พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 850


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๘๕๐

    ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๓๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๖


    อ.กุลวิไล กราบเรียนท่านอาจารย์ เพราะว่าเราได้ยินคำว่า โลก มามากแต่เราจะรู้โลกตามความเป็นจริงได้อย่างไร และที่เราเข้าใจ และรู้กันอยู่นี้ก็จะรู้ตามที่ทรงแสดงที่ละเอียดลึกซึ้งได้อย่างไรเพราะว่า ท่านแสดงโลกในความหมายที่แตกสลายเป็นธรรมดา แต่เราไม่รู้จักโลกตามความเป็นจริง ช่วงแรกจะกราบเรียนท่านอาจารย์กับความหมายของคำว่า โลก

    ท่านอาจารย์ ไม่ว่าจะรู้จักอะไรก็คือ รู้จักสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ มิฉะนั้นจะชื่อว่ารู้จักไม่ได้เลย แม้แต่คำว่า โลก หรือ โลกะ ไม่ใช่สิ่งที่ไม่มี เป็นสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ซึ่งสามารถที่จะพิจารณา และเข้าใจข้อความในพระไตรปิฎกได้เมื่อเข้าใจว่า ขณะนี้ที่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดกำลังปรากฏ สิ่งนั้นนั่นแหละเป็นโลก ไม่ว่าอะไรทั้งสิ้นที่กำลังปรากฏในขณะนี้ สิ่งนั้นแหละมีจริง เกิดขึ้นแล้วดับไป ตรงกับโลกที่ได้ตรัสไว้ว่า สังขารโลก หรือว่า สัตวโลก หรือว่า โอกาสโลกซึ่งจะต้องเข้าใจว่า เดี๋ยวนี้รู้จักโลกรึยัง มีโลกแน่นอนแต่ว่าโลกที่มีรู้จักรึยัง เห็นเดี๋ยวนี้เป็นโลกแน่นอน เพราะเหตุว่า ต้องมีความเข้าใจละเอียดกว่านั้นอีกว่า ถ้าพูดถึงเห็นไม่ได้พูดถึงอย่างอื่นเลยทั้งสิ้น เริ่มเข้าใจลักษณะของโลก ๑ ซึ่งมีจริงคือ โลกเห็น ในขณะนี้ เพราะฉะนั้นถ้าฟังธรรมผิวเผินเราก็จะฟังเพียงเรื่องราวของสภาพธรรม แต่ถ้าไม่ผิวเผิน ทุกขณะเมื่อมีสิ่งที่มีจริงๆ ปรากฏ สิ่งนั้นแหละเป็นโลก เพราะฉะนั้นทุกขณะในชีวิตไม่เว้นเลยเป็นโลก เพราะเหตุว่า เป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้น และไม่ยั่งยืน เกิดขึ้นแล้วดับไปแต่การเกิดับเร็ว และเล็กน้อนแสนสั้น และมีสิ่งอื่นซึ่งเกิดสืบต่ออยู่ตลอดเวลา ถ้าฟังอย่างนี้ก็พอที่จะค่อยๆ เข้าใจได้ว่า เมื่อกี้นี้มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดแล้ว และมีสิ่งอื่นที่เกิดสืบต่อจนถึงเดี๋ยวนี้ ในขณะนี้เห็นดับแล้วก็มีสิ่งที่ได้ยินปรากฏ หรือว่ามีแข็ง หรือมีอะไรก็ตามทั้งหมดที่เคยไม่รู้เลยในวันหนึ่ง ในวันหนึ่งๆ ไม่รู้สภาพธรรมจึงไม่รู้จักโลก เพราะฉะนั้นถ้าจะรู้จักโลกไม่ใช่ไปรู้ที่อื่นเลยแต่รู้สิ่งที่กำลังมีทุกขณะนี่เองซึ่งเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก เพราะฉะนั้นก็ต้องได้ยินคำว่า โลก ต่อไปนี้ก็รู้ว่าสิ่งที่กำลังมีนี้แหละเป็นโลก ถ้าพูดถึงเห็นๆ เกิดขึ้นเห็นเป็นโลก ได้ยินเกิดขึ้นได้ยินเป็นโลก เพราะฉะนั้นจะมีอะไรไหมที่ไม่ใช่โลกในเมื่อทุกอย่างที่เกิดเป็นโลกสิ่งหนึ่งสิ่งใดแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้นก่อนอื่นที่จะได้รู้จักโลกมากกว่านี้ก็ต้องรู้ว่า โลกคือขณะไหนเมื่อไหร่ เดี๋ยวนี้เองสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่ปรากฏ เคยคิดไหมว่า เห็นเป็นโลก ถ้าไม่เคยฟังมาก่อนไม่มีทางเลยใช่ไหมก็เข้าใจว่า เป็นเราเห็น แต่แต่ละคำที่ทรงแสดงเป็นวาจาสัจจะ เป็นความจริงซึ่งสามารถที่จะเข้าใจขึ้น และพิสูจน์ได้ แม้แต่คำเดียวคือคำว่า โลก ก็ไม่ผ่านไป เพราะฉะนั้นตอนนี้เริ่มรู้จักโลกรึยังว่าโลกคืออะไร ถ้ารู้แล้วไม่เปลี่ยน และค่อยๆ ฟังค่อยๆ เข้าใจโลกไปทีละเล็กทีละน้อย แต่ก็ต้องหมายความถึงสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้นั่นเอง

