ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1382


    ตอนที่ ๑๓๘๒

    สนทนาธรรม ที่ คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

    วันที่ ๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๑


    ท่านอาจารย์ พระองค์ทรงตรัสรู้เห็น แค่นี้น่าอัศจรรย์ไหมค่ะ แค่เห็นธรรมดา แต่ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้เห็น เพราะอะไร เห็นมีจริง ถ้าเห็นไม่เกิด ไม่มีเห็นแน่นอน และเห็นต่างกับสิ่งที่ปรากฏให้เห็น จะมีแต่เห็นโดยไม่มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นไม่ได้ แต่แม้อย่างนั้นนะคะ เห็นก็เป็นธรรมหนึ่ง ไม่ใช่สิ่งที่ถูกเห็นหรือที่ปรากฏให้เห็น

    เพราะฉะนั้นเมื่อเป็นธรรมแล้วเปลี่ยนได้ยังไง เปลี่ยนธรรมไม่ได้เลยค่ะ เห็นต้องเป็นเห็นเห็นจะเป็นสิ่งที่ถูกเห็นไม่ได้ เพราะฉะนั้นเมื่อเห็นเกิดขึ้น ขณะนี้ทุกคนกำลังเห็นนะคะ ใครทำเห็น ไม่มีใครทำเลย แต่มีเห็นตลอดเวลา นี่แสดงความจริงว่านะคะ พระองค์ทรงตรัสรู้ว่า แม้เห็นซึ่งคนไม่สนใจเลย ก็เป็นสิ่งซึ่งมีจริงเพราะเกิดจึงมีเห็น และเห็นเกิดแล้ว ไม่ใช่ได้ยิน เพราะฉะนั้นสภาพธรรมที่ปรากฏเนี่ย ปรากฏได้ทีละหนึ่ง

    เพราะฉะนั้นอย่างหนึ่งต้องดับหมดไปก่อน อย่างอื่นจึงจะปรากฏสืบต่อได้ แต่เพราะการเกิดดับนี่คะ เร็วสุดที่จะประมาณได้ รู้ได้ยังไง จากคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงแสดงแต่ละหนึ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้โดยละเอียดยิ่ง โดยประกาศทั้งปวง ลึกซึ้งจนกระทั่งทำให้คนฟังนี่คะ

    สามารถเริ่มเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงว่าคำใดที่พระองค์ตรัสแล้วเปลี่ยนไม่ได้ เห็นต้องเป็นเห็น ไม่เป็นใครเลยทั้งสิ้น นกก็เห็น งูก็เห็น คนก็เห็น แต่ไม่ใช่เห็นเป็นนก เห็นไม่ใช่เป็นคน เห็นไม่ใช่เป็นหนู เห็นไม่ใช่เป็นปลา แต่เห็นมีจริงนะคะ เป็นเห็น เกิดขึ้นเห็นแล้วดับทันที เพราะฉะนั้นการฟังแต่ละคำนี่คะ สำหรับไตร่ตรองพิสูจน์นะคะ

    เริ่มรู้ว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริง แต่ไม่มีใครรู้ความจริงว่าขณะนี้ค่ะ เป็นโลกที่แตกสลายทุกขณะเพราะคำว่าโลกะ หมายความถึงสิ่งที่เกิดดับ เราไม่เคยคิดเลยนะคะ แต่ละคำแต่ละคำในพระไตรปิฎก แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มีนี่คะ ให้ค่อยๆ เห็นพระปัญญาคุณของพระองค์ ว่าพระองค์ตรัสรู้สิ่งซึ่งมี แต่ว่าคนอื่นไม่สามารถที่จะรู้ได้ เพราะฉะนั้นการสนทนาธรรมนะคะ ก็ขอให้แต่ละคำ

    ผู้ฟัง ต้องให้ความเห็นยังไงว่าอนัตตาครับ

    ท่านอาจารย์ ต้องฟังทีละคำด้วยความเคารพนะคะ ภาษาบาลีอัตตาหมายความถึงสิ่งหนึ่งสิ่งใด อะ แปลว่าไม่ เพราะฉะนั้นอนัตตาคือไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่งๆ ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะบังคับบัญชาได้ อย่างเห็นเดี๋ยวนี้มีนะคะ จริงๆ ก็เป็นหนึ่ง

