จิตปรมัตถ์ ตอนที่ 081


    เมื่อสิ้นกรรมจะไม่ให้จุติจิตเกิดขึ้นได้อย่างไร ไม่มีปัจจัยที่จะทำให้เป็นบุคคลนี้อีกต่อไป เพราะฉะนั้น จุติจิตจึงเกิดขึ้นทำกิจเคลื่อนจากภพนี้ ทำให้สิ้นสุดสภาพความเป็นบุคคลนี้ โดยจะไม่กลับมาเป็นบุคคลนี้อีกเลย ชื่ออะไร เคยทำอะไรมา ทั้งหมดจะไม่มีการย้อนกลับมาเป็นบุคคลนั้นอีก เพราะกรรมใหม่ทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดสืบต่อจากจุติจิต เป็นบุคคลใหม่ทันที แล้วแต่ว่าจะเป็นผลของกรรมใด และมีอารมณ์ใกล้จะจุติประเภทไหน อาจจะเป็นกรรมอารมณ์ หรืออาจจะเป็นกรรมนิมิตอารมณ์ หรืออาจจะเป็นคตินิมิตอารมณ์ ซึ่งก็ได้แก่อารมณ์ที่ปรากฏทางหนึ่งทางใด คือ ทางตา หรือทางหู หรือทางจมูก หรือทางลิ้น หรือทางกาย หรือทางใจ เหมือนอย่างปกตินี่เอง แต่ที่ยังไม่ใช้คำว่า กรรมอารมณ์ กรรมนิมิตอารมณ์ คตินิมิตอารมณ์ เพราะ จุติจิตยังไม่เกิด จึงไม่ใช่อารมณ์ของปฏิสนธิจิตในชาติหน้า

    ถ้ากำลังเห็นในขณะนี้เกิด หมดวิถีไป และจุติจิตเกิด สิ่งที่ปรากฏทางตาในขณะนี้จะเป็นกรรมนิมิตอารมณ์ เพราะเหตุใด เพราะเหตุว่าเป็นกรรมนิมิตที่จะให้ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นในภูมิต่อไปในภพต่อไปว่า จะเป็นผลของกุศลหรือผลของอกุศล

    ในขณะที่เพียงปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นขณะนั้นจะไม่รู้เลยว่า กำลังเป็นบุคคลใด ยังไม่มีการเห็น ยังไม่มีการได้ยิน ยังไม่มีการคิดนึกใดๆ ยังไม่รู้แม้ว่าตัวเองเกิดเป็นมนุษย์หรือว่าเกิดเป็นสัตว์ภูมิหนึ่งภูมิใด จะเป็นเทวดา หรือจะเป็นรูปพรหม หรือจะเป็นอรูปพรหม ในขณะที่เพียงปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นขณะนั้นไม่รู้เลยว่า กำลังเป็นบุคคลใด จนกว่าจะมีการเห็นเกิดขึ้น จึงจะรู้ว่าอยู่ในโลกไหน

    ผู้ฟัง ตอนใกล้จะจุติจิต ถ้าเกิดเวทนาอย่างมาก เวทนานี้จะติดตามไปเป็นปฏิสนธิจิตอีกหรือไม่

    ท่านอาจารย์ ไม่มีเลยที่จะตามไปได้ เพราะจิตเกิดขึ้นขณะเดียวและดับ เพราะฉะนั้น จุติจิตในชาตินี้ไม่ตามไปปฏิสนธิในชาติหน้า จิตแต่ละขณะเกิดขึ้นทำกิจเฉพาะของตนและดับทันที ไม่มีการที่จะติดตามไปได้ เพราะฉะนั้น จิตก่อนๆ ของชาติก่อนๆ ไม่ได้ติดตามมาในชาตินี้สักดวงเดียว แต่จิตแต่ละขณะมีปัจจัยทำให้เกิดขึ้นเป็นไปตามปัจจัยนั้นๆ