    อ.กุลวิไล ท่านอาจารย์กล่าวว่า ไม่รู้จักสภาพธรรมไม่รู้จักโลก ทำให้ดิฉันกลับมาที่คำถามอชิตปัญหาที่ ๑ ที่ท่านอชิตมาณพเรียนถามพระพุทธเจ้าว่า โลกคือหมู่สัตว์อันอะไรหุ้มห่อไว้ พระผู้มีพรภเจ้าตรัสตอบว่า โลกอันอวิชชาหุ้มห่อไว้ กราบเรียนท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ แต่ละคำลึกซึ้ง และหมายความถึงเดี๋ยวนี้ เห็นดูเหมือนชัดเจน เห็นอะไร แต่ความจริงหุ้มห่อไว้ด้วยอวิชชา ใครจะบอกได้ว่าเห็นเป็นอย่างไร ความจริงของเห็นก็คือ สิ่งที่กำลังเห็นเดี่ยวนี้เป็นสิ่งที่มีจริง เป็นธรรมชนิดหนึ่ง เป็นธาตุชนิดหนึ่ง ถ้าใครกล่าวอย่างนี้คือ ผู้นั้นรู้จักโลก ถ้าไม่รู้จักเห็นก็เห็นทั้งวันแต่ไม่รู้เลยว่าเห็นเป็นอะไร เพราะเหตุว่า ความไม่รู้ไม่ใช่ไม่รู้ที่อื่น ไม่รู้สิ่งต่างๆ ที่มีในชีวิตประจำวันทั้งหมดเช่น ไม่รู้จักเห็น ไม่รู้จักได้ยิน ไม่รู้จักเสียง ไม่รู้จักกลิ่น ทุกอย่างที่มีไม่เคยรู้จักเลย แต่ว่าสิ่วที่มีเหล่านั้นไม่ได้ปะปน ไม่ได้รวมกันเลย เป็นแต่ละ ๑ แยกขาดจากกันเช่น เห็นไม่ใช่ได้ยิน ไม่ใช่คิดนึก เสียงไม่ใช่กลิ่น ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏทางตา เพราะฉะนั้นโลกจริงๆ เป็นแต่ละ ๑ ซึ่งมีในชีวิตประจำวัน ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เข้าใจว่า ผู้ที่ทรงตรัสรู้แสดงความจริงอย่างละเอียดยิ่งของสิ่งซึ่งปรากฏรวมกันเหมือนเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ว่าตามความเป็นจริงต้องมีแต่ละสิ่งซึ่งเล็กมากละเอียดมากรวมกันจึงจะปรากฏว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ อย่างที่เราเข้าใจว่า เป็นตัวเรา ร่างกายของเราตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ถ้าไม่มีรูปแต่ละรูปแข็งทั่วตัวเหมือนเป็นอย่างนั้น แต่ถ้าไม่มีอากาสธาตุแทรกขั้นอยู่ทุกกลุ่มเล็กๆ หรือภาษาบาลีใช้คำว่า กลาป แล้วใครรู้จักโลกคือต้องรู้จักความจริงที่แข็งมีจริงๆ ถ้าบอกว่ามีจริงก็บอกได้ว่าเป็นโลกเพราะว่าเกิดขึ้นปรากฏ จะว่าเป็นธาตุ จะว่าเป็นธรรม จะว่าเป็นโลกก็ได้สำหรับที่เป็นสิ่งที่เกิดแล้วกำลังปรากฏในขณะนี้ เพราะฉะนั้นอย่าข้ามความเข้าใจแม้แต่คำว่า โลก ได้ยินคำนี้แล้วก็ควรที่จะได้เข้าใจว่า เดี๋ยวนี้เองอวิชชาหุ้มห่อไว้รึเปล่าเพราะไม่รู้ความจริงของเห็นเพราะอะไร เพราะเห็นเกิดแล้วดับแล้ว เห็นคนความจริงความคิดว่าเป็นคนไม่ใช่ขณะที่เพียงเห็น เพราะฉะนั้นเห็นเป็นโลกคือ เกิดแล้วดับแล้วต่อจากนั้นมีการคิดนึกถึงรูปร่างสัณฐานเป็นไปอย่างเร็วมากโดยอวิชชาหุ้มห่อ ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงว่า แต่ละหนึ่งอย่างที่ปรากฏว่าเที่ยง หรือว่ามีอยู่ตลอดเวลา ความจริงมีหลายอย่างซึ่งเกิดดับสลับกันด้วย เช่น ในขณะที่เหมือนเห็นตลอดเวลาก็มีได้ยิน แสดงให้เห็นว่า เห็นไม่ใช่ได้ยินเป็นแต่ละโลกแต่ละหนึ่ง เพราะฉะนั้นเห็นก็ไม่ใช่คิดนึก ไม่ใช่ได้ยินแต่ว่าเป็นอีกสิ่งหนึ่ง เพราะฉะนั้นถ้าแยกโดยละเอียดแล้วแต่บะหนึ่งก็เป็นโลกที่ถูกอวิชชาหุ้ทห่อทำให้ไม่สามารถที่จะเห็นโลกตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปหาโลกที่ไหนเพราะโลกกำลังปรากฏ และไม่ต้องไปหาอวิชชาที่ไหนด้วยว่า "เอ๊ะ แล้วอวิชชาอยู่ที่ไหน" ก็อยู่ที่สิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นเมื่อมีความไม่รู้จึงมีความติดข้อง เพราะฉะนั้นทุกคำพิสูจน์ได้ด้วยตัวเอง ขณะนี้เห็นติดข้องรึเปล่า เห็นไหมติดข้องก็ไม่รู้ บางคนก็ไม่รู้ว่าติดข้องแล้ว เพราะฉะนั้นธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดจริงแต่ว่าสามารถที่จะค่อยๆ เข้าใจในขั้นการฟังก่อนจนกระทั่งรู้ความจริงว่า ถ้าไม่มีความเข้าใจอย่างนี้จะรู้สิ่งที่เกิดดับไม่ได้เพราะว่าสิ่งนั้นแม้มีจริงเกิดดับก็ลึกซึ้ง เพราะฉะนั้นกว่าจะไปถึงการรู้แจ้งสภาพธรรมซึ่งเป็นโลกซึ่งเกิอดับก็ต้องมีความเข้าใจตามลำดับตั้งแต่ต้นว่า โลกคือเดี๋ยวนี้ อวิชชาหุ้มห่อคือเดี๋ยวนี้ ความติดข้องคือโลภะ คือเดี๋ยวนี้ในอะไร ในเห็น ๑ ในได้ยิน ๑ ในเสียง ๑ รวมว่า ทุกอย่างก็เป็นโลกที่ถูกหุ้มห่อไว้ด้วยอวิชชา และความติดข้อง

