ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1390


    ตอนที่ ๑๓๙๐

    สนทนาธรรม ที่ โรงแรมไชยแสงพาเลส จ.สิงห์บุรี

    วันที่ ๒๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๑


    ท่านอาจารย์ แต่ต้องเป็นความรู้จริงๆ จากขั้นการฟัง ซึ่งจะนำไปสู่สติสัมปชัญญะซึ่งเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ แม้สติก็เป็นอนัตตา ไม่มีใครไปตระเตรียม ไปที่ไหน ทำอะไร ที่จะให้สติเกิดได้ แต่ว่าขณะนี้นะคะ ความเข้าใจมีพอเมื่อไหร่ ใครก็กั้นสติสัมปชัญญะไม่ให้เกิดไม่ได้ เพราะว่ามีสิ่งที่แต่ก่อนนี่ไม่รู้ แต่พอฟังธรรมะเข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น ก็ไม่ได้รอเวลาที่สติสัมปชัญญะจะเกิดเพราะรู้ว่าเป็นอนัตตา

    อ.อรรณพ กราบเรียนท่านอาจารย์ครับ ว่าสมาธิกับพระพุทธศาสนา ความเข้าใจที่ถูกต้องเนี่ยคืออย่างไรครับ

    ท่านอาจารย์ ค่ะ ก็พูดคำว่าสมาธิแล้วก็ทำสมาธิ แต่ไม่รู้ว่าสมาธิคืออะไร เพราะฉะนั้นก็ต่างคนก็ต่างคิดไปเองนะคะ แล้วก็ยังมีผู้ที่กล่าวให้ทำสมาธิโดยประการต่างๆ แต่ไม่ได้เข้าใจเลย นะคะ ว่าสมาธิที่แท้จริงแล้วคืออะไร ขณะนี้มีรึเปล่า และเมื่อไรจึงจะเป็นสัมมาสมาธิ ซึ่งไม่ใช่มิจฉาสมาธิ ทั้งหมดเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะคะ ที่กล่าวถึงคำว่าสมาธิหลายแห่งหลายตอน แต่ก็ต้องเข้าใจด้วย

    บางครั้งพระองค์ตรัสถึงศีล สมาธิ ปัญญา และก็รู้จักไหมว่า ศีลคืออะไร สมาธิคืออะไร และปัญญารู้อะไร ก็ได้แต่กล่าวปัญญา ปัญญาแต่ปัญญารู้อะไร ถ้าขณะนี้มีสิ่งที่มีจริงๆ ตั้งแต่เกิดมีจริงทุกขณะ แต่ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มี ก็ไม่ใช่ปัญญา เพราะฉะนั้นแต่ละคำนี่คะ ต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่ามีสิ่งที่มีจริงๆ นะคะ แต่เพราะไม่รู้ก็เรียกชื่อ และก็เข้าใจผิดต่างๆ เช่นคำว่าสมาธิ คนที่ทำสมาธิจะตอบได้ไหมคะ สมาธิคืออะไร

    ผู้ฟัง กราบเรียนท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่งครับ สมาธิก็เป็นธรรม เป็นเอกัคตาเจตสิก ครับผม

    ท่านอาจารย์ ค่ะ ก็เป็นที่ทราบนะคะ ว่า สมาธิได้แก่สภาพธรรมะหนึ่ง ซึ่งตั้งมั่นในอารมณ์ แม้แต่คำว่าอารมณ์นะคะ ถ้าไม่ศึกษาก็เข้าใจผิด เพราะเราคิดว่าวันนี้อารมณ์ดี วันนี้อารมณ์ไม่ดี กำลังมีใครอารมณ์ไม่ดีบ้างไหมคะ นั่นแหละใช่ไหมคะ คือเราใช้กันจนเคยชิน แต่ว่าตามความเป็นจริง ทุกคำต้องศึกษาให้เข้าใจ และเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เมื่อมีจิต เจตสิก ซึ่งเป็นสภาพรู้ ที่เป็นนามธรรมต้องมีสิ่งที่ถูกรู้

