ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1388


    ตอนที่ ๑๓๘๘

    สนทนาธรรม ที่ โรงแรมชัยคณาธานี จ.พัทลุง

    วันที่ ๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๑


    ท่านอาจารย์ มีที่เผาศพค่ะ ที่วัดไม่ได้ดำเนินกิจกรรมเป็นที่เผาศพฌาปนสถานนะคะ หลายแห่ง คุณคำปั่นจะแนะนำไหมค่ะ

    อ.คำปั่น กราบท่านอาจารย์ครับ คำหนึ่งนะครับ ที่ชาวพุทธได้ยินก็คือคำว่าฌาปนกิจก็คือกิจคือการเผา ถ้าพูดตามภาษาไทยเราก็คือเผาศพ แล้วจะเผาที่ไหนนะครับ ก็คือฌาปนสถานก็คือที่เป็นที่เผาศพ ซึ่งก็มีหน่วยงานหลายหน่วยงานนะครับ อย่างเช่นกองทัพบก กองทัพเรือนะครับ ที่จัดให้มีการสร้างสถานที่ ที่เป็นที่เผาศพโดยที่ไม่เกี่ยวข้องกับพระภิกษุ โดยที่ไม่เกี่ยวข้องกับวัดเลยนะครับ โดยที่คฤหัสถ์เป็นผู้ที่ดำเนินการ ซึ่งอย่างนี้ก็เป็นสิ่งที่ถูกต้องนะครับ

    เพราะฉะนั้นจะเผาที่ใด ที่เป็นที่ที่เหมาะควรที่ไม่ใช่วัด เพราะว่าวัดไม่ใช่ที่ที่เผาศพ เป็นสถานที่อยู่ของผู้ที่สงบเท่านั้นนะครับ เพราะฉะนั้นถ้าเป็นชาวพุทธที่เข้าใจในพระธรรมคำสอนจริงๆ นะครับ ก็จะเป็นผู้ที่จริงใจ แล้วก็น้อมประพฤติตามในสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงอนุญาติไว้เท่านั้น ไม่กระทำในสิ่งที่ผิด ไม่ส่งเสริมในสิ่งที่ผิดครับท่านอาจารย์ครับ

    ท่านอาจารย์ มีหลายจังหวัดนะคะ ที่มีที่เผาศพที่ใช้คำว่าป่าช้า เท่าที่เห็นก็มีเชียงใหม่สกลนคร และก็คงจะมีที่อื่นอีกนะคะ เพราะฉะนั้นไม่ควรที่จะทำผิดพระธรรมวินัย เพราะเหตุว่าการไปเผาศพในวัดอย่างยุคปัจจุบันนี่ค่ะ พระดำเนินการ แล้วจะศึกษาธรรมะเมื่อไร ใช่ไหมค่ะ แล้วก็ทุกอย่างหมดเช่น พิธี ๓ วัน ๔ วัน พระมานั่งสวด และชาวบ้านไม่รู้เนี่ย ก็เอาเงินถวาย ถวายทำไม และพระสวดทำไม ใช่ไหมค่ะ ก็ไม่มีเหตุผล

    แต่ธรรมะที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงให้เกิดปัญญาความเข้าใจความเป็นจริงที่ถูกต้อง ถ้าเป็นสิ่งที่ไม่ได้เกิดบุญกุศลแต่หลงผิดเข้าใจผิด ว่าเป็นบุญกุศล เขาก็ไม่สามารถที่จะได้เข้าใจธรรมะ จนกว่าจะได้ฟัง แล้วก็มีความกล้าที่จะทำความดี และความถูกต้อง เพราะว่าถ้าเป็นความถูกต้องเป็นสิ่งที่ดีทำไมไม่กล้าทำ และถ้าไม่รีบทิ้งสิ่งที่ผิดโดยเร็วนะคะ ก็จะสะสมสิ่งที่ผิดติดตามไปอีกมาก