    อ.กุลวิไล เพราะว่าเห็นยังยึดถือเห็นว่าเป็นเรา

    ท่านอาจารย์ ทั้งหมดเลย ขณะที่กำลังเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ไม่รู้ความจริงว่า ขณะนั้นมีสิ่งที่ปรากฏเกิดดับแต่ไม่รู้ความจริงก็เข้าใจว่าเป็นสิ่งที่เที่ยง

    อ.กุลวิไล เห็นเป็นดอกไม้ก็เพราะอวิชชานั่นเอง

    ท่านอาจารย์ อวิชชาทั้งหมดจนกว่าจะรู้ความจริง เพาะฉะนั้นถ้ามใครพูดถึงอวิชชาก่คือ เมื่อไหร่ที่ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏเมื่อนั้นเป็นอวิชชา

    อ.วิชัย สำหรับโลก ๓ คือ โอกาสโลก สัตวโลก และสังขารโลก สำหรับโอกาสโลกคือ เป็นที่อาศัยของหมู่สัตว์ทั้งหลายซึ่งท่านให้อรรถว่า ปรากฏโดยอาการวิจิตร เห็นถึงความวิจิตรต่างๆ กันของที่อาศัยของสัตว์ต่างๆ มีความหลากหลายแตกต่างกัน บุคคลแต่ละบุคคล หรือสัตว์แต่ละประเภทก็มีที่อาศัยแตกต่างกัน มีความวิจิตรต่างๆ กันมากมาย โอกาสโลก คือ เป็นที่อาศัยของหมู่สัตว์ทั้งหลายคือ ปรากฏโดยอาการวิจิตรคือ ต่างๆ กันหลากหลายมากมาย สองคือ สัตวโลก ดังนั้นสัตวโลก หรือหมู่สัตว์ทั้งหลายเพราะอรรถว่า เป็นที่ดูบุญ และบาป และผลของบุญ และบาป การกระทำของบุคคล และสัตว์ต่างๆ มีทั้งการกระทำที่ดีบ้าง และไม่ดีบ้างตามการสะสมมาขอแต่ละบุคคล ดังนั้นจะเห็นถึงสัตว์ทั้งหลายมีการกระทำต่างๆ ทั้งดี และไม่ดี มีการกระทำสุจริตประพฤติเป็นไปในกุศลกรรมต่างๆ หรือประพฤติทุจริตเป็นไปในอกุศลกรรมต่างๆ ซึ่งหมู่สัตว์ทั้งหลายก็เป็นอย่างนี้ เมื่อมีเหตุปัจจัยให้มีการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นกุศลบ้างเป็นอกุศลบ้าง ดังนั้นสัตวโลกประการหนึ่งคือ เป็นที่ดูบุญ และบาป และผลของบุญ และบาป ฉะนั้นเมื่อมีการกระทำกรรมที่เป็นกุศลกรรม หรืออกุศลกรรมไม่ใช่เฉพาะชาตินี้ชาติเดียวใช่ไหม แต่ว่าในอดีตเนิ่นนานก็เคยได้กระทำกรรมไว้แล้ว เพราะฉะนั้นขณะนี้ก็เห็นความหลากหลายของผลของกรรมที่จะให้ผลซึ่งเป็นบุคคลต่างๆ ซึ่งไม่เหมือนกันเลยมีความแตกต่างกันรูปร่างผิวพรรณต่างๆ มีกาย หรือว่ามีรูปร่างต่างกัน หรือแม้สัตว์เดรัจฉานก็มีความวิจิตรมากมายเพราะอะไร เพราะผลของกรรมคือ ผลของบุญผลของบาป ถ้าเป็นผลของกุศลกรรมก็ให้สิ่งที่งาม เกิดมาก็มีรูปร่างที่ดีสวยงามต่างๆ และถ้าเกิดด้วยผลของอกุศลกรรมได้รับความทุกข์ยากลำบาก อาจจะเกิดในอบายภูมิเป็นสัตว์นรก ก็เห็นถึงความวิจิตรของสัตว์ทั้งหลายที่เมื่อเกิดด้วยผลของกรรมต่างๆ และขณะนี้ก็กำลังได้รับผลของกรรมด้วยการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การถูกต้องกระทบสัมผัส กรรมที่ได้กระทำไว้แล้วนั้นเองที่จะเป็นปัจจัยให้ผลกำลังมีในขณะนี้ อันนี้ก็คือ สัตวโลกคือหมู้สัตว์มั้งหลาย