    เพราะฉะนั้นสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่กำลังปรากฏในขณะนี้ แต่ละหนึ่งนะคะ ไม่ใช่พร้อมกันทันทีทั้งหมด แต่ความรวดเร็วของการเกิดดับสืบต่อ ไม่ปรากฏการเกิดดับของแต่ละหนึ่งเลย มีแต่ปรากฏเป็นคน เป็นวัตถุ เป็นสิ่งต่างๆ ซึ่งเหมือนไม่ได้ดับไปเลย นี่คือความเห็นผิด ความเข้าใจผิดนะคะ ที่ถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเพราะไม่รู้ความจริงว่า สิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้เกิดแล้วดับ เร็วขนาดนั้น สืบต่อจนกระทั่งปรากฏเป็นสิ่งต่างๆ มากมาย

    นี่แสดงให้เห็นถึงพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าพระองค์ไม่ทรงตรัสรู้จะทรงแสดงความจริงอย่างนี้ได้ไหม ซึ่งทุกคนเนี่ยจะรู้ว่าจริงหรือไม่จริงก็ต่อเมื่อได้ฟังแล้วพิจารณาไตร่ตรองนะคะ เห็นต้องไม่ใช่ได้ยินแน่นอน เห็นจะมีเสียงเป็นอารมณ์ คือเป็นสิ่งที่จิตรู้ได้ยังไง เพราะฉะนั้นคำว่าอารมณ์หมายความถึงสิ่งซึ่งจิตกำลังรู้ จิตเกิดขึ้นรู้สิ่งที่ถูกรู้เป็นอารมณ์ของจิต

    ทุกคำนี่ค่ะต้องตั้งต้นใหม่ และให้เข้าใจว่าจิตสามารถจะรู้ได้ทุกอย่าง แล้วแต่ว่าขณะนั้นอะไรเป็นสิ่งที่จิตกำลังรู้ ขณะได้ยินเสียงนะคะ เฉพาะเสียงที่กำลังได้ยินเป็นอารมณ์ของจิตได้ยิน เสียงอื่นที่ไม่ปรากฏ ไม่ใช้อารมณ์เพราะจิตไม่รู้สิ่งนั้น เพราะฉะนั้นพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงนี่คะ เปลี่ยนไม่ได้เลยเพราะทรงตรัสรู้ความจริงถึงที่สุด และบางคนก็อาจจะคิดว่าไม่เห็นกล่าวเรื่องของวิกฤตมากมายเลยนะคะ

    แต่ถ้าไม่มีความเข้าใจที่ถูกต้องจะรู้ได้ยังไงว่าอะไรวิกฤตเมื่อไหร่ อะไรผิดอะไรถูก เพราะมีความเข้าใจที่ถูกต้องจึงรู้ว่าอะไรผิด จึงสามารถที่จะรู้ได้ว่าวิกฤติของพระพุทธศาสนาก็คือว่าไม่มีใครได้ศึกษาเข้าใจคำสอนอย่างถูกต้องมั่นคง นอกจากผู้ที่เห็นคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ละเลยโอกาสที่จะได้ฟังคำของผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ คิดดู อยากจะฟังเรื่องอะไรบ้างคะ มากมายหลายร้อยหลายพันเรื่อง แต่ฟังเรื่องอะไรก็ไม่ได้ทำให้เข้าใจความจริงซึ่งกำลังมีที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง

    เพราะฉะนั้นทุกครั้งนะคะ ไม่ประมาทเลยแม้แต่ แต่ละคำ เช่น คำว่าธรรมะ สมาธิ สมาธิก็เป็นสภาพนามธรรมแน่นอน โต้ะเก้าอี้นี่ไม่มีสมาธิเลย มีไม่ได้เพราะไม่ใช่สภาพรู้แต่เมื่อมีสภาพรู้ สภาพรู้มี ๒ อย่าง สภาพรู้อย่างหนึ่งนะคะ เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏ เห็น เห็นอะไร ต้องมีสิ่งที่ถูกเห็น เพราะเหตุว่าขณะนั้นนะคะ จะเห็นหลายๆ อย่างพร้อมกันไม่ได้ เพราะมีสภาพธรรมะที่เป็นเจตสิกเกิดกับจิต

