ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1391


    ตอนที่ ๑๓๙๑

    สนทนาธรรม ที่ โรงแรมไชยแสงพาเลส จ.สิงห์บุรี

    วันที่ ๒๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๑


    ท่านอาจารย์ ร่างกายทั้งหมดเปื่อยเน่า เพราะไม่มีจิต ยังเป็นที่ยินดีไหม เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริง ในขณะที่คนอื่นอยากได้สิ่งหนึ่งสิ่งใด เช่น อยากทำสมาธิ แต่ว่าในครั้งพุทธกาลนะคะ ผู้ที่มีปัญญาก็มีมาก ที่สะสมมาแล้ว เห็นโทษของสิ่งที่ปรากฏว่าไม่ยั่งยืน เล็กน้อย ก็แสวงหาทางที่จะพ้นจากการที่จะต้องเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส และคิดนึก

    แต่เรื่องราวของสิ่งที่ปรากฏ ทั้งๆ ที่สิ่งที่ปรากฏไม่เหลือเลย แต่เรื่องราวความทรงจำในสิ่งต่างๆ นี่คะ ก็สามารถที่จะคิดถึงได้ นะคะ แต่สิ่งนั้นที่ดับไปแล้ว จะไม่กลับไปอีกเลย เมื่อมีความเข้าใจอย่างนี้นะคะ พูดนั้นรู้หนทางที่จะทำให้จิตสงบ แต่เป็นตัวตนเพราะเหตุว่ารู้หนทางที่จะทำให้จิต ซึ่งเข้าใจว่าเป็นเราเนี่ยสงบ

    เพราะฉะนั้นจึงมีภาวนา ที่ชื่อว่าสมถภาวนา หมายความว่ากระทำจิตให้สงบ เพราะปัญญารู้ว่าตราบใดที่ยังเห็น ยังได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ก็คิดแต่เรื่องอย่างนี้นะคะ เพราะฉะนั้นเรื่องอย่างนี้ก็ไม่มีจริงๆ หมดแล้วจริงๆ เพียงแค่จำไว้ ถ้าไม่จำก็ลืมเลยใครจำได้ครบบ้างคะ ตอนเป็นเด็ก ไม่ต้องเป็นเด็กค่ะ เมื่อเช้านี้ทำอะไรบ้าง บอกสิ เอาให้หมดเลย เป็นไปไม่ได้ใช่ไหมคะ

    เพราะฉะนั้นผู้ที่มีปัญญาเท่านั้น จึงสามารถที่จะเห็นโทษของสิ่งที่ติดข้องทางตา หู จมูก ลิ้น กาย กระทำจิตให้พ้นจากอกุศลที่ติดข้อง โดยรู้ว่านะคะ ระลึกอย่างไรจึงจะเป็นกุศล นี่ก่อนทำสมาธิ แต่คนที่ไปทำสมาธิด้วยความอยาก ตลอดเวลาเป็นอกุศล เพราะเหตุว่าผู้ที่มีปัญญาเท่านั้นจึงสามารถที่จะค่อยๆ เห็นโทษของสิ่งที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และเห็นว่าสิ่งที่มีประโยชน์กว่า คือการที่จิตสงบจากสิ่งเหล่านี้ จึงมีสมถภาวนา

    สมถะคือสงบนะคะ ภาวนาคืออบรม เห็นว่าสิ่งใดไม่มีประโยชน์ และสิ่งใดสงบจากอกุศล เพราะฉะนั้นจึงมีสมถภาวนาก่อนการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ง่ายนะคะ สมถภาวนานี่ไม่ง่ายเลย ไม่ใช่ว่าเราไปนั่งเฉยๆ และก็บอกให้คิดถึงลมหายใจเป็นต้น ทำไมไปคิดถึงลมหายใจ แล้วจะสงบค่ะ เอาปัญญาที่ไหนมารู้ ว่าขณะนั้นน่ะสงบหรือเปล่า เข้าใจเองใช่มั้ยว่าสงบ