    ประการสุดท้ายคือ สังขารโลก คือสภาพธรรมที่กำลังมีในขณะนี้ กำลังเกิดดับย่อยยับด้วยปัจจัยต่างๆ ที่จะให้ธรรมนั้นเกิดขึ้นเป็นไป และเมื่อเกิดก็ดับทันทีเพราะเหตุว่า เป็นเพียงธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่งให้เกิดเท่านั้น การที่จะรู้ และเข้าใจถูกว่า จริงๆ ขณะนี้ไม่เป็นเราเลยเพราะเหตุว่า มีสิ่งที่มีขณะนี้เกิดขึ้นเป็นไป บังคับไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ต้องเกิดขึ้นเพราะมีปัจจัยที่จะให้ธรรมนั้นเกิดขึ้นเป็นไป จะบังคับให้ทรงอยู่ก็ไม่ได้เพราะเมื่อเกิดแล้วต้องดับไป นี่คือสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้เป็นสังขารโลก

    อ.กุลวิไล พูดถึงโอกาสโลกก็ไม่พ้นที่โลกที่เป็นที่อาศัยของสัตว์ปรากฏโดยการวิจิตร กราบเรียนท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ คงไม่คิดว่า มีโลกนี้โลกเดียวตามผลของกรรม เพราะฉะนั้นถ้าเป็นผลของกุศลกรรมที่ประณีตกว่าการที่จะได้เกิดเป็นมนุษย์ เช่น โลกสวรรค์ เคยไปมาแล้ว หรือว่าอย่างไรก็ตามแต่ก็จำไม่ได้เพราะเหตุว่า เมื่อเกิดที่นี่ในโลกนี้ก็จำได้เฉพาะโลกนี้ว่ามีโลกนี้แต่ความจริงที่เกิดเราเลือกไม่ได้เพราะเหตุว่า ไม่ได้มีแต่เฉพาะโลกนี้โลกเดียวแต่โลกมนุษย์ก็มีหลายโลกแต่ว่า เราอยู่ในโลกนี้ เห็นโลกอื่นไม่ได้เลยแต่ก็ต้องเป็นไปตามเหตุคือ เรื่องของกรรม หรือการกระทำว่า เป็นการกระทำที่ไม่ดี เป็นการกระทำที่ทุจริต การกระทำทุจริตก็มีต่างกันมากตั้งแต่อย่างเบาๆ จนกระทั่งถึงอย่างหนักๆ จะให้ผลอย่างเดียวกันได้ไหม ไม่ได้แม้แต่ที่เกิด เพราะฉะนั้นทรงแสดงไว้ว่า ที่เกิดของสัตว์โลกมีถึง ๓๑ ภพภูมิ ในภพภูมิ ๑ ก็ยังเป็นหลายที่เช่น นรก ไม่ใช่มีที่เดียวแต่มีนรกหลายขุมจะใช้คำว่าอย่างนั้นก็ได้ และก็ต่างกันไปตามกรรม เรื่องของกรรมที่ได้ทำแล้วไม่มีใครสามารถที่จะรู้ว่า นานแสนนานมาแล้วที่เกิดมาสืบต่อเพราะว่า จิตเกิดแล้วดับไปเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดได้ เพราะฉะนั้นไม่ใช่จิตเดียวเลยตั้งแต่เกิดจนตาย แต่ว่าเป็นจิตแต่ละ ๑ ขณะซึ่งเมื่อจิตนั้นดับไปแล้วทั้งหมดโดยสิ้นเชิงจึงจะเป็นปัจจัยให้จิตต่อไปเกิดได้ทีละ ๑ ขณะใครห้ามหยุดยั้งไม่ให้จิตเป็นอย่างนี้ได้ไหม ไม่ให้จิตเมื่อเช้านี้เกิดแล้วดับไปแล้วเกิดแล้วดับไปจนกระทั่งถึงขณะนี้ซึ่งก็กำลังเกดิดับอยู่ก็ห้ามไม่ได้ ซึ่งถ้าถอยไปนับไม่ได้เลยแม้พระผู้มีพระภาคก่อนที่จะได้ทรงตรัสรู้ก็ทรงระลึกชาติก่อนๆ ที่ผ่านมาไม่สิ้นสุด เพราะฉะนั้นการกระทำใดๆ ก็ตามทั้งหมดที่สะสมอยู่ในจิต เมื่อมีโอกาสพร้อมที่จะให้เกิดขึ้นก็เกิดขึ้นเป็นไป เพราะฉะนั้นแม้แต่การเกิดก็ต่างกันไปว่า ไม่ใช่โลกนี้โลกเดียวมีที่เกิดอื่นๆ ด้วย ยังไม่เห็นยังไม่รู้แต่เกิดที่นั่นเมื่อไหร่ก็รู้ ได้ยินคำว่า นรก ก็เป็นที่ๆ ไม่เหมือนโลกมนุษย์ หรือสวรรค์ที่ใช้คำว่า สุขคติภูมิ ภูมิที่ดีแต่เป็นทุคติ ภูมิที่เมื่อเกิดแล้วก็จะมีแต่ความลำบาก มีแต่ความทรมาน มีความเจ็บหลายอย่างทั้งทางตา หู จมูก ลิ้น กายซึ่งเป็นผลของกรรมที่ได้กระทำแล้ว เวลานี้ไม่เห็น ไม่เชื่อ ไม่คิดว่ามีเหมือนกับก่อนนี้ก่อนจะเกิดมาในโลกนี้ ใครรู้จักโลกนี้บ้างก็ไม่รู้เลย ไม่รู้ว่าโลกนี้เป็นอย่างนี้แต่ก็เกิดในโลกนี้ไม่เกิดที่อื่น นี่ก็แสดงให้เห็นถึงความเป็นธรรม ความเป็นธาตุซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะเลือกได้เลยทั้งสิ้น นี่คือ โอกาสโลก คือโลกที่เป็นที่เกิดของสัตว์ไม่ใช่เฉพาะที่เป็นมนุษย์ สวรรค์ก็มี พรหมก็มี พรหมก็คือเทพที่สูงกว่าเทวดา ๖ ชั้นนั้น นรกก็มี เปรตก็มี อสุรกายซึ่งไม่ใช่นรก ไม่ใช่มนุษย์ ไม่ใช่เปรตแต่เป็นภูมิที่ไม่มีความร่าเริงรื่นเริง อย่างในมนุษย์เราดูโทรทัศน์ หรือไปเที่ยว หรืออะไรหลายๆ อย่าง แต่อสุรกายซึ่งเป็นผลของกรรมก็จะไม่มีความบันทิงอย่างในโลกของมนุษย์แต่ไม่ใช่นรก และไม่ใช่เปรต และยังมีการเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานในโลกนี้ก็มีซึ่งเหมือนกับอยู่ร่วมโลกกันแต่ว่าต่างกันโดยกรรมคือว่า กรรมที่ทำฝห้เกิดเป็นนก เกิดเป็นจิ้งจก เกิดเป็นผีเสื้อ สารพัดของสัตว์มากมายทั้งบนบก และในน้ำไม่มีใครจัดสรรเลย เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้จริงๆ ว่า กรรมเป็นเหตุที่ทำให้สัตว์โลกเกิดขึ้นในโลกหนึ่งโลกใดแล้วแต่กรรมนั้น