    สภาพธรรมะที่เกิดกับจิตนะคะ รู้อารมณ์คือสิ่งเดียวที่จิตรู้พร้อมกัน ดับพร้อมกัน ทุกขณะที่จิตเกิดจะปราศจากเจตสิกไม่ได้เลย แต่ก็ไม่มีใครไปแยกออกนะคะ ว่านี้เป็นจิต และนั่นเป็นเจตสิก แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความเป็นจริงว่า จิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ แค่คำว่าเป็นใหญ่ เป็นประธานก็ส่องถึงว่า ต้องมีสภาพนามธรรมอื่นสภาพรู้อื่นซึ่งเกิดกับจิต แต่ไม่ได้เป็นใหญ่ เป็นประธาน เฉพาะจิตเท่านั้น ที่เป็นใหญ่ในการรู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏ เช่น สีแดง สีชมพู สีเขียว สีฟ้า

    ถ้าจิตไม่รู้แจ้งเฉพาะสิ่งที่ปรากฏ จะรู้ความหลากหลายต่างกันไหม แม้แต่ชมพูอ่อน ชมพูแก่ รู้แจ้งในสภาพธรรมะนั้น จึงสามารถที่จะบอกได้ว่าต่างกัน ไม่เหมือนกัน แต่เจตสิกที่เกิดกับจิตนี่คะ ดับพร้อมจิต รู้สิ่งเดียวกัน ชอบดอกกุหลาบไหม เห็นไหมคะ จิตเห็นแต่สภาพที่ชอบไม่ใช่จิต แต่ชอบในสิ่งที่ปรากฏกับจิต เพราะจิตเป็นสภาพที่รู้แจ้ง เป็นปัจจัยให้ความติดข้องเกิดขึ้น หรือถ้าเป็นสิ่งที่ไม่ชอบนะคะ ทันทีที่เห็นก็ไม่ชอบละ

    เพราะฉะนั้นความชอบความไม่ชอบเป็นเจตสิก กล่าวได้เลยค่ะ ทั้งวันสิ่งที่ปรากฏ จิตเป็นสภาพที่รู้แจ้ง แต่ขณะที่ปรากฏนี่ เดี๋ยวรัก เดี๋ยวชัง เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวดีใจ เดี๋ยวเสียใจ ทั้งหมดไม่ใช่จิตนะคะ แต่เป็นเจตสิก เพราะฉะนั้นจิตเกิดขึ้นหนึ่ง ต้องรู้เพียงหนึ่ง เพราะเป็นสภาพรู้ โดยมีเจตสิกหนึ่ง ซึ่งตั้งมั่นในอารมณ์นั้นอารมณ์เดียว

    เจตสิกนั้นภาษาบาลีใช้คำว่าเอกัคตาเจตสิก สภาพที่ตั้งมั่นในอารมณ์ เพราะฉะนั้นจิตจึงรู้แจ้งสิ่งที่เอกัคตาเจตสิกตั้งมั่น ทีละหนึ่งขณะนะคะ ขณะนี้เป็นอย่างนั้น แต่ไม่มีใครบอกว่าเป็นสมาธิ ต่อเมื่อใดจิตตั้งมั่นอยู่ที่อารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งนะคะ นานพอสมควรมากกว่าอารมณ์อื่นก็แสดงว่ากำลังมีสมาธิ คือความตั้งมั่นในอารมณ์นั้นนาน