    เพราะฉะนั้นคนที่มีความเข้าใจถูกต้องนะคะ ก็จะทำสิ่งที่ถูกต้องไม่หวั่นไหว และไม่ต้องเสียเงินมากเลยนะคะ เพราะว่าตามที่ได้ทราบในยุคนี้สมัยนี้นะคะ บางศพเนี่ยค่าเผา เป็นแสน ใช่ไหมคะ แต่ว่าเอาไปทำอะไรคะ ไปทำสิ่งที่ไม่เกิดประโยชน์เลยเพราะเหตุว่าไม่รู้ไม่เข้าใจว่าทำอะไร และทำทำไม แต่ที่ฌาปนสถานนะคะ ก็เพียงแต่ค่าฟืนนะคะ และสิ่งที่จำเป็นเท่านั้น มีท่านที่จะแสดงความเห็นใช่ไหมคะ

    ผู้ฟัง เรียนท่านอาจารย์นะคะ พัทลุงเนี่ยเกี่ยวกับให้เผาศพเหมือนกองทัพบก กองทัพเรืออะไรเนี่ยนะคะ มันไม่มี มันก็ต้องจำเป็นต้องไปวัด ถ้าไม่เป็นวัดต้องไปฝัง ฝังมันก็ไม่มีที่ฝังอีกนะคะ มันก็ต้องเปลี่ยนปรับไปตามยุคตามปัจจุบันนะคะ อาจจะผิดบ้าง มันก็ไม่ถูกเท่าไหร่หรอก แต่ก็ต้องไปตามยุคนะคะ ถึงงานศพก็เหมือนกัน เราจะไม่ไปเลยเหรอ นะคะ การที่จะเปลี่ยนอะไรสักอย่างเนี่ย มันก็ค่อนข้างจะยากเหมือนกันนะคะ

    ท่านอาจารย์ ค่ะ แต่ถ้ามีความเข้าใจว่าอะไรถูก อะไรผิด จะทิ้งสิ่งที่ผิด และทำสิ่งที่ถูกไหมคะ

    ผู้ฟัง ก็อยากจะทิ้งเหมือนกัน

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่ทิ้งก็ผิดต่อไปอีกนาน แต่ถ้าทิ้งโดยเร็วก็ผิดน้อยลงใช่ไหมคะ ไม่ไปเก็บไว้มากๆ เพราะฉะนั้นต้องมีความเข้าใจที่ถูกต้องก่อนอื่นนะคะ ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีการฟังพระธรรม ไม่มีผู้ที่ สามารถจะสละอาคารบ้านเรือนเพื่ออะไรคะ เพื่อศึกษาธรรมะ

    และขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิตตามรอยพระบาทของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ประพฤติอย่างไร ภิกษุต้องประพฤติตามเพราะเป็นศากยบุตร เพราะฉะนั้นสมัยนู้นนะคะ ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีการได้ฟังพระธรรม ไม่มีการสละอาคารบ้านเรือน ไม่มีผู้ที่ดำเนินตามรอยพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะมีวัดไหม

    ผู้ฟัง ไม่มีค่ะ

    ท่านอาจารย์ ไม่มี เพราะฉะนั้นต้องมั่นคงว่าวัดคืออะไร เราเปลี่ยนไม่ได้ค่ะ เราเป็นใครพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นใคร ประโยชน์ที่ทรงแสดงพระธรรมแก่ผู้ที่สามารถสละอาคารบ้านเรือนได้ ก็จะต้องมีที่อยู่ ที่ไม่เหมือนชาวบ้านใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นวัดต้องเป็นที่อยู่ของพระภิกษุ จะไปทำกิจอื่นได้ไหม เป็นกิจของภิกษุหรือเปล่า เพราะว่าภิกษุไม่ใช่ชาวบ้าน ชาวบ้านก็อยู่บ้านทำอะไรก็ได้ เพราะฉะนั้นถ้ามีความคิดในยุคนี้นะคะ ว่าวัดควรจะเป็นที่ท่องเที่ยว สร้างวัดให้ดีมีสิ่งจูงใจต่างๆ เพื่อให้คนจะได้ไปวัด ถูกไหม