    เพราะคิดว่าถ้าไม่คิดถึงเรื่องราวใดๆ ที่เคยรำคาญใจ เดือดร้อนนะคะ ไม่ต้องเห็น ไม่ต้องได้ยิน เข้าใจว่าขณะนั้นสงบ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ สิ่งซึ่งใครก็ไม่สามารถจะรู้ได้ ถ้าพระองค์ไม่ทรงแสดง พระองค์ตรัสไว้ว่าอย่างไร ในเรื่องของสมาธิ มิจฉาสมาธิ ต่างกับสัมมาสมาธิ

    สมาธิทั้งหมดนะคะ จะเป็นสมาธิที่เป็นกุศลไม่ได้เลย ถ้าขณะนั้นกุศลจิตไม่เกิด และถ้ายังคงเป็นเราสงบ ขณะนั้นก็เป็นมิจฉาสมาธิ เพราะเหตุว่าไม่ได้มีความเข้าใจถูกต้องว่าไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นแม้แต่หนทางที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมนะคะ ก็มีสัมมาสมาธิ แต่ทั้งหมดที่เป็นมรรคมีองค์ ๘ เจตสิก ๘ ดวงเนี่ยนะคะ ก็ต้องมีปัญญาเป็นใหญ่ เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีปัญญาเลยเนี่ยไปนั่งสงบทำไม เพื่อเราต้องการ ขณะที่ต้องการจะสงบไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงสิ่งซึ่งใครก็ไม่รู้ได้ เช่น จิตเกิดดับเร็วสุดที่จะประมาณได้ จิตที่ดับแล้วเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิด เห็นขณะนี้ดับไหม ลองไตร่ตรองนะคะ ไม่ใช่ได้ยิน ไม่ใช่คิด คนละอย่าง คนละอย่าง แล้วต้องเกิดทีละหนึ่งด้วย เพราะจิตจะเกิดขึ้นทีละหนึ่ง เพราะฉะนั้นเห็นขณะนี้ เห็นจริงๆ แล้วก็ดับไป ก่อนเห็นมีจิตไหมคะ มีแต่ไม่เห็นถูกต้องไหมคะ

    เพราะฉะนั้นจิตก่อนเห็นไม่ใช่จิตเห็น และเดี๋ยวนี้เองค่ะจิตก็เกิด และดับ เร็วสุดที่จะประมาณได้ มากมายมหาศาลนะคะ แต่ก็สืบต่อจนปรากฏให้รู้ว่านี่จิตนะที่กำลังรู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏ เป็นนิมิต หมายความว่าสิ่งที่ปรากฏให้รู้ได้ว่ามีจิต เพราะจิตเกิดดับสืบต่อจากขณะก่อนมาถึงขณะนี้แต่เร็วมากสุดที่จะประมาณได้

    ด้วยเหตุนี้นะคะ ทันทีที่จิตเห็นดับเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิด จิตที่เกิดต่อนะคะ เรียกตามกิจของจิตนั้น ถ้าเป็นคนที่เป็นนักร้อง เราก็บอกว่านักร้องใช่ไหมค่ะ คนที่ทำนา เราก็บอกว่าเขาเป็นชาวนา เพราะฉะนั้นเราก็เรียกชื่อจิตตามกิจหน้าที่ของจิตว่า ทันทีที่จิตเห็นดับหนึ่งขณะเองนะคะ จิตที่เกิดต่อไม่เห็นค่ะ ใครจะรู้ แต่ว่าเกิดหลังจากที่จิตเห็นดับทันที โดยรู้สิ่งที่จิตเห็นนั่นแหละ แต่ไม่เห็น เห็นไหมคะว่าเร็วปานใด ขณะนี้ทรงแสดงการเกิดดับของจิตอย่างละเอียดยิ่งทีละหนึ่งขณะ

