พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 852


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๘๕๒

    ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๖


    ท่านอาจารย์ จากการที่มีศรัทธา มีหิริ มีโอตตัปปะ มีการฟังจึงมีจาคะการสละจริงๆ ไม่ใช่หวังผลเพราะเหตุว่า ถ้าบริจาคเงินอย่างนี้ทำอย่างนี้แล้วจะได้บุญเท่านั้น เพราะไม่ใช่จาคะที่เป็นการละซึ่งต้องอาศัยการฟังแล้วจึงสามารถที่จะเข้าใจได้

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์คะนั่นหมายความว่า การที่ฟังธรรมแล้วเข้าใจก็จะเหมือนกับมีการสละที่เข้าใจว่า จริงๆ แล้วถ้าเข้าใจว่าสัตว์โลกเป็นที่ดูผลของบุญ และบาป และเป็นที่ดูบุญ และบาปก็จะมั่นคงว่า ถึงแม้ไม่หวังถ้าทำอกุศลกรรมก็ต้องได้รับอกุศลวิบาก ถ้าทำกุศลกรรมก็ต้องได้รับกุศลวิบาก เมื่อมั่นคงตรงนี้ และเข้าใจจริงๆ ก็จะมีศรัทธา มีหิริโอตตัปปะที่จะเจริญกุศลที่เป็นจาคะจริงโดยที่

    ท่านอาจารย์ โดยไม่หวัง ขณะใดก็ตามที่เป็นการสละให้โดยไม่หวังขณะนั้นเป็นกุศล

    อ.คำปั่น จากคำถามที่อาจารย์กุลวิไลได้กราบเรียนถามท่านอาจารย์เมื่อสักครู่ก็เป็นสิ่งที่น่าพิจารณาเพิ่มเติ่ม เริ่มตั้งแต่คำว่า ชาวพุทธ จริงๆ แล้วจากการที่ได้ฟังพระธรรม และคำบรรยายของท่านอาจารย์ก็จะมีการกล่าวถึงคำนี้อยู่ซึ่งก็เป็นเรื่องของความเข้าใจ ชาวพุทธเป็นผู้ที่ได้ศึกษาพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ถ้าเป็นชาวพุทธจริงๆ ความประพฤติเป็นไปในชีวิตประจำวันก็จะคล้อยตามความเข้าใจพระธรรมซึ่งเมื่อกล่าวโดยสภาพธรรมแล้วก็ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตนจริงๆ มีแต่สภาพธรรมเท่านั้นเพราะว่า ความเป็นจริงของคนที่เป็นชาวพุทธก็สามารถจำแนกเป็น ๒ เพศใหญ่ๆ คือ ผู้ที่เป็นบรรพชิตกับผู้ที่เป็นคฤหัสถ์ บรรพชิตโดยความหมายเป็นผู้ที่เว้นทั่ว เว้นโดยประการทั้งปวง เป็นผู้ที่เว้นจากอกุศลธรรม แสดงถึงความจริงใจที่จะเป็นผู้ที่ขัดเกลากิเลสในเพศที่สูงยิ่งกว่าคฤหัสถ์คือ เพศบรรพชิตซึ่งจะขาดการฟัง ขาดการศึกษาพระธรรม และประพฤติตามพระธรรมไม่ได้เลย นี้จึงจะเป็นบรรพชิตจริงๆ ทีนี้กล่าวถึงคฤหัสถ์ๆ ถ้าหากว่าเป็นผู้มีความสนใจ ใฝ่ใจในการศึกษาพระธรรมก็ทำให้รู้ว่า สิ่งใดเป็นสิ่งที่ถูกต้อง สิ่งใดเป็นสิ่งที่ผิด และการประพฤติปฏิบัติตนต่เพศบรรพชิตก็จะกระทำได้อย่างถูกต้องตรงตามพระธรรมด้วย ไม่ถวายในสิ่งที่ผิดแต่จะกระทำในสิ่งที่ถูกต้องดีงามซึ่งจากตรงนี้ก็เคยได้ฟังข้อความที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวเมื่อสนทนาธรรมที่นี่ จริงอยู่ตอนแรกอาจจะมีการกระทำในสิ่งทีผิดในสิ่งที่ไม่ถูกต้องแต่พอได้อาศัยพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงก็ได้เข้าใจว่า สิ่งนี้แหละคือสิ่งที่ถูกต้อง สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ผิด ท่านอาจารย์ก็กล่าวให้ได้คิดว่า เมื่อรู้แล้วว่าสิ่งใดเป็นสิ่งที่ถูกสิ่งใดเป็นสิ่งที่ผิด เราจะกระทำในสิ่งที่ผิดต่อไป หรือว่าเราจะกระทำในสิ่งที่ถูกต้องยิ่งขึ้น อันน้เป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่าจะขาดการศึกษาพระธรรมไม่ได้เลย และประการที่สำคัญถ้าหากว่าผู้ที่เป็นบรรพชิตมีความเข้าใจอย่างถูกต้องในพระธรรมวินัยก็จะสามารถชี้แจงอธิบายให้ผู้ที่เป็นคฤหัสถ์ได้เข้าใจอย่างถูกต้องได้ว่า สิ่งนี้คือสิ่งที่ถูก สิ่งนี้คือสิ่งที่ผิดก็จะเป็นการช่วยกันรักษาพระพุทธศาสนาด้วยความเข้าใจพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เพราะฉะนั้นหลักๆ จริงๆ ก็ต้องมาจากการมีโอกาสได้ฟังได้ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงอย่างแท้จริง

