พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 851


    ตอนที่ ๘๕๑

    ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๑๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๖


    อ.อรรณพ ถ้าไม่เห็นโทษของอกุศล และสะสมอกุศลไปเรื่อยๆ ชาตินี้ยังเป็นอย่างนี้ชาติหน้าก็จะหนักกว่านี้ แล้วอยากพบพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเหลือเกิน และถ้าได้พบพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วไปคิดไม่ดีกับพระองค์ท่าน จะเป็นอย่างไร ก็ต้องไปอบาย แต่ถ้าสะสมที่จะดำริชอบคิดชอบ จะได้พบพระพุทธเจ้า หรือไม่พบ ก็เป็นผู้ที่เจริญขึ้นในทางธรรม อาจจะรู้ความจริงประจักษ์แจ้งความจริงด้วยศรัทธาที่สะสมมา เหมือนเป็นทรัพย์เบิ้องต้น จนกระทั่งมีความรู้ความเข้าใจ มีปัญญาที่ยิ่งกว่าทรัพย์ทั้งหลาย ก็จะเป็นผู้ที่ไม่จน ไม่ยากไร้ เพราะว่าพระธรรมเป็นประโยชน์

    อ.กุลวิไล โลกที่ ๒ คือ สัตวโลก หมู่สัตว์นั้นเองเป็นที่ดูบุญ และบาป ผลของบุญ และบาป ขอเรียนท่านอาจารย์ในอรรถของสัตวโลกเป็นที่ดูบุญ และบาป ผลแห่งบุญ และบาป

    ท่านอาจารย์ ในห้องนี้มีสัตวโลกมากไหม

    อ.กุลวิไล มีมาก

    ท่านอาจารย์ เหมือนกันหรือไม่ ทำไมต่างกันต้องมีเหตุใช่ไหม เกิดเป็นมนุษย์เป็นผลของกุศลกรรมนี้แน่นอน แต่แม้กระนั้นแต่ละคนก็มีรูปร่างหน้าตาต่างๆ กันโดยที่ว่าใครก็ทำให้เป็นอย่างนั้นไม่ได้ เพราะจริงๆ แล้วต้องมีเหตุปัจจัยคือ กรรมที่ได้กระทำแล้ว เพราะฉะนั้น ถ้าเห็นตัวเองเมื่อไหร่ เห็นใครเมื่อไหร่ ก็พอจะรู้ได้ว่า ทั้งหมดนี้ก็คือเพราะกรรมที่ได้ทำแล้ว แม้ว่าจะทำให้เกิดเป็นมนุษย์ก็หลากหลายกันไป ละเอียดมาก ไม่ว่าจะมีตา มีคิ้ว มีจมูกอย่างไร ทรงแสดงไว้ถึงพระมหาปุริสลักษณะแต่ละส่วนว่า เป็นผลของกรรมอะไรที่เกิดเป็นอย่างนั้น

    เพราะฉะนั้นก็เป็นตัวอย่างให้เห็นว่า สิ่งที่ได้ทำแล้วต่างกัน ละเอียดมากทำให้เป็นบุคคลต่างๆ ฉันใด แม้สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่จะเกิดขึ้นเป็นไปข้างหน้าจากความเป็นบุคคลนี้จะเป็นบุคคลอื่นต่อไปอีก มีแล้วถึงเหตุที่ได้กระทำแล้วที่จะให้เป็นคนนั้นอย่างนั้นไม่เป็นอย่างอื่น เพราะฉะนั้น แสดงให้เห็นว่า เห็นวิบากคือผลของกรรม และยังมีความละเอียดปลีกย่อย วงศาคณาญาติ มิตรสหาย ทั้งหมดไม่มีใครสามารถที่จะเลือกได้เพราะเหตุว่า มีเหตุที่ได้กระทำแล้ว นี่เป็นเรื่องของส่วนวิบาก อะไรจะเกิดขึ้นใครรู้ล่วงหน้าบ้าง

    มีคนหนึ่งเขาเดินไปซื้อของ สุนัขที่อยู่ในกรงวิ่งออกมากัด กัดเสร็จแล้วก็กลับเข้ากรง นี่ก็เป็นเรื่องที่แปลกมาว่าคนอื่นก็มีที่เดินผ่านไปตลอดเวลาเพราะเป็นถนน แต่ว่าไม่กัด และกรงนั้นก็เปิดไว้ด้วย เพราะว่าเจ้าของคงจะเปิดไว้สำหรับให้สุนัขรู้ว่าอยากจะออกมาทำอะไรอย่างไรก็ทำได้ คนก็เดินผ่านไป แต่คนนี้ธรรมดาก็เดินผ่านไปทุกวันเหมือนกัน แต่วันนั้นสุนัขก็วิ่งออกมากัด เสร็จแล้วก็เดินเข้ากรง ก็เป็นเรื่องที่แปลก แต่ว่าฟังดูแต่ละเหตุการณ์ในชีวิตใครก็ทำไม่ได้ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลย ทุกอย่างที่จะเกิดๆ ได้ทุกอย่างตามเหตุตามปัจจัยที่ได้สะสมแล้ว

    เพราะฉะนั้น สัตวโลกเป็นที่ดูบุญ และบาป ทั้งรูปร่างกายทั้งความเป็นอยู่ในชีวิตประจำแต่ละวันนั่น คือ ผลของบุญ และบาป เมื่อเกิดมาแล้วความประพฤติเป็นไปต่างกันมาก อัธยาศัยก็ต่างกัน บางคนหนักในเรื่องของทาน บางคนก็เป็นไปมากในเรื่องของศีลทางกายทางวาจา บางคนก็เป็นไปในเรื่องของความสงบของจิต ไม่โกรธใครมาก บางคนก็อาจจะพูดว่า ไปโกรธเขาทำไม สะสมมาที่จะมีความไม่โกรธ แต่ถ้าได้เกิดในประเทศที่สมควร มีโอกาสที่บุญที่ได้ทำไว้แต่ปางก่อนทำให้มีอัธยาศัยในการฟังพระธรรม นี่เป็นสิ่งซึ่งจะเห็นได้ว่า บางคนไม่สนใจเลยแม้ได้ยินก็ไม่สนใจ แต่บางคนเพียงได้ยินคำเดียวก็รู้สึกว่าคำนั้นมีประโยชน์มาก ว่าควรที่จะได้รู้ ควรที่จะได้เข้าใจจริงๆ เพราะเหตุว่า ได้สะสมบุญมาแล้วแต่ปางก่อนที่จะเห็นประโยชน์ของการที่จะได้ฟังพระธรรม ซึ่งน้อยไม่ใช่มากเลย เพราะเหตุว่า จะดูได้จากพฤติกรรมของแต่ละคน สนใจอย่างอื่นมากกว่านี้แน่นอน สนใจเรื่องสนุกสนานเพลิดเพลินเรื่องอะไรต่างๆ ทุกวัน แต่การที่จะมีเวลาได้ฟังธรรมบ้างก็ยังไม่มี แต่บางคนก็มีมากอาจจะฟังมากเพราะว่าเห็นประโยชน์จริงๆ เพราะฉะนั้น ทุกอย่างต้องมีเหตุที่จะให้เป็นไป แม้แต่เมื่อต่างกันแล้ว ก็ยังต่างกันในที่เกิด เกิดในประเทศที่สมควรที่มีโอกาสจะได้ฟังพระธรรม แล้วยังต้องมีบุญที่ทำไว้แต่ปางก่อน จะไปฝืนอัธยาศัยชวนใครให้ฟังธรรมนั้นยากมาก ชวนไปเที่ยว ไปทันที เร็วมาก

    ในอดีตพระผู้มีพระภาคทรงแสดงประวัติสมัยที่ทรงเป็นโชติปาละมานพว่า ในครั้งนั้น เพื่อนของท่าน ฆฏิการะช่างหม้อชวนท่านไปเฝ้าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ไม่ไป บอกว่ามีประโยชน์อะไร แต่ชวนไปอาบน้ำ ไปทันที นี่ก็แสดงให้เห็นความต่างกัน เพราะฉะนั้นแต่ละหนึ่งคนก็จะรู้อัธยาศัยของตัวเองว่า ได้สะสมอะไรมามากในชีวิต ก็เป็นไปตามอย่างนั้น