    ผู้ฟัง อยากทราบว่า มรณาสันนวิถีเป็นชนกกรรมหรือไม่

    ท่านอาจารย์ ไม่เป็น แต่มรณาสันนวิถีมีชนกกรรมเป็นปัจจัย

    ผู้ฟัง หมายถึงว่า ได้รับปัจจัยจากกุศลกรรมหรืออกุศลกรรมอื่นๆ

    ท่านอาจารย์ กรรมที่ได้กระทำแล้วหนึ่งกรรม จะเป็นปัจจัยทำให้วิถีจิตสุดท้ายเกิดขึ้น และมีอารมณ์ตามที่กรรมนั้นเป็นปัจจัยทำให้ปรากฏ สมมติว่าท่านผู้ใดจะสิ้นชีวิตในขณะนี้และเกิดในอบายภูมิ ซึ่งในขณะนี้ก็ไม่ได้ทำอกุศลกรรม ไม่ได้ฆ่าสัตว์ ไม่ได้ ลักทรัพย์ แต่ทำไมเมื่อจุติจิตดับไปและปฏิสนธิเกิดในอบายภูมิ ทั้งๆ ที่ขณะที่กำลังเห็น กำลังนั่งอยู่ในขณะนี้ ไม่มีการฆ่า ไม่มีการกระทำทุจริตกรรม

    ผู้ฟัง ก่อนจะตาย จะมีช่วงของการเปลี่ยนอารมณ์ที่ชวนจิต ๕ ขณะ เพราะฉะนั้น ถ้าอารมณ์ไม่เปลี่ยน ปฏิสนธิ ภวังค์ จุติ มีอารมณ์เดียวกัน ก็ต้องเกิดเป็นอย่างนั้นตลอดไป จึงต้องมีการเปลี่ยนอารมณ์ที่ชวนจิตก่อนจุติจิต ถูกไหม

    ท่านอาจารย์ ปฏิสนธิจิตมีอารมณ์เดียวกับชวนจิตสุดท้ายก่อนจุติ เปลี่ยนจากอารมณ์ของภวังค์และจุติ จึงทำให้เปลี่ยนจากสภาพของการเป็นบุคคลในภพนั้น

    ผู้ฟัง เปลี่ยนตอนไหน

    สุ. ชวนวิถีสุดท้ายก่อนจะตาย

    สำหรับเรื่องจุติและปฏิสนธิเป็นเรื่องที่น่าสนใจ แม้ว่าจะเป็นสมมติมรณะ ก็ ต่างกับขณิกมรณะ ขณิกมรณะ หมายถึงขณะนี้ซึ่งจิตกำลังเกิดดับสืบต่อกันทุกๆ ขณะแต่ละขณะ แต่เมื่อไม่ได้ทำจุติกิจ คือ จุติจิตยังไม่เกิดขึ้น ก็ยังไม่มีสมมติมรณะ แต่ไม่มีความต่างกัน เพราะโดยขณิกมรณะ จิตดวงหนึ่งเกิดขึ้นและดับไปเป็นปัจจัยให้จิตดวงต่อไปเกิดขึ้น ฉันใด เวลาที่เป็นสมมติมรณะ คือ จุติจิตเกิดและดับไป ก็เป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิจิตเกิดสืบต่อทันทีโดยไม่มีระหว่างคั่น ไม่มีช่วงคั่นเลย