    แต่เพราะความไม่รู้นะคะ ก็เป็นเราทำสมาธิ เรามีสมาธิ แต่ความจริงไม่ใช่เลยค่ะ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ไม่ต้องมีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคนก็รู้หมด แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สิ่งที่มีจริงว่าไม่ใช่เราไม่ใช่ใครทั้งสิ้น แต่เป็นลักษณะของสิ่งนั้น ซึ่งเมื่อเกิดต้องเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างอื่นไม่ได้ เพราะฉะนั้นจิตเป็นสภาพที่รู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ

    เจตสิกทั้งหมดนะคะ โดยประเภทมี ๕๒ แต่ว่าหลากหลายมาก แม้แต่ความยินดีพอใจนี่คะ นิดเดียวนะคะ ก็เป็นความติดข้อง ถ้ามากคนนั้นเขารู้สึกปลาบปลื้ม เพลิดเพลิน ดีใจ สนุกสนาน ก็เป็นลักษณะของเจตสิกนั้นแหละ ที่เพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นแม้แต่คำว่าสมาธิก็ได้แก่เจตสิกซึ่งเป็นเอกัคตาเจตสิก แต่ตั้งมั่นอยู่ที่อารมณ์ นานนะคะ ก็ปรากฏลักษณะที่เราบอกว่าอย่ากวนกำลังอ่านหนังสือ กำลังคิดเรื่องนี้ แสดงว่ามีสมาธิอยู่ที่ตรงนั้น นะคะ ไม่เช่นนั้นเราก็จะไม่มีคำว่าเสียสมาธิหรืออะไร

    แต่เราใช้คำอย่างนี้เผินๆ เพราะเป็นเรา ที่รวมกันยึดถือสภาพธรรมะแต่ละหนึ่ง ซึ่งเกิดร่วมกันว่าเป็นเราแต่ไม่รู้เลยค่ะว่าแต่ละหนึ่งนั้นต้องเกิด ถ้าไม่เกิดไม่มีแน่นอน เกิดแล้วก็ต้องดับด้วย ดับแล้วก็มีสภาพธรรมะที่สืบต่อ เพราะจิต สภาพรู้ ธาตุรู้นี่คะ ทันทีที่รู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด ดับแล้ว การดับไปของจิตนั่นแหละ เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อ

    ด้วยเหตุนี้นะคะ จึงมีจิตทีละหนึ่งขณะ แต่ละคนนี่คะ ไม่ได้มีจิตพร้อมกัน ๒ ขณะเลย เพราะถ้าจิตขณะนี้ยังไม่ดับไป จิตอื่นเกิดไม่ได้ และทันทีที่จิตนั้นดับไป ทันทีเลยนะคะ เป็นปัจจัย มีอำนาจ สัตติ ที่จะทำให้จิตขณะต่อไปเกิดได้ แต่ต้องเป็นไปตามปัจจัย ไม่ใช่ว่าจิตไหนจะเกิดก็ได้

    ด้วยเหตุนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมะซึ่งเป็นปรมัตถธรรม มาจากคำว่า ปะระมะ บรม กับ อรรถ คือความหมาย ถ้าไม่มีลักษณะของตนจะกล่าวถึงสิ่งนั้นได้ยังไง เพราะฉะนั้นความรู้สึกเป็นอย่างหนึ่ง ความจำเป็นอย่างหนึ่ง นอกจากจิตซึ่งรู้แจ้งแล้ว ทั้งหมดเป็นเจตสิก ด้วยเหตุนี้ความจำก็เป็นเจตสิก เดี๋ยวนี้จำได้ใช่มั้ยค่ะ เราจำหรือเปล่า ถ้าเจตสิกที่จำ ไม่เกิดขึ้นทำหน้าที่จำ จะไม่มีการจำอะไรได้เลย แต่นี่เพราะเจตสิกนี้ เกิดกับจิตทุกขณะไม่เว้นเลย

    ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ค่ะ เปลี่ยนไม่ได้ ขณะนี้มีทั้งจิต และเจตสิก และขณะที่กำลังจำก็คือเจตสิกหนึ่ง ซึ่งภาษาบาลีใช้คำว่าสัญญาเจตสิก คนไทยเราสัญญากันบ่อยใช่ไหมคะ เพื่ออะไรคะ เพื่อไม่ลืมบางทีก็ต้องทำสัญญาด้วย เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรนะคะ ลงลายมือชื่อกำกับ เพื่อไม่ให้ลืมว่าได้กระทำสิ่งนี้แล้ว แต่ทั้งหมดนี่ค่ะ ก็คือสภาพเจตสิกซึ่งเกิดขึ้นพร้อมจิต ดับพร้อมจิตขณะนี้เห็นทุกอย่างจำได้หมดเลย เพราะเจตสิกจำ แต่จิตรู้แจ้ง

    เพราะฉะนั้นเอกัคตาเจตสิกนะคะ คือสภาพที่ตั้งมั่นในอารมณ์หนึ่ง จิตหนึ่งรู้อารมณ์หนึ่ง ที่ละหนึ่ง แต่ถ้ามีมากขึ้นลักษณะของความตั้งมั่นก็ปรากฏ ที่เราใช้คำว่าสมาธิ เพราะฉะนั้นสมาธิหรือเอกัคตาเจตสิกนี่นะคะ เกิดกับสภาพธรรมะอื่นๆ เกิดกับสภาพธรรมะที่ดีงามเป็นกุศลก็ได้ เกิดกับสภาพธรรมะที่ไม่ดีงามเป็นอกุศลก็ได้

    เพราะฉะนั้นจึงมีทั้งอกุศลสมาธิ และกุศลสมาธิ รู้หรือเปล่าคะ ทำสมาธิแต่ไม่รู้จักสมาธิ ก็คิดว่าจะไปทำสมาธิ รู้อย่างนี้แล้วใครทำอะไรได้ไหม ธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตา ถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้ก็ไม่ใช่คนที่ฟังคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฟังแล้วต้องมั่นคงเปลี่ยนไม่ได้ ไม่มีเรา แต่มีธรรมะถูกไหม ถ้าไม่มีธรรมะสักอย่างหนึ่งจะมีเราไหม แต่เมื่อมีธรรมะแล้วไม่รู้การเกิดดับสืบต่ออย่างเร็วมาก ปรากฏเป็นรูปร่างนิมิตสัณฐานเรื่องราวต่างๆ ก็เข้าใจว่าเป็นเราเกิด เราเห็น เราได้ยิน ตั้งแต่เกิดจนตาย

    ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะคะ ก็เป็นเรานี้แหละเกิด แต่เกิด ขณะเกิดขณะแรกจะเป็นเราได้ยังไงค่ะ ยังไม่มีชื่อเลยใช่ไหมคะ ยังไม่เห็นด้วย เห็นทันทีที่เกิดไม่ได้เลยคะ ต้องเมื่อถึงเวลาที่จักขุปสาทรูปพิเศษที่จะสามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏตา ถึงวาระที่จะเกิดจึงเกิด และเมื่อมีสิ่งใดกระทบจึงเห็น ทั้งหมดนี่คะ เป็นธรรมะซึ่งเป็นอนัตตา มิฉะนั้นจะเอาอะไรไปละอัตตา

    ความเป็นเรานานแสนนานเกินแสนโกฏิกัป และขณะนี้ก็ยังเป็นอย่างนี้ ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะคะ เหมือนอยู่ในความมืดสนิทแต่แสงสว่างคือพระธรรม เริ่มนะคะ ตั้งแต่จุดเล็กๆ จนกว่าสามารถที่จะเห็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตตามความเป็นจริง ว่าไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นไม่ใช่แต่ละคนเนี่ยจะมีความสามารถรู้ธรรมะอย่างนี้ได้เองนะคะ แต่ต้องฟัง ฟังแล้วต้องไตร่ตรองไม่ใช่เชื่อ

