ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1394


    ตอนที่ ๑๓๙๔

    สนทนาธรรม ที่ สมาคมแม่บ้านตำรวจ

    วันที่ ๒๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๑


    เพราะฉะนั้นสัตว์โลกก็ติดข้องในโลก แม้แต่คำว่าโลกเนี่ยนะค่ะจะไปหาคำนิยามจากใคร ก็ไม่ตรงเท่ากับคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมีโลกไหม ไม่มี แต่เมื่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้น นั่นแหละโลก เพราะฉะนั้นสิ่งที่เกิดนั้นแหละดับ เพราะฉะนั้นโลกคือสิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งเกิดดับ เป็นโลก จึงมีคำว่าโลกุตรนิพพาน พ้นจากโลก ไม่มีการเกิดดับ เมื่อไม่เกิด แล้วจะดับได้ยังไง แต่เวลานี้มีปรากฏหมดเลย เกิดทั้งนั้น ห้ามไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ จะหยุดไม่ให้เกิดก็ไม่ได้

    เพราะฉะนั้นนิพพานไม่ได้ปรากฏแต่มีจริง นะคะ เมื่อดับเหตุที่จะให้เกิด สิ่งนั้นเกิดไม่ได้เมื่อดับกิเลส ดับความไม่รู้หมด อะไรๆ ก็เกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงใช้คำว่านิพพาน สภาพธรรมะที่ดับกิเลส แต่ไม่ถึงหรอกนะคะ ใครจะบอกว่าพาไปนิพพานให้นั่ง ๑๐ วัน ๗ วันเนี่ย เขาไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเข้าใจผิด เพราะฉะนั้นผู้ที่นับถือพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะคะ เป็นผู้ที่หายากที่จะมีโอกาสได้ฟังคำของพระองค์

    เพราะว่าส่วนใหญ่ก็คิดว่านับถือนะคะ แต่ถ้าถามว่านับถืออะไร ถ้าไม่ฟังจริงๆ ก็ไม่ตอบว่า นับถือพระปัญญาคุณ ซึ่งทำให้บริสุทธิคุณ ดับกิเลสได้ ด้วยพระมหากรุณาคุณ จึงมีคำของพระองค์ที่ทำให้เราได้ยินได้ฟังวันนี้ ถ้าพระองค์ไม่ทรงตรัสรู้ก็ไม่มีใครรู้ แต่เมื่อพระองค์เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วนะคะ บริสุทธิ์แล้ว หมดกิเลสแล้ว เห็นโทษของกิเลส และรู้ว่าคนเนี่ยไม่สามารถจะพ้นจากกิเลสได้เลยด้วยตัวเอง

    ก็ทรงแสดงเหตุที่จะให้คุณงามความดีทั้งหลาย รวมทั้งความเห็นที่ถูกต้องตามความเป็นจริง เกิดขึ้น เจริญขึ้น ทรงแสดงพระธรรมงามในเบื้องต้นให้เข้าใจความจริงนะคะ งามในท่ามกลางเริ่มเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมะเป็นปัญญาอีกระดับหนึ่ง เพราะฟังเข้าใจแล้วก็เริ่มเข้าใจจริงๆ ว่าเห็นเดี๋ยวนี้ แค่เห็น แค่เห็นเท่านั้นแล้วก็ดับไป เพราะแสดงจิตประเภทต่างๆ ๘๙ ประเภท และเห็นนี่ ๑ ประเภท

    เพราะฉะนั้นจิตอื่นทั้งวันนี่คะ นอกจากเห็น เพราะฉะนั้นก็แสดงว่าเราไม่ได้รู้จริงๆ นะคะ แต่ผู้ที่ได้สะสมปัจจัยที่จะให้ได้ฟัง ไม่ง่ายไปชวนใครมาฟังธรรมะมาไหมคะ ชวนไปปฏิบัติธรรมะจะได้เป็นพระโสดาบันไปไหม ไปก็ไม่รู้อะไรใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นความไม่รู้มีมากกว่าความรู้มากมายมหาศาล และความรู้อย่างนี้นะคะ ประเทศไทย ที่ชาวต่างประเทศมาเพื่อที่จะศึกษา เพราะเขาได้ฟังธรรมะจากเว็บไซต์บ้าง อะไรบ้างนะคะ dhammahome@com , dhammastudygroup

