ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1383


    ตอนที่ ๑๓๘๓

    สนทนาธรรม ที่ คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

    วันที่ ๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๑


    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นถ้ากล่าวโดยนัยหมวด ๓ นะคะ ก็คือธรรมที่เป็นกุศล คือกุสลาธัมมาก็มีธรรม ที่เป็นอกุศล คืออกุสลาธัมมาก็มี ธรรมที่ไม่ใช่กุศล และอกุศลคืออัพยากตธัมมาก็มี เพราะฉะนั้นทุกอย่างในขณะนี้นะคะ ก็ต้องเป็นอย่างหนึ่งอย่างใด คือเป็นธรรมที่เป็นกุศลก็เป็นกุศลเป็นอื่นไม่ได้ ธรรมที่เป็นอกุศลก็ต้องเป็นอกุศลเป็นอื่นไม่ได้ ธรรมที่ไม่ใช่กุศล และไม่ใช่อกุศล ก็จะเป็นกุศล และอกุศลไม่ได้

    เพราะฉะนั้นฟังอย่างนี้นะคะ ไม่พอ ต้องมีความเข้าใจว่าอะไรละ ที่ไม่ใช่กุศล ไม่ใช่อกุศล เพราะว่าได้ยินคำว่ากุศล ก็พอจะเข้าใจนะคะ ได้ยินคำว่าอกุศลก็พอจะเข้าใจ แต่อัพยากตถ้าไม่ไปงานศพไม่ฟังสวดก็จะไม่ได้ยินคำนี้ แต่ได้ยิน แล้วผ่านไปไม่มีประโยชน์ ถ้าจะไม่สนใจที่จะเข้าใจนะคะ ก็เพียงแค่กี่ครั้งกี่ร้อยครั้งก็คือไม่รู้

    เพราะฉะนั้นที่สัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมเนี่ยไม่ใช่เพื่อให้ไม่รู้ ไม่ใช่เพื่อให้พูดตามที่สวดใช่ไหมคะ แต่ต้องเป็นการทบทวนความเข้าใจจากการที่ได้ฟัง เพราะว่าเตือนให้รู้ว่าคืออะไร เดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นธรรมที่ไม่ใช่กุศล และไม่ใช่อกุศลนี่คะ ถ้าไม่ได้ฟังธรรมใครจะคิดออกใช่มั้ยคะ แต่พอจะรู้ถ้าได้ฟังธรรมบ้างเช่น เสียงเนี่ยเป็นกุศลได้ไหม ไม่ใช่ต้องบอกนะคะ แต่ต้องคิด เพื่อจะได้เป็นปัญญาของตนเอง ถ้าเขาบอกก็ฟังแล้วก็ลืม เช่นบอกว่ากุสลาธัมมา อกุสลาธัมมา อัพพยากตาธัมมา บางคนก็จำได้ บางคนก็จำไม่ได้นะคะ แต่ว่าถ้าเราไตร่ตรองนี่คะ จนกระทั่งเป็นที่เข้าใจจริงๆ เราจะไม่เปลี่ยนเลย

    เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้นะคะ ธรรมที่ไม่ใช่กุศล ไม่ใช่อกุศล ต้องมีแน่นอน เสียง มีจริงๆ กำลังได้ยินเสียง เสียงไม่รู้อะไร เสียงทำบุญได้ไหม เสียงเป็นบุญได้ไหม เสียงเป็นบาปได้ไหม ในเมื่อเสียงไม่ใช่สภาพรู้ เพราะฉะนั้นเสียงไม่ใช่กุศล และไม่ใช่อกุศล เสียงเป็นอัพยากตธรรม เพราะฉะนั้นทั้งหมดในชีวิตประจำวันนะคะ เพียงแค่ ๓ คำนี่คะ

    ถ้าเราใส่ใจเราก็จะนำมาซึ่งความเข้าใจคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่าเป็นธรรมทั้งหมด ไม่ใช่เราเลยทั้งสิ้น กุศลเกิดแล้วก็ดับไปไม่กลับมาอีกเลย อกุศลเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปไม่กลับมาอีก ธรรมที่ไม่ใช่กุศล และไม่ใช่อกุศลก็เกิดขึ้น และดับไปไม่กลับมาอีก