    ผู้ฟัง ก็ไม่ถูกนะค่ะ

    ท่านอาจารย์ ก็ไม่ถูก เมื่อไม่ถูกแล้ว เราก็ต้องช่วยกันทำสิ่งที่ถูกใช่ไหม ค่ะ เพราะฉะนั้นก็ต้องพิจารณาตั้งแต่ว่าวัดเป็นที่สงบ ต้องไม่ลืมคำนี้ เป็นที่อยู่ของใคร แล้วจะไปมีอะไรในวัดได้ไหม เช่นมหรสพ หรือการเผาศพ หรือตลาดนัด หรือโรงเรียน ที่สอนการทำขนมปังหรืออะไรต่างๆ เหล่านี้ได้ไหม

    ผู้ฟัง ก็ไม่ได้นะคะ

    ท่านอาจารย์ ก็ไม่ได้ ถ้าทุกคนเข้าใจอย่างนี้นะค่ะ เราก็จะช่วยกันทำสิ่งที่ถูกต้องเริ่มตั้งแต่เผาศพใช่ไหมคะ เพราะเหตุว่านำมาซึ่งความทำลายพระพุทธศาสนา เพราะพระภิกษุรับเงินทอง

    ผู้ฟัง คือ ถ้าเป็นพระภิกษุตามพระธรรมวินัยนะคะ คิดว่าปัจจุบันแทบจะหาได้ยากมากค่ะ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเข้าใจแล้ว เราจะปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปไหม หรือว่าให้เข้าใจถูกต้องเพื่อแก้ไข อะไรที่ผิดแล้วจะแก้ไหม

    ผู้ฟัง เราก็แก้ค่ะ แต่เราต้องคิดว่าเรานี้ก็คือไม้ซีกนะคะ

    ท่านอาจารย์ ไม้ซีกรวมๆ กัน ก็ทำอะไรได้ใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่ท้อถอย เรามีความมั่นคงในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นที่พึ่ง เป็นพระรัตนตรัย เป็นที่ปลอดภัยที่สุดนะคะ ไม่ใช่แต่เฉพาะในชาตินี้ แต่ในสังสารวัฎ ทุกคนในโลกเนี้ยค่ะคิดโครงการแค่สั้นๆ ๕ ปี เอายาวหน่อยก็ ๑๐ ปี ยาวหน่อยก็ ๒๐ ปี ทำไมไม่คิดถึงโครงการที่ไม่สิ้นสุด คือโครงการในสังสารวัฎ

    ทุกคนต้องจากโลกนี้ไปแน่ค่ะ แล้วจะเอาสิ่งผิดๆ ไม่ถูกต้อง แล้วก็ทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราจะไปที่ไหน ก็ต้องไปสู่ที่ผิดใช่ไหมคะ นรกบ้าง เปรตบ้าง อสูรกายบ้าง สัตว์เดรัจฉานบ้าง เพราะฉะนั้นการที่เราเป็นมิตรที่ดีนะคะ ต้องรู้ว่ามิตรคือผู้ที่หวังดี พร้อมที่จะทำประโยชน์เกื้อกูลนะคะ ไม่ทำสิ่งที่เป็นโทษเป็นภัย นั่นคือมิตร

    เพราะฉะนั้นการที่เรากล่าวถึงพระธรรมวินัยเพื่อให้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง เพื่อให้เข้าใจถูก เราเป็นมิตรหรือไม่ใช่มิตร หวังดีหรือเปล่าที่จะให้เข้าใจให้ถูกต้อง ชีวิตสั้นมากค่ะ อาจจะเป็นแค่เย็นนี้ หรือพรุ่งนี้ก็ได้ แต่ถ้าได้ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ที่สุดนะคะ กับตนเองคือสิ่งใดผิดก็ทิ้งเสีย และสิ่งใดถูกก็ต้องรีบทำหมายความว่าไม่รีรอนะคะ หรือว่าคิดว่า เราไม้ซีกทำอะไรไม่ได้แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง โดยไม่คำนึงถึงว่าเท่าไหร่ ใช่ไหมคะ แต่คนที่เป็นเพียงหนึ่งนั้นก็รอดพ้นจากความเห็นผิด