    ตอนนี้ก็มีหลายพวกนะคะ ที่เริ่มที่จะได้เข้าใจความจริง เวียดนาม ไต้หวัน เป็นต้น ถ้าศึกษาให้เข้าใจจริงๆ นะคะ จะดำรงคำสอนของพระพุทธเจ้าไว้ได้ มิฉะนั้นแล้วก็คลาดเคลื่อน ผิด เพราะไม่ละเอียด และไม่ตรง ถ้าตรงคือธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตา ถ้าไม่ใช่ปัญญาความเข้าใจจะไปละความไม่รู้ไม่ได้ ไม่ใช่ไปนั่ง ไปนอน ไปยืน ไปเดิน ไปหายใจ ไปทำอะไรจะไปละความไม่รู้

    แต่ต้องฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เข้าใจเมื่อไหร่ค่อยๆ ละความไม่รู้ไปเมื่อนั้น เป็นปกติ นี่เป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องรู้ค่ะคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำให้เกิดความเข้าใจ ไม่ใช่ให้ทำ ทำแล้วไม่รู้ และทำ ทำไม และกิเลสอยู่ที่ไหน อยู่ที่ไม่รู้ต่างหาก เดี๋ยวนี้ค่ะ ถ้าไม่รู้ก็เป็นเราแน่ๆ นั่งอยู่ตรงนี้ เป็นดอกไม้ เป็นอะไรทุกอย่าง แต่พอฟังแล้วนะคะ ธรรมะแต่ละหนึ่งเป็นแต่ละหนึ่ง

    ทรงแสดงสภาพธรรมะซึ่งไม่ใช่สภาพรู้นะคะ คือรูปธรรมเนี่ย ๒๘ ประเภท แสดงสภาพของจิต ธาตุรู้เป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้ ๘๙ ชนิดนะคะ แต่ว่าตามความเป็นจริง คือ ๑ เป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้แจ้ง และเจตสิกคืออย่างอื่นที่เป็นสภาพรู้ซึ่งเกิดกับจิต เช่น โกรธ ธรรมะตรงค่ะ ก็ไม่ใช่เราก็ตรงสิว่าไม่ใช่เรา โกรธก็เป็นโกรธ ชอบก็เป็นชอบ ถึงจะเข้าใจธรรมะได้

    ต้องเป็นผู้ที่ตรงอย่างยิ่ง เพราะธรรมตรง ตรงไปตรงมา เห็นเป็นเห็น ได้ยินเป็นได้ยิน ชอบเป็นชอบ ไม่ชอบเป็นไม่ชอบ บังคับได้ไหม ไม่ได้ เพราะไม่ใช่เรา แต่ว่าธาตุรู้เป็นใหญ่ เป็นประธาน จิต และเจตสิกเกิดพร้อมกันนะคะ เพียงได้ยินคำว่าจิต เป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้แจ้ง เพราะฉะนั้นจิตเกิดพร้อมเจตสิต รู้สิ่งเดียวกัน ดับพร้อมกัน เกิดที่เดียวกัน นี่คือเวลานี้นั่นเองนะคะ ซึ่งไม่มีใครรู้เลยว่าจิตเกิดที่ไหน รู้แค่ว่ามีจิต ใช่ไหมคะ

    มีไหมค่ะจิต มี เกิดที่ไหน จิตต้องเกิดค่ะ จิตเกิดขึ้นรู้ แต่ต้องมีที่เกิดด้วย หาที่เกิดของจิตได้ไหมคะ จิตเกิดที่ไหน ต้องมีที่เกิดแน่ จิตเกิดที่รูปค่ะ จิตเกิดนอกรูปไม่ได้ จิตเห็นเกิดตรงนี้ รูปนี้ ไม่ใช่รูปอื่น จิตได้ยินก็เกิดตรงรูปนั้น ไม่ใช่รูปอื่น เพราะฉะนั้นแม้แต่จิตในภูมิที่มีขันธ์ ๕ นะคะ ก็ต้องเกิดที่รูป ไม่ว่าจะเกิดบนสวรรค์ก็มีรูป เห็นด้วย เพราะฉะนั้นก็ต้องมีรูป ซึ่งเป็นที่เกิดของจิตเห็น มีรูปซึ่งเป็นที่เกิดของจิตได้ยิน