    ทุกคำของพระองค์นี่คะ จะน้อมมาสู่การที่ค่อยๆ เข้าใจว่าไม่มีเรา แต่มีธรรมแน่นอน และธรรมแต่ละหนึ่งนะคะ ก็มีปัจจัยที่จะทำให้เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ไม่ทันจะไปเปลี่ยนก็ดับแล้ว เร็วสุดที่จะประมาณได้นะคะ ประมาณไม่ได้เลยว่าเดี๋ยวนี้เห็นเกิดกี่เห็น ก็เห็นอย่างหนึ่งก็อย่างหนึ่ง เห็นอีกอย่างหนึ่งก็อีกอย่างหนึ่ง

    เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่าแม้แต่เสียงนะคะ กี่เสียง ต้องมีการได้ยินแต่ละเสียง ทุกเสียง เพราะฉะนั้นการเกิดดับสืบต่อของสภาพธรรมเนี่ยไม่ปรากฏการเกิดดับเลย เพราะจากเห็นก็เป็นได้ยิน เป็นคิด เป็นอะไรสืบต่ออยู่เรื่อยๆ ด้วยเหตุนี้นะคะ แต่ละคำต้องเข้าใจเอง จากการไตร่ตรองไม่ใช่ฟังแล้วเชื่อ

    เพราะฉะนั้นตอนนี้ก็จะจำได้เลย อัพยากตธรรม ก็คือธรรมที่ไม่ใช่กุศลไม่ใช่อกุศล ถ้าสนใจนะคะ ก็คิดเองต่อไป ได้อีกใช่ไหมคะ อะไรล่ะที่ไม่ใช่กุศล และอกุศล แข็งเป็นกุศลได้ไหมคะ กลิ่นเป็นกุศลได้ไหม เพราะฉะนั้นทั้งหมดนี้ก็เป็นธรรมที่เป็นอัพยากตไม่ใช่กุศล และอกุศลทั้งหลายเลยทั้งหมด ได้แก่รูปธรรมทั้งหมด

    เพราะฉะนั้นแม้แต่คำว่ารูปธรรมนะคะ ก็ไม่ใช่รูปอย่างที่เราคิด รูปนก รูปปู รูปไก่ แต่ว่ารูปะธรรมะ สิ่งที่มีเกิดขึ้นแต่ไม่ใช่สภาพรู้ ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลยทั้งสิ้นนะคะ อย่างที่เราเรียกว่าหัวใจมีรูปร่างสัณฐานใช่ไหมคะ จับดูก็แข็ง รู้อะไรรึเปล่า เห็นไหมคะ แข็งไม่รู้อะไร เพราะฉะนั้นก็เป็นรูปธรรมทุกอย่างหมด นี่ค่ะค่อยๆ เข้าใจไปทีละคำนะคะ

    ต่อจากนี้ไปก็คือว่าไม่ลืม ๓ คำนี้ และก็รู้ด้วยว่านอกจากรูปธรรมแล้วนะคะ สภาพนามธรรมคือจิต ซึ่งเราได้กล่าวแล้วว่าเป็นธาตุรู้ แต่ว่าธาตุรู้นี่คะ มี ๒ อย่าง ซึ่งคนอื่นไม่สามารถจะรู้ได้เลยว่าอีกอย่างหนึ่งนั้นคืออะไร แต่คุ้นหูกับคำว่าจิตหรือวิญญาณ ความหมายเดียวกันนะคะ ธาตุรู้ สภาพรู้ จะใช้คำว่าจิตก็ได้ วิญญาณก็ได้ มโนก็ได้ มนัสก็ได้ หทยก็ได้ ใช้คำภาษาอื่นก็ได้ แต่หมายความถึงสิ่งที่ไม่รู้อะไรทั้งหมดนะคะ