    เพราะฉะนั้น ถ้าจะนึกถึงโดยสภาพของขณิกมรณะ ก็ไม่มีความต่างกันระหว่างปฏิสนธิของชาติหน้าและจุติจิตของชาตินี้ เพราะเหมือนกับทุกๆ ขณะนี้เอง แต่ที่ต่าง โดยเป็นสมมติมรณะ ก็เพราะเมื่อจุติจิตเกิดและดับไป กรรมหนึ่งทำให้เปลี่ยนสภาพจากความเป็นบุคคลนั้นสู่ความเป็นบุคคลอื่นในภพหนึ่งภพใด ซึ่งไม่สามารถจะรู้ได้ ถ้าปฏิสนธิจิตยังไม่เกิดขึ้น แสดงให้เห็นถึงความเกิดดับสืบต่อกันอย่างรวดเร็วมาก ที่สามารถจะเปลี่ยนสภาพของบุคคลจากความที่เคยเป็นบุคคลนี้ มีความทรงจำใน เรื่องนี้ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งโต จนถึงวัยที่จะจากโลกนี้ไป แต่ก็ยังมีกรรมที่จะทำให้เปลี่ยนสภาพจากความเป็นบุคคลนี้โดยเด็ดขาด ไม่ย้อนกลับไปสู่ความเป็นบุคคลเก่าอีกเลย แสดงให้เห็นว่าการเกิดดับสืบต่อกันของนามธรรมและรูปธรรมนั้นรวดเร็วที่สุด เพียงพริบตาเดียว หรือรวดเร็วกว่านั้นอีก เพียงขณะที่จุติจิตเกิดและดับไป เปลี่ยนสภาพทำให้เป็นบุคคลใหม่ทันที แล้วแต่ว่าจะเกิดในภูมิไหน ซึ่งตราบใดที่ยังไม่บรรลุคุณธรรมเป็นพระอรหันต์ ปฏิสนธิจะเกิดในภูมิหนึ่งภูมิใดก็ได้ใน ๓๑ ภูมิ โดย ปฏิสนธิจิต ๑ ดวงในบรรดาปฏิสนธิจิต ๑๙ ดวง ทำกิจเกิดขึ้นในภูมิหนึ่งภูมิใด ใน ๓๐ ภูมิ

    ใน ๓๑ ภูมินั้น เป็นอบายภูมิ ๔ มนุษย์ ๑ สวรรค์ ๖ รวมเป็นกามภูมิ ๑๑ ซึ่งทุกท่านก็คงจะทราบอนาคตของทุกท่านได้ว่า ไม่พ้นจากกามภูมิ ตราบใดที่ไม่ได้อบรมเจริญความสงบของจิตจนกระทั่งถึงอัปปนาสมาธิโดยไม่เสื่อม ไม่มีทางที่จะไปสู่ภูมิอื่นเลย นอกจากกามภูมิ ภูมิใดภูมิหนึ่งใน ๑๑ ภูมิ และถ้ายังไม่เป็นพระอริยบุคคล ก็อาจจะเกิดในอบายภูมิหนึ่งอบายภูมิใดในอบายภูมิ ๔ คือ อาจจะเกิดในนรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย หรือเป็นสัตว์ดิรัจฉาน ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรม แต่ถ้าเป็นผลของกุศลก็ทำให้เกิดในโลกมนุษย์ หรือในสวรรค์ชั้นหนึ่งชั้นใดในสวรรค์ ๖ ชั้น เพราะฉะนั้น ทุกท่านสามารถจะทราบได้ว่า ท่านจะพ้นจากกามภูมิได้ หรือไม่ได้

    การที่จะพ้นจากกามภูมิสู่รูปพรหมภูมิ เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยากในสมัยนี้ เพราะต้องมีความเห็นถูกในการอบรมเจริญกุศลที่เป็นสมถภาวนาจนกระทั่งความสงบเพิ่มขึ้นตามลำดับขั้นโดยไม่เสื่อม คือ ฌานจิตต้องเกิดก่อนจุติ จึงจะเป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิในรูปพรหมภูมิได้

    สำหรับรูปพรหมภูมิทั้งหมด คือ พรหมบุคคลซึ่งมีรูป มีทั้งหมด ๑๖ ภูมิ เป็นปฐมฌานภูมิ ๓ ทุติยฌานภูมิ ๓ ตติยฌานภูมิ ๓ ตามกำลังของสมาธิ คือ เป็นสมาธิที่มีกำลังเพียงเล็กน้อย ที่มีกำลังปานกลาง และที่มีกำลังประณีต โดยจตุกกนัย สำหรับ ๙ ภูมินั้น เป็นภูมิของปฐมฌาน ๓ ภูมิ ทุติยฌาน ๓ ภูมิ ตติยฌาน ๓ ภูมิ