    เพราะฉะนั้นสิ่งที่คนอื่นไม่รู้คิดว่า เป็นกุศลสมาธิ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่านะคะ ขณะเห็นเดี๋ยวนี้ดับ มีจิตที่เกิดต่อทำกิจรับรู้ แต่ไม่เห็น ชื่อว่าสัมปฏิฉันนกิจ จึงเรียกจิตนั้นว่า สัมปฏิฉันนจิต สัมปฏิฉันนจิตก็ต้องดับ เกิดขึ้นนิดเดียวแล้วก็ดับไป เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อนะคะ อีกประเภทหนึ่ง ภาษาบาลีใช้คำว่าสันตีรณจิต เขากระทำสันตีรณกิจ แต่ยังมีความละเอียดอีกมากนะคะ

    ในสภาพของจิตแต่ละหนึ่งขณะ และจิตที่รับรู้อารมณ์ต่อจากสัมปฏิฉันนะดับ สันตีรณะจิตที่รู้อารมณ์ต่อจากสัมปฏิฉันนะก็เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้นอีกหนึ่งขณะ หนึ่งขณะนะคะ ต่อจากนั้นสิ่งที่ได้สะสมมาในจิตแสนโกฏขณะเกินกว่านั้น ถึงเวลาที่จะเกิดได้ ไหลไปตามอารมณ์ เดี๋ยวนี้ใครรู้ว่าเป็นอกุศล เพราะฉะนั้นแม้คนที่ไม่รู้อะไรเลยแต่อยากสงบ ก็ไม่รู้ว่าสงบต้องเป็นการที่ไม่ใช่อกุศลจิต แต่ขณะเห็นเดี๋ยวนี้อกุศลจิตเกิดแล้ว

    เพราะฉะนั้นเรากำลังฟังธรรมะ และเข้าใจธรรมะท่ามกลางอกุศล แต่ให้ทราบว่านะคะ ไม่ว่าจะเป็นกุศลประเภทใด หรืออกุศลประเภทไหนที่ดับแล้ว ก็สะสมโดยฐานะที่เกิดแล้ว แปดเปื้อนจิตแล้ว หรือว่าดีงามก็ตามนะคะ ก็ทำให้จิตนั่นแหละเป็นลักษณะที่เดี๋ยวนี้เป็นอย่างนั้นแต่ไม่มีใครรู้ แต่ละหนึ่งขณะนี่คะ จิต เจตสิกกำลังทำงานโดยรู้ รูปธรรมก็เกิดดับแต่ไม่รู้ ก็มีเท่านี้เองนะคะ ที่ว่าจะเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นดาว เป็นพระอาทิตย์ เป็นประเทศ เป็นรถยนต์ เป็นอะไรก็ตาม ก็ต้องเป็นหนึ่ง

    ธรรมะคือเป็นรูปธรรม หรือเป็นจิต หรือเป็นเจตสิก เพราะฉะนั้นการไม่เข้าใจธรรมะนะคะ แล้วอยากทำสมาธิ แต่ไม่รู้หรอกค่ะ ว่าขณะนั้นนะ ไม่ได้เป็นปัญญาเลย ไม่ได้เห็นโทษของอะไรเลย แต่ว่ากุศลธรรมต่างกับอกุศลธรรม เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีความรู้นะคะ จะระงับอกุศลธรรมได้อย่างไร เพราะว่าในขณะเห็นเดี๋ยวนี้ค่ะก็มีอกุศลตาม ได้ยินเดี๋ยวนี้ก็มีอกุศลตามอยู่เรื่อยๆ มากมาย แต่ปัญญานะคะ ถ้าสะสมแล้วค่ะ มีกำลังสามารถที่จะละความไม่รู้ และกิเลสได้ตามลำดับ คือการหลงผิดว่าเป็นเรา

