต์ได้ และให้ผลเป็นญาณวิปปยุตต์ก็ได้ หมายความว่าอย่างไร ไม่ประกอบด้วยปัญญาหรือ

    ท่านอาจารย์ หรือให้ผลเป็นอเหตุกะก็ได้ เพราะมหากุศล ๘ ดวง ให้ผลเป็น กุศลวิบาก ๑๖ ดวง

    ผู้ฟัง ผมยังไม่เข้าใจ เพราะอะไรมหากุศลที่สำเร็จด้วยญาณสัมปยุตต์แล้วให้ผลเป็นญาณวิปปยุตต์

    ท่านอาจารย์ ขณะที่กำลังฟังธรรมในขณะนี้ ขณะที่เพียงฟังและไม่เข้าใจ ก็เป็น มหากุศล เมื่อไม่เข้าใจจะเป็นญาณสัมปยุตต์ได้ไหม ไม่ได้ และเมื่อฟังแล้วก็เริ่มเข้าใจบ้างเล็กน้อย นิดหน่อย อย่างเช่น นามธรรมเป็นสภาพรู้ มีใครบ้างที่ฟังประโยคนี้แล้วไม่เข้าใจ นามธรรมเป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ เมื่อเป็นธาตุรู้ก็หมายความว่า ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล เป็นแต่เพียงธาตุ คือ สภาวธรรมอย่างหนึ่งเป็นอาการรู้ แสดงว่าไม่มีรูปร่าง ไม่มีสี ไม่มีเสียง ไม่มีกลิ่น เป็นแต่เพียงอาการรู้เท่านั้นเอง นี่เข้าใจแล้ว แต่เป็นญาณสัมปยุตต์หรือยัง หรือว่าเพียงเงาๆ ที่จะรู้ว่า นี่คือลักษณะของนามธรรม

    ขณะที่กำลังเห็น ในพระไตรปิฎกพระผู้มีพระภาคจะทรงแสดงว่า จักขุวิญญาณเกิดขึ้นเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา ฟังก็เข้าใจใช่ไหมว่าไม่ใช่ตัวตน เพราะต้องเป็นจิต ไม่ใช่รูปที่กำลังเห็น แต่ในขณะที่เห็นเดี๋ยวนี้ จักขุวิญญาณเห็น ไม่ใช่ตัวตน ลักษณะของธาตุรู้ที่เป็นจักขุวิญญาณคืออย่างไร ไม่ใช่ชื่อจักขุวิญญาณ แต่เป็นลักษณะ เป็นธาตุรู้ เป็นอาการรู้ ปัญญาสามารถรู้อย่างนี้หรือยัง หรือว่าเริ่มเข้าใจบ้างเล็กน้อย

    ผู้ฟัง ถ้าเริ่มเข้าใจเล็กน้อย ก็เป็นอเหตุกะ

    ท่านอาจารย์ สภาพของจิตต้องเป็นมหากุศลญาณสัมปยุตต์อย่างต่ำที่สุด น้อยที่สุด จึงสามารถให้ผลเป็นมหาวิบากญาณวิปปยุตต์ได้ เพราะเหตุใด ฟังแล้ว ไม่ฟังอีกเลย ๓๐ ปี ลืมไหม นามธรรมเป็นอย่างไรที่เคยได้ยินได้ฟังไว้ ที่ค่อยๆ น้อมไปทีละน้อย ถ้า ๓๐ ปีนั้นไม่ได้ฟังเลย เผอิญไปอยู่ที่อื่น หมดโอกาสที่จะได้ยินได้ฟังด้วยประการ ใดๆ ก็ตาม จะเหมือนกับการที่ได้ฟังอีกบ่อยๆ เนืองๆ พิจารณาอีกบ่อยๆ เนืองๆ ใกล้ชิดต่อลักษณะของสภาพที่เป็นธาตุรู้เพิ่มขึ้น แม้ว่าจะเป็นเพียงวันละเล็กละน้อย แต่ปัญญาสามารถค่อยๆ รู้ขึ้น มากกว่าที่จะห่างเหินไปเลย