    และสำหรับอีก ๗ ภูมิ เป็นภูมิของจตุตถฌาน โดยจตุกกนัย หรือปัญจมฌานโดยปัญจกนัย คือ ฌานที่ ๔ โดยจตุกกนัย หรือฌานที่ ๕ โดยปัญจกนัย มีภูมิที่เกิด ๗ ภูมิ ได้แก่ เวหัปผลาภูมิ ๑ สำหรับผู้ที่มีขันธ์ ๕ ปฏิสนธิ ที่เป็นปุถุชน หรือเป็น พระโสดาบัน หรือเป็นพระสกทาคามี จะเกิดในเวหัปผลาภูมิ

    และสำหรับผู้ที่เห็นโทษของนามธรรม ไม่ต้องการให้มีนามธรรมปฏิสนธิเลย จะมีแต่รูปปฏิสนธิ ซึ่งก็ต้องเป็นผลของปัญจมฌาน โดยปัญจกนัย ทำให้มีแต่รูปปฏิสนธิในอสัญญสัตตาพรหมภูมิ อีก ๑ ภูมิ นี่คือผลของฌานขั้นสูง คือ ขั้นรูปปัญจมฌาน สำหรับในอสัญญสัตตาพรหมภูมินั้น ไม่มีพระอริยบุคคลที่จะไปเป็นรูปปฏิสนธิโดยไม่มีนามปฏิสนธิ

    สำหรับปัญจมฌานภูมิอีก ๕ ภูมิ คือ สุทธาวาสภูมิ เป็นภูมิพิเศษเฉพาะ พระอนาคามีที่ได้ปัญจมฌานเท่านั้น ถ้าเป็นพระอนาคามีที่ได้เพียงปฐมฌานถึง ตติยฌานโดยจตุกกนัย หรือถึงจตุตถฌานโดยปัญจกนัย จะไม่เกิดในสุทธาวาสภูมิ

    เพราะฉะนั้น ภูมิของปัญจมฌานมีถึง ๗ ภูมิ ได้แก่ เวหัปผลาภูมิ ๑ เป็นภูมิของผู้ที่มีขันธ์ ๕ ปฏิสนธิ อสัญญสัตตาภูมิ ๑ เป็นภูมิของรูปปฏิสนธิเท่านั้น ไม่มีนามปฏิสนธิเลย และสุทธาวาสภูมิ ๕ เฉพาะพระอนาคามีที่ได้ถึงปัญจมฌานปฏิสนธิ รวมเป็นรูปพรหมภูมิ ๑๖ ภูมิ

    ท่านผู้ฟังอาจจะเคยเกิดมาแล้ว นานแสนนาน แต่ในปัจจุบันชาตินี้ที่เป็นมนุษย์ก็ต้องแล้วแต่เหตุ ถ้าไม่ได้อบรมเจริญฌานสมาบัติ ไม่มีทางที่จะเกิดในรูปพรหม ๑๖ ภูมินี้ได้เลย

    นอกจากนั้น ยังมีอรูปภูมิ ๔ ภูมิ ซึ่งก็ประณีตขึ้นตามขั้น ตั้งแต่ อากาสานัญจายตนฌาน วิญญาณัญจายตนฌาน อากิญจัญญายตนฌาน และ เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน

    การเกิดในภูมิต่างๆ ไม่สับสนกัน และไม่สับภูมิกันด้วย คือ ถ้าชวนจิตสุดท้ายก่อนจุติจิตเป็นกามชวนะ ก็ต้องเกิดในกามภูมิ ถ้าชวนจิตก่อนจุติจิตเป็นรูปาวจรจิต คือ รูปฌานขั้นหนึ่งขั้นใด ก็จะต้องเกิดในรูปพรหมภูมิตามลำดับขั้นนั้น ถ้าชวนจิตสุดท้ายเป็นอรูปาวจรจิต คือ เป็นอรูปาวจรกุศลจิต ก็เป็นปัจจัยให้อรูปาวจรวิบากจิตปฏิสนธิในอรูปพรหมภูมิ คือ ภูมิซึ่งไม่มีรูปเลย