    เพราะฉะนั้นสองรูปนี้ไม่ใช่รูปเดียวกัน ไม่สามารถที่จะเป็นอย่างเดียวกันได้ เพราะอย่างหนึ่ง เป็นที่เกิดของจิตเห็น อีกอย่างหนึ่งเป็นที่เกิดของจิตได้ยิน เพราะฉะนั้นในภาษาบาลี ปสาทมี ไม่ใช่ไม่มีนะคะ เป็นรูปที่ต่างกับรูปอื่น เพราะแข็งเนี่ย เป็นแข็ง เป็นอื่นไม่ได้ใช่ไหมคะ ที่ตาเนี่ยมีตาขาวตาดำ ก็เป็นรูป สีต่างกันแต่ที่เกิดของจิตอยู่ตรงกลางตา เป็นประสาทรูป ไม่ใช่แข็ง ถ้าแข็งอย่างนี้จะไปทำให้เกิดเห็นไม่ได้ ใช่ไหมคะ

    แต่ปสาทรูปนี้เป็นรูปที่ไม่ใช่แข็ง แต่เกิดที่ตรงแข็ง นี่ค่ะ เป็นความละเอียดอย่างยิ่ง ตั้งแต่เกิดจนตายทุกอย่างย่อยละเอียดยิบนะคะ จนกระทั่งเห็นความเป็นจริงว่าไม่มีอะไร ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นจึงมีคำว่าโลกว่างเปล่า เพราะเหตุว่าก่อนเกิดไม่มีรูป พอเกิดแล้วก็ดับไป ไม่เหลือแล้วหายไปละ หมดละ ไม่กลับไปอีกด้วย เพราะฉะนั้นจะเป็นคนนี้ได้ชาตินี้ชาติเดียว

    เลือกเกิดได้ไหมคะ อนัตตาเลือกไม่ได้เลย ผู้คนถึงได้ต่างกันใช่มั้ยค่ะ พี่น้องเกิดกับพ่อแม่เดียวกัน แต่นิสัยต่างกัน ความชอบต่างกัน บางคนชอบหวาน บางคนชอบเค็ม ก็เป็นพี่น้องกันนี่ค่ะ แต่ว่าสะสมมาต่างกันเพราะทันทีที่จิตที่เป็นกุศล และอกุศลดับไปนะคะ จิตดับไปเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อทันทีไม่มีระหว่างคั่น

    เพราะฉะนั้นเราจะรู้ได้ว่ามีจิตเพราะไม่ขาดจิตนะคะ ตั้งแต่เช้ามาก็มีจิตนานาประเภทเกิดดับสืบต่อมาจนถึงเดี๋ยวนี้ ตอนเย็นมีจิตไหม มี ตอนนี้ดับ ก็เกิดสืบต่อ สืบต่ออีก จนกว่าจะสิ้นสุดกรรม ที่เราใช้คำว่าถึงแก่กรรม หมายความว่ากรรมทำให้สิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้นะค่ะโดยจิตขณะสุดท้ายเกิดดับ ไม่เป็นปัจจัยให้เป็นบุคคลนี้อีกต่อไป

    เพราะจิตขณะสุดท้ายของชาตินี้นะคะ ทำกิจเคลื่อนพ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้ เงินทองมหาศาล กราบไหว้วิงวอนสักเท่าไหร่ ที่จะให้อยู่ต่อไปอีกหนึ่งขณะ ก็เป็นไปไม่ได้ นี่คือธรรมะซึ่งเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นเราเกิด เราก็ไม่รู้ว่าทำไมเราเกิดมาเป็นคนนี้ พ่อแม่ พี่น้องวงศาคณาญาติ ทรัพย์สมบัติ เพื่อนฝูง ชื่อเสียง เกียรติยศ หรืออะไรก็ตามแต่นะคะ