    เห็นก็เป็นธรรม แล้วเห็นจะเป็นอื่นไม่ได้ เห็นจะเป็นเราเห็นไม่ได้ เห็นจะเป็นนก จะเป็นคนไม่ได้เลย เห็นต้องเป็นเห็น เพียงแต่รูปร่างหลากหลายนี่นะคะ ก็ทำให้คิดไปว่าคนเห็น เด็ก เห็น งูเห็น นกเห็น แต่เห็นเปลี่ยนไม่ได้เลยค่ะ เห็นเกิดขึ้นเห็นสิ่งที่ถูกเห็นแล้วก็ดับไป ทั้งวันเนี่ยนะคะ ขณะใดก็ตามที่มีสิ่งที่ปรากฏทางตาให้ทราบว่าต้องมีเห็น แต่ขณะที่ไม่เห็น ก็มีได้ยิน ได้ยินก็จริง เป็นธรรมอีกอย่างหนึ่ง

    เพราะฉะนั้นธรรมตรงตามความเป็นจริงว่าเป็นอื่นไม่ได้ ด้วยเหตุนี้จึงไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเช่นคนเห็น หรืองูเห็น แต่เห็นเป็นเห็น ได้ยินเป็นได้ยิน คิดเป็นคิด จำเป็นจำ เป็นธรรมทั้งหมดนะคะ แต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่ง

    ผู้ฟัง ท่านว่าเห็นเป็นเห็น ประโยชน์ที่จะได้รับ

    ท่านอาจารย์ เคยเป็นคุณเริงชัยเห็นใช่ไหมคะ

    ผู้ฟัง ถูกต้องครับ

    ท่านอาจารย์ แล้วผิดหรือถูก

    ผู้ฟัง ผิดครับ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นไม่ใช่คุณเริงชัย ไม่ใช่ใครเลยทั้งสิ้นนะคะ เห็นเกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับไป ถ้าไม่มีรูปร่างมาประกอบ แล้วก็บอกไม่ได้ว่าอะไรเห็น หรือขณะนี้ถ้าเราไม่เคยรู้ว่าไม่มีเรา ก็เข้าใจว่ามีเราตั้งแต่เกิด แล้วก็เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง แต่เห็นก็ดับไปจะเป็นเราได้ยังไง ได้ยินก็ดับไปจะเป็นเราได้ยังไง ทุกอย่างที่เกิดแล้วดับทั้งนั้น

    เพราะฉะนั้นเริ่มเข้าใจที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กำลังปรากฏในขณะนี้นะคะ สิ่งนั้นเกิดจึงมีแล้วก็ดับไป ตรงกับคำที่ตรัสไว้ว่าสังขารทั้งหลายไม่เที่ยง สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามนะคะ ต้องเกิด เกิดแล้วก็ดับ

    ผู้ฟัง ผมมีความเข้าใจในธรรมว่าชีวิตหนึ่งเป็นส่วนประกอบต่างๆ เนี่ยอย่างเช่นนามธรรมรูปธรรมอย่างหนึ่ง การเห็นก็เป็นส่วนประกอบหนึ่ง ที่ทำหน้าที่ ทำกิจเห็นนะครับ

    ท่านอาจารย์ ค่ะ หมายความว่าเห็นไม่ใช่สัตว์บุคคลใช่ไหมคะ

    ผู้ฟัง ครับ

    ท่านอาจารย์ เห็นเกิดจึงมีเห็น ถ้าเห็นไม่เกิดก็ไม่มีเห็น

    ผู้ฟัง ครับ

    ท่านอาจารย์ ใครทำให้เห็นเกิดได้ไหมคะ

    ผู้ฟัง ไม่มีครับ ครับ

    ท่านอาจารย์ เริ่มเข้าใจแล้วว่าที่เข้าใจว่าเป็นเรา ความจริงก็คือสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่งที่เกิด และก็ดับสืบต่อกัน ตั้งแต่เกิดจนตาย แต่ก่อนตายก็มีเห็น ก็มีได้ยิน ก็มีคิด ก็มีจำทั้งหมดเกิด จึงมีแล้วก็ดับไป แข็งเป็นธรรมหรือเปล่าคะ