    ด้วยเหตุนี้ก็จะต้องมีความเข้าใจที่มั่นคงว่า ที่ว่าเป็นเรา ความจริงก็คือนามธรรมกับรูปธรรมแน่นอน เป็นอื่นไม่ได้ ใช่ไหม เนี่ยค่ะ คือไม่ใช่เชื่อนะคะ แต่เริ่มไตร่ตรอง และก็เริ่มเข้าใจคำที่เราได้ฟัง เพราะกำลังว่ามีในขณะนี้ และสามารถที่จะเข้าใจได้ในความไม่ใช่เรา เพราะว่าเคยยึดถือเป็นเรา เพราะไม่รู้มานานมาก ยึดถือว่าเป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ความจริงเป็นสิ่งที่มีลักษณะแต่ละหนึ่งแยกจากกัน ปนกันไม่ได้เลย เกิดแล้วก็ดับไป

    แต่เมื่อเกิดดับรวมกัน ทำให้เกิดนิมิต รูปร่างสัณฐานต่างๆ ยาวบ้าง สั้นบ้าง กลมบ้าง ก็เลยจำสิ่งที่ปรากฏ เกิดมาใหม่ๆ ไม่รู้ แต่ว่าคุ้นเคยบ่อยๆ ขึ้นก็จำได้ จนกระทั่งได้ยินเสียงนะคะ ครั้งแรกก็ไม่รู้ว่าหมายความว่าอะไร แต่พอได้ยินบ่อยๆ ก็รู้ว่าเสียงนั้นหมายความว่าอะไร จนสามารถที่จะพูดตามได้

    เพราะฉะนั้นทั้งหมดก็คือนามธรรม และรูปธรรม ทั้งหมดไม่ว่ากี่ภพกี่ชาติ นานแสนนานมาแล้วนะคะ หรือขณะนี้ หรือต่อไปก็คือนามธรรม และรูปธรรมซึ่งเป็นอนัตตา เป็นธรรม เพราะฉะนั้นตั้งต้นตั้งแต่คำแรก ธรรม ธรรมทั้งหลายไม่เว้นเลยนะคะ เป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นเมื่อฟังแล้วก็จะมีความเข้าใจมั่นคงขึ้น จนกระทั่งละคลายความเป็นเรา ซึ่งยากมากนะคะ

    เพราะขณะนี้ดีใจก็เป็นเรา เสียใจก็เป็นเรา ชอบก็เป็นเรา ไม่ชอบก็เป็นเรา เป็นเราไปหมดทั้งวัน แต่ความจริงก็เป็นธรรมแต่ละหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นนะคะ แต่อวิชาเป็นสิ่งที่มีจริง และเป็นขณะที่ไม่รู้ เพราะฉะนั้นเมื่อมีจริงนะคะ เป็นสภาพรู้แต่ไม่ใช่จิต เพราะเหตุว่าจิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏ

    แต่ว่าสภาพธรรมอื่น จากเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส เดี๋ยวนี้เอง นะคะ พ้นจากสิ่งต่างๆ ที่กระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย และจิตเกิดขึ้นรู้ นอกจากนั้นสภาพอื่นที่ไม่ใช่รูปธรรม เป็นธรรมที่ใช้คำว่าเจตสิก หมายความว่าสภาพนามธรรมอีกชนิดหนึ่งมีจริงๆ แต่ไม่ใช่จิต แต่เกิดกับจิต เกิดในจิต พร้อมกับจิต รู้สิ่งเดียวกับจิต แล้วก็ดับพร้อมกับจิตด้วย เกิดดับพร้อมกัน รู้สิ่งเดียวกัน