    มีเหตุปัจจัยที่จะให้เกิดทั้งหมดค่ะ ตามเหตุตามปัจจัย ทำไมเกิดมาเป็นคนจน และก็ถูกล๊อตเตอรี่สลากกินแบ่ง ๓๐ ล้าน ทำไมเป็นเศรษฐีมั่งมีบ้านไฟไหม้หมด หรืออะไรก็ได้ แขนขาขาดก็ได้ พิการก็ได้ ไม่มีใครทำนะคะ แต่ถึงวาระเวลาที่เหตุได้กระทำแล้ว พร้อมที่จะให้เกิดผลเมื่อไหร่จึงเกิดได้ เพราะฉะนั้นเราจะเห็นอะไร นี้เราเลือกไม่ได้เลยค่ะ เกิดเสียงปังขึ้นมาขณะนี้ เราก็เลือกไม่ได้ที่จะได้ยิน ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย

    เพราะฉะนั้นเริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และรู้ว่าถ้าฟังคำของพระองค์ต่อไปนะคะ จะไม่มีความสงสัย แล้วก็คิดเองก็ผิด นอกจากฟังคำของพระองค์ และไตร่ตรองจนกระทั่งมีความเคารพว่า ถ้าฟังคำของพระองค์ต่อไปนะคะ ความเข้าใจก็รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพิ่มขึ้น ประโยชน์คือได้เข้าใจสิ่งที่มี ตั้งแต่เกิดจนตายเพิ่มขึ้น ดีกว่าศึกษาวิชาอื่นไหมค่ะ

    วิชาอื่นศึกษาไปก็ไม่รู้จักตัวเอง เดี๋ยวนี้ก็ไม่รู้คะ แต่ไม่มีคำของคนอื่นที่จะทำให้รู้ว่าเดี๋ยวนี้รู้ได้ เป็นความจริง เกิดขึ้นได้อย่างไร หมดไปอย่างไร อะไรสืบต่อ และทั้งหมดก็ต้องเป็นไปตามปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลย ทั้งหมดนี้พอที่จะรู้น่ะค่ะ ว่าถ้าไม่ได้ฟังเรื่องอย่างนี้ก็คือว่าไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เพราะไม่ได้บอกว่าอะไรเป็นอะไร แต่บอกให้เป็นคนดี แล้วก็สะสมมาที่จะโกรธนะ และโกรธก็เกิดแล้ว แล้วดีไหมละ ตอนโกรธก็ไม่ดี แล้วยังไง แล้วให้เป็นคนดีบอกมาสิว่าทำยังไงแต่พอฟังนะคะ เพราะเหตุว่าไม่รู้ว่าไม่ใช่เรา โกรธอะไรคะ โกรธเห็นของเขาหรอ ดับแล้วโกรธได้ยินของเขาหรอ ก็ดับแล้ว อะไรควรจะโกรธค่ะ ก็ไม่มีอะไรที่ควรโกรธเลย

    แต่โกรธเกิดขึ้นเพราะไม่รู้ เพราะมีสิ่งซึ่งไม่น่าพอใจ แต่เราเป็นสิ่งที่น่าพอใจบอกให้โกรธสิคะ ก็ไม่โกรธ ดีใจอยากได้รีบเอามาเลยใช่ไหมคะ ทั้งหมดก็เป็นธรรมะค่ะ ซึ่งถ้ารู้จริงๆ เนี่ยเราจะรู้จักตัวเอง ใครจะรู้จักเราเท่าเรา เขาบอกว่าเขารู้จักเราดีเนี่ยถูกไหม ไม่มีทางเลยค่ะนั่งอย่างนี้ใครจะรู้จักจิต และเจตสิตซึ่งเกิดดับสืบต่อไม่ใช่เรา แต่ละอย่างตามการสะสม เพราะฉะนั้นจิตเห็นเนี่ยนะคะ เป็นผลของกรรม