    อ.กุลวิไล ที่อาศัยจึงต่างๆ กันวิจิตรมากนะคะ ท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ ตอนนี้โลกนี้วิจิตรใช่ไหม

    อ.กุลวิไล ค่ะ

    ท่านอาจารย์ แต่โลกอื่นวิจิตรแค่ไหนยังไม่ประสบ ยังไม่เกิดที่นั่นแต่เกิดแล้วรู้

    อ.กุลวิไล และทั้งหมดก็เพราะกรรมนั่นเองที่ให้ผล

    ท่านอาจารย์ แน่นอน ถ้าไม่มีเหตุที่จะให้เกิดๆ ไม่ได้ เกิดอย่างนี้เพราะเหตุได้กระทำมาที่จะเป็นอย่างนี้ ถ้าเกิดเป็นอื่นก็เพราะเหตุนั้นได้กระทำมาที่จะเกิดเป็นอย่างนั้น เลือกที่เกิดไม่ได้เลยโดยการที่ใครรู้ว่าจะมาสู่โลกนี้ ใครรู้ว่าจะเกิดที่นี่ เพราะฉะนั้นจากโลกนี้ใครรู้ว่าจะไปไหน หรือว่าที่เกิด เพราะว่าที่เกิดของสัตว์โลกต้องเป็นไปตามกรรม

    อ.กุลวิไล รู้จักโอกาสโลกแล้วนะคะ สำหรับสัตวโลกก็เป็นอีกหนึ่งโลกเพราะว่าท่านอาจารย์ให้ความเข้าใจว่าที่อยู่ก็ยังต่างๆ กันก็เพราะกรรม สัตวโลก อ.อรรณพคะเพราะอรรถว่าเป็นที่ดูบุญ และบาป และผลของบุญ และบาป จะเข้าใจสัตวโลกได้อย่างไร

    อ.อรรณพ สัตวโลกก็เป็นนามธรรมรูปธรรมที่เกิดจากกรรม เมื่อสักครู่ท่านอาจารย์กล่าวว่า สัตว์ทั้งหลายเกิดในภพต่างๆ หรือที่เกิดต่างๆ เพราะกรรมนั้นส่วนหนึ่ง เพราะฉะนั้นกรรมทำให้ได้เกิดมาเหมือนกับอยู่โอกาสโลกเดียวกันเช่น เป็นมนุษย์ เป็นเดรัจฉาน หลากหลายต่างๆ เท่าที่เห็นกันก็หลายชนิดใช่ไหม นก หนู ปู ปลา อะไรก็เห็นกันแม้แต่มนุษย์ด้วยกันก็ย่อมหลากหลายไปตามทั้งกรรม และการสะสม

    กรรมทำให้มาเกิดในโอกาสโลกที่แตกต่างกัน รวมๆ กันอยู่ก็เป็นสมมตินามรูปหลากหลายว่า เป็นสัตวโลกที่เป็นมนุษย์ก็มีซึ่งนอกจากกรรมแล้วก็มีการสะสมมาด้วยจึงทำให้หลากหลายแตกต่างกันไปตามกรรม และการสะสมทำให้รูปร่างหน้าตาต่างกัน อุปนิสัยต่างกัน มีอุปนิสัยที่สะสมมาที่จะเจริญบุญเจริญกุศล มีความคิดชอบ ฟังธรรมอย่างเดียวกันบางท่านได้ประโยชน์จากพระธรรมปลื้มปีติมาก บางท่านรู้สึกว่าเป็นการที่ "เอ๊ะ ธรรมนี่ว่าเรารึเปล่า?" ก็ไม่ได้รับประโยชน์อะไรจากธรรม ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกว่าถูกว่า บางทีฟังธรรมพระเถระท่านชื่นชมพระภาษิตมากมายแต่บางท่านขัดเคืองในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้รับประโยชน์อะไรเลย ตายไปก็ไปนรกมีไหม