    ผู้ฟัง แข็งเป็นสภาพธรรมครับ

    ท่านอาจารย์ เป็นเราหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่ใช่เราครับ

    ท่านอาจารย์ ค่ะ เป็นนามธรรมหรือรูปธรรม

    ผู้ฟัง แข็งก็เป็นสภาวรูปครับ

    ท่านอาจารย์ ค่ะ เพราะฉะนั้นเราก็เริ่มเข้าใจว่าธรรมหลากหลายมากนะคะ แต่ก็ต่างกันเป็นสองประเภทใหญ่ๆ ไม่ใช่เรานะคะ แต่เป็นลักษณะของสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง ถ้าสิ่งนั้นเกิดขึ้น แต่ไม่รู้อะไรเลย แข็งไม่รู้อะไรเลยก็เป็นรูปธรรม เสียงก็ไม่รู้อะไรก็เป็นรูปธรรม แต่ถ้าไม่มีธาตุรู้ คือนามธรรมเกิดขึ้นนะคะ โลกก็ไม่ปรากฏ

    เพราะฉะนั้นธาตุรู้ขณะที่เสียงปรากฏ ธาตุรู้คือที่เราบอกว่าได้ยิน ใช่ไหมคะได้ยินคือมีการรู้ว่าเสียงที่ปรากฏนั้นเป็นเสียงอะไร เพราะฉะนั้นธาตุรู้เกิดขึ้นพร้อมกับรูปธรรม ขณะแรกของชาตินี้ แล้วก็หลงเข้าใจว่ารูปธรรม และนามธรรมเนี่ยเป็นเรา เป็นคนโน้น เป็นคนนี้

    แต่ความจริงธรรมเปลี่ยนไม่ได้ค่ะ รูปธรรมซึ่งไม่รู้อะไรจะกลับเป็นสภาพรู้ไม่ได้ และนามธรรมซึ่งเกิดขึ้นต้องรู้ไม่มีรูปร่างใดๆ เลยนะคะ กำลังรู้เดี๋ยวนี้ค่ะเป็นนามธรรม เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปก็เท่านี้เอง แต่หลงเข้าใจว่าเป็นเรา เป็นเขา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ยั่งยืน เพราะฉะนั้นก็เริ่มเข้าใจถูกต้องนะคะ ว่าไม่มีเราที่เป็นอัตตาตัวตน แต่มีธรรมซึ่งเกิดดับสืบต่อ

    ทำให้หลงเข้าใจว่าเป็นเราหรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยงยั่งยืน เพราะไม่ปรากฏการเกิดดับ เพราะยังไม่สามารถที่จะ ค่อยๆ เข้าใจความจริง จนกระทั่งไม่มีอะไรที่จะปิดกั้น ที่จะทำให้หลงเข้าใจว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง

    อ.อรรณพ ท่านอาจารย์ครับ ในเมื่อปัญญายังไม่รู้ความเกิดดับของสภาพธรรม ที่กำลังมีในขณะนี้ตามความเป็นจริง เพราะไม่ง่ายเลย แล้วการฟังที่เป็นปัญญาขั้นฟัง จะเชื่อได้อย่างไรล่ะว่าสภาพธรรมนั้นเกิดดับรวดเร็วสืบต่อ ต่อเนื่องครับท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ ค่ะ กำลังพูดเรื่องสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้หรือเปล่าคะ เห็นมั้ยคะ เราไม่ได้พูดเรื่องอื่นค่ะ แต่พูดเรื่องสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ให้เข้าใจความจริงว่าเดิมทีคิดว่าเป็นเราเห็น แต่ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าสิ่งที่มีจริงทั้งหมดเป็นอนัตตา ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขาไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยงนะคะ แต่ว่าเป็นสิ่งที่ถ้าไม่เกิดก็ไม่มี และเกิดเองก็ไม่ได้