    เพราะฉะนั้นถ้าเราสามารถที่จะกล่าวพระธรรมวินัยให้ใครได้เข้าใจถูกต้อง ให้เขาพ้นจากความเห็นผิดไม่ใช่เฉพาะชาตินี้นะคะ ในสังสารวัฎด้วย เพราะเมื่อมีความเห็นผิดในชาตินี้ ชาติต่อไปก็เห็นผิด แม้มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้นะคะ พวกที่สะสมความเห็นผิดก็ไม่ไปเฝ้าอย่างพวกเดียรถีย์นะคะ นับถือครูอาจารย์ที่ผิด พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับที่พระเชตวัน เขาก็ไม่ไปเฝ้า ที่ไหนเขาก็ไม่ไป เพราะฉะนั้นถ้าประมาทนะคะ แต่ละหนึ่งขณะที่เรารีรอ แล้วก็สะสมความเห็นผิดไม่กล้าที่จะทำสิ่งที่ถูก เป็นโทษกับตนเอง และกับคนอื่นด้วย

    ผู้ฟัง อยากจะกราบเรียนถามอาจารย์นะคะ ว่า ที่คนตายแล้วไปเผาที่วัดอันนี้แก้ไขยากมาก อยากจะขอคำแนะนำอาจารย์ว่าควรจะทำอย่างไรที่จะได้ผล และไม่เป็นที่ต่อต้านของชาวบ้าน เพราะเขาทำกันมาเป็นประเพณีจนว่าตั้งแต่เกิดมานะคะ ก็จะเห็นกิจกรรมอย่างนี้ตั้งแต่เด็กๆ จนปู่ย่าตายายก็ทำกันอยู่ในวัด ที่นี่ถ้าจะมา เราไปหนึ่งปากหนึ่งเสียงไปต่อต้านนี่คิดว่าน่าจะยากมาก มากๆ เลยค่ะ ขอบคุณค่ะอาจารย์

    ท่านอาจารย์ ค่ะ ต้องรู้ว่าสาเหตุมาจากไหน ถ้าเราไม่แก้ที่ต้นเหตุนะคะ เราแก้อะไรไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นต้นเหตุคือการไม่เข้าใจพระธรรม เพราะว่าไม่ได้ศึกษาธรรมะ เพราะฉะนั้นยุคสมัยนะคะ ก็คือว่าเมื่อไม่มีการเข้าใจธรรมะ ก็คิดธรรมะเอง และก็กล่าวธรรมะที่ไม่ถูกต้อง เมื่อคนอื่นฟังก็ไม่รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิดนะคะ ก็เป็นเหตุที่จะให้ผิดเพิ่มขึ้น

    ด้วยเหตุนี้ถ้ารู้สาเหตุนะคะ เราก็ต้องเป็นผู้ตรง พระพุทธศาสนาบริสุทธิ์ ไม่ได้หวังอะไรจากใครเลยทั้งสิ้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสละทุกอย่าง และพระองค์จะกลับไปรับสิ่งที่เล็กน้อยเหลือเกินเมื่อเทียบกับการรู้ความจริง ซึ่งยากที่จะรู้ได้ เพราะฉะนั้นค่าของการที่พระองค์ได้ตรัสรู้ และแสดงธรรมมะเนี่ยมากมายมหาศาลนะคะ ที่จะทำให้คนที่ฟังจากไม่รู้เลยเนี่ยได้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง นี่ต่างหากละคะ ที่เป็นประโยชน์ที่แท้จริง

    เพราะฉะนั้นเมื่อเรารู้ว่าประโยชน์ที่แท้จริงคืออะไรนะคะ เราก็ให้ประโยชน์ที่แท้จริงกับคนอื่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมท่ามกลางพวกเดียรถีย์ความเห็นอื่นทั้งหมด แต่เพระเหตุว่าพระธรรมเป็นสิ่งที่จริงแท้ มีค่าที่ประเสริฐ เพราะฉะนั้นพระองค์ไม่ได้หวั่นไหวเลยนะคะ ทั้งๆ ที่มีครูทั้ง ๖ มีความเห็นผิดมาก แต่ความจริงที่ได้ประจักษ์แจ้งแล้วนี่จะเป็นประโยชน์กับคนอื่น ก็ทรงแสดงธรรมเพื่อประโยชน์คือความเข้าใจ