    เพราะฉะนั้นขณะนี้นะคะ เห็นเกิดไม่มีใครรู้ค่ะ ว่าเห็นเดี๋ยวนี้ไม่ใช่มีแต่เฉพาะเห็นนะคะ สิ่งใดๆ ก็ตามที่เกิดขึ้นต้องอาศัยปัจจัย อำนาจสัตติที่ทำให้เกิดขึ้นนะคะ ไม่มีใครทำอะไรให้เกิดขึ้นได้เลยใช่มั้ยคะ ทำเสียงสิ ทำเห็นสิ ทำคิดสิ ทำอะไรไม่ได้เลยนะคะ แต่ธรรมแต่ละหนึ่งก็เป็นปัจจัยที่จะทำให้สภาพธรรมอื่นเกิดขึ้น พร้อมกันก็ได้ หรือว่าภายหลังก็ได้ หรือว่าก่อนก็ได้

    อันนี้ก็แล้วแต่นะคะ พระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคำเป็นสัจธรรม เป็นความจริงที่ฟังแล้วไตร่ตรอง ประโยชน์สูงสุดคือเกิดความรู้ วิชา หรือสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้องตามความเป็นจริงของสิ่งที่มี โดยที่ว่า จากไม่รู้เลย อวิชาทั้งนั้นเลยนะคะ ค่อยๆ มีวิชา ความรู้เพิ่มขึ้น ความไม่รู้ก็ลดน้อยลงไป

    แต่ต้องรู้ว่าอวิชชาความไม่รู้มีจริง เป็นธรรมไม่ใช่รูปธรรม เพราะรูปธรรมรู้ หรือไม่รู้ไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นจิตเป็นใหญ่ เป็นประธาน ในขณะที่มีนามธรรมที่เป็นเจตสิกเกิดร่วมด้วย แต่จิตต้องเป็นใหญ่ เป็นประธาน ในการรู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏ เมื่อจิตเป็นสภาพรู้ ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้

    ภาษาบาลีใช้คำว่าอารัมมณะ คนไทยก็พูดคำว่าอารมณ์นะคะ แต่ความจริงไม่ได้เข้าใจหรอกว่า อารมณ์หมายความเฉพาะสิ่งที่จิตเกิดขึ้นรู้เท่านั้น เสียงในป่าเวลาที่มีของแข็งๆ กระทบกัน ต้นไม้ล้มหรืออะไรเป็นต้นนะคะ ก็เกิดเสียง แต่ไม่ได้ปรากฏ เพราะฉะนั้นเสียงนั้นไม่ใช่อารมณ์ ต่อเมื่อใดจิตกำลังได้ยินเสียงใด เฉพาะเสียงที่จิตรู้ ขณะนั้นเท่านั้น ที่เป็นอารมณ์ของจิต เพราะเสียงก็เกิดดับ แต่ถ้าจิตไม่เกิดขึ้นรู้ เสียงก็ดับไปแล้ว

    เพราะฉะนั้นเสียงที่ปรากฏเดี๋ยวนี้นะคะ ที่ปรากฏว่ามีเพราะจิตเกิดขึ้นรู้ แล้วยังไงคะ ดับหมด ทั้งเสียง และจิตที่ได้ยิน ไม่เหลือเลย เพราะฉะนั้นธรรมทั้งหลายนี่คะ ต้องเริ่มต้นทุกอย่างเป็นธรรม และเป็นอนัตตาด้วย ถ้าบังคับบัญชาได้ ทุกคนไม่มีความทุกข์เลยใช่ไหมคะ มีแต่ความสุข อยากได้อะไรก็ได้หมด อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา

    แต่ความจริงธรรมต้องเกิดตามเหตุ ตามปัจจัย ถึงแม้ว่าจะเกิดขึ้นตามเหตุ ตามปัจจัย อาศัยกัน และกันเกิดขึ้นนะคะ แต่ก็ไม่อิสระ เพราะเหตุว่าต้องเป็นไปตามปัจจัยเท่านั้น เกลือเค็ม น้ำตาลหวาน อย่างอื่นนอกจากน้ำตาลหวานไหม เห็นไหมคะ ธรรมสำหรับคิดค่ะ มีอะไรที่หวานๆ นอกจากน้ำตาลไหม มีหรือไม่มีเป็นแต่เพียงชื่อนะคะ