    ต่อไปก็จะรู้ว่าแต่ละหนึ่งที่เกิดเนี่ย ต้องอาศัยปัจจัยที่จะทำให้เกิดนะคะ ง่ายๆ คือถ้าไม่มีตาเนี่ยไม่เห็นแน่ ใช่ไหมคะ ถ้าหูหนวกก็ไม่ได้ยิน ไม่มีใครไปทำอะไรเลยค่ะ แต่ว่าเดี๋ยวนี้มีตากำลังเห็น ไม่เห็นได้ไหมคะ ก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นทุกอย่างเลยค่ะ ค่อยๆ นำมาสู่ความเข้าใจถูกต้องว่า

    มีสิ่งที่เกิดโดยเราไม่ได้ทำเลย เพราะไม่มีเรา แต่ว่ามีปัจจัยที่จะให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น เท่านั้น ไม่เป็นอย่างอื่นนะคะ แล้วก็ดับไป ฟังแค่เนี้ยไม่ใช่ให้เราต้องการจะไปประจักษ์การเกิดดับ แต่ฟังแล้วเนี่ยเข้าใจจริงๆ ว่าเป็นอย่างนี้หรือเปล่า อยู่ที่แต่ละคนนะคะ เข้าใจจริงๆ ว่าเป็นอย่างนี้

    ถ้ามีความเข้าใจมั่นคงขึ้น สิ่งที่มีจริงต้องรู้ได้ เพราะว่ามีจริง เป็นจริง เราไม่ได้พูดถึงสิ่งที่ไม่มี ให้พยายามไปแสวงหา ให้ไปพยายามให้ทำ แต่ไม่ใช่เลยค่ะ สิ่งที่มีแต่ไม่เคยเข้าใจถูกต้อง ก็ควรที่จะได้รู้ว่า ถ้าไม่มีสิ่งที่เกิดขึ้นเลยเนี่ย ก็ไม่มีเรามาอยู่ตรงนี้เลย แต่เราเข้าใจผิดนะคะ สิ่งแต่ละหนึ่งที่เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย ดับแล้วก็เกิด แล้วก็ดับสืบต่อตลอดเวลา

    วันนี้ไม่ใช่เมื่อวานนี้แน่นอน เห็นเมื่อวานนี้ไม่ใช่เห็นเดี๋ยวนี้ คิดเมื่อวานนี้ก็ไม่ใช่คิดวันนี้ สุขเมื่อวานนี้ก็ไม่ใช่สุขวันนี้ ฉันใดนะคะ เห็นพรุ่งนี้ก็ไม่ใช่เห็นเดี๋ยวนี้ และถ้ายังไม่จากโลกนี้ไปนะคะ ตายังไม่บอดก็ต้องเห็นด้วยแน่ นี่คือสิ่งที่ให้เข้าใจจริงๆ ว่าไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรม ถ้าไม่มั่นคงนะคะ ก็จะมีสำนักปฏิบัติไปทำอย่างนั้น ทำอย่างนี้ แล้วก็จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมดับกิเลสเป็นพระโสดาบันแต่ไม่รู้อะไรเลย

    เพราะฉะนั้นความรู้ต้องตามลำดับขั้นนะคะ ขั้นฟังเผินๆ น่าสนใจไหม ไม่น่าสนใจ ผ่านไปไม่มีทางที่จะประจักษ์การเกิดดับซึ่งกำลังเกิดดับในขณะนี้ ถ้าฟังแล้วนะคะ ถูกต้อง จริง นะคะ ถ้าจริงแล้วควรจะรู้มั้ย หรือว่าไม่รู้ก็ได้ เกิดมาก็ตายไปไม่เห็นจำเป็นจะต้องรู้ แต่ตามความเป็นจริงไม่ใช่อย่างนั้นเลยนะคะ

    เกิดมาแล้วจากโลกนี้ไป มีทุกสิ่งทุกอย่าง แต่อยู่ไหนล่ะ เมื่อวานมีทั้งวันอยู่ไหน ตั้งแต่ก่อนเมื่อวานนี้อยู่ไหน เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างชั่วขณะที่ปรากฏเท่านั้น ทันทีที่หมดก็ลืมแล้ว ใช่ไหมคะ เมื่อกี้นี้ใครทำอะไรอยู่ข้างนอกห้อง จำได้ไหมคะ รับประทานอาหารอะไร กำลังรับประทานอร่อยมากใช่ไหมคะ เติมเกลือ เติมพริกไทย แต่ว่าเดี๋ยวนี้อยู่ไหน ไม่มีเลย