    เพราะฉะนั้นผู้ที่มีความเข้าใจแล้วนะคะ ด้วยการเห็นประโยชน์นี่คะ เป็นผู้ที่สามารถทำทุกอย่างได้ เพื่อประโยชน์เหมือนอย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงกระทำ เพราะฉะนั้นก็ไม่มีการที่จะคิดว่าอีกนานเท่าไหร่มากหรือน้อยนะคะ แต่เพียงใครสักคน ๒ คน ๑๐ คน ๑๐๐ คน ๑,๐๐๐ คน จะมีความเข้าใจที่ถูกต้องเพิ่มขึ้น นั่นก็คือผู้ที่เป็นมิตร ที่มีความหวังดีนะคะ ที่ได้รักษาคำสอนของพระศาสนา เพื่อคนอื่นต่อไปเหมือนกับที่พระองค์นี่คะ ได้ตรัสรู้ และแสดงธรรมะจนเราสามารถที่จะเข้าใจ

    เราก็สามารถที่จะเผยแพร่ให้คนอื่นได้มีความรู้ ความเข้าใจ ที่ถูกต้อง ประกาศคำสอนของพระองค์นะคะ เพื่อสิ่งที่ผิดมากๆ นี่คะ ถ้าหายทั้งหมดไม่ได้ทันที แต่ถ้ามีการเริ่มแก้ไขบ้างทีละเล็กทีละน้อยไปเรื่อยๆ ผลก็ต้องตามแต่เหตุ แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง พระองค์ก็ยังไม่สามารถที่จะทำให้คนที่เห็นผิดทั้งหมดมากลับนับถือคำสอนของพระองค์ได้ เราก็เช่นเดียวกันนะคะ

    แต่เราก็ด้วยความหวังดีนะ ก็เหมือนกำลังที่จะทำให้เห็นประโยชน์แก่คนอื่น และคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่จะดำรงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์นะคะ ได้ดำรงต่อไป เพื่อคนอื่น เพื่อประโยชน์ และเพื่อตัวเราเองด้วย ที่ได้ทำประโยชน์คือได้ตอบแทนคุณของพระรัตนตรัย คือพูดคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ประกาศทุกอย่างที่จะให้คนที่สามารถเข้าใจได้นี่ได้เข้าใจ ก็เป็นประโยชน์อย่างยิ่งแม้เพียงหนึ่งคน เพราะฉะนั้นเราต้องค่อยๆ แก้ไขด้วยความไม่หวั่นไหวด้วยความไม่ท้อถอย ด้วยความกล้าที่จะทำความดีนะคะ เพราะว่าความดีจริงๆ แล้วถึงใครจะรู้ หรือไม่รู้ ใครจะคิดยังไง ก็เปลี่ยนความดีให้เป็นอื่นไม่ได้

    ผู้ฟัง ขอบคุณอาจารย์มากค่ะ


    สนทนาธรรมที่โรงแรมไชยแสงพาเลส จังหวัดสิงห์บุรี

    วันที่ ๒๗ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๑


    อ.วิชัย ท่านอาจารย์ครับ การที่จะเริ่มต้นเข้าใจว่าคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งผ่านกาลเวลาที่ยาวนาน ที่จะรู้ว่าสิ่งไหนจริงหรือไม่จริงเริ่มต้นอย่างไรครับ ท่านอาจารย์ครับ

    ท่านอาจารย์ ค่ะ ก็ต้องฟังคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว ทุกคำนะคะ เป็นคำที่มาจากการตรัสรู้ เพราะฉะนั้นเป็นคำที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อน เพราะว่าก่อนนั้นไม่มีการตรัสรู้ แต่เมื่อมีผู้ที่บำเพ็ญเพียรนะคะ อบรมบารมีถึงเวลาที่จะตรัสรู้ ยากแค่ไหนทุกสิ่งทุกอย่างกำลังปรากฏ