    เพราะฉะนั้น การฟังที่เป็นมหากุศลญาณสัมปยุตต์เพียงครั้งแรกนั้นหรือที่จะให้ผลเป็นมหาวิบากญาณสัมปยุตต์ ในเมื่อมีกำลังอ่อน เกือบจะเรียกได้ว่า ละลายหายไปเลยถ้าไม่มีการฟังอีกบ่อยๆ หรือไม่มีการที่จะน้อมพิจารณาอีกเนืองๆ เป็นมหากุศลญาณสัมปยุตต์ที่ไม่มีกำลังเลย จึงให้ผลเป็นมหาวิบากญาณวิปปยุตต์

    แต่ถ้าผู้ใดอบรมเจริญปัญญาประจักษ์แจ้งลักษณะสภาพของนามธรรมและรูปธรรม แม้ยังไม่ถึงความเป็นพระโสดาบันบุคคล ปัญญาที่สามารถประจักษ์แจ้งลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมได้ ย่อมให้ผลเป็นมหาวิบากญาณสัมปยุตต์ เพราะปัญญาต่างขั้นกันเหลือเกิน กับการที่เพียงเริ่มจะเข้าใจในลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม

    ผู้ฟัง หมายความว่า มหากุศลญาณสัมปยุตต์เกิดขึ้นในขณะที่เรากำลังฟังธรรมและเริ่มเข้าใจอย่างเงาๆ เป็นผลให้เกิดมหาวิบากญาณวิปปยุตต์ได้ หรือเป็นอเหตุกจิต

    ท่านอาจารย์ แน่นอน สำหรับมหากุศลญาณสัมปยุตต์ย่อมให้ผลทำให้ปฏิสนธิด้วยมหาวิบากญาณสัมปยุตต์ก็ได้ หรือมหาวิบากญาณวิปปยุตต์ก็ได้ แล้วแต่กำลังของปัญญา

    ถ้ามหากุศลญาณวิปปยุตต์ให้ผล ก็ทำให้ปฏิสนธิในภูมิที่เป็นมนุษย์หรือเทวดาได้ แต่จิตที่ทำกิจปฏิสนธิเป็นมหาวิบากญาณวิปปยุตต์ หรือเป็นอเหตุกกุศลวิบากก็ได้

    การเกิดในภูมิมนุษย์ แต่พิการตั้งแต่กำเนิด ยังเป็นผลของกุศล คือ ไม่ทำให้เกิดในอบายภูมิ ไม่ทำให้เกิดในนรก ไม่ทำให้เกิดเป็นเปรต ไม่ทำให้เกิดเป็นอสุรกาย ไม่ทำให้เกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน เป็นผลของกุศลที่ทำให้เกิดเป็นมนุษย์แม้ว่าจะพิการตั้งแต่กำเนิด ก็ยังเป็นผลของกุศล แต่ว่าเป็นผลของกุศลที่อ่อนมาก

    เพราะฉะนั้น มหากุศลญาณวิปปยุตต์ ให้ผลเป็นมหาวิบากญาณวิปปยุตต์ปฏิสนธิได้ หรือให้ผลเป็นกุศลวิบากสันตีรณปฏิสนธิก็ได้

    ในชีวิตประจำวันจริงๆ ทุกท่านเป็นผู้ที่รู้จักตัวท่านมากกว่าบุคคลอื่น เพราะฉะนั้น ย่อมทราบเหตุของการที่จะให้เกิดข้างหน้า ซึ่งไม่มีบุคคลอื่นสามารถที่จะทำให้ได้นอกจากตัวของท่านเองว่า มหากุศลญาณสัมปยุตต์มีบ่อยๆ เนืองๆ มากขึ้นพอที่จะให้ผลทำให้ปฏิสนธิพร้อมด้วยปัญญาเป็นมหาวิบากญาณสัมปยุตต์ หรือว่าจะให้ผลอย่างอื่น ซึ่งกุศลแต่ละอย่างก็ให้ผลต่างกันไปตามกำลัง หรือตามประเภทของกุศลนั้นๆ