    ก่อนการตรัสรู้ มีผู้ที่มีปัญญาที่เห็น และเข้าใจถูกต้องนะคะ ว่าเดี๋ยวนี้จิตเป็นกุศลหรือเป็นอกุศลแต่ยังเป็นเรา ไม่ใช่การรู้ว่าเป็นธรรมะ นี่คือความต่างของผู้ที่มีปัญญาระดับขั้นสมถภาวนา ซึ่งมีก่อนการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผลก็คือความสงบจนกระทั่ง ยากมากนะคะ แต่ก็บรรลุฌานจิตที่ตั้งมั่นในอารมณ์ตามลำดับตั้งแต่ ฌานแรก ปฐมฌาน

    ยังเห็นโทษของจิตขณะนั้น ว่ายังประกอบด้วยสิ่งที่ใกล้ชิดต่อความติดข้อง และรู้ว่าขณะนั้นนะคะ เป็นโทษจึงละเจตสิกที่เกิดพร้อมฌานจิตในขั้นปฐมฌาน และก็มีความสงบได้โดยไม่ต้องอาศัยวิตกเจตสิก มีแต่วิจารเจตสิก ซึ่งขณะนี้เป็นชื่อนะคะ แต่ผู้ที่สนใจสามารถเข้าใจได้ด้วยการฟัง เห็นคุณไหมว่ามีสิ่งที่เราไม่รู้ และไม่ได้ฟัง

    เพราะเหตุว่าไม่มีใครกล่าวถึงคำของสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เมื่อได้ฟังคำแล้วนะคะ มีความเข้าใจแล้ว ก็คือช่วยกันให้คนอื่นได้มีความเข้าใจถูกต้อง เพื่อดำรงพระพุทธศาสนา ซึ่งยากยิ่งกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้ และทรงแสดงความจริงให้แต่ละคนได้เริ่มเข้าใจ ตามที่พระองค์ได้ตรัสรู้ สามารถที่วันหนึ่งนะคะ ก็จะรู้ความจริงของสภาพธรรมะที่กำลังเกิดดับขณะนี้ไม่ใช่สมถภาวนาแล้วนะคะ เป็นวิปัสสนาภาวนา แต่ยังไม่ใช่วิปัสสนาญาณเพียงแต่เข้าใจถูกเป็นขั้นต้นโดยการฟัง มีความเข้าใจที่มั่นคงว่าไม่มีเรา ขณะนี้เป็นธรรมะ

    เพราะฉะนั้นเห็นเดี๋ยวนี้นะคะ ถ้าเข้าใจถูกต้องว่าเห็น ไม่ใช่ได้ยิน เพียงเท่านี้ค่ะก็จะเห็นความไม่ใช่ตัวตนละ ใครจะไปบังคับได้ว่าจะให้ได้ยินอะไร ให้เห็นอะไร เห็นแล้วคิดอะไร เป็นไปไม่ได้เลยนะคะ เพราะว่าไม่มีใคร แต่มีธรรมะซึ่งเกิดขึ้นทำกิจตามการสะสมตามเหตุตามปัจจัยทุกอย่างละเอียดอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้นะค่ะธรรมะทั้งหมดเป็นปรมัตถธรรม ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงลักษณะของสภาพธรรมะแต่ละหนึ่งได้ และเป็นอภิธรรม อภิ คือลึกซึ้งละเอียดอย่างยิ่ง

    เพราะฉะนั้นทุกอย่างในขณะนี้ค่ะ เป็นธรรมะ เป็นปรมัตถธรรม เป็นอภิธรรม แม้แต่สมาธิ ไม่ใช่ง่ายๆ อย่างที่จะพูดกันทำกันนะคะ แต่ต้องมีความเข้าใจถูกต้องว่าตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้วซึ่งเปลี่ยนไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นผู้ที่มีปัญญาระดับที่สามารถที่จะทำให้จิตสงบ แต่ยังคงเป็นเรานะคะ ก็คือผู้ที่ได้ฌานในยุคนั้น แต่สมัยนี้อะไรกันคะ ไปที่ไหนสักแห่ง สำนักหนึ่ง และก็ทำอะไรก็ไม่รู้ บางคนก็บอกเนี่ยได้ฌานละ บางคนก็บอกถึงฌานที่ ๕ ละ บางคนก็เป็นวิปัสสนาญาณไปละ วิกฤตไหม