    แต่ความจริงก็คือว่าหวานต้องเป็นหวาน แล้วแต่เราจะเรียกอะไร อย่างเผ็ดๆ เนี่ยเราก็เรียกว่าพริก หรือว่าพริกไทย ก็แล้วแต่จะใช้ชื่อนะคะ แต่ลักษณะนั้นเปลี่ยนไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นธรรมนี่คะ เป็นธรรมจริงๆ ทุกอย่างเป็นธรรมทั้งหมด และก็เป็นอนัตตาด้วย นี่คือการเริ่มต้นนะคะ ที่จะรู้ความจริง เพราะเหตุว่าทุกคนเกิดแล้วต้องตาย ยับยั้งได้ไหมคะ

    เพราะเป็นธรรม ธรรมต้องเป็นอย่างนี้ ธรรมเกิดแล้วต้องหมดไป ไม่มีใครสามารถที่จะให้ธรรมยั่งยืนได้เลย แต่ก่อนจากโลกนี้ไป และไม่เคยเข้าใจธรรมเลย อวิชาเต็ม เพิ่มขึ้นทุกวันกับมีโอกาสได้เข้าใจนะคะ พอมีความเข้าใจมากขึ้นค่ะ กิเลสลดน้อยลง ความทุกข์ ความเสียใจจะน้อยไหม เพราะรู้ว่าเป็นธรรมดา เพียงมีปัจจัยเกิดแล้วก็ดับไป ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาทั้งนั้น

    ถ้าสุขเกิดขึ้นนะคะ แค่ขณะนั้นใช่ไหม ดับแล้วกลับมาอีกหรือเปล่า ไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้น ดีไหมคะ แค่หนึ่งขณะ ถ้าเป็นทุกข์เกิดขึ้นนะคะ ทุกข์นั้นก็เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่มีใครอยากเป็นทุกข์ค่ะ แต่ใครห้ามไม่ให้ทุกข์เกิดได้ เจ็บตัว ชนโต๊ะเก้าอี้อะไรก็แล้วแต่ ไม่มีใครทำเลย

    แต่ว่าเมื่อมีกาย รูปร่าง อ่อนหรือแข็ง ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าเนี่ย และยังมีรูปอีกรูปหนึ่งนะคะ ไม่ใช่แข็งอย่างโต๊ะ ไม่ใช่แข็งอย่างดอกไม้ แต่เป็นรูปที่กาย ที่เป็นรูปพิเศษ ใช้คำว่าปสาท หมายความว่าสามารถกระทบกับสิ่งที่มากระทบได้ เพราะฉะนั้นที่ตัวนี่นะคะ กระทบแข็งได้ใช่ไหมคะ รู้สึกอะไร เจ็บใช่ไหม เห็นไหมคะ ใครไปทำให้เจ็บเกิดขึ้น แต่ว่าที่กายมีกายปสาทซึมซาบอยู่ทั่วตัว แม้แต่ข้างในนะคะ ปวดท้อง อยู่ตั้งข้างในอ่ะ อะไรจะไปกระทบ

    แต่สิ่งที่แข็งกระทบกัน เป็นปัจจัยให้เกิดความรู้สึกสุขหรือทุกข์ทางกาย บังคับได้ไหมว่าถ้ากระทบกายแล้ว ไม่ต้องมาสุขมาทุกข์ เป็นไปไม่ได้เลยค่ะ นี่ก็แสดงความเป็นธรรมนะคะ ซึ่งเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นคนที่จะเข้าใจพระธรรม ก็คือคนที่ไตร่ตรองละเอียด และมีความเข้าใจอย่างมั่นคงนะคะ เป็นสัจจญาณว่าพระธรรมเปลี่ยนไม่ได้