    ผู้ฟัง ขณะที่กำลังฟังท่านบรรยายอยู่นี่ ก็เป็นมหากุศลใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ใครรู้ แต่ละบุคคลย่อมรู้ เพราะสติสัมปชัญญะเกิดขึ้นระลึกได้

    ผู้ฟัง ขณะที่กำลังฟังอยู่ และมีความตั้งใจฟัง แต่ว่าปัญญายังไม่เกิด ก็เป็นญาณวิปปยุตต์ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ แน่นอน ขณะนี้ที่ทุกท่านกำลังฟังธรรม เป็นมหากุศล เป็นปัจจัยให้เกิดมหาวิบาก ถ้าจุติจิตเกิดและดับไป และกุศลนี้ให้ผล ก็ต้องแล้วแต่ว่า กุศลวันนี้ ขณะฟังธรรมวันนี้ เป็นมหากุศลญาณวิปปยุตต์ หรือญาณสัมปยุตต์ ซึ่งจะทำให้ปฏิสนธิจิตต่างกัน เป็นปฏิสนธิจิตที่ประกอบด้วยปัญญา หรือไม่ประกอบด้วยปัญญา

    ผู้ฟัง ถ้าไม่เข้าใจ แต่ก็เป็นปัจจัยต่อไปได้ ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ก็จะต้องอบรมเจริญไปเรื่อยๆ ถ้ามีการฟังเพิ่มขึ้นๆ และรู้จุดประสงค์ของการฟังว่า เพื่อให้ปัญญารู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ไม่ใช่เพื่อเหตุอื่น สักประการเดียว ทั้งการฟังธรรม การแสดงธรรม และกุศลทุกประการ เพื่อให้ปัญญาเจริญขึ้น เกื้อกูลเป็นสังขารขันธ์ปรุงแต่งให้สามารถพิจารณาละการยึดถือสภาพธรรมที่ปรากฏว่า เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตนได้

    เวลาสวดมนต์ เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล ก็สลับกัน ตามความเป็นจริงทุกอย่าง ถ้าเวลาที่สวดเฉยๆ ไม่ได้ระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ เป็นกุศลได้ไหม เป็นเรื่องที่จะต้องพิจารณา สวดเฉยๆ โดยที่ไม่ได้ระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ เป็นกุศลได้ไหม อย่าลืม สวด ไม่ใช่เพียงพูดหรือท่อง ตามๆ ไป ขณะที่สวดมนต์ ซึ่งทุกท่านที่เป็นพุทธศาสนิกชนก็สวดมนต์ก่อนนอน บางท่านทั้งตื่นขึ้นมาด้วย ทั้งเช้า ทั้งค่ำ ชีวิตปกติตามความเป็นจริง ในขณะที่กำลังสวดมนต์เป็นกุศลหรือเปล่า ในขณะที่สวดมนต์ถ้าไม่ได้ระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ เป็นกุศลหรือเปล่า เป็นมหากุศลได้ไหม

    เป็น ถ้าไม่เป็นจะสวดไหม ขณะที่เผลอก็รู้ว่าขณะนั้นเป็นอกุศล ขณะที่ไม่เผลอแต่สวด มีศรัทธาไหมในขณะสวด ศรัทธาเป็นโสภณเจตสิกแม้ไม่เกิดกับปัญญา เพราะว่าศรัทธาไม่ใช่ปัญญา เป็นเจตสิกแต่ละประเภทต่างชนิดกัน ลักษณะต่างกัน กิจต่างกัน