    สำหรับการเกิดในกามภูมิ ย่อมแล้วแต่ว่าจะเกิดโดยกำเนิดใด ก็มีรูปเกิดร่วมด้วยมากน้อยตามภูมินั้นๆ เช่น ถ้าเป็นโอปปาติกะกำเนิด คือ เกิดสมบูรณ์พร้อมด้วยอายตนะทั้งหมด เป็นสัตว์ในนรก หรือเป็นเปรต หรือเป็นเทวดา ก็จะมีรูปครบ ทั้งจักขุปสาท โสตปสาท ฆานปสาท ชิวหาปสาท กายปสาท

    ถ้าเกิดในรูปพรหมภูมิ ยังมีรูปอยู่ แต่เป็นภูมิที่ไม่มีฆานปสาท ไม่มีชิวหาปสาท ไม่มีกายปสาท ไม่ต้องบริโภคอาหารเลย และไม่มีลมหายใจด้วย

    สำหรับในอรูปพรหมภูมิ เป็นภูมิซึ่งมีแต่นามปฏิสนธิ ไม่มีรูปสักรูปเดียว

    สำหรับอสัญญสัตตาพรหม มีแต่รูปปฏิสนธิ ไม่มีนามปฏิสนธิเลย

    เพราะฉะนั้น รูปในแต่ละภูมิก็มากน้อยต่างกัน เช่น ในอสัญญสัตตาพรหม เมื่อไม่มีนามปฏิสนธิ ก็ไม่ต้องมีจักขุปสาท ไม่ต้องมีโสตปสาท ไม่ต้องมีฆานปสาท ไม่ต้องมีชิวหาปสาท ไม่ต้องมีกายปสาท เพราะไม่มีนามขันธ์เกิด ไม่มีจิตเจตสิกเกิด ไม่มีการเห็น ไม่มีการได้ยิน ไม่มีการได้กลิ่น ไม่มีการลิ้มรส ไม่มีการคิดนึกใดๆ ทั้งสิ้น

    ข้อที่ควรคิด คือ เพราะเหตุใดปฏิสนธิจิตจึงมีอารมณ์เดียวกับชวนจิตสุดท้ายก่อนจุติจิต

    ก็เพราะเหตุว่า ถ้าจุติจิตจะเกิดหลังจากจักขุทวารวิถี คือ เมื่อเห็น วิถีจิตที่เกิดขึ้นรู้รูปารมณ์ทางตาดับไปหมดแล้ว จุติจิตเกิดก็ได้ หรือขณะที่กำลังได้ยินเสียง จิตที่เกิดขึ้นได้ยินเสียงทางหู โสตทวารวิถีจิตแต่ละดวงเกิดขึ้นได้ยินเสียงที่ยังไม่ดับ จนกระทั่งเสียงดับ และภวังคจิตเกิดต่อ จุติจิตก็เกิดได้ เพราะฉะนั้น จุติจิตจะเกิดต่อจากจิตทางปัญจทวารวิถี โสตทวารวิถี ฆานทวารวิถี ชิวหาทวารวิถี กายทวารวิถี หรือมโนทวารวิถีก็ได้ ซึ่งธรรมดาการรู้อารมณ์ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ เมื่อมีเห็นรูปารมณ์ทางตา และวิถีจิตทั้งหมดดับไปแล้ว ภวังคจิตเกิดคั่นแล้ว จิตจะเกิดขึ้นรู้อารมณ์นั้นต่อทางใจ คือ ทางมโนทวารวิถีทุกครั้ง