    ตอนนี้รู้ว่าวิกฤตพระพุทธศาสนาอยู่ที่ไหนแล้วใช่ไหมคะ หรือยังไม่รู้ วิกฤติของพระพุทธศาสนาก็คือความไม่รู้ จึงมีสำนักปฏิบัติ ใช้คำว่าสำนักปฏิบัติหรือสำนักวิปัสสนา แต่ว่าไม่ได้เข้าใจอะไรเลย ไม่รู้ว่าวิปัสสนาคืออะไร ปัญญารู้อะไร แต่ว่ามีความต้องการเพียงชื่อได้ยินก็อยากจะมี แต่ว่าจะเป็นไปได้ยังไงคะ โดยไม่ได้เข้าใจให้ถูกต้องว่านั้นถูกมั้ย ไม่รู้อะไร และก็ไปปรารถนาปัญญาระดับที่จะดับกิเลส ซึ่งเดี๋ยวนี้มีกิเลส ไม่ใช่ไม่มีนะคะ แต่ไม่รู้

    เพราะฉะนั้นหนทางที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงนี่คะ เป็นหนทางละอกุศล และความไม่รู้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นความติดข้องพอใจที่จะไปสำนักปฏิบัติ แต่ว่าก็ไม่รู้อะไร และหลงเข้าใจว่าได้ญาณ วิปัสสนาญาณ หรือบางคนก็เข้าใจว่าได้บรรลุมรรคผลเป็นพระโสดาบันแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเห็นขณะเนี่ยไม่ใช่เรา และความไม่รู้ต่างหากที่กำลังยึดถือเห็นว่าเป็นเรา กำลังได้ยิน ความไม่รู้ก็ไม่รู้ลักษณะที่ได้ยิน ว่าเป็นธรรมะไม่ใช่เรา มีปัจจัยจึงเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

    เพราะฉะนั้นเต็มไปด้วยความไม่รู้ จึงไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นต้องฟังนะคะ ใครพูดก็ได้ ที่ไหนก็ได้ เรื่องอะไรก็ได้ จริงหรือเปล่า ถูกต้องหรือเปล่า เพราะฉะนั้นเมื่อความรู้ความเข้าใจเกิดขึ้นคือปัญญานะคะ ปัญญาก็เริ่มทำกิจหน้าที่ของปัญญา ยิ่งเข้าใจขึ้น คือปัญญารู้ความจริงมากขึ้นนะคะ ก็จะนำไปสู่ปฏิปัตติ เพราะเหตุว่าปริยัติคือการเข้าใจคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้วนะคะ อย่างละเอียดรอบคอบลึกซึ้งมั่นคงจนเป็นสัจจญาณ

    คนที่ฟังพระธรรมในครั้งโน้นค่ะ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เขารู้แจ้งอริยสัจธรรม ไม่ได้ไปไหนเลย ไม่ได้ไปทำอะไรที่ผิดปกติ แต่เขารู้ว่ากำลังเห็นเนี่ย ไม่เคยมีใครบอกความจริงว่าเห็นนี่ต้องเกิด ต้องมีปัจจัย แล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่ใช่คิด ไม่ใช่ได้ยิน เพราะฉะนั้นทุกอย่างตั้งแต่เกิด ทั้งวัน ทุกวันเนี้ยนะคะ ไม่รู้เลยว่าเป็นธรรมะ เพราะฉะนั้นจึงวิกฤตเพราะเหตุว่าพอไม่รู้แล้ว ก็จะนำมาซึ่งอกุศลนานาประการ ทุจริตทุกวงการ อย่างที่เราได้ทราบ ถูกไหม