    เพราะฉะนั้น เมื่อมีศรัทธาจึงสวด ซึ่งสามารถรู้ได้ในการสวดมนต์แต่ละครั้งว่าศรัทธามากหรือน้อย ประกอบด้วยปัญญาหรือไม่ประกอบด้วยปัญญา นี่คือความวิจิตรของจิตซึ่งเป็นกรรมในชีวิตประจำวัน ที่สะสมไปเรื่อยๆ การเกิดดับสืบต่อของจิตเป็นไปอย่างรวดเร็ว การเกิดดับสะสมของกรรมก็เป็นไปอย่างรวดเร็วในแต่ละวัน ในแต่ละภพ ในแต่ละชาติ เพราะฉะนั้น แต่ละคนจะไม่ซ้ำกันเลย เพราะแม้แต่ความคิดก็วิจิตรต่างๆ กัน แม้ว่าจะเห็นสิ่งเดียวกัน ได้ยินอย่างเดียวกัน เพราะฉะนั้น ก็ทำให้กรรมต่างกันออกไป

    และบางกรรมก็เป็นทิฏฐธรรมเวทนียกรรม คือ ให้ผลในปัจจุบันชาติ ในชาติที่ทำกรรมนั้นเอง แต่ไม่มีใครสามารถจะพยากรณ์ได้ว่า ในขณะที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ เป็นผลของกุศลในชาตินี้เองที่ได้ทำเมื่อขณะนั้น วันนั้น

    ถ้ามีคนหนึ่งคนใดมาบอกท่านผู้ฟังว่า ขณะนี้กำลังได้รับผลของกรรมที่ท่าน ทำวันนั้นวันนี้ ท่านจะรู้สึกอย่างไร เชื่อไหม หรือว่าชาติก่อนเคยทำอย่างนั้นอย่างนี้ ชาตินี้จึงได้รับผลอย่างนั้นอย่างนี้ เชื่อไหม

    ไม่เชื่อ เพราะรู้ได้แต่เพียงว่า อกุศลกรรมย่อมให้ผลเป็นอกุศลวิบาก กุศลกรรมย่อมให้ผลเป็นกุศลวิบาก แต่พยากรณ์ไม่ได้ เพราะไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น กรรมที่ได้กระทำแล้วในชาติก่อนๆ โน้น และกรรมที่กำลังทำอยู่ในชาตินี้ จะมีกรรมทั้งประเภทที่ให้ผลในชาตินี้ และยังไม่ได้ให้ผลในชาตินี้ แต่จะให้ผลใน ชาติหน้าต่อไป หรือว่าในชาติหน้าต่อไปยังไม่ให้ผล ก็ยังมีโอกาสจะให้ผลหลังจาก ชาติหน้าต่อไปอีกไม่สิ้นสุด ตราบใดที่ยังมีสังสารวัฏฏ์อยู่

    ท่านที่หนักแน่นในเหตุในผล ย่อมเป็นผู้ที่เชื่อมั่นในกรรมของตนเองว่า ทุกท่านเป็นทายาทของกรรม มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ ไม่ใช่บุคคลอื่นจะสามารถ ดลบันดาลได้ และไม่มีใครสามารถบอกได้ พยากรณ์ได้ว่า ขณะที่กำลังมีกุศลวิบากเกิดหรืออกุศลวิบากเกิดนั้น เป็นผลของกรรมในชาติไหน แต่ให้ทราบว่า กรรมที่กระทำแล้วในชาตินี้ มีบางกรรมที่เป็นทิฏฐธรรมเวทนียกรรม คือ กรรมที่ให้ผลในปัจจุบันชาตินี้เอง

    ผู้ฟัง ถ้าสวดมนต์ด้วยจิตที่ต้องการให้ตัวเองพ้นภัย จะเป็นมหากุศลไหม

    ท่านอาจารย์ รู้จิตของคนอื่นพอที่จะตอบได้ไหม เพราะจิตเกิดดับสลับสืบต่อกันเร็วมาก ต้องอาศัยสติสัมปชัญญะของบุคคลนั้นเองจริงๆ จึงจะสามารถรู้ลักษณะของจิตของตนในขณะนั้นว่า เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล

    ผู้ฟัง เขามีเจตนาที่จะสวดเพื่อให้ตัวเองพ้นภัย

    ท่านอาจารย์ เจตนาที่จะสวด มีศรัทธาไหมที่จะสวด เวลาที่มีความอยากที่จะได้ผลของกุศลเป็นกุศลหรือเปล่า ขณะที่มีความต้องการผล

    ผู้ฟัง มีเจตนาที่จะสวด และมีศรัทธาที่จะสวดด้วย และมีการหวังผลด้วย

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นการเกิดดับสลับกันของกุศลและอกุศลอย่างรวดเร็ว แต่ความต้องการผลหรือการอยากได้ผล จะเป็นกุศลไม่ได้

    นี่เป็นเหตุที่โลภะทำให้สังสารวัฏฏ์เป็นไป ถ้าปราศจากโลภะ สังสารวัฏฏ์ย่อมหยุด ไม่สามารถที่จะเป็นไปต่อไปได้ เพราะฉะนั้น แม้แต่สวดมนต์ซึ่งเป็นกุศลก็ยังอดที่จะมีความหวังความต้องการผลเกิดขึ้นแทรกไม่ได้ สังสารวัฏฏ์จะหมดได้อย่างไร

    การสวดมนต์ จริงๆ แล้วกุศลจิตในขณะนั้น คือ ขณะที่ปราศจากโลภะ โทสะ โมหะ จึงเป็นกุศล นี่คือหลัก ขณะใดที่ปราศจากโลภะ โทสะ โมหะ จึงเป็นกุศล เพราะฉะนั้น สติสัมปชัญญะควรจะเกิดขึ้นพิจารณาว่า ขณะใดเป็นโลภะที่เกิดขึ้นแทรกขณะนั้นไม่ใช่กุศล บางท่านต้องเลือกบทสวด เพราะบทสวดนี้จะทำให้เกิดผลต่างๆ ซึ่งเป็นที่ต้องการ รูป เสียง กลิ่น รส ทรัพย์สินเงินทอง ลาภยศ ขณะนั้นเป็นอะไรที่กำลังต้องการลาภยศ ก็ต้องเป็นโลภะ ขณะนั้นไม่ใช่เป็นการระลึกถึง พระพุทธคุณซึ่งเป็นกุศล เพราะปราศจากโลภะ โทสะ โมหะ

    สำหรับมหากุศลจิต ๘ จำแนกออกเป็นประเภทใหญ่ๆ ๒ ประเภท คือ เกิดร่วมกับปัญญา ๔ และไม่เกิดร่วมกับปัญญา ๔ ซึ่งทำให้จำแนกวิบาก คือ การปฏิสนธิออกเป็น ๓ ประเภท ไม่ใช่ ๒ ประเภท

    สำหรับมหากุศลจิตที่จะเกิดขึ้นได้ ต้องประกอบด้วยโสภณเหตุอย่างน้อย ๒ เหตุ คือ ต้องประกอบด้วยอโลภเหตุและอโทสเหตุ ถ้ายังมีโลภเจตสิกเกิด ไม่ใช่กุศล ถ้ามีโทสเจตสิกเกิดก็ไม่ใช่กุศล แต่ขณะใดก็ตามที่มีอโลภเจตสิก จะต้องมี อโทสเจตสิกเกิดร่วมด้วย เป็นกุศลในขณะนั้น พร้อมกับเจตสิกอื่นๆ อีกหลายดวง ซึ่งถ้ากล่าวโดยเหตุแล้ว จำแนกมหากุศลออกเป็น ๒ ประเภทใหญ่ คือ ประกอบด้วย ๒ เหตุ ได้แก่ อโลภเหตุและอโทสเหตุ ชื่อว่า ทวิเหตุ ประเภทหนึ่ง และประกอบด้วย ๓ เหตุ คือ อโลภเหตุ อโทสเหตุ และอโมหเหตุคือปัญญาเจตสิก อีกประเภทหนึ่ง ชื่อว่า ติเหตุ