    เพราะฉะนั้นได้ยินคำอะไร ใครจะพูดไม่สำคัญเลยค่ะ สำคัญที่คำนั้นจริงหรือเปล่า และถ้าได้ยินคำที่ไม่เคยได้ฟังมาก่อนเลย และก็เป็นความจริงด้วย ก็รู้ว่าผู้นั้นต้องรู้อย่างนั้น จึงสามารถที่จะกล่าวอย่างนั้นได้ และผู้นั่นก็คือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราจะเชื่อใคร ที่เอาคำอะไรก็ไม่รู้นะคะ ไม่มีเหตุผล และก็ไม่ทำให้เกิดความเข้าใจใดๆ เลยทั้งสิ้น เหมือนถูกสะกดไหมคะ ให้ทำสมาธิ ใครให้ทำ

    รู้หรือเปล่าว่าสมาธิเป็นอะไร สมาธิไม่ได้เป็นใครเลยทั้งสิ้น แต่เป็นธรรมะอย่างหนึ่งนะคะ ซึ่งเกิดกับจิตทุกขณะ ตั้งมั่นในอารมณ์แต่ละอารมณ์ที่ปรากฏ จนกว่านะคะ จะมีการเห็นโทษของสิ่งที่ปรากฏ ถ้าไม่มีสิ่งใดปรากฏเลย จะพอใจในสิ่งนั้นไหม โลกไม่มี อะไรก็ไม่มี ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย

    แต่เมื่อมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้น สภาพรู้ ธาตุรู้ รู้สิ่งนั้น นะคะ แต่ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นแหละเกิดแล้วดับด้วย เพราะว่ามีสิ่งอื่นทั้งหมดขณะนี้นะคะ ซึ่งเกิดดับสืบต่อไม่มีระหว่างคั่น ต่อกันสนิทจนเหมือนกับเรื่องราว เช่น เมื่อกี้นี้เราไปรับประทานอาหาร เราหรือค่ะ หรือว่าธรรมะ ไม่มีจิต ไม่มีเจตสิก ไม่มีรูป ไปได้มั้ย หรือจะอยู่ตรงนี้ได้มั้ย เพราะฉะนั้นที่อยู่ตรงนี้ ก็ไม่ใช่เราค่ะ แต่ต้องเป็นธรรมะจริงๆ นะคะ ไตร่ตรองว่าสภาพที่เกิด และดับจะเป็นเราได้ยังไง

    ถ้ามีความพอใจในสิ่งหนึ่งสิ่งใดนะคะ ทันทีนั้นเลย สิ่งนั้นดับก็ไม่รู้ ก็เข้าใจว่ายังอยู่ ยังเป็นที่ตั้งของความพอใจ เพราะฉะนั้นความไม่รู้เนี่ยมากมายระดับไหน ด้วยเหตุนี้นะคะ สัตว์โลกเกิดมานี่คะ ต่างอัธยาศัย ต่างการสะสม ผู้ที่ต้องการที่จะรู้ความจริง หรือว่าต้องการที่จะละสิ่งที่ไม่ดีมีก่อนพุทธกาล แต่ว่าอย่างมากที่สุดที่คนเหล่านั้นจะกระทำได้ ก็คือการที่เห็นโทษของการที่เกิดมา เห็น ได้ยิน ทุกอย่าง ทุกขณะ แล้วก็พอใจ จนกระทั่งอกุศลจิตนี่คะ เกิดขึ้นมากมายนะคะ ตามปัจจัยมากขึ้นๆ แล้วก็จะมีประโยชน์อะไร