    ในขณะที่กำลังเห็นขณะนี้ ปรากฏเสมือนว่าจักขุวิญญาณไม่ได้ดับ เพราะเห็นอยู่ตลอดเวลา ความจริงแล้วจักขุวิญญาณดับ สัมปฏิจฉันนจิตดับ สันตีรณจิตดับ ชวนจิตดับ ตทาลัมพนจิตดับ รูปดับไป ภวังคจิตเกิดต่อหลายขณะ มโนทวารวิถีจิต คือ จิตที่เกิดขึ้นรู้สิ่งที่ปรากฏทางตาต่อจากทางจักขุทวารวิถี ก็เกิดขึ้น

    แสดงให้เห็นว่า ทุกครั้งที่มีการเห็นรูปารมณ์วาระหนึ่งๆ ดับไป มโนทวารวิถีจิตจะต้องเกิดขึ้นรู้รูปารมณ์ต่อจากทางจักขุทวารวิถี ซึ่งรูปารมณ์ที่มโนทวารวิถีจิตรู้ มีลักษณะเหมือนกับรูปารมณ์ที่ทางจักขุทวารวิถีรู้แล้วดับไป ถ้าเป็นทางหู คือ โสตทวาร ในขณะนี้ที่กำลังได้ยินเสียง เสียงกำลังปรากฏ ยังไม่ดับ โสตทวารวิถีจิตเกิดขึ้นรู้เสียงที่ยังไม่ดับ เมื่อเสียงดับแล้ว โสตทวารวิถีจิตทั้งหมดดับแล้ว ภวังคจิตเกิดต่อ มโนทวารวิถีจิตต้องเกิดขึ้นรับรู้เสียงต่อจากทางโสตทวารวิถี ซึ่งเสียงที่มโนทวารวิถีจิตรู้มีลักษณะเดียวกับเสียงที่ปรากฏทางโสตทวารวิถีนั่นเอง แสดงให้เห็นว่า เมื่ออารมณ์ทางปัญจทวารดับแล้ว ภวังคจิตคั่นแล้ว มโนทวารวิถีจิตต้องเกิดต่อ โดยมีอารมณ์เดียวกับปัญจทวารวิถีนั้นๆ เพราะฉะนั้น เมื่อจุติจิตเกิดหลังจากที่จักขุทวารวิถีดับ ปฏิสนธิจิตจึงมีอารมณ์เดียวกับชวนะสุดท้ายก่อนจุติ เพราะถ้าจุติไม่เกิด มโนทวารวิถีก็จะมีอารมณ์เดียวกับจักขุทวารวิถีที่ดับไป หรือถ้าเป็นทางหู โสตทวารวิถี เสียงดับแล้ว ภวังคจิตเกิดคั่นแล้ว ถ้าไม่ใช่จุติจิตเกิด ก็เป็นมโนทวารวิถีจิตเกิดต่อ โดยมีเสียงเดียวกับที่ทางโสตทวารวิถีเพิ่งรู้แล้วดับไปเป็นอารมณ์ มีลักษณะอย่างเดียวกัน และถ้าจุติจิตเกิดคั่น มโนทวารวิถีก็ไม่ได้เกิดต่อจากปัญจทวารวิถี แต่ปฏิสนธิจิตเกิดสืบต่อจากจุติจิต ด้วยเหตุนี้ ปฏิสนธิจิตจึงมีอารมณ์เดียวกับ ชวนะสุดท้ายก่อนจุติ ซึ่งไม่มีจิตอื่นจะคั่นได้เลยระหว่างจุติกับปฏิสนธิ เพราะฉะนั้น ปฏิสนธิจิตจึงมีอารมณ์เดียวกับชวนะสุดท้ายก่อนจุติ

    ถ้าจุติจิตยังไม่เกิด ต่อจากภวังค์จิตอะไรเกิด

    มโนทวารวิถีจิตเกิด แต่เมื่อปัญจทวารวิถีจิตดับ และจุติจิตเกิด ปฏิสนธิจิตจึงมีอารมณ์เดียวกับชวนะสุดท้ายก่อนจุติ

    ถ้าจิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์ทางมโนทวารดับไปแล้ว จุติจิตเกิดได้ไหม

    ทวาร คือ ทางรู้อารมณ์ มี ๖ ทาง ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย เป็นรูป ๕ ทวาร ชื่อว่าปัญจทวาร เป็นนาม ๑ ทวาร คือ มโนทวาร