    เกิดขณะแรกเป็นจิต และเจตสิก และรูปซึ่งเกิดโดยกรรมหนึ่งเป็นปัจจัยให้เกิดพร้อมกับรูปนะคะ เพราะฉะนั้นจึงมีนก มีปลา มีคน มีงู ตามรูปซึ่งเกิดเพราะกรรมที่ได้ทำไว้ สุนัขตัวหนึ่งต่างจากอีกตัวนึง งูก็ยังมีงูหลาม งูเขียว งูอะไรตั้งหลายอย่างใช่ไหมคะ ตามกรรมหมด ถ้าดูแล้วก็เห็นความน่าอัศจรรย์นะเป็นไปได้ยังไงใครก็ทำไม่ได้ แต่กรรมทำได้ เหลือเชื่อว่าจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ แต่ก็เกิดแล้วเพราะกรรมเป็นปัจจัย

    ไม่ว่าอะไรทั้งหมดที่เรารู้ว่าประหลาดเหลือเกินนะคะ ไม่น่าจะเป็นไปได้ก็นั่นแหละใครก็ทำไม่ได้นอกจากกรรม เพราะฉะนั้นการเกิดของแต่ละคนนี่คะ เป็นผลของกรรมหนึ่งในสังสารวัฏซึ่งไม่รู้ว่าเราเคยเกิดเป็นอะไรมาแล้วบ้างนะคะ เป็นงู เป็นนก เป็นคน เป็นเศรษฐีเป็นคนขอทาน เป็นพระเจ้าแผ่นดิน เป็นอะไรเกิดได้หมดค่ะ แต่ไม่เหลือสักอย่าง

    ทุกอย่างที่เกิดแล้วต้องดับ แล้วก็ไม่กลับไปอีกเลย แต่กุศล และอกุศลจะปรุงแต่งเป็นเหตุที่จะให้เกิดผล เพราะฉะนั้นจึงแยกจิตนะคะ ออกเป็นโดยชาติการเกิด ชา ติ ในภาษาบาลีนี่คะ คือเกิดเป็นกุศลดีงามหนึ่ง เกิดเป็นอกุศลไม่ดีหนึ่ง นะคะ แล้วก็เกิดเป็นผลเพราะเหตุคือกุศล และอกุศล

    เพราะฉะนั้นเหตุไม่ดีก็เป็นอกุศลกรรมที่ทำสำเร็จ สามารถที่จะทำให้ผลเกิดขึ้นคือทำให้เกิดหลังจากตายแล้วแต่ว่าจะเกิดเป็นอะไร และเกิดแล้วต้องเห็น ต้องได้ยิน ต้องได้กลิ่น ต้องลิ้มรส ต้องรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส มีตา มีหู มีจมูก มีลิ้น มีกาย เพื่อรับผลของกรรม ใครก็ทำให้ไม่ได้นะคะ คิดว่าเค้าตีเรา แล้วเวลาเราตกกระไดล่ะ เจ็บเหมือนกันกับที่เขาตี แล้วใครทำให้ เห็นไหมคะ ชัดเจนว่าไม่ต้องไปคิดถึงว่าใครทำ กรรมต่างหากละให้ผล

    เพราะเหตุว่าถึงเขาตั้งใจจะยิงคนนี้ แต่พลาดไปถูกอีกคน กรรมของใครให้ผลเห็นไหมคะไม่มีใครสามารถที่จะบันดาลอะไรได้เลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นเมื่อเหตุมี ผลก็ต้องมี ถ้าเหตุดี ผลก็ต้องดี เพราะฉะนั้นเราพูดคร่าวๆ อย่างนี้พอไหม ไม่พอ เหตุดีก็คือเกิดดีนะคะ แล้วก็เห็นดี ได้ยินดี ได้กลิ่นดี ลิ้มรสดี รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสดี เท่านี้แหละเป็นผลของกรรม

    นอกจากนั้นไม่ใช่ผลของกรรม แต่เป็นเหตุที่จะให้เกิดกรรมต่อไป เช่น โลภะ โทสะ ด้วยความดี ความชั่วต่างๆ ก็จะทำให้เกิดการกระทำดีชั่ว ซึ่งจะเป็นเหตุที่จะให้ผลต่อไป วัฏฏะ คือ วนเวียน ในสังสารวัฎนะคะ เพราะมีกิเลสให้กระทำกรรม และเมื่อเป็นกรรมซึ่งเป็นเหตุก็มีวิบากซึ่งเป็นผล เพราะฉะนั้นก็เป็น กิเลส กรรม วิบาก เห็นแล้วชอบ ไม่ชอบ ทำดี ทำชั่ว เป็นเหตุใหม่ที่จะให้เกิดผลต่อไป จริงหรือเปล่า