    ฉะนั้น จิตที่เป็นกุศลที่เป็นเหตุมี ๘ ดวง จำแนกออกเป็น ๒ ประเภทใหญ่ คือ ทวิเหตุและติเหตุ แต่เวลาที่ทำให้เกิดผล ทำให้เกิดผล ๓ ประเภท คือ เป็น อเหตุกปฏิสนธิ ซึ่งเป็นผลของกุศลอย่างอ่อน ไม่ประกอบด้วยเจตสิกที่เป็นโสภณเหตุสักเหตุเดียว จึงชื่อว่าอเหตุกปฏิสนธิ เกิดในมนุษย์ ในสวรรค์ชั้นต้น คือ จาตุมหาราชิกา แต่จิตที่ปฏิสนธิเนื่องจากเป็นผลของกุศลอย่างอ่อน เพราะฉะนั้น จึงปฏิสนธิด้วยอุเบกขาสันตีรณกุศลวิบาก ซึ่งไม่ประกอบด้วยเจตสิกที่เป็นเหตุ คือ ไม่ประกอบด้วยอโลภเหตุ อโทสเหตุ อโมหเหตุ นี่ประเภทหนึ่ง

    อีกประเภทหนึ่ง คือ ผู้ที่ปฏิสนธิด้วยมหาวิบากที่ประกอบด้วยเหตุ ๒ เป็นทวิเหตุกบุคคล ปฏิสนธิจิตประกอบด้วยอโลภเหตุและอโทสเหตุ แต่ไม่ประกอบด้วยปัญญาเจตสิก นี่ก็เป็นผลของมหากุศลซึ่งไม่ประกอบด้วยปัญญา

    เพราะฉะนั้น การทำบุญให้ทานใดๆ ก็ตามซึ่งไม่ประกอบด้วยปัญญา เมื่อเวลาให้ผล ย่อมไม่สามารถทำให้ปฏิสนธิจิตนั้นประกอบด้วยปัญญาตามควรแก่เหตุ หรือถ้าเป็นปัญญาที่อ่อนมาก เพียงแต่เกิดขึ้น เชื่อว่ากรรมมี ผลของกรรมมีเท่านั้นเอง ถ้าเป็นผลของกุศลกรรมเล็กๆ น้อยๆ อย่างนี้ เวลาที่ปฏิสนธิจิตเกิด เป็นปฏิสนธิจิตที่ประกอบด้วยเหตุ ๒ ไม่ประกอบด้วยเหตุ ๓ ก็ได้ ด้วยเหตุนี้จึงกล่าวว่า มหากุศล บางครั้งให้ผลแม้นเหมือนกับตนเอง คือ แม้นเหมือนกับกุศลกรรมซึ่งเป็นเหตุ และบางครั้งก็ให้ผลไม่แม้นเหมือนกับกุศลกรรมที่เป็นเหตุ เพราะกรรมประกอบด้วยเหตุ ๓ แต่ผลประกอบด้วยเหตุ ๒ หรือว่ากรรมประกอบด้วยเหตุ ๒ แต่ผลไม่ประกอบด้วยเหตุเลยก็ได้