    เพราะฉะนั้นก็เป็นที่เห็นถึงบุญ และบาปว่า สะสมมาอย่างไรทั้งกรรม และผลของกรรมด้วยที่จะมีการได้รับผลของกรรมหลากหลายแตกต่างกันไป และยังมีอัธยาศัยที่จะเจริญบุญกุศล หรือว่าจะมีอัธยาศัยที่จะกระทำอกุศล เพราะฉะนั้นเป็นที่ดูบุญ และบาปของแต่ละบุคคลซึ่งก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เดี๋ยวเป็นบุญบ้างเดี๋ยวเป็นบาปบ้างก็เห็นถึงกรรม และการสะสมมา เห็นทำไม เห็นแล้วก็เหมือนเราเป็นผู้วินิจฉัย หรือก็ไม่ใช่ แต่เพื่อให้เห็นถึงความเป็นปัจจัยโดยประการต่างๆ โดยเฉพาะกัมมปัจจัย อุปนิสสยปัจจัยซึ่งหลากหลายเป็นอย่างนี้ หน้าตาต่างกัน ความทุกข์ ความสุขต่างกัน และยังมีอุปนิสัยที่หลากหลายเหลือเกินที่จะเป็นคนดีคนไม่ดี เป็นการพิสูจน์ความเป็นธรรมซึ่งเกิดจากเหตุปัจจัยทั้งสิ้นแม้ในขั้นเรื่องราวที่เห็นสัตว์บุคคลที่หลากหลายแตกต่าง แต่ก็ต้องมีตัวธรรมที่เป็นจิตเจตสิกที่สะสมมาแสนนานที่จะเป็นทานูปนิสัย ศีลูปนิสัย ที่สนใจมาศึกษาพระธรรมก็มี หรือมีอุปนิสัยที่จะเป็นกิเลสอกุศลต่างๆ คิดไปได้อย่างไรหลากหลายอย่างก็เป็นสิ่งที่ควรพิจารณา

    เพราะฉะนั้นทุกคนก็ควรที่จะได้รับประโยชน์จากพระธรรมมากกว่าที่จะไปคิดอะไรในทางที่จะเป็นอกุศลซึ่งให้เห็นถึงความหลากหลายว่าแก้ไม่ได้ ถ้าไม่น้อมไปที่จะเห็นประโยชน์จากพระธรรม เพราะฉะนั้นพระธรรมก็เตือนให้เราเห็นถึงอัธยาศัยที่ต่างกันของสัตวโลกที่อยู่ด้วย และเป็นประโยชน์เพื่อตนเองจะเป็นผู้ไม่ประมาท การที่ได้มีโอกาสเกิดมาได้เจอพระธรรมก็ควรที่จะสะสมกุศล กุศลสะสมสูงสุดจนสามารถที่จะแสดงปาฏิหาริย์ของกุศลนั้นได้ พระพุทธศาสนาจะมีปาฏิหาริย์มีความมหัศจรรย์ก็ต่อเมื่อผู้นั้นผู้ที่จะเห็นปาฏิหาริย์สามารถอบรมเจริญปัญญาจนสามารถดับกิเลสได้จริงๆ เพราะฉะนั้นก็มีผลของบุญ บุญระดับไหน ระดับที่จะเป็นผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจในธรรมเราก็เห็นแล้ว หรือสะสมมาที่จะเป็นอกุศลก็สามารถที่จะเห็นได้ และน้อมไปแม้ในขั้นเรื่องราวแต่ก็เป็นด้วยปัญญาว่า ถ้าไม่เห็นโทษของอกุศล และสะสมอกุศลไปเรื่อยๆ ชาตินี้ยังเป็นอย่างนี้ ชาติหน้าหนักกว่านี้


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 193
    23 ธ.ค. 2566

    ซีดีแนะนำ