    ไม่รู้ชาติก่อนก็จริงนะคะ แต่เมื่อวานนี้เนี่ย เป็นชาติก่อนของวันนี้รึป่าว หมดเลยไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้นนะคะ ชาตินี้เป็นชาติก่อนของชาติหน้า แน่นอนที่สุดค่ะ พอเกิดแล้วไม่ต้องไปถามหาว่าชาติก่อนทำอะไร ก็เดี๋ยวนี้แหละให้รู้ไว้เลยเป็นชาติก่อนของชาติหน้าแน่นอนค่ะ เพราะฉะนั้นรู้โดยที่คนอื่นก็ไม่ต้องบอก เพราะได้เข้าใจธรรมะ ว่าชาตินี้ก็เพียงแค่ เมื่อไหร่ที่จิตขณะสุดท้ายเกิด และดับ พ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้ กลับมาเป็นคนนี้อีกไม่ได้

    แต่กรรมหนึ่งนะคะ พร้อมที่จะให้ผลทำให้เกิดสืบต่อทันที และกรรมที่ทำให้เกิดเป็นผลของกรรมหนึ่งจริงนะคะ แต่ประมวลมาซึ่งกรรมที่สามารถจะให้ผลในชาตินั้นได้ เพราะฉะนั้นวิถีชีวิตของแต่ละคนเนี่ยจึงต่างกัน เกิดมา พี่น้องร่วมท้องเดียวกัน แต่ชีวิตหันเหต่างกันไปตามกรรมที่ได้สะสม เพราะฉะนั้นทั้งหมดนี่ค่ะก็เป็นธรรมะ ซึ่งปรากฏอยู่นะคะ สามารถที่จะเข้าใจได้เมื่อได้ฟัง แล้วก็รู้เหตุ รู้ผล ถ้ารู้ว่าความไม่ดีจะให้ผลไม่ดี

    ทุกคนอยากได้ผลที่ดีใช่ไหมคะก็ต้องกรรมดีเท่านั้น แต่ฝืนไม่ได้ใช่ไหม ก็มีทั้งโลภ โกรธ หลง ก็ต้องมีความไม่รู้น้อยลง ความรู้เพิ่มขึ้น ปัญญาจะนำไปในกิจทั้งปวงที่ดี ปัญญาไม่ทำให้ฆ่าใคร โกรธใคร เกลียดใคร ปัญญารู้ว่า ขณะที่โกรธเกลียดนะคะ อกุศลเกิดแล้วที่ตัวเขาสบายดี เขาไม่เป็นอกุศล เพราะฉะนั้นอกุศลที่เกิดกับเรานี่แหละจะให้ผลกับเรา เพราะฉะนั้นรู้อย่างนี้นะคะ ก็มีความเป็นมิตรมากกว่าที่จะโกรธ

    หลายคนก็ไปท่องเมตตาใช่ไหมคะ สัพเพ สัตตา ใช่ไหมคะ สัพเพก็ทั้งหลาย ทั้งปวงทั้งหมด ทั้งสิ้น สัตว์ทั้งหลาย ทั้งปวงไม่ว่าที่ไหนหมด ต่อไปอะไรคะ อเวรา หรือเปล่าค่ะเพราะว่าดิฉันไม่ได้ท่อง นะคะ แล้วก็ไม่ท่องด้วย แต่ว่าเข้าใจดีกว่าว่าเมตตาคืออะไร และเมื่อไหร่ ขณะที่เป็นมิตร หมายความว่าอะไรค่ะ เป็นเพื่อน เพื่อนจะโกรธเพื่อนได้หรอ เพื่อนจะทำร้ายเพื่อนได้หรือ