    แต่ว่าไม่มีใครรู้ความจริงเพราะเหตุว่าถูกปกปิดไว้นะคะ จนกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงตรัสรู้ทุกสิ่งทุกอย่างในขณะนี้ ซึ่งเป็นความจริงถึงที่สุดโดยประการทั้งปวง เพราะฉะนั้นคำที่ได้ฟังนี่คะ ก็ต้องเป็นคำที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย และก็เป็นคำของผู้ที่ไม่มีผู้ใดเปรียบได้ในพระปัญญาคุณ ในพระบริสุทธิคุณ และในพระมหากรุณาคุณ

    เพราะฉะนั้นแต่ละคำนี่คะ เกิดจากการตรัสรู้ความจริงด้วยปัญญาที่เหนือบุคคลใดทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่าใครได้ยินคำไหนนะคะ แล้วก็คิดเอง เข้าใจเอง แต่จะต้องศึกษาทุกคำให้เข้าใจจริงๆ อย่างมั่นคง จึงจะรู้จักคุณธรรมหรือพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้

    ด้วยเหตุนี้นะคะ กว่าจะได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ต่อเมื่อได้เข้าใจธรรมะที่พระองค์ตรัสไว้ดีแล้ว มิเช่นนั้นแล้วนะคะ จะไม่มีใครเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย เพราะเหตุว่าแม้พระพุทธรูป คือเครื่องหมายที่ทำให้ระลึกถึงพระองค์ แต่ไม่รู้คุณของพระองค์ แล้วจะรู้จักพระองค์ได้อย่างไร ทั้งหมดนี้นะคะ เป็นคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ด้วยพระองค์เอง

    เพราะฉะนั้นผู้ที่เริ่มได้ยินได้ฟังธรรมะ มีความเคารพสูงสุดในแต่ละคำ ว่าเป็นเรื่องที่จะต้องเข้าใจ ไม่ใช่เพียงฟัง ไม่ใช่เพียงจำ ไม่ใช่เพียงท่อง หรือไม่ใช่เพียงคิด แต่จะต้องพร้อมด้วยเหตุผลทุกอย่าง ซึ่งสามารถที่จะเข้าใจได้เพราะขณะนี้นะคะ ก็เป็นสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ทุกกาลสมัย ไม่ว่าที่ใดก็ตาม

    เพราะฉะนั้นความลึกซึ้งของธรรมมะนี่คะ ทำให้ผู้ที่ไม่ได้ศึกษาความละเอียด โดยถ่องแท้ด้วยความเคารพนะคะ ก็เข้าใจผิด เช่น สำนักปฏิบัติ เข้าใจว่ายังไง เห็นไหมคะ ได้ยินชื่อแต่ก็ไปสู่สำนักปฏิบัติกัน แต่เข้าใจอะไร เป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า พระองค์ไม่ได้ตรัสให้ใครไปที่ไหนนะคะ และไปทำอะไร แต่เมื่อมีคนที่ไปเฝ้าพระองค์พระองค์ก็ตรัสให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ ซึ่งเขาไม่เคยรู้มาก่อน

    เพราะฉะนั้นทุกคำนี่คะ ต้องเป็นการฟังด้วยความเคารพจึงจะเป็นชาวพุทธนะคะ ผู้ที่มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งไม่ได้หมายความว่าไม่เข้าใจธรรมะ แล้วมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งแต่เมื่อเข้าใจธรรมะ นั่นแหละจึงมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่จะทำให้รู้ความจริงจนสามารถที่จะค่อยๆ คลายอกุศล จนถึงการดับอกุศลได้ตามที่พระองค์ได้ทรงแสดงแล้ว

    เพราะฉะนั้นทุกคำขณะนี้นะคะ ก็เป็นคำที่จะทำให้ละความไม่รู้ ความไม่รู้มีจริงๆ ค่ะ เช่นไม่รู้ว่าธรรมะคืออะไร เดี๋ยวนี้คืออะไร แล้วก็จะรู้ไม่ได้เลย ถ้าไม่ได้ฟังคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นการที่จะมีความเคารพสูงสุดนะคะ ในพระธรรมที่ทรงแสดงไว้ คือไม่ประมาทว่าคำของพระองค์เนี่ย ใครๆ ก็เข้าใจได้เล็กน้อย แต่ความจริงเป็นสิ่งที่ละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่งนะคะ