    เพราะฉะนั้น ถ้าจิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์ทางมโนทวารดับไปแล้ว จุติจิตเกิดต่อ ได้ไหม ได้ และปฏิสนธิจิตก็มีอารมณ์เดียวกับชวนะสุดท้ายของมโนทวารวิถีนั่นเอง เพราะฉะนั้น ก็แล้วแต่ว่าจุติจิตจะเกิดหลังจากปัญจทวารวิถีจิต หรือหลังจาก มโนทวารวิถีจิต แต่อย่างไรก็ตามปฏิสนธิจิตต้องมีอารมณ์เดียวกับชวนะสุดท้ายก่อนจุติ ซึ่งกรรมหนึ่งเป็นปัจจัยทำให้อารมณ์ปรากฏ โดยที่ไม่มีใครสามารถเลือกอารมณ์ได้

    แม้ว่าทางตากำลังเห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งคนอื่นก็เห็น แต่ถ้ากรรมที่จะทำให้ปฏิสนธิเป็นอกุศลกรรม กรรมนิมิตอารมณ์ก็จะปรากฏทำให้จิตเศร้าหมองเป็นอกุศล ทำให้อกุศลวิบากทำกิจปฏิสนธิต่อจากจุติ ซึ่งไม่มีใครสามารถรู้ว่า ชนกกรรม คือ กรรมที่ทำให้ปฏิสนธิในชาติหน้าต่อจากจุติจิตในชาตินี้ จะเป็นกรรมอะไร

    เมื่อปฏิสนธิจิตทำกิจปฏิสนธิเพียงขณะเดียวและดับไป ภวังคจิตก็เกิดต่อ และเนื่องจากปฏิสนธิจิตมี ๑๙ ดวง หรือ ๑๙ ประเภท เพราะฉะนั้น ภวังคจิตที่เกิดต่อ ก็มีเพียง ๑๙ ดวง หรือ ๑๙ ประเภทเช่นเดียวกัน คือ ถ้าปฏิสนธิจิตเป็น มหาวิบากญาณสัมปยุตต์เกิดขึ้นและดับไป ภวังคจิตก็คือมหาวิบากญาณสัมปยุตต์เกิดต่อ ทำกิจดำรงรักษาภพชาติความเป็นบุคคลที่ปฏิสนธิจิตประกอบด้วยเหตุ ๓ เป็นติเหตุกะ คือ ประกอบด้วยอโลภะ อโทสะ อโมหะ เป็นมหาวิบากญาณสัมปยุตต์ และภวังคจิตของบุคคลนั้นก็จะเป็นมหาวิบากญาณสัมปยุตต์ตลอดไปจนถึงจุติ ระหว่างที่ไม่มีการเห็น ไม่มีการได้ยิน ไม่มีการได้กลิ่น ไม่มีการลิ้มรส ไม่มีการรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่มีการคิดนึก

    ขอให้พิจารณาถึงจิต ๒ ขณะนี้ว่า เกิดดับสืบต่อเร็วแค่ไหน ในเมื่อขณะนี้ยังนับไม่ได้เลยว่า กำลังเห็นและได้ยินมีจิตเกิดดับมากสักเท่าไร แต่เพียงชั่วจิต ๒ ขณะที่เกิดสืบต่อกัน คือ ปฏิสนธิจิตเกิดสืบต่อจากจุติจิตของชาติก่อน จะสั้นสักแค่ไหน ดับไป และภวังคจิตเกิดต่อ ตราบใดที่ยังไม่เห็น ยังไม่ได้ยิน ยังไม่ได้กลิ่น ยังไม่ลิ้มรส ยังไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ยังไม่คิดนึก ก็ต้องเป็นภวังคจิตเกิดดับสืบต่ออยู่เรื่อยๆ ไม่ว่าจะเกิดในอรูปพรหมภูมิ หรือเกิดในนรก