    ธรรมมีจริงๆ เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุ ตามปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลย รู้ไหมคะ ว่าจะจากโลกนี้ไปวันไหน เห็นไหมคะ บังคับบัญชาได้ไหม และคนที่จากไปโดยที่ไม่เข้าใจธรรมเลย กับคนที่ค่อยๆ รู้ความจริงนะคะ เมื่อรู้ความจริงแล้ว ก็รู้ว่าอะไรเป็นสิ่งที่ให้โทษ อะไรเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ เพราะฉะนั้นคนที่รู้จริงจะไม่ทำสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ จะไม่ทำสิ่งที่เป็นอกุศล แต่ว่าจะทำสิ่งที่เป็นประโยชน์เป็นกุศลเพิ่มขึ้น

    เพราะฉะนั้นโลกนี้จะเป็นสุขขึ้นเพราะธรรม คือความเข้าใจความจริง ถ้าไม่มีการเข้าใจความจริงนะคะ ไม่มีทางที่ใครจะแก้ปัญหาใดๆ ได้เลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นโลกจึงเต็มไปด้วยปัญหาซึ่งแก้ไม่ได้นะคะ เพราะเหตุว่าไม่รู้ความจริง แต่ว่าโลกจริงๆ อยู่ที่ไหนค่ะ เห็นไหมคะละเอียดยิ่งกว่านั้นอีก

    ถ้าไม่มีธรรมแต่ละหนึ่งๆ เกิดขึ้นจะมีโลกไหม ถ้าไม่มีอะไรเกิดเลย ไม่มีแน่ใช่ไหมคะ โลก แต่ถ้ามีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้น เกิด สิ่งนั้นแหละคือโลก เพระความหมายของโลกะในภาษาบาลีนะคะ คือสิ่งที่เกิดดับ สิ่งที่เกิดแล้วไม่ดับ ไม่มี ไม่มีจริงๆ ค่ะ ใครจะรู้หรือไม่รู้ก็ตามนะคะ เห็นเมื่อกี้นี้ดับละ ได้ยินเมื่อกี้นี้ก็ดับละ คิดตามเมื่อกี้นี้ก็ดับ และรู้สึกเฉยๆ เมื่อกี้นี้ก็ดับละ ทุกอย่างไม่คงที่ค่ะ แต่ไม่มีใครรู้

    เหมือนสิ่งที่อยู่ใต้มหาสมุทรนะคะ ไปยืนที่ชายฝั่งบอกสิว่าอะไรอยู่ใต้มหาสมุทรบ้าง ไม่เปิดเผยเลยนะคะ เหมือนเดี๋ยวนี้ค่ะ จิตกำลังเกิดดับ ไม่มีเรา เห็นเป็นจิต ได้ยินเป็นจิต คิดเป็นจิต ทุกอย่างเป็นจิต และเจตสิก ใครรู้ ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงเปิดเผย ไม่มีใครสามารถจะรู้ได้เลย ก็หลงคิดว่ามีเรา มีโลก มีทุกสิ่งทุกอย่างนะคะ

    แล้วก็มีปัญหาเพราะความอยากได้ เมื่อไม่ได้ในทางที่สุจริตก็เป็นทุจริตเบียดเบียนกันต่างๆ แล้วก็จากโลกนี้ไป ก็สะสมความดี และความชั่ว ทำให้เมื่อมีปัจจัยที่จะเกิดขึ้น ก็ต่างคนก็ต่างเป็นอย่างที่เป็นในชาตินี้ เพราะฉะนั้นจะเป็นคนในชาตินี้นะคะ ได้เพียงชาตินี้เท่านั้นเป็นคนนี้ชาตินี้ได้เพียงแค่ก่อนตาย พอจากโลกนี้ไปแล้วนะคะ จะกลับมาเป็นคนนี้อีกไม่ได้เลย

    แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีในชาตินี้จะปรุงแต่งให้คนที่จะเกิดสืบต่อไม่ใช่คนนี้อีกนะคะ แต่ก็มาจากคนนี้แหละ จิตเจตสิกเกิดดับสืบต่อไม่มีวันหยุดเลย เป็นสังสารวัฏฏ์ เพราะฉะนั้นจะรู้ได้เลยนะคะ ว่าการกระทำอย่างนี้ วันนี้ และรวมทั้งการกระทำก่อนๆ ในชาติก่อนๆ เนี่ย ชาติหน้าจะเป็นอะไร เดี๋ยวนี้ไม่รู้ใช่ไหมคะ ตายเมื่อไหร่ เกิดเมื่อไหร่ ก็รู้เมื่อนั้น

    เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ก็รู้แต่เพียงว่าชาติก่อนไม่รู้เลยค่ะ ว่าเป็นใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไรแต่รู้ได้ว่าชาตินี้มาจากชาติก่อนๆ โน้น เพราะฉะนั้นชาติหน้านะคะ จะเป็นอะไรต่อไป ไม่ใช่ใครทำให้เลยทั้งสิ้น แต่มีปัจจัยที่สืบต่อมาจากชาตินี้ และชาติก่อน รู้ไหมคะ ชาติก่อนเป็นใคร ชาติหน้ารู้ไหมว่าเป็นใคร แต่พอเกิด รู้จักใช่ไหมคะว่าเป็นใคร แต่ไม่รู้ชาติก่อนว่ามาจากไหน

    เพราะฉะนั้น ขณะนี้ ชาตินี้เป็นชาติก่อนของชาติหน้า ต้องถามใครไหมคะว่าชาติก่อนทำอะไร กำลังเป็นอย่างนี้ค่ะ พอถึงชาติหน้าก็ลืมหมดเลย มีอวิชากันหรือป่าวคะเดี๋ยวนี้ เป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร กุศล และอกุศล กำลังมีกุศล และอกุศล ซึ่งเกิดเพราะความไม่รู้นะคะ

    เพราะฉะนั้นสังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ วิญญาณไหนล่ะ วิญญาณที่จะเกิดต่อไปในชาติหน้า ใช่ไหม เพราะว่าขณะนี้มีความไม่รู้ จึงเต็มไปด้วยกุศล และอกุศลหลากหลายทั่วโลก และกุศล และอกุศลที่ได้ทำแล้วนี่แหละ จะเป็นปัจจัยให้เมื่อจากโลกนี้ไปแล้ว ก็จะเกิดจิต เจตสิก รูป ต่อไปแต่ว่าตามลำดับนะคะ

    อวิชชาความไม่รู้เป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร เดี๋ยวนี้เป็นกุศล และอกุศล เพราะฉะนั้นเมื่อจากโลกนี้ไปแล้ว สังขารที่กำลังเป็นอกุศล และกุศล เพียงหนึ่งแล้วแต่ว่าจะเป็นกุศลนะคะ เป็นปัจจัยให้เกิดดี อกุศลเป็นปัจจัยให้เกิดไม่ดี เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เกิดในนรก เกิดเป็นเปรตเกิดเป็นอสูรกาย

    เพราะฉะนั้น เมื่ออวิชาเดี๋ยวนี้เป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร ตายจากโลกนี้ไปแล้วก็เกิดวิญญาณ วิญญาณก็ทำให้เกิดนามรูปคือเจตสิก และรูป เพราะว่าวิญญาณเป็นจิต แล้วก็ต่อไปก็เหมือนเดี๋ยวนี้ค่ะที่กำลังนั่งอยู่เดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นไม่ใช่เพียงชื่อปฏิจสมุปปาท แล้วก็นั่งท่อง นั่งสวด แต่ไม่รู้ว่าอะไร

    แต่เดี๋ยวนี้ต่างหากค่ะที่จะต้องรู้ความจริงว่า มีอวิชาจึงเป็นปัจจัยให้โลกทั้งโลก เดี๋ยวสุขเดี๋ยวทุกข์ตามกิเลสต่างๆ อกุศล กุศลนะคะ ซึ่งเป็นเหตุ เมื่อเหตุมีแล้ว ที่ผลจะไม่มีเนี่ยเป็นไปไม่ได้ แต่เลือกผลไม่ได้ เพราะเรามีทั้งกุศลกรรม และอกุศลกรรม เพราะฉะนั้นให้ทราบว่านะคะ กรรมคือการฟังธรรมขณะนี้แล้วเข้าใจ ความเข้าใจก็ไม่ใช่เรา แต่เป็นปัญญา