    เพราะฉะนั้น สำหรับมหากุศลที่เป็นทวิเหตุ คือ ประกอบด้วยเหตุ ๒ ให้ผล ทำให้ปฏิสนธิไม่ประกอบด้วยเหตุเลย คือ อุเบกขาสันตีรณกุศลวิบากทำกิจปฏิสนธิ ในสุคติภูมิ เป็นผู้ที่พิการตั้งแต่กำเนิด ซึ่งตลอดชีวิตจะเป็นคนตาบอด หูหนวก เป็นต้น ประเภทหนึ่ง หรือให้ผลทำให้เป็นผู้ที่เกิดมามีความสุขสบายทุกประการก็ได้ แต่ไม่ประกอบด้วยปัญญาเจตสิก เพราะปฏิสนธิจิตประกอบด้วย ๒ เหตุ คือ อโลภเจตสิกและอโทสเจตสิกเท่านั้น ซึ่งเป็นผลของกุศลซึ่งไม่ประกอบด้วยปัญญา หรืออาจจะเป็นผลของกุศลที่ประกอบด้วยปัญญาอย่างอ่อนที่สุด

    สำหรับมหากุศลที่เป็นติเหตุ คือ ประกอบด้วยอโลภเจตสิก อโทสเจตสิก และอโมหเจตสิกคือปัญญาเจตสิกนั้น ให้ผลเป็นติเหตุกปฏิสนธิ คือ มหาวิบากที่ประกอบด้วยอโลภเจตสิก อโทสเจตสิก และปัญญาเจตสิกก็ได้ หรือให้ผลเป็น ทวิเหตุกปฏิสนธิก็ได้

    เพราะฉะนั้น ถ้ามีปัญญาเกิดขึ้นเพียงเล็กๆ น้อยๆ ยังไม่พอ จะต้องสะสมให้ปัญญานั้นมีกำลังขึ้น จึงสามารถเป็นปัจจัยทำให้ปฏิสนธิประกอบด้วยปัญญาเจตสิกได้ แต่ถ้าเป็นผู้ที่ประมาทคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่สะสมปัญญาให้เพิ่มขึ้น เวลาที่เป็นผลของกุศลกรรมนั้นๆ ก็จะทำให้ปฏิสนธิจิตประกอบด้วยอโลภะและอโทสะเท่านั้น เป็นทวิเหตุกบุคคล ไม่สามารถที่จะอบรมเจริญปัญญาถึงการที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้

    สำหรับมหัคคตจิต ได้แก่ รูปฌานและอรูปฌาน มีภูมิ คือ พรหมภูมิ ตามระดับขั้นของฌานนั้นๆ

    ผู้ฟัง ถ้าปฏิสนธิจากมหากุศลที่ประกอบด้วยทวิเหตุ คือ อโลภะ อโทสะอย่างเบาๆ ทำให้ไม่มีเหตุ ทำให้เกิดเป็นคนพิการในมนุษย์ ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ถ้าเป็นผลของมหากุศลที่เป็นทวิเหตุกะ คือ ประกอบด้วยเหตุ ๒ จะทำให้เกิดเป็นบุคคลที่ปฏิสนธิด้วยอโลภะและอโทสะ เป็นทวิเหตุกบุคคลได้ ประเภทหนึ่ง คือ เป็นผู้ที่เกิดในมนุษย์หรือในสวรรค์ มีทรัพย์สมบัติมากก็ได้ มีความสุขกายมากก็ได้ แต่ไม่ประกอบด้วยปัญญา ถ้าเขากระทำกรรมด้วยจิตที่ผ่องใส ประกอบด้วยเจตนา ทั้ง ๓ กาล ก็เป็นกรรมที่มีกำลัง เมื่อให้ผลก็ให้ผลชั้นเลิศ คือ เป็นผู้ที่สมบูรณ์พร้อม ทุกประการ เพียงแต่ไม่ประกอบด้วยปัญญา จึงเป็นผู้ที่ไม่สนใจในธรรม หรืออาจจะเริ่มสนใจ แต่ไม่สามารถอบรมเจริญปัญญาให้คมกล้าจนรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ เพราะมีเครื่องกั้น คือ วิบาก โดยปฏิสนธิไม่ประกอบด้วยปัญญาเจตสิก นี่พวกหนึ่ง