    เพราะฉะนั้นสัตว์โลก ก็ประพฤติตามที่เป็นไป หมายความว่า ตามที่มีปัจจัยที่สะสมมาทำให้เป็นไปอย่างนั้นโดยไม่รู้ตัวเลย วันหนึ่งเราทำอะไรบ้าง เราไปไหนบ้าง ไปซื้อของ หรือไปธุระ หรือไปเที่ยวเตร่ ฯลฯ ทั้งหมดนี้ชีวิตประพฤติตามที่เป็นไปโดยไม่รู้เลย แต่มีเหตุแล้วที่จะให้เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่า สัตว์โลกเป็นที่ดูผลของบุญ และบาป และยังดูบุญ และบาปด้วย

    อ.กุลวิไล บางคนถ้าไม่ได้ศึกษาพระธรรม ก็บอกว่าทำไมต้องเป็นเรา ยกตัวอย่าง สุนัขที่อยู่ๆ ก็มากัดคนนี้ แต่ท่านอื่นก็ไม่ได้กัด ซึ่งโดยสภาพธรรม ทุกข์ทางกายเป็นผลของกรรม แล้วใครทำให้

    ท่านอาจารย์ เป็นของกรรม ทุกอย่างที่ทรงแสดงไว้โดยละเอียดทั้งนามธรรม และรูปธรรม แม้แต่ร่างกายเกิดขึ้นเพราะกรรมเป็นปัจจัยก็มี รูปที่ตัวแยกละเอียดย่อยไปเป็นกลุ่ม จะใช้คำว่ากลุ่มก็ยังใหญ่ เป็นส่วนเล็กๆ ซึ่งมีรูปรวมกัน ๘ รูป มีธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม มีสิ่งที่สามารถกระทบตาที่เราใช้คำว่า สี และมีกลิ่น มีรส มีโอชา แต่ละกลาปส่วนที่เล็กที่สุดของรูปที่เกิดรวมกันที่แยกกันไม่ได้นี้มีอากาสธาตุแทรกคั่นอยู่ เพราะฉะนั้นแต่ละกลุ่มนั้นแต่ละกลาปนั้น บางกลาปก็เกิดเพราะกรรม บางกลาปก็เกิดเพราะจิต บางกลาปก็เกิดเพราะอุตุ ความเย็นความร้อน และบางกลาปก็เกิดเพราะอาหารที่เรารับประทานเข้าไป

    นี่ก็คือสิ่งที่เราไม่รู้เลยว่ามีอยู่ที่ตัวโดยใครทำไม่ได้ ถ้าเป็นรูปที่เกิดจากกรรม เพราะกรรมเป็นปัจจัยให้จักขุปสาทรูปเกิดทำให้ตาไม่บอด มีสิ่งที่กระทบตา และจิตเห็นก็เกิดขึ้นแม้จิตเห็นก็เป็นผลของกรรม เพราะฉะนั้นวันหนึ่งๆ ที่จะพ้นจากผลของกรรม และกรรมไม่ได้เลย แต่ต้องศึกษาโดยละเอียดว่า เกิดมาแล้วเป็นผลของกรรมแล้วระหว่างที่มีชีวิตอยู่ก็มีผลของกรรมเกิดเมื่อเป็นโอกาสที่กรรมใดๆ จะให้ผลโดยต้องเห็น ขณะนี้ทุกคนที่กำลังเห็นไม่ใช่เรา แต่เป็นธาตุหรือเป็นธรรมที่มีจริง เกิดขึ้นเพราะกรรม ถ้าจักขุปสาทไม่มีไม่เกิด กรรมไม่ทำให้เกิดอีกต่อไป คนนั้นตาบอดทันที ไม่เห็นเลย วิบากจิตทางตาเกิดอีกไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้นขณะใดที่เห็น ที่ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ขณะนั้นเป็นผลของกรรม นี่ก็เป็นเรื่องที่ละเอียดที่แสดงให้รู้ว่า ถ้าไม่มีคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงตรัสรู้จะไม่สามาถเข้าใจสิ่งที่มี และปรากฏได้เลย