    เพราะฉะนั้นก็เป็นชั่วหนึ่งขณะ หนึ่งขณะๆ ซึ่งสืบต่อแล้วก็หมดไป แน่นอนที่สุดนะคะ จะไปหาที่ไหนอีกไม่ได้เลย เสียงนี้ดับแล้วไปหาที่ไหนอีก ไม่มีทางที่จะพบอีกในสังสารวัฏ เพราะฉะนั้นเป็นเพียงชั่วหนึ่งขณะที่แสนสั้น เล็กน้อย เร็วมาก แต่สืบต่อกันจนปรากฏเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งยังมีอยู่ เหมือนเดี๋ยวนี้นะคะ เหมือนกับว่าทุกคนยังนั่งอยู่ที่นี่

    แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประจักษ์ธรรมละเอียดยิ่ง ทุกอย่างโดยประการทั้งปวงจึงกล่าวว่าแต่ละหนึ่งเดี๋ยวนี้นะคะ เกิดดับโดยไม่รู้ เพื่อที่จะให้สัตว์โลกได้มีความเข้าใจที่ถูกต้องตามที่พระองค์ได้ตรัสรู้ ก็ทรงแสดงความจริงให้เข้าใจที่มั่นคงเป็นสัจจญาณ ญาณแปลว่าปัญญานะคะ

    ปัญญารู้อะไร ปัญญารู้ว่าความจริงเป็นอย่างนี้ รู้หรือยังคะ มั่นคงหรือยัง ความจริงเป็นอย่างนี้ เมื่อไหร่ก็ตามนะคะ ความจริงก็เป็นอย่างนี้ ถ้ามีความเข้าใจที่มั่นคงอย่างนี้ ก็จะละความเป็นเราจะทำ เพื่อที่จะได้รู้ความจริง เพราะผิดทันที ไม่ได้ละความเป็นเราไปทีละเล็กที่ละน้อยนะคะ

    จนกระทั่ง ปัญญาสามารถที่จะรู้ว่าเดี๋ยวนี้เอง ที่กำลังฟังธรรมมีความเข้าใจพอที่จะทำให้เข้าใจเพียงหนึ่ง ที่กำลังมี ว่าขณะนั้นเป็นลักษณะที่มีจริงที่เกิดแล้วดับ เพราะฉะนั้นก็ต้องเป็นความมั่นคง ความเข้าใจที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นะคะ จึงสามารถที่จะประจักษ์ความจริงซึ่งกำลังเกิดดับในขณะนี้ได้ แต่ไม่ใช่โดยหนทาง

    อ.วิชัย กราบท่านอาจารย์ครับ แสดงว่าปัญญาคือความเข้าใจที่ถูกต้อง จะไม่มีการผิดคลาดเคลื่อนเลย แต่ว่าก็มีระดับของปัญญาอย่างที่ท่านจารย์กล่าวว่าเมื่อสักครู่นี้แม้คำที่กล่าวที่เป็นเสียงออกมานะครับ ก็ไม่ได้ตั้งอยู่ตลอดไป ก็คือมีเสียงนี้ดับไป แล้วก็มีเสียงอื่น ดังนั้นแม้แต่การพิจารณาในสิ่งที่ได้ฟังเนี่ยก็เป็นความเข้าใจในระดับหนึ่งเท่านั้นเองครับท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีนานเท่าไหร่ ที่จะประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรม

    อ.วิชัย ๔ อสงไขยแสนกัปป์ครับ

    ท่านอาจารย์ แล้ว ผู้ฟัง ฟังกี่คำ กี่วัน หรือว่ากี่เดือน หรือว่ากี่ปี ยังไม่ถึงหนึ่งชาติ และก็กัปป์หนึ่งเท่าไหร่ เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เราจะคิดว่าเมื่อไหร่เราจะรู้ มีความยึดมั่นในความเป็นเราจนทำให้คิดอย่างนั้น ทั้งหมดนะคะ คือความรักตัว เพราะเข้าใจว่ามีตัวค่ะ ไม่ว่าอะไรทั้งนั้นค่ะ ที่รักที่สุด สำคัญที่สุด ก็คือตัวเอง

    ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นทั้งหมดนะคะ ไม่พ้นจากการรักตัว การกระทำทุกอย่าง ทุกวันนี่คะ แสดงความชัดเจน เพราะฉะนั้นยิ่งรักตัว ยิ่งมีตัว และจะรู้ความจริงได้ยังไง ว่าไม่ใช่ตัว เพราะฉะนั้น ก็เป็นหนทางที่ตรงกันข้ามนะคะ ความติดข้อง ความยึดมั่น ด้วยความเข้าใจผิดในสิ่งซึ่งไม่มี แต่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปอยู่เรื่อยๆ และสำคัญว่ายังมีอยู่ ก็ผิดตั้งแต่ต้น

    ด้วยเหตุนี้นะคะ พระพุทธประวัติ ทุกคนก็คงจะได้เคยผ่านข้อความที่ว่าเมื่อพระสัมมาส้มพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ไม่น้อมพระทัยที่จะทรงแสดง เพราะความลึกซึ้งอย่างยิ่งของธรรม แค่นี้ค่ะประมาทไหม ว่ากว่าพระองค์จะได้รู้ความจริง เป็นพระโพธิสัตว์บำเพ็ญพระบารมี คุณความดีต่างๆ เพื่อสละความเป็นเราเนี้ยะนานเท่าไหร่

    แล้วคนฟังก็เผินมาก พอได้ยินเมื่อไหร่เราจะละกิเลส เมื่อไหร่จะรู้ความจริงว่าขณะนี้กำลังเกิดดับ ก็ผิดทันที เพราะไม่เห็นคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะคะ ว่าจากการไม่รู้เลย ก็เป็นการรู้จนกระทั่งสามารถที่จะประจักษ์แจ้งความจริง และทรงพระมหากรุณาแสดงความจริงนั้น ให้คนอื่นได้เข้าใจทั้งๆ ที่แสนยาก

    เพราะฉะนั้น ฟังอย่างนี้เนี่ยนะคะ สภาพธรรมกำลังเกิดดับ เมื่อกี้นี้ไม่ใช่เดี๋ยวนี้ แน่นอนแต่ก็ไม่มีใครคิด ว่าดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้นจึงต้องฟังแล้วฟังอีก ไม่ใช่แค่วันนี้นะคะ ไม่ใช่แค่ชาตินี้ จนกว่าความเข้าใจจะเกิดขึ้น มีท่านผู้หนึ่งนะคะ ท่านก็ฟังธรรมแล้วก็มีคนก็บอกเนี่ยฟังธรรมเนี่ยจะฟังอีกนานเท่าไร เขาตอบว่าจนกว่าจะตรัสรู้

    เพระคำว่าตรัสรู้คือรู้ความจริง ซึ่งเป็นอริยสัจธรรมขณะนี้ที่กำลังเกิดดับ เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่ารีบร้อนนะคะ อยากจะไปรู้ อยากนั่นคือเราใช่มั้ย ตัวเราใช่มั้ย มีเราใช่มั้ยที่ต้องการก็เพิ่มความไม่รู้ และความติดข้องทับถมไปอีก ไม่มีทางที่จะรู้ความจริงได้นะคะ โดยการที่เป็นเรา แต่ว่าขณะนี้เข้าใจนิดหนึ่งก็จะรู้ได้ว่า

    ถ้าฟังคำของสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกต่อไป จะเข้าใจเพิ่มขึ้น แต่ละคำละเอียดขึ้น แล้วละความเป็นเรา เพราะรู้ว่าเป็นธรรม เวลานี้ที่ทุกคนยังติดข้องนะคะ ยังเป็นแต่ละคนอยู่ ก็เพราะเหตุว่าไม่รู้ความจริงของธรรมแต่ละหนึ่ง เพราะฉะนั้นถ้ารู้หนึ่งว่าไม่ใช่เรา หนึ่งไม่ใช่เรา จนกว่าจะทั่วหมด ซึ่งแต่ละวันนี้ก็ไม่ซ้ำกันเลย มีปัจจัยที่จะเกิดขึ้น แล้วดับไป แล้วไม่กลับมาอีกเลย