    เพราะฉะนั้นถ้ามีการที่เข้าใจถูกต้อง ก็จะรู้ว่าความไม่รู้เป็นเหตุนำมาซึ่งกิเลสความไม่ดีงามทั้งหมด ความทุจริต ทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจ ทั้งหน้าที่การงาน ทั้งเรื่องครอบครัวทุกอย่างหมดค่ะ เป็นเพราะเหตุว่าไม่รู้ความจริงว่าถูกคืออะไร และผิดคืออะไร และธรรมะคืออะไร ความจริงก็คือว่าไม่รู้จักอะไรสักอย่างตั้งแต่เกิด และก็จะไม่รู้ต่อไปจนตาย ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้นต้องรู้ก่อนนะคะ ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดงธรรมะ และธรรมะคืออะไร เพราะฉะนั้นต้องรู้ว่าสิ่งที่มีจริงนี่คะ เช่น เห็น ได้ยิน ก็กำลังเห็นแล้วก็กำลังได้ยิน แล้วใครรู้อย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้ ไม่มีเลยนะคะ ถ้าไม่ได้ศึกษาให้เข้าใจจริงๆ ว่าธรรมะหมายความถึงสิ่งที่มีจริง แต่ละคำนี่คะ ต้องพิจารณาอย่างละเอียด นะคะ

    สิ่งที่มีจริง ถ้าถามท่านผู้ฟังว่าเดี๋ยวนี้อะไรมีจริง เริ่มคิดใช่ไหมคะ ไม่ใช่ฟังเฉยๆ ค่ะ ถ้าฟังเฉยๆ ก็เพียงแต่รับฟังความเห็นของคนอื่น แต่ความเห็นของคนอื่นเนี่ยตรงกับการที่เดี๋ยวนี้มีอะไรที่ปรากฏ ซึ่งไม่เคยเข้าใจไม่เคยรู้มาก่อน แต่สามารถที่จะเข้าใจได้ จากคำซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ซึ่งเปลี่ยนไม่ได้เลยนะคะ ไม่ว่าจะเป็นธรรมะ ไม่ว่าจะเป็นวินัย ผู้ที่ทรงตรัสรู้ทรงแสดงถึงที่สุดด้วยประการทั้งปวง ทั้งพระธรรม และพระวินัย

    เพราะฉะนั้นผู้ที่มีความมั่นคง ในการเข้าใจพระปัญญาคุณของพระสัมมาส้มพุทธเจ้าก็รู้ว่าไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลง หรือเพิกถอนคำที่พระองค์ได้ตรัสไว้ดีแล้ว ทั้งพระธรรม และพระวินัย ด้วยเหตุนี้นะคะ ก่อนอื่นเพียงแค่คำเดียวค่ะ ความจริงของสิ่งที่มีจริง แค่นี้ค่ะ รู้หรือยัง ถ้ายังไม่รู้นะคะ จากโลกนี้ไปก็ไม่รู้อีก มืดตลอด มืดมาในสังสารวัฎ แล้วก็มืดต่อไป

    แต่เพียงได้ฟังแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็เริ่มมีความเข้าใจขึ้นนะคะ เหมือนแสงสว่างให้รู้ความจริงว่า เดี๋ยวนี้มีเห็นแน่ๆ นะคะ และมีได้ยิน เพราะฉะนั้นเห็นมีจริง ได้ยินมีจริง ทั้งวัน ทุกวันมีเห็น มีได้ยิน มีได้กลิ่น มีลิ้มรส มีรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส มีการคิดนึก มีสุข มีทุกข์ ซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ตรงกับพระธรรมที่ว่าสังขารทั้งหลายไม่เที่ยง สังขารหมายความถึงสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม ซึ่งขณะนี้ปรากฏต้องเกิดขึ้น ถ้าไม่เกิดไม่มี