    อ.กุลวิไล ทั้งหมดก็ไม่พ้นเหตุที่ได้กระทำมาแล้ว บางคนก็ทุกข์ทางกายตั้งแต่เด็ก เกิดมาแล้วก็ผ่าตัดเจ็บป่วยตลอดเลย แต่บางคนก็สุขสบายดีไม่เจ็บไม่ไข้ จะเห็นถึงความแตกต่างกันเพราะกรรม และผลของกรรม

    ท่านอาจารย์ ช่วยคนอื่นได้ไหม ให้พ้นจากกรรมให้ผลที่กำลังให้ผล ไม่ได้เลยเพราะเกิดแล้ว

    อ.กุลวิไล ท่านอาจารย์ยังเคยกล่าวในรายการวิทยุเลยว่า บางทีเราสงสารคนกำลังรับผลของกรรม สงสารช้าไปแต่ทำไมไม่สงสารตอนเขาทำกรรมด้วย

    ท่านอาจารย์ ใครทำอกุศลกรรม สงสารไหม เริ่มเห็นใจว่าวันหนึ่งกรรมนั้นต้องให้ผล อย่างที่เรารู้เหตุการณ์ต่างๆ มีคนถูกทำร้ายบ้าง เจ็บไข้ได้ป่วยบ้าง แลกเปลี่ยนกันไม่ได้เลย จะไปเจ็บแทนก็ไม่ได้ เพราะเหตุว่า กรรมทำให้เกิดแล้ว เมื่อเกิดแล้วเปลี่ยนไม่ได้ ก็ต้องเป็นไปตามกรรม

    อ.กุลวิไล ส่วนใหญ่จะโกรธเวลาคนทำกรรมไม่ดี และก็สงสารคนที่รับผลของกรรม

    ท่านอาจารย์ แล้วโกรธดีไหม ไม่ดี ไม่โกรธได้ไหม ไม่ได้ ปัญญาเท่านั้นที่สามารถที่จะดับสิ่งที่ไม่ดีทั้งหมดได้ แต่ถ้าไม่มีปัญญา อย่างไรๆ อกุศลทั้งหลายก็ยังจะต้องมีปัจจัยที่จะเกิดขึ้น

    อ.กุลวิไล และถ้ามีความเป็นมิตรมีความปราถนาดีจริงๆ ก็ต้องเสมอกันทั้งคนทำกรรม และคนรับผลของกรรม ซึ่งเรากำลังพูดถึงกรรม และผลของกรรมอยู่ ซึ่งมีผู้ถามว่า "ปัจจุบันชาวพุทธส่วนใหญ่นิยมทำบุญกับพระโดยตรง โดยให้เงินทองข้าวของบ้าง รถยนตร์หรูบ้างโดยหวังว่า การให้ของตนนั้นจะนำมาซึ่งผลบุญที่ยิ่งใหญ่เช่น จะได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นสูงๆ หรือเกิดเป็นคนร่ำรวย อยากทราบว่า การหลงไหลในบุญ อยากได้บุญ บริจาคเงิน หรือสิ่งของอันไม่สมควรให้แก่พระภิกษุ บุคคลเช่นนี้เป็นเหตุให้วงการพระภิกษุมัวหมอง จัดเป็นบาปประเภทใด"

    ท่านอาจารย์ ศึกษาธรรมต้องละเอียดเพราะเหตุว่า เป็นธรรม ธรรมจะไม่ใช่บุคคลหนึ่งบุคคลใด กุศลธรรมเป็นพระภิกษุ หรือว่าเป็นคฤหัสถ์ อกุศลธรรมเป็นพระภิกษุ หรือว่าเป็นคฤหัสถ์ ไม่ได้เลยเพราะเหตุว่าธรรมตามความเป็นจริงก็ต้องเป็นจริงอย่างนั้นเช่น ไม่ว่าอกุศลเกิดขึ้นกับใครเมื่อใดขณะนั้นก็ต้องเป็นอกุศล และถ้ากุศลเกิดขึ้นเมื่อใดขณะนั้นเปลี่ยนให้เป็นอกุศลก็ไม่ได้