    ทุกคำนี่คะ เป็นคำเตือนให้รู้ว่า ความเข้าใจนี่ถูกต้อง ไม่มีใครสามารถที่จะทำอะไรได้ เดี๋ยวนี้ชัดเจน เห็นแล้ว ไม่มีใครทำเลย แค่เนี้ยก็ลืมคิดล่ะ จะไปรู้แจ้งอริยสัจธรรม เพราะฉะนั้นฟังเผินไม่ได้เลยนะคะ นอกจากฟังแล้วก็เข้าใจขึ้นในความเป็นธรรมซึ่งไม่ใช่เรา

    อ.วิชัย ครับ ท่านอาจารย์ครับ ซึ่งในปาสราสิสูตรนะครับ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงน้อมพระทัยที่จะไม่แสดงธรรม เพราะเห็นความลึกซึ้งอย่างหนึ่ง แล้วก็ความที่สัตว์ยังยึดในกิเลสก็คือสัตว์เหล่านั้นเพียบไปด้วยกิเลส เศร้าหมองเหลือเกิน กำหนัดเพราะราคะ โกรธเพราะโทสะ หลงเพราะโมหะ

    ดังนั้นความยาก และความลึกซึ้งของธรรมประกอบกับหมู่สัตว์ทั้งหลายยังมากด้วยกิเลสนะครับ จึงเป็นการยากอย่างยิ่งครับท่านอาจารย์ที่จะรู้ตามพระองค์ได้ครับท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ ฟังแค่นี้พอไหม พอไหมคะ ถ้าพอ ไม่ต้องทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา เช้า สาย บ่าย ค่ำ ดึก แสดงให้เห็นว่านะคะ ความไม่รู้มีมากแค่ไหน แค่คำสองคำก็ผิวเผินมากแต่เริ่มเข้าใจถูก เพราะฉะนั้นจึงต้องไตร่ตรองนะคะ ว่ามั่นคงแค่ไหนที่จะรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างเนี่ย มี แต่ชั่วคราว แสนสั้น แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย แค่นี้ค่ะ แล้วค่อยๆ ฟังต่อไปอีกๆ นะคะ

    เพราะว่าทรงแสดงความจริงยิ่งขึ้น เพื่อที่จะให้ไม่ลืมที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ ทำไมเราต้องฟังธรรมบ่อยๆ นะคะ ฟังแค่นิดเดียวแล้วบอกว่าทำยังไงจะเป็นอย่างนี้ ทำยังไงจะรู้อย่างนั้น ก็ยังไม่ทันรู้อะไรเลยนะค่ะ ตัวตนก็หวังซะมากมายที่จะทำ ที่จะรู้ล่ะ เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องของความติดข้องซึ่งติดข้องในทุกสิ่งทุกอย่าง

    ข้อความที่ทรงอุปมาไว้ก็คือว่า ที่เราเห็นเป็นโต๊ะ หรือเป็นอะไรก็ตามนะคะ ใหญ่โตเป็นชิ้นเป็นอัน แต่ว่าสามารถแตกย่อย ทำลายละเอียดยิบได้ เพราะมีอากาศธาตุแทรกคั่นอยู่ในทุกส่วนที่ละเอียดยิ่งของรูปธรรม สิ่งที่มีที่รวมกัน จริงไหมคะ แตกทำลายได้ทุกอย่าง แต่ว่า ถ้าส่วนนั้นยังไม่เกิดขึ้นนะคะ ก็ไม่ปรากฏ

    แต่ถ้าเกิด เราก็คิดว่าเพราะเหตุอื่น เพราะว่าไม่ประจักษ์การที่ไม่ต้องมีใครไปทำอะไรเลยทั้งสิ้น แต่ความเป็นธรรมดา ธรรมสิ่งที่มีจริงนะคะ ภาษาบาลีจะใช้คำว่าธรรมตา แต่ภาษาไทยใช้ ด เด็ก เป็นธรรมดา ความเป็นไปของธรรม หมายความว่าใครก็เปลี่ยนให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้ แข็งเปลี่ยนให้เป็นหวานได้มั้ย