    เพราะฉะนั้นเพื่อนคือขณะที่หวังดี พร้อมที่จะทำประโยชน์เกื้อกูล นั้นคือมิตร เพราะฉะนั้นมิตรจะไม่หวังร้าย จะไม่โกรธ จะไม่เกลียด จะไม่ทำร้ายใครเลย ไม่จำเป็นต้องท่องใช่ไหมคะเพราะท่องแล้วเกิดประโยชน์อะไร ไม่รู้ ท่องอะไรก็ไม่รู้ ใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นจะยังคงไปพูดคำที่ไม่รู้จักทำไม พูดแล้วมีประโยชน์อะไร แต่ว่าทุกคำที่พูดเนี่ย รู้ได้เลยคะ คืออะไร หมายความว่าอะไร

    ถ้าไม่คิดจะพูดไหมคะ เห็นไหมคะ เพราะฉะนั้นแม้แต่เสียงที่เปล่งออก มีจิตที่คิดเป็นสมุฏฐาน ไม่เหมือนเสียงฟ้าร้องฟ้าแลบ นั่นเสียงนั้นเกิดจากอุตุ ความเย็น ความร้อน กระทบกระแทกกันใช่ไหมคะ ก็เป็นปัจจัยให้เกิดเสียง แต่เสียงนก เสียงคน ที่มีจิต เสียงนั้นเกิดจากจิตเป็นสมุฏฐาน เพราะฉะนั้นเสียงก็เปล่งออกมาจากความคิด เร็วจนเราไม่รู้เลยนะคะ ว่าทุกคำที่พูดเนี่ยคิดทั้งนั้น

    ถ้าไม่มีจิต ก็ไม่มีเสียง อย่างนี้แล้วก็ไม่มีคำอย่างนี้ คิดยังไงก็พูดอย่างนั้น แต่ยากที่จะรู้ว่าคิดอะไร เพราะว่าเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย แม้คิด คิดที่ไม่มีเสียงก็มีใช่ไหมค่ะ นั่งอย่างงี้ก็คิด แต่พอคิดจะพูด ทำให้รูปพิเศษ วิการ นะคะ ทำให้สามารถเปล่งเสียงหรือคำออกมาได้ นี่ค่ะ ทั้งหมดตั้งแต่เกิดจนตาย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงให้เข้าใจความจริงว่าไม่ใช่เราเลยนะคะ แต่เป็นธรรมะ

    เพราะฉะนั้นถ้ารู้จริงๆ เนี่ยจะหลงทำสิ่งที่ไม่ดีเพื่อตัวเองไหม อยากได้แล้วก็ไปขโมย ไปทำทุจริตต่างๆ เพราะยึดถือว่ามีเรา รักเราที่สุด แต่ไม่มีเราแต่มีธรรม เพราะฉะนั้นมีธรรมะฝ่ายดี และฝ่ายไม่ดี ปัญญาสามารถที่จะรู้ได้ ว่าอะไรดี เพราะฉะนั้นปัญญาก็นำไปในทางที่ดี เพราะฉะนั้นคนที่เป็นผู้ที่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เข้าใกล้พระสัมมาสัมพุทธเจ้านะคะ ก็เป็นอุบาสก อุบาสิกา มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง

    คือ เรารู้ว่าอย่างอื่นพึ่งไม่ได้หรอกคะ วิชาการทั้งหลายเรียนมามากมายสักเท่าไหร่ ก็ไม่รู้ว่าอะไรดี อะไรชั่ว ทุจริตเต็มบ้านเต็มเมือง แต่ว่าถ้ามีความรู้ ความเข้าใจธรรมะที่ถูกต้องตามความเป็นจริงนะคะ ทุกอย่างที่ไม่ดีก็จะลดน้อยลง เพราะรู้ว่าเหตุไม่ดีต้องนำมาซึ่งผลไม่ดี แล้วใครจะอยากได้ผลที่ไม่ดี คงไม่ลืมนะคะ วันนี้สนทนาธรรมไม่ใช่ฟังธรรม เพื่อความเข้าใจขึ้นค่ะ

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์คะ อยากเรียนถามท่านอาจารย์ว่า เกิดมาใช้กรรม