    เพราะฉะนั้นสิ่งที่แน่นอนก็คือว่า ธรรมเป็นธรรม กุศลเป็นกุศล อกุศลเป็นอกุศล แต่การที่วันหนึ่งๆ มีพฤติกรรมต่างๆ มากมาย ยากที่จะรู้สภาพของจิตซึ่งเป็นเหตุให้กระทำกรรมนั้นๆ ด้วยเหตุนี้การศึกษาธรรมที่จะให้เข้าใจจริงๆ ไม่คิดเอง ไม่คาดคะเนก็ต้องโดยการที่ว่า กำลังศึกษาเรื่องอะไร ไม่ใช่เรื่องคนนั้น ไม่ใช่เรื่องคนนี้ แต่เป็นการศึกษาสิ่งที่มีจริง ซึ่งเป็นกุศลก็มี เป็นอกุศลก็มี

    เพราะฉะนั้นแม้แต่การให้ ดูอาการกิริยาภายนอกเป็นบุญ หรือเปล่า หรือให้เพราะเข้าใจว่าเป็นบุญ เพราะว่าท่านผู้นี้ให้หลายอย่างเพราะหวังว่าจะได้ผลของบุญอย่างมากตามที่ให้ เพราะฉะนั้นขณะนั้นจะเป็นบุญจริงๆ หรือไม่ หรืออยากได้บุญจึงสละโดยที่ไม่รู้ว่าบุญคืออะไร เพราะฉะนั้นต้องรู้ก่อนว่า บุญคืออะไร

    อ.กุลวิไล เพราะฉะนั้นอกุศลเป็นอกุศล กุศลเป็นกุศล ขณะที่อยากได้ก็เพราะว่า มีความความติดข้องต้องการ ขณะนั้นก็ไม่ใช่กุศล เป็นอกุศล

    ผู้ฟัง ที่กล่าวว่า "อยากได้บุญจึงทำบุญ" ในกลุ่มสนทนาธรรมมีการพูดกันมากว่า "แล้วอย่างนี้จะเป็นบุญ หรือจะเป็นอย่างไร" เพราะว่ามีความอยากที่จะได้บุญ ซึ่งถ้าจะเจริญกุศลโดยที่ไม่มีความอยากที่จะได้บุญจะแตกต่างกับความอยากที่จะได้บุญแล้วทำบุญอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ก่อนอื่นต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่า บุญคืออะไร ถ้ายังไม่เข้าใจก็พูดเรื่องสิ่งที่เราไม่รู้อยู่นั่นเอง เพราะฉะนั้นบุญคืออะไร

    ผู้ฟัง ตามความเข้าใจ บุญ คือ ขณะที่เป็นกุศลจิต

    ท่านอาจารย์ เป็นสภาพจิตที่ดีงาม เพราะประกอบด้วยธรรมที่เกิดกับจิตคือ เจตสิกที่ดีงาม เพราะฉะนั้นบุญขณะใดเกิดขึ้น ขณะนั้นเป็นความอยาก เป็นความต้องการ หรือเป็นขณะที่ไม่อยาก ไม่ติดข้อง ไม่ต้องการ

    ผู้ฟัง ถ้าเป็นบุญก็ คือ ไม่อยาก ไม่ติดข้อง ไม่ต้องการ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็จะเห็นความอยากตั้งแต่ต้นว่า ขณะใดก็ตามที่เป็นบุญ ขณะนั้นจิตผ่องใส ไม่ต้องการอะไรตอบแทน แต่มีปัจจัยที่จะทำให้สามารถเกิดอโลภะ การสละวัตถุเพื่อประโยชน์สุขของบุคคลอื่น ขณะนั้นเป็นการสละสิ่งนั้นเพื่อประโยชน์สุขของคนอื่น หรือถ้าเป็นการต้องการได้ผลเพื่อตัวเอง นี่เป็นความต่างกัน ถ้าสละแล้วจะหวังอะไรไหม