    และถ้าเป็นผลของมหากุศลที่เป็นทวิเหตุอย่างอ่อน ไม่มีกำลังเท่ากับอย่างแรก เวลาให้ผลก็ทำให้พ้นจากอบายภูมิซึ่งเป็นผลของอกุศลกรรม คือ ไม่ต้องไปเกิดในนรกที่ทุกข์ทรมานมาก ไม่ต้องไปเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน ไม่ต้องเกิดเป็นเปรตหรืออสุรกาย แต่เกิดเป็นมนุษย์ เห็นสิ่งต่างๆ ที่น่ายินดี พอใจได้ แต่อาจจะพิการโดยเป็นใบ้ หูหนวก หรือบางคนก็ตาบอด นั่นเป็นผลของกุศลทวิเหตุอย่างอ่อน เพราะฉะนั้น กุศลที่ประกอบด้วย ๒ เหตุ ให้ผล ๒ อย่าง

    ผู้ฟัง หมายความว่า มหากุศลที่ประกอบทวิเหตุอย่างอ่อน เวลาให้ผล จะเป็นอุเบกขาสันตีรณะ

    ท่านอาจารย์ เป็นอุเบกขาสันตีรณกุศลวิบาก ปฏิสนธิในมนุษย์หรือในสวรรค์ชั้นต้น

    ผู้ฟัง มหากุศลที่ประกอบด้วยทวิเหตุ ...

    ท่านอาจารย์ มหากุศลที่ประกอบด้วยทวิเหตุอย่างมีกำลัง ทำให้ปฏิสนธิประกอบด้วยอโลภะ อโทสะ เป็นมหาวิบากที่ประกอบด้วย ๒ เหตุ

    หมายความว่า กุศลที่ประกอบด้วย ๒ เหตุ คือ กุศลนั้นเป็นกุศลที่ไม่เกิดพร้อมกับปัญญาเจตสิก เวลาที่ให้ผล ไม่สามารถทำให้ปฏิสนธิประกอบด้วย ๓ เหตุ

    ถ้าใครเกิดด้วยปัญญาเจตสิก หมายความว่า ต้องเป็นผลของกุศลซึ่งประกอบด้วยปัญญา ปฏิสนธิจิตของบุคคลนั้นจึงประกอบด้วยอโลภเจตสิก อโทสเจตสิก และปัญญาเจตสิก

    ผู้ฟัง ทวิเหตุ หมายถึงมหากุศลญาณวิปปยุตต์

    ท่านอาจารย์ แน่นอน

    ผู้ฟัง ถ้าเป็นติเหตุ หมายถึงมหากุศลญาณสัมปยุตต์

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เพราะถ้าเป็นกุศล ต้องประกอบด้วยอย่างน้อย ๒ เหตุ คือ อโลภเหตุและอโทสเหตุ จึงจะเป็นกุศลได้

    สำหรับในอบายภูมิ ไม่มีปัญหา ได้แก่ อุเบกขาสันตีรณอกุศลวิบากเท่านั้นที่ทำกิจปฏิสนธิ ไม่ว่าจะในภูมิไหนทั้งสิ้น ช้าง หรืองู หรือมด ก็ปฏิสนธิด้วย อุเบกขาสันตีรณอกุศลวิบาก

    เป็นเรื่องน่าคิดว่า ทำไมอุเบกขาสันตีรณวิบาก จึงทำกิจปฏิสนธิได้

    อกุศลจิตมี ๑๒ ให้ผลเป็นอกุศลวิบาก ๗ สำหรับจักขุวิญญาณอกุศลวิบาก ไม่มีปัญหา คือ ขณะใดก็ตามที่จิตเห็นเกิดขึ้น ขณะนั้นเป็นสภาพของจิตซึ่งเป็น อกุศลวิบาก เห็นสิ่งที่ไม่ดี


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 19
    22 ต.ค. 2566

    ซีดีแนะนำ