    ใครเปลี่ยนได้ค่ะ เขาคิดว่าเขาเปลี่ยนได้ แต่แข็งดับไปก่อนที่เขาจะเปลี่ยน เร็วปานนั้น แต่เขาไม่สามารถที่จะรู้ได้ แต่นะคะ ความเข้าใจที่มีขึ้นที่ละเล็กทีละน้อยนี่คะ ค่อยๆ ละคลายความไม่รู้จนกระทั่งสภาพธรรมขณะนี้เปิดเผยความจริงซึ่งกำลังเกิดดับ เพราะฉะนั้นอะไรปกปิดไว้ ที่ไม่ประจักษ์การเกิดดับในขณะนี้ เพราะความไม่รู้ และการยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง

    เพราะฉะนั้นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำนะคะ ประโยชน์อย่างยิ่งคือเข้าใจอย่างลึกซึ้ง และก็มั่นคง แล้วก็ละเอียด แล้วก็ตรง ธรรมเป็นธรรม เกิดดับ ไม่ดับไม่มี เกิดแล้วต้องดับทุกคำนี่คะ ค่อยๆ เข้าใจนะคะ จนกระทั่งไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ขณะนี้กำลังรู้ธรรมหนึ่งซึ่งมีลักษณะต่างกับธรรมอื่นๆ แต่เวลานี้เหมือนเห็นกับได้ยินก็เป็นของธรรมดา แต่ธรรมที่เห็น ไม่ใช่ธรรมที่ได้ยิน ไม่ใช่ธรรมดาใช่ไหมคะ เกิดขึ้นด้วย และดับไปด้วย ต้องค่อยๆ เข้าใจค่ะ

    อ.ทวีศักดิ์ เรียนท่านอาจารย์สุจินต์นะครับ ว่าถ้าจะพูดถึงความรู้สึกนะครับ ในภาษาบาลีก็มีคำหนึ่งว่าเวทนา อยากให้ท่านอาจารย์สุจินต์ได้อธิบายถึงเรื่องนี้ด้วยครับ เชิญครับ

    ท่านอาจารย์ ค่ะ เดี๋ยวนี้กำลังมี แน่ๆ นะคะ คือไม่ได้พูดถึงสิ่งที่ไม่มี เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ว่าที่เคยเสียใจ และเป็นเราเสียใจ ความจริงเสียใจมีจริงค่ะ ถ้าเห็นสิ่งที่ดีๆ ที่น่าชอบใจ ก็ไม่มีใครเสียใจ บังคับบัญชาไม่ได้ นะคะ ถ้ามีเหตุร้ายเกิดขึ้น ได้ยินได้ฟัง ไม่ว่าจะเห็น ได้ยินอะไรก็ตามแต่ ความรู้สึกไม่พอใจก็มีหลายระดับขั้น ตั้งแต่ขุ่นเคืองนิดๆ หน่อยๆ จนกระทั่งเป็นเรื่องใหญ่ เสียใจมาก ทั้งหมดก็คือธรรม เพราะฉะนั้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นนะคะ ถ้าไม่ลืมว่าสิ่งนั้นมีเกิดแล้วปรากฏอย่างนั้นแต่ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ไม่มีค่ะ มีแต่ไม่มีใครไปทำให้เกิดขึ้น เกิดแล้วก็หมดไป ก็ต้องค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่กำลังมีค่ะ

    อ.ทวีศักดิ์ พระอภิธรรมนั้น ผมก็เชื่อว่าท่านก็พูดได้ จำคำจนขึ้นใจ กุสลาธัมมา อกุสลาธัมมา อัพยากตธัมมา มี ๓ คำนี้ อยากจะกราบเรียนท่านอาจารย์สุจินต์ได้ให้ความรู้ด้วยครับ เชิญครับ

    ท่านอาจารย์ ธรรม ไม่ว่าจะมากมายสักเท่าไหร่นะคะ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงประมวลไว้โดยนัยประการต่างๆ เพราะฉะนั้นถ้ากล่าวโดยนัยหมวด ๓ นะคะ ก็คือธรรมที่เป็นกุศล คือกุสลาธัมมาก็มี

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 190
    30 ต.ค. 2567