    เพราะฉะนั้นมีข้อความในพระไตรปิฎก "ให้โดยไม่ผูกพัน" หมายความว่า ให้โดยไม่หวังอะไรเลยในการให้ ไม่หวังจากคนที่ได้รับเลยไม่มีแม้แต่การผูกพันว่า จะได้รับความสนิทสนม หรือว่าจะได้รับความคุ้นเคยต่างๆ จึงจะเป็นการให้โดยไม่ผูกพัน เพราะเหตุว่าเป็นการให้ที่แท้จริง เพื่อประโยชน์สุขของบุคคลนั้นโดยไม่หวังสิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นการตอบแทนเลย และอีกประการหนึ่งบางคนให้เพราะหวังว่า คนอื่นจะเป็นพรรคพวกฝ่ายตน นั่นคือการให้ที่เป็นบุญหรือไม่ หรือหวังจะได้การตอบแทนสิ่งหนึ่งสิ่งใดจากคนนั้น ขณะนั้นเป็นบุญ หรือไม่

    เพราะฉะนั้นต้องคิดละเอียดมากว่า ขณะนั้นเป็นการให้โดยผูกพันแล้วจะเป็นบุญ หรือไม่ บางคนก็คิดว่า เมื่อเราเป็นผู้ให้ เขาเป็นผู้รับ เพราะฉะนั้นเขาก็ควรจะเชื่อฟังเรา คิดได้หลายอย่างโดยที่ขณะนั้นไม่ใช่จิตใจที่ปราศจากโลภะ เพราะเหตุว่า ด้วยความต้องการจึงสามารถที่จะกระทำอย่างนั้นได้ คงไม่ลืมโลภะ หรือความติดข้องมีหลากหลายตั้งแต่ต้นคือ เริ่มเกิด แล้วก็แสวงหา เพราะฉะนั้นคนที่อยากจะได้บุญบางทีไม่มีสิ่งที่จะให้เลย แต่อยากได้ ก็ไปแสวงหาเพื่อจะให้ อย่างนี้เป็นอย่างไร ไม่ใช่ว่ามีสิ่งใดแล้วสามารถจะสละความติดข้องในสิ่งนั้นเพื่อประโยชน์สุขแก่ผู้รับเท่านั้นอย่างเดียว ถ้าไม่มีแล้วไปแสวงหาเพื่อจะให้ เป็นกุศล หรือเป็นอกุศล

    ข้อความในชาดกหนึ่งมีว่า "ให้เมื่อมี" สิ่งที่ไม่มีไม่ต้องไปขวนขวายมาที่จะให้ นั่นเป็นอะไร ไม่มี อยากมี แล้วก็อยากให้ ก็เป็นไปด้วยความอยากทั้งนั้น แต่ว่าในพระไตรปิฎกข้อความในชาฎก "ให้เมื่อมี" ดีไหม ไม่เดือดร้อน ไม่ต้องไปแสวงหา เพราะฉะนั้นเวลาที่เกิดโลภะ กิริยาอาการความประพฤติเป็นไปของโลภะจะเป็นอย่างอื่นซึ่งไม่ใช่เป็นไปในการที่ไม่ติดข้อง แต่เป็นไปด้วยความติดข้องตั้งแต่ต้น เมื่อมีความต้องการแล้ว มีการแสวงหา ไม่อยู่เฉยเลย ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีมาเพราะแสวงหาด้วยความต้องการ ถ้าไม่ต้องการจะไปหามาหรือไม่ ก็ไม่หาใช่ไหม แต่เมื่ออยากจะได้ ก็ไปหามาให้ได้ ใช่ไหม ก็ไปแสวงหามาให้ได้ ได้มาแล้วก็ชื่นชมบริโภคว่า "นี่ของเรา เรามีสิ่งนี้ตามที่เราต้องการ ตามที่เราอยากได้" บางคนก็บอกว่า "อยากได้อะไรก็ได้อย่างนั้น" เห็นไหม อยากได้อะไรก็ได้อย่างนั้น ก็มีความติดข้องแล้วในสิ่งที่ได้มา เพราะฉะนั้นเมื่อได้มาแล้วมีความยินดีพอใจในสิ่งที่ได้ก็มีการเก็บรักษาไว้อย่างดีในสิ่งที่ตัวเองต้องการ หรือพอใจ เป็นชีวิตประจำวัน หรือไม่