    เมื่อจากโลกนี้ไปแล้วนะคะ เป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ ปฏิสนธิจิตที่ประกอบด้วยปัญญา ถ้าเป็นผลของความเข้าใจ แต่ถ้าไม่เข้าใจธรรมนะคะ ก็แล้วแต่ว่ากุศลใดๆ ให้ทานหรืออะไรก็แล้วแต่ ที่ทำไปแล้วก็เป็นปัจจัยให้เกิดได้ ด้วยเหตุนี้นะคะ ปฏิจสมุปปาทไม่ใช่สำหรับท่องค่ะแต่สำหรับเข้าใจเดี๋ยวนี้

    อ.ทวีศักดิ์ จะขออนุญาตให้ได้กล่าวถึงเรื่องใหญ่ ความไม่รู้ทางธรรม อวิชชา เชิญครับ

    อ.วิชัย อวิชชาคือความไม่รู้สภาพธรรมที่กำลังมี กำลังปรากฏ ไม่ว่าจะเย็น ไม่ว่าจะแข็ง ไม่ว่าจะเสียง ไม่ว่าจะสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ทั้งหมดเนี่ยครับเป็นธรรมแต่ละอย่าง แต่ไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริง ดังนั้นนี่ครับ สิ่งนั้นที่จะปรากฏตามความเป็นจริงต้องปรากฏแก่ปัญญา ไม่ใช่ปรากฏแก่อวิชา เพราะอวิชานี่ครับ ไม่รู้แม้สิ่งนั้นมี แต่ว่าไม่สามารถจะรู้ตามความเป็นจริง ยังมีความยึดถือว่าเป็นเรา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งเป็นอัตตา เป็นตัวตน

    ดังนั้นนี่ครับ ความเป็นจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยปัญญาอันยิ่งของพระองค์ รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับไปเป็นธรรมดา ดังนั้นเมื่อมีการเกิดขึ้น มีการดับไป ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาจึงแสดงธรรมทั้งหลายว่าเป็นอนัตตา ดังนั้นพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงนะครับ แสดงความเป็นจริงให้บุคคลที่ฟัง พิจารณาไตร่ตรอง และเป็นปัญญาของแต่ละบุคคล ไม่ใช่ไปบอกให้คนนั้น คนนี้เชื่อ หรือว่าเพียงสวด หรือว่าเพียงกล่าวตามเท่านั้น แต่ต้องเป็นเรื่องของความเข้าใจให้ถูกต้องซึ่งเป็นปัญญา เป็นสภาพที่ละอวิชาได้ครับ

    อ.ทวีศักดิ์ กราบเรียนท่านอาจารย์ได้กล่าวถึงพระพุทธศาสนาเถรวาท เรียนเชิญครับ

    ท่านอาจารย์ ก็คงต้องเข้าใจทีละคำนะคะ เถระคือมั่นคง เพราะฉะนั้นวาทะที่ไม่เปลี่ยนแปลงคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มั่นคงนะคะ ก็คือเถรวาท เพราะอะไรคะ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริง เพราะฉะนั้นทุกคำเป็นคำจริง เมื่อได้ทรงบัญญัติพระวินัยแล้วนะคะ ใครคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข เพราะไม่รู้คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าทุกอย่างที่พระองค์ได้กระทำเป็นประโยชน์สุขแก่ชาวโลก ด้วยพระมหากรุณา เพราะฉะนั้นก็ถ้าไม่ศึกษานะคะ ก็จะคิดว่ายุคสมัยเปลี่ยนไป ทุกอย่างก็จะเปลี่ยนไปด้วย หรืออย่างที่บอกว่าคนที่ศึกษาธรรมเนี่ยไม่ทันสมัยแต่เขาหารู้ไม่นะคะ ว่าสมัยคืออะไร

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 190
    30 ต.ค. 2567