    และการที่สิ่งหนึ่งสิ่งใดจะเกิดได้ ไม่ใช่ใครบันดาลให้เกิดได้เลยนะคะ ลองบันดาลให้ปัญญาเข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้สิ ไม่มีใครสามารถจะบันดาลได้ หรือแม้แต่เห็นก็ไม่มีใครสามารถที่จะทำให้เกิดขึ้นได้ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นนี่คะ เมื่อมีเหตุปัจจัย ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยเกิดไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ชีวิตแต่ละชีวิตของแต่ละคนนะคะ จึงหลากหลายประมาณไม่ได้เลย

    เพราะว่าแต่ละหนึ่งคน เป็นแต่ละหนึ่งธรรมะ สิ่งหนึ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้น และดับไป เพราะฉะนั้นต้องค่อยๆ ฟังนะคะ ธรรมะคือสิ่งที่มีจริง และต้องพิสูจน์ด้วยตัวเองว่าเดี๋ยวนี้อะไรมีจริง เห็นมีจริง ถ้าเห็นไม่เกิดขึ้นไม่มีเห็น และถ้าไม่มีตา เห็นไม่ได้เลยค่ะ และถ้ามีตาแต่ไม่มีสิ่งมากระทบตาอย่างข้างหลังนะคะ ก็ไม่มีใครเห็น เพราะฉะนั้นแม้แต่หนึ่งขณะของชีวิตซึ่งเห็นนี่คะ ก็ต้องอาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

    ถ้าไม่รู้ว่านี่ไม่ใช่เราก็หลงว่าเป็นเรา รักที่สุดคือรักตัวเอง ขวนขวายหาทุกอย่างเพื่อตัวเองแต่รู้ไหมคะว่าจะจากโลกนี้ไปเดี๋ยวนี้ก็ได้ แต่เต็มไปด้วยความไม่รู้ และความต้องการ และความขวนขวายซึ่งถ้าไม่รู้ความจริงนะคะ ความอยาก ความต้องการนี่ถึงกับให้ทำทุจริตต่างๆ ซึ่งเป็นโทษทั้งกับตนเอง และคนอื่นด้วยโดยไม่รู้เลยค่ะ

    แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงละเอียดยิ่งนะคะ ทุกขณะทุกอย่างตามความเป็นจริง ให้รู้ว่าความถูกต้องคืออะไร สิ่งใดดี สิ่งใดชั่ว ความไม่รู้มีจริงๆ หรือเปล่า เห็นมั้ยคะใครบอกว่าไม่มีบ้างคะความไม่รู้ ก่อนฟังธรรมะก็ไม่รู้ว่าอะไรจริง เห็นจริง ได้ยินจริง หมดแล้วดับแล้ว อยู่ไหนไม่เหลือเลยสักอย่างเดียว เป็นอย่างนี้ตลอดนะคะ ตั้งแต่เกิดจนตายไม่มีอะไรเหลือเลย เห็นเมื่อกี้หมดแล้ว ได้ยินเมื่อกี้หมดแล้ว

    ทุกอย่างผ่านไป แต่ก็ต้องมีปัจจัยที่จะเกิด และความไม่รู้ก็เป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถึงเวลาหรือยังที่จะได้รู้ความจริง เพราะเหตุว่าไม่รู้กับรู้เนี่ยต่างกันมาก ด้วยเหตุนี้นะ คำว่าธรรมะไม่ได้บอกว่าคน ไม่ได้บอกว่าสิ่งของ แต่ธรรมะในภาษาบาลี ในภาษาไทยก็คือสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงใครเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลยขณะนี้

    เพราะฉะนั้นแม้แต่คำว่าธรรมะนะคะ ก็ต้องมีความมั่นคง โกรธเป็นธรรมะหรือเปล่า มีจริงก็เป็นธรรมะ มานะสำคัญตน มีจริงหรือเปล่า ทุกอย่างทั้งวันนะคะ เริ่มเข้าใจได้ว่าเป็นธรรมะทั้งหมด ไม่ว่าอะไรทั้งสิ้น สิ่งที่มีจริงทั้งหมดเป็นธรรมะ ซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วดับไป แล้วไม่กลับมาอีกเลย

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 190
    24 ธ.ค. 2567