    แต่ก็ยังมีโลภะอีกระดับหนึ่งที่สละ แต่ไม่ได้ด้วยการเป็นกุศล ไม่ได้ด้วยความไม่ติดข้อง แต่สละเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ แม้จะเป็นเงินทองมากสักเท่าไรก็ตาม สามารถสละได้ อาจจะไปคิดสร้างอะไรก็ตามที่ใหญ่โตมาก หรืออะไรก็ตาม แต่ขณะนั้นสละสิ่งนั้นเพื่อต้องการสิ่งโน้นใช่ไหม จึงสามารถที่จะสละได้ เพราะฉะนั้นขณะนั้นเป็นกุศลรึเปล่า

    เพราะฉะนั้นสภาพธรรมเป็นสภาพธรรมที่ลึกซึ้ง ถ้าไม่ลึกซึ้งพระผู้มีพระภาคจะไม่ต้องทรงบำเพ็ญพระบารมีที่จะตรัสรู้ความจริงว่า สภาพธรรมทั้งฝ่ายดีฝ่ายชั่ว และทั้งฝ่ายที่เป็นผลของทั้งฝ่ายดีฝ่ายชั่วเกิดดับสลับกันเร็วสุดที่จะประมาณได้ เพราะเหตุว่า เพียงเห็นเป็นผลของกรรมจริงแต่ว่ามีความติดข้องในสิ่งที่เห็นแล้วหลังจากที่เห็นนั้นหมดไป หรือว่าแม้ว่าสิ่งที่ปรากฏให้เห็นยังอยู่ แต่การสะสมความติดข้อง ความยินดี ความพอใจ ถึงเวลาที่จะเกิด ก็เกิดเร็วมากทันที ยับยั้งไม่ได้เลย นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ต้องพิจารณาโดยละเอียดให้รู้จริงๆ ว่า ขณะนั้นเป็นกุศล หรืออกุศล ไม่ใช่ตามตัวหนังสือ ไม่ใช่ตามที่ใครบอก แต่ด้วยสติสัมปชัญญะอีกระดับหนึ่งจึงสามารถที่จะเข้าใจถูกเห็นถูกในสภาพธรรมที่ปรากฏเพียงเล็กน้อยแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้นปัญญาก็จะเจริญขึ้นตามลำดับ คำตอบที่เพียงถามว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร ไม่สามารถที่จะให้ความเข้าใจที่ถูกต้องจริงๆ เพราะเหตุว่า เป็นแต่เพียงคำเท่านั้น แต่สภาพธรรมจริงๆ ซึ่งเกิดดับบอกไม่ได้ว่า ขณะนี้เป็นวิบาก ผลของกรรม และเป็นกรรมคือ กรรมที่ไม่ใช่วิบาก แต่เป็นเหตุที่จะให้เกิดผลข้างหน้า เป็นความติดข้อง หรือเป็นฉันทะพอใจที่จะได้กระทำสิ่งซึ่งขณะนั้นเพราะจิตผ่องใส ไม่มีโลภ โทสะ โมหะใดๆ จึงสามารถที่จะเป็นไปได้