    และจะเดือดร้อนไหม เพียงจิตเป็นภวังค์ ปฏิสนธิจิตขณะเดียวดับแล้ว พ้นไปแล้วขณะนั้น แต่หลังจากปฏิสนธิมีจิตเกิดดับสืบต่อดำรงภพชาติเป็นภวังคจิตอยู่ เรื่อยๆ เป็นจิตประเภทเดียวกัน ถ้าเกิดในนรก ปฏิสนธิจิตเป็นอเหตุกอกุศลวิบากสันตีรณะ ถ้าเกิดในอรูปพรหมภูมิชั้นอากาสานัญจายตนะ ก็เป็นอากาสานัญจายตนวิบากจิตที่ทำกิจภวังค์

    สำหรับจิตที่ทำกิจภวังค์ในนรก กับจิตที่ทำกิจภวังค์ในชั้นอรูปพรหมภูมิ ต่างกันไหม ในขณะที่ทำภวังคกิจ

    ไม่ต่างกันเลย เพราะเหตุใด ก็เพราะขณะที่เป็นภวังค์ ในนรกก็ยังไม่ได้รับความเจ็บปวดทรมานซึ่งเป็นผลของอกุศลกรรม ในอรูปพรหมภูมิก็ยังไม่ได้รับผลของการเกิดเป็นอรูปพรหมภูมิทางวิถีจิตหนึ่งวิถีจิตใด ซึ่งสำหรับอรูปพรหมภูมิจะเหลือเพียงวิถีจิตทางเดียว คือ มโนทวารวิถีเท่านั้น เพราะในอรูปพรหมภูมิไม่มีรูปมีแต่เฉพาะนามปฏิสนธิ คือ นามขันธ์ ๔ จิตและเจตสิก ซึ่งได้แก่ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์เท่านั้น เพราะฉะนั้น ในอรูปพรหมภูมิ ไม่มีตา ไม่มีหู ไม่มีจมูก ไม่มีลิ้น ไม่มีกาย ไม่มีรูปใดๆ ทั้งสิ้น จึงไม่มีการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส ไม่มีการรู้กระทบสัมผัสใดๆ ทั้งสิ้น สุขไหม มีแต่มโนทวารวิถีจิตทางเดียวเท่านั้น แต่แม้กระนั้นขณะที่เป็นภวังค์สืบต่อจากปฏิสนธิ ก็ยังไม่ใช่มโนทวารวิถี ยังไม่มีการรู้สึกตัวเลยว่า เกิดเป็นใคร ภูมิไหน

    ถ้าเกิดในนรกแล้วเป็นภวังค์ ก็ยังไม่รู้ว่าเป็นสัตว์ในนรก เกิดเป็นเปรตก็ยังไม่รู้ว่าเป็นเปรต หรือเกิดในมนุษย์ก็ยังไม่รู้ว่าเป็นมนุษย์ เกิดในสวรรค์ชั้นหนึ่งชั้นใด จะเป็นชั้นดาวดึงส์ หรือยามา หรือดุสิตา ก็ไม่รู้ว่าเป็นเทวดาชั้นหนึ่งชั้นใด เกิดเป็น รูปพรหมภูมิก็ยังไม่รู้ แม้ว่าจะเกิดในสุทธาวาสภูมิ ในขณะที่เป็นภวังค์ ก็ไม่รู้ตัวอีก เพราะฉะนั้น ขณะที่เป็นภวังค์ คือ จิตกำลังทำภวังคกิจ ไม่ใช่การรู้สึกตัว ไม่ใช่การรู้อารมณ์หนึ่งอารมณ์ใดทางทวารหนึ่งทวารใดเลย ซึ่งนี่คือขณะที่ไม่ต่างกันเลย ไม่ว่าจะเกิดในภูมิใด เมื่อเป็นเพียงภวังคจิต

    ลองพิจารณาว่า เมื่อปฏิสนธิจิตเกิดและดับไป เพียงขณะเดียว


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 19
    22 ต.ค. 2566

    ซีดีแนะนำ