    และนี่หรือคือคำสอนที่เขาไปปฏิบัติ เพราะเหตุว่าถ้ามีความเข้าใจแม้เพียงเล็กน้อยนะคะ ก็เป็นประโยชน์อย่างยิ่งที่จะเห็นประโยชน์ และก็รู้ว่าแค่นี้ไม่พอ ฟังแค่นี้ไม่พอ เข้าใจแค่นี้ไม่พอ ยังไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย เข้าใจขึ้นอีก ก็เข้าใกล้ที่จะได้เห็นคุณของพระองค์มากเท่านั้น

    แต่ถ้าตราบใดที่ผู้ที่เข้าใจว่าพุทธศาสนาไม่ต้องศึกษา หรือเวลามีสำนักปฏิบัติก็บอกว่าทิ้งปริยัติให้หมด แล้ว ๔๕ พรรษาที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงจะเป็นประโยชน์อะไร เพราะฉะนั้นใครก็ตามที่ไม่เข้าใจธรรมะนะคะ ลบหลู่ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดึงพระศาสนาลงต่ำ เหมือนเป็นสิ่งที่ง่ายมาก ไม่ต้องรู้ ไม่ต้องเข้าใจเลยค่ะ แค่ไปสำนักปฏิบัติก็รู้แจ้งสัจธรรม นี่คือวิกฤติของพระพุทธศาสนา

    ผู้ฟัง สืบเนื่องจากที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวถึงเมื่อกี้ว่า ความหมายของการที่ว่าเป็นสมาธิเนี่ย หมายถึงว่าในขณะนั้นเราเห็น ไม่ว่าจะแปปเดียวหรือจะนานนี่ก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของสมาธิ ถูกไหมครับ

    ท่านอาจารย์ มีเจตสิกประเภทหนึ่งนะคะ ซึ่งตั้งมั่นในอารมณ์ จิตรู้แจ้งสิ่งที่เจตสิกตั้งมั่น เอกัคคตาเจตสิก ตั้งมั่นในอารมณ์ใด จิตก็รู้แจ้งอารมณ์ที่เจตสิกนั้นตั้งมั่น และยังมีเจตสิกอื่นซึ่งเกิดกับจิตนะคะ จิตจะเกิดโดยปราศจากเจตสิกไม่ได้ และเจตสิกจะเกิดโดยปราศจากจิตไม่ได้ แต่จิตเป็นใหญ่เป็นประธาน เพราะฉะนั้นในขณะนี้กำลังจำหรือเปล่าคะ

    ผู้ฟัง มีสภาพที่ได้ยินในสิ่งที่เป็นจริงที่อาจารย์กล่าวมาครับ

    ท่านอาจารย์ ขณะที่ได้ยินมีสภาพจำไหม

    ผู้ฟัง มีครับ

    ท่านอาจารย์ ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดง จะรู้มั้ย

    ผู้ฟัง ไม่ทราบครับ

    ท่านอาจารย์ ด้วยเหตุนี้นะคะ ไม่ว่าขณะใด สิ่งใดทั้งสิ้นที่มีจริง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงโดยละเอียดยิ่ง เพราะฉะนั้นที่กล่าวว่าสมาธิก็คือเอกัคคตาเจตสิกตั้งมั่นในอารมณ์เดียว ทีละหนึ่ง ทีละหนึ่งนะคะ แต่ว่าถ้าตั้งมั่นในอารมณ์เดียวนาน ก็ปรากฏลักษณะของความตั้งมั่น ซึ่งใช้คำว่าสมาธิ

    ผู้ฟัง ขออนุญาตให้ท่านอาจารย์ได้ช่วยชี้แนะมรรควิธีง่ายๆ ในการที่ว่าเราจะหลุดออกจากความขัดข้อง และไม่รู้จนเกิดเป็นวิกฤตพระพุทธศาสนาเนี่ยด้วยครับ