    เพราะฉะนั้นเห็นโทษของความติดข้องในสิ่งที่ปรากฏ ว่าเป็นโทษอย่างยิ่งนะคะ เพราะนำมาซึ่งความติดข้องเพิ่มขึ้น ทำให้เดือดร้อนไหม ถ้ายังไม่รู้สึกว่าเดือดร้อนนะคะ ก็ไม่ต้องไปแสวงหาอะไร แต่ผู้มีปัญญาค่ะ ทุกวันนี่สาระอยู่ตรงไหน ทุกสิ่งมีจริงไม่ใช่ไม่มี แต่หมดแล้วทุกวัน ไม่เหลืออะไรเลย ทั้งวันพอถึงเวลาหลับ เหลืออะไรบ้าง มีอะไรที่เป็นเรา หรือเป็นของเราบ้าง ขณะที่หลับสนิท

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงเรื่องจิตโดยประเภทต่างๆ นะคะ ให้มีความเข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น ๔๕ พรรษา เพื่อที่จะให้ปัญญานี่คะ ค่อยๆ รู้ความจริง จนกระทั่งสามารถรู้ได้ว่าแม้แต่สภาพที่ตั้งมั่น ก็ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นใครก็ตามนะคะ ที่ทำสมาธิ ด้วยความพอใจ ถูกไหม ดีไหม ให้มีมากๆ ด้วยแต่เปลี่ยนอารมณ์ ถ้าไม่ได้ทำสมาธิความชอบก็กระเจิดกระเจิงไปทั้งวัน ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แต่เวลาเห็นโทษ หรือว่าอยากที่จะมีสมาธิ

    มีคน ๒ ประเภทนะคะ คนหนึ่งเห็นโทษของโลภะความติดข้อง เดือดร้อนทั้งวัน ติดโน่นติดนี่แสวงหาอย่างโน้นอย่างนี้ แค่อาหารก็แต่ละมื้อ ยากไหมค่ะ เปลี่ยนไปเรื่อยๆ รสนี้ไม่พอใจทำรสใหม่ขึ้นมาอีก มีแต่การปรุงแต่งอยู่ตลอดเวลา หารู้ไม่ว่านั่นเป็นความติดข้อง โดยที่ว่าแล้ววันหนึ่งก็จากโลกนี้ไป เดี๋ยวนี้ก็ได้ และทั้งหมดที่มี ทุกคนที่ติดข้อง นะคะ

    ความติดข้องนี่ค่ะ ติดตามสะสมอยู่ในจิต แต่สิ่งที่มีไม่ได้ติดตามไปเลย แม้แต่ร่างกายที่ขณะนี้กำลังอยู่ตรงนี้ ทันทีที่จิตไม่เกิดที่ร่างกาย เหมือนท่อนไม้เลยค่ะ พูดไม่ได้ เดินไม่ได้ ไม่เห็น ไม่ได้ยิน จริงมั้ย เพราะฉะนั้นทุกอย่างในขณะนี้นะคะ เป็นไปตามอำนาจของจิต ซึ่งเป็นสภาพที่รู้แจ้งในอารมณ์ เฉพาะในสิ่งที่เป็นอารมณ์นะคะ จิตจะรู้เกินกว่านั้นไม่ได้ เพราะจิตไม่ใช่ปัญญา

    จิตเป็นเพียงธาตุที่มี ใครห้ามไม่ให้จิตเกิดก็ไม่ได้ เหมือนห้ามแข็ง ไม่ให้เกิดไม่ได้ ห้ามเย็น ห้ามร้อน ไม่ให้เกิดไม่ได้ เป็นสิ่งที่เกิดมีขึ้นตามเหตุตามปัจจัย ทั้งนามธรรม และรูปธรรม เพราะฉะนั้นก็ต้องเข้าใจให้ถูกต้องนะคะ ว่า ไม่ว่าจะกล่าวถึงอะไร ถ้าไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และนำไปผิด เช่น ทำสมาธิ ไม่ต้องทำค่ะ มีสมาธิแล้ว แต่ว่าเป็นอกุศลหรือกุศล อันนี้ไม่รู้ใช่ไหมคะ ก็เลยทำ แต่ถ้าเป็นกุศล เป็นไปเพื่อการละ ไม่ใช่เป็นไปเพื่อการติดข้อง