    ท่านอาจารย์ ค่ะ ต้องเข้าใจนะคะ ว่าใช้กรรม คือ รับผลของกรรม และต้องรู้ด้วยว่าเมื่อไหร่คะ เราพูดง่ายมากเราเกิดมาใช้กรรม แต่กรรมคืออะไร กรรมคือการกระทำด้วยเจตนาความจงใจที่จะให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น นะคะ อย่างทำให้เขาตาบอดเนี่ย เจตนาจงใจให้ตาบอด เพราะฉะนั้นเจตนาจงใจให้ไม่มีตา ใช่ไหมค่ะ เพราะฉะนั้นเจตนานั่นแหละเป็นปัจจัย ให้คนที่เจตนานั่นแหละเกิดไม่มีตา ไม่ใช่คนอื่นค่ะ เพราะคนอื่นเขาไม่ได้เจตนา

    เพราะฉะนั้นเจตนาที่จะไม่ให้สิ่งนี้เกิดสมความปรารถ พอเป็นอะไรก็ตาม ก็ไม่มีจักขุปสาทรูป ไม่มีตา เพราะฉะนั้นทุกอย่างเนี่ยไม่มีคน ไม่มีสัตว์นะ แต่มีสภาพธรรมะ ซึ่งสภาพธรรมะที่เป็นเหตุดับแล้ว ก็เป็นปัจจัยให้เกิดสภาพธรรมะที่เป็นผล เพราะฉะนั้นเราจะเข้าใจเหตุผลนะคะ เช่น เหตุคือการกระทำดีชั่ว การกระทำดีก็เป็นกุศลกรรม การกระทำชั่วเป็นอกุศลกรรม สำเร็จแล้วคอยกาลเวลาที่พร้อมที่จะให้ผล

    เพราะแม้กรรมก็จะมาเที่ยวให้ผลตามใจชอบไม่ได้ ใช่ไหมคะ ต้องตาม ถ้ากรรมนั้นแรงให้ผลในชาตินั้นได้ เพราะฉะนั้นเราไม่รู้เลยนะคะ ว่าที่เราเห็นแล้วดีเนี้ยะเป็นผลของกรรมชาติไหน อาจจะเป็นผลของกรรมชาตินี้ก็ได้ ชาติไหนก็ได้แต่ต้องให้ผล เพราะฉะนั้นการให้ผลของกรรม เริ่มต้นขณะแรก คือขณะเกิด ขณะแรกในชีวิตที่ว่าคนเกิด สัตว์เกิด นั้นก็คือจิตสภาพรู้กับเจตสิกซึ่งเป็นสภาพรู้ อาศัยกัน และกันเกิดขึ้นนะคะ

    โดยกรรมเป็นปัจจัยว่าให้จิตประเภทไหนเกิดเป็นผลของกุศลกรรมหรืออกุศลกรรม ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรมนะคะ เกิดแล้วนี่ เป็นช้าง เป็นงู เป็นนก เป็นปลา เป็นเปรต เป็นนรก เป็นอสูรกาย ภพภูมิที่ไม่ดี พอผลของกรรมดีถึงเวลาให้ผลนะคะ ทันทีที่จิตขณะสุดท้ายของชาติก่อน ที่ทำให้เคลื่อนพ้นความเป็นบุคคลนั้น ที่เราใช้คำว่าตาย ดับ เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้นโดยกรรมหนึ่ง ถ้าเป็นกุศลกรรมก็ทำให้เกิดเป็นมนุษย์นะคะ

    จะอย่างไรๆ ก็ตามการเกิดเป็นมนุษย์ก็พ้นจากการเกิดในอบาย ภพภูมิซึ่งต่ำ ได้แก่เป็นเปรต นรก อสูรกาย สัตว์เดรัจฉาน เพราะฉะนั้นคนนั้นนะคะ สะสมอะไรมาบ้างเนี่ย ไม่มีใครสามารถจะรู้ได้เลยแม้องคุลิมาล พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะรู้ว่าคนนี้เนี่ยมีปัญญาที่สะสมมา แต่เมื่อไม่ถึงเวลาไม่ได้ฟังธรรมะนะคะ ก็เหมือนแสงไฟที่ถูกครอบแก้วบังไว้

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 190
    15 ม.ค. 2568

    ซีดีแนะนำ