    ท่านอาจารย์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นใคร และทรงแสดงพระธรรมถึง ๔๕ พรรษา แล้วใครจะนำคำสองคำ มาทำให้รู้แจ้งสภาพธรรมะที่พระองค์ได้ตรัสไว้ทุกคำ ใน ๔๕ พรรษา เช่น เดี๋ยวนี้กำลังเห็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประจักษ์แจ้งธาตุรู้ ซึ่งอาศัยตา และสิ่งที่กำลังปรากฏกระทบกัน เป็นปัจจัยให้กรรมหนึ่งที่ได้ทำไว้แล้วในอดีต จะเป็นชาติไหนก็ได้เราไม่สามารถจะรู้ได้นะคะ

    แต่รู้ได้ว่าผลของกรรม ก็คือเกิด แล้วแต่จะเกิดเป็นอะไร ถ้าเป็นผลของอกุศลก็เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน นก หนู ปู ปลา หรือเกิดเป็นเปรต หรือเกิดในนรกหรือเกิดเป็นอสูรกาย ตามกำลังของกรรมที่ได้กระทำแล้ว เพราะฉะนั้นสภาพธรรมะที่เป็นกรรมที่สำเร็จไปแล้วนี่นะคะ ประมาทไม่ได้เลย จะให้ผลวันไหน วันนี้ร่างกายแข็งแรงดี พรุ่งนี้ไม่มีแขนไม่มีขาก็ได้ ใครทำ ทำได้อย่างละเอียดทั้งหมด

    เพราะฉะนั้นต้องรู้ว่าผลของกรรมคือขณะเกิดที่ต่างกันนะคะ แล้วเกิดแล้ว ก่อนตายก็เห็นได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส เป็นผลของกรรม เพราะฉะนั้นเมื่อกล่าวถึงเหตุคือกรรม ก็ต้องรู้ว่าผลของกรรมคือเกิดมาต้องเห็น ต้องได้ยิน ต้องได้กลิ่น ต้องลิ้มรส ต้องรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ถ้าเป็นสิ่งที่น่าพอใจนะคะ เป็นผลของกุศลกรรม ที่จะทำให้ผลคือวิบากจิตภาษาบาลีใช้คำว่าวิปากะ

    หมายความว่า ได้ยินคำว่าวิบากเมื่อไหร่ก็คือว่าเป็นผลที่กรรมที่ได้กระทำแล้ว เป็นปัจจัยให้สิ่งนี้เกิดขึ้น เช่น เรากำลังเห็นเดี๋ยวนี้ค่ะ มาจากกรรมไหนในสังสารวัฎ ไม่สามารถจะรู้ได้ แต่รู้ว่านี่เป็นผลของกรรมเลือกไม่ได้เลย จะเห็นสิ่งที่น่าพอใจ หรือไม่น่าพอใจ แล้วแต่เหตุซึ่งเป็นกุศล และอกุศล เห็นแล้วนะคะ ได้ยินแล้ว ได้กลิ่นแล้ว ลิ้มรสแล้ว รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสแล้ว ต่อจากนั้นไม่ใช่กรรมนะคะ เป็นกิเลสหรือกุศลก็ได้แล้วแต่การสะสม

    เพราะฉะนั้นขณะนี้คะ รู้รึเปล่าว่าต้องเกิดเห็น ถ้าไม่รู้หาวิธีลัดยังไง ไปทำยังไงให้รู้ ทำยังไงจะรู้ได้ไหมว่า ขณะนี้เห็นกำลังเกิดดับ เพราะฉะนั้นหนทางของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงบำเพ็ญพระบารมี หลังจากที่ได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าทีปังกร พยากรณ์สุเมธดาบสว่าอีก ๔ อสงไขยแสนกัป สุเมธดาบสจะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่าพระสมณโคดม แล้วเรามีบารมีอะไร ที่จะรู้ว่าขณะนี้จิตเกิด และดับ ก่อนเห็นไม่มีเห็น เพราะฉะนั้นขณะนั้นนะคะ ปัญญารู้ แล้วก็เห็นก็เกิด ปัญญาก็รู้ว่า เห็นจะเป็นเราได้ยังไง