    เพราะฉะนั้นหนทางของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือทุกคำที่ได้ตรัสไว้ เพื่อละความเห็นผิด ความเข้าใจผิดที่หลงเข้าใจผิด มานานแสนนานในสังสารวัฏว่าเป็นเรา มีเราขณะนี้ ก็เริ่มเข้าใจถูกต้องนะคะ เพื่อที่จะได้ไม่ติดข้อง ไม่เป็นอกุศลอีกมากมาย มีทั้งความสำคัญตน มีทั้งความริษยา มีทั้งความตระหนี่ ทั้งหมดนี่คะ เพราะความไม่รู้

    ด้วยเหตุนี้นะคะ คนที่ไม่รู้จักสมาธิไปทำสมาธิ ไม่อย่างงั้นก็ตอบได้ใช่ไหมคะ ว่าสมาธิคืออะไร แต่ขณะใดก็ตามที่มีความเข้าใจธรรมะ ขณะนั้นจิตนะคะ รู้แจ้งเสียงที่กำลังปรากฏ และสภาพธรรมะอื่นก็พิจารณาไตร่ตรอง ไม่ใช่เราเลยนะคะ และก็ทำงานอย่างเงียบที่สุด ไม่ปรากฏจิตเลย ปรากฏแต่สิ่งที่จิตรู้ทั้งวัน แต่หารู้ไม่ว่าเพราะจิตเจตสิกเกิด สิ่งนั้นจึงปรากฏให้รู้ได้ว่ามี แต่ว่าไม่ได้เข้าใจเลยว่า ไม่มีเรา ไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรมะ

    เพราะฉะนั้นขณะใดก็ตามที่อยากทำสมาธิ แล้วจะได้อะไร คิดว่าสงบ แต่อยากได้สมาธิแทนที่จะอยากได้สิ่งอื่นเหมือนเคย ไม่ใช่อยากได้ดินสอ ปากกา ต้นไม้ ดอกไม้ แต่อยากได้สมาธิ ความอยากเป็นความยากค่ะ เปลี่ยนไม่ได้ แล้วแต่ว่าจะยากอะไร เพราะฉะนั้นความยากเป็นอกุศลธรรม เป็นเจตสิก ซึ่งเกิดกับจิตหลังจากที่เห็นแล้ว ได้ยินแล้ว ก็แล้วแต่ว่าเจตสิกประเภทไหนจะเกิดขึ้นบ้าง แต่เอกัคตาเจตสิกเกิดกับจิตทุกขณะ

    เพราะฉะนั้นก่อนการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีผู้ที่เห็นโทษของความต้องเหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน กับการต้องแสวงหาทุกสิ่งทุกอย่างมา เพียงเพื่อเรา แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เลยนะคะ เพียงเพื่อเห็นแล้วก็ดับ ได้ยินแล้วก็ดับ ไม่ว่าจะเป็นลาภ สิ่งที่ได้มา ได้ยศหรือคำสรรเสริญก็ตามแต่ ชั่วคราวแสนสั้น และก็ไม่กลับมาอีก แต่สัญญาเจตสิก สภาพจำ จำหมดทุกอย่าง แต่จำผิดจึงเป็นสัญญาวิปลาส

    ทุกคำที่ได้ฟังนี่นะคะ อยู่ในพระไตรปิฏกในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมด ละเอียดอย่างยิ่ง เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ต่อชีวิตซึ่งแสนสั้น และสิ่งที่เกิดในชาตินี้ที่เป็นกุศล และอกุศลนะคะ ติดตามสืบต่อสะสมอยู่ในจิตไม่หายไปไหนเลย เพราะเหตุว่าเป็นนามธรรม แต่รูปธรรม ติดตามไปไม่ได้เลยนะคะ ร่างกายทั้งหมดเปื่อยเน่า เพราะไม่มีจิต ยังเป็นที่ยินดีไหม

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 190
    26 ธ.ค. 2567