    ด้วยเหตุนี้คำตอบใดๆ ก็ไม่สามารถที่จะทำให้คนนั้นสามาถที่จะเข้าใจจริงๆ เพียงแต่รับฟังแล้วก็คาดคะเนแต่ว่าสภาพธรรมจริงๆ เกิดแล้วดับ แล้วจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น มีการรู้หนทางว่า แม้ขณะนี้มีธรรมเกิดดับ แต่อะไรสามารถที่จะรู้ได้ และอะไรยังไม่สามารถที่จะรู้ได้ อวิชชา ความไม่รู้ไม่สามารถที่จะรู้ได้ แต่ปัญญาที่ค่อยๆ เข้าใจขึ้นยังไม่ถึงระดับที่ประจักษ์การเกิดดับก็รู้ตามความเป็นจริงว่า นั่นเป็นปัญญาเพียงขั้นหนึ่ง แต่ยังมีปัญญาขั้นอื่นซึ่งสามารถรู้ความจริงนี้ได้

    ผู้ฟัง ก็ดูเหมือนว่า พวกเราที่ปัญญาก็น้อย และทราบว่าสะสมความพอใจติดข้องอยากได้ และอวิชชา เหมือนกับเหตุที่จะให้ทำบุญ หรือให้ทาน หรือการสละโดยมากจะเริ่มต้นจากการหวังผลของกุศลนั้นๆ ตรงนี้ดูเหมือนความที่เป็นอย่างนี้แล้วก็มีการคุยกันว่าจะทำให้เป็นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นไปตามเหตุไม่มีทางอื่นเลย เป็นไปตามเหตุนี้แน่นอน ถ้าไม่มีเหตุที่เป็นกุศล ผลของกุศลก็เกิดไม่ได้ ถ้าไม่มีเหตุที่เป็นอกุศล ผลของอกุศลก็เกิดไม่ได้ ด้วยเหตุนี้จึงมี "อริยทรัพย์" ต่างกับทรัพย์อื่นๆ ทั้งหมดที่ชาวโลกมีเพราะเหตุว่า ทรัพย์ของชาวโลกก็สามารถที่จะซื้อหาวัตถุตามที่ต้องการแต่ซื้อหาปัญญาความเห็นถูกความเข้าใจถูกจนกระทั่งสามารถที่จะมีปัญญาเพิ่มขึ้นไม่ได้ แม้แต่การสละของผู้ที่มีปัญญาเช่น อริยทรัพย์ ทรัพย์ที่ประเสริฐเป็นทรัพย์ที่สามารถทำให้เข้าใจถูกเห็นถูกได้ ก็ต้องมีตั้งแต่มีศรัทธา และมีหิริโอตตัปปะ คนที่กำลังให้เพราะหวังเหมือนซื้อใช่ไหม แต่ซื้อในสิ่งซึ่งไม่ใช่วัตถุ ขณะนั้นมีศรัทธา หรือว่ามีหิริ มีโอตตัปปะ มีความละอายไหม ขณะนั้นไม่มี เมื่อเป็นอย่างนี้จะมีทรัพย์สำหรับที่จะทำให้รู้ได้ไหมว่า ขณะนั้นเป็นกุศล หรือเป็นอกุศล

    เพราะฉะนั้นนอกจากมีศรัทธาแล้ว ก็มีหิริ มีโอตตัปปะด้วย ละอายที่จะไม่รู้ ละอายที่จะเพียงแต่คิด แต่ว่าไม่สามารถที่จะเข้าใจลักษณะซึ่งเป็นกุศลธรรม และอกุศลธรรมได้จริงๆ เพราะฉะนั้นความละอายนี้ย่อมนำไปสู่สุตตะ การฟังพระธรรมเพื่อที่จะรู้ว่า เราเองไม่สามารถที่จะรู้ คิดเท่าไหร่ก็รู้ไม่ได้ เพียงแค่ฟังเท่านั้นเองใช่ไหม แต่จากการฟังซึ่งเริ่มเป็นปัญญาของตนเอง เช่นนี้จะเป็นทรัพย์ที่สามารถจะได้สมบัติซึ่งไม่ใช่เพียงสิ่งที่ได้มาเพราะเงิน และทอง เพราะฉะนั้นจากการที่มีศรัทธา มีหิริ มีโอตตัปปะ มีการฟัง จึงมีจาคะการสละ


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 193
    14 ธ.ค. 2567

    ซีดีแนะนำ