    เพราะเหตุว่าขณะที่เห็นปรากฏกับปัญญาที่ได้อบรมมาจากปริยัติการฟัง จนเป็นปัจจัยให้สัมมาสติเกิดขึ้นเป็นปฏิปัตติ จนกว่าจะถึงการรู้แจ้งปฏิเวธ ถ้าไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้เกิดดับ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสไหม แล้วถ้ารู้ว่าคนอื่นรู้ไม่ได้ จะตรัสไหม แต่รู้ว่าคนอื่นสามารถฟังแล้วเริ่มเข้าใจ เหมือนชาติก่อนๆ ของพระองค์ และพระสาวกทั้งหลาย เคยฟังมาแล้วนานเท่าไหร่

    ท่านพระอานนท์แสนกัป ท่านพระสารีบุตร ๑ อสงไขยแสนกัป แล้วเราเป็นใคร จะรู้อะไร ถ้าไม่ใช่เห็นที่กำลังเห็น เพราะเห็นจริงๆ เกิดจริงๆ ดับจริงๆ เพราะไม่ใช่ได้ยิน ได้ยินก็ไม่ใช่เห็น ได้ยินก็เกิดจริงๆ ได้ยินจริงๆ แล้วก็ดับ แต่เร็วมากนะคะ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความห่างของจิตเห็น และจิตได้ยิน ซึ่งเหมือนพร้อมกันเดี๋ยวนี้ มีจิตอะไรคั่นบ้าง เท่าไหร่ แล้วเราจะหาวิธีลัดที่จะรู้ว่าขณะนี้จิตกำลังเกิดดับ ได้ไหม ต้องเป็นคนตรง

    เพราะเราไม่รู้ว่าขณะใดที่เข้าใจนะคะ มีสภาพธรรมะที่ดีงาม เจตสิกที่ดี คือสติเจตสิกเกิดแต่เดี๋ยวนี้สติเจตสิกไม่ปรากฏเลย จิตก็ไม่ได้ปรากฏ เจตสิกอื่นๆ ก็ไม่ได้ปรากฏ เพราะไม่ใช่ปัญญาที่ได้อบรมจากขั้นฟังเข้าใจความต่างของสภาพธรรมะเดี๋ยวนี้นะคะ จนกระทั่งมีความเข้าใจที่มั่นคง ว่าไม่มีใครจะทำอะไร แต่มีปัจจัยที่ธรรมะใดจะเกิด ธรรมะนั้นต้องเกิดไม่เกิดไม่ได้ ถ้ามีความเข้าใจมั่นคงมากขึ้นนะคะ

    สัมมาสติเกิดด้วยความเป็นอนัตตา ให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้นว่าแต่ละอย่างนะคะ เป็นอนัตตาอย่างไร จากการที่ฟังเดี๋ยวนี้ว่า เห็น ไม่มีใครไปทำให้เกิดขึ้น เป็นอนัตตาเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย ขณะที่ได้ยินก็ไม่ใช่เห็นมีปัจจัยต่างกับเห็น ได้ยินจึงเกิดขึ้นได้แล้วก็ดับไป แล้วจะไม่รู้อย่างนี้จะละความเป็นตัวตนได้ไหม เพราะว่าพระสัมมาส้มพุทธเจ้าทรงแสดงว่า ความเป็นเราเพราะไม่รู้ในทุกอย่าง แม้แต่ในรูปซึ่งกำลังเกิดดับก็ไม่เห็น

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 190
    29 ธ.ค. 2567

    ซีดีแนะนำ