    อ.อรรณพ เป็นช่วงของการที่จะสนทนาเพื่อความเข้าใจพื้นฐานพระอภิธรรม พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมด้วยคำมากมายหลากหลาย แต่ว่าก็เพื่อความเข้าใจความจริงของสิ่งที่ปรากฏในขณะนี้นั่นเอง อย่างเช่น พระองค์ใช้คำว่า ธรรม ก็เป็นสิ่งที่มีจริงบางครั้งพระองค์ก็ทรงใช้คำอื่น เช่นในวันนี้ก็จะสนทนาคำว่า ธาตุ หรือ ธา-ตุ ก็เป็นอีกคำหนึ่ง พยางค์เดียว ธาตุ แต่ก็จะมีประโยชน์แก่การที่ผู้ฟังจะได้ศึกษา และมีความเข้าใจในความเป็นธรรมแม้เพียงคำว่า ธาตุ ซึ่งก็มีความละเอียดลึกซึ้งเพราะความจริงในขณะนี้ละเอียดลึกซึ้ง เรียนถามอาจารย์คำปั่นได้ช่วยกล่าวถึงโดยศัพท์ว่า ธาตุ มีความหมายอย่างไรในภาษาบาลี

    อ.คำปั่น คำว่า ธา-ตุ หรือ ธาตุ โดยความหมายหมายถึงสภาพที่ทรงสภาวะของตนเองนี่คือความหมายของคำว่า ธาตุ โดยอรรถแล้วหมายถึงสภาพธรรมที่ไม่ใช่ตัวจน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ทุกขณะไม่พ้นไปจากความเป็นธาตุเลย เห็นก็เป็นธาตุอย่างหนึ่ง สิ่งที่ถูกเห็นก็เป็นธาตุอย่างหนึ่ง สภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิตเห็นก็เป็นธาตุแต่ละอย่างๆ นี้คือความเป็นจริงของธาตุซึ่งเมื่อกล่าวถึงธาตุแล้ว ครอบคลุมสิ่งที่มีจริงทุกอย่างทุกประการไม่เว้นเลย

    อ.อรรณพ กราบเรียนท่านอาจารย์ ก็มีข้อความสั้นๆ ในพระไตรปิฎก อย่างเช่นในธาตุวิภังคสูตร พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมกับท่านปุกกุสาติ ก็มีข้อความที่พระองค์ท่านกล่าวถึงเรื่องธาตุโดยสรุปคือ พึงเห็นธาตุด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่ใช่เรา นั่นไม่ใช่อัตตาของเรา กราบเรียนท่านอาจารย์ พึงเห็นธาตุด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริง

    ท่านอาจารย์ ข้อความที่ทรงแสดงก็เพื่อให้เข้าใจสิ่งที่มีในขณะนี้ มีแล้วใช่ไหมแต่ไม่รู้ มีใครไปทำให้มีรึเปล่า ไม่มีใครสามารถที่จะทำได้เลย ทุกขณะเป็นสิ่งที่มีเพราะเหตุปัจจัย เพราะฉะนั้นจะกล่าวคำว่า ธรรม ก็หมายความถึงสิ่งที่มีจริงแต่สิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริงก็คือว่า แต่ละหนึ่งไม่ได้ปะปนกันเลย มีก็มีแต่หลากหลายต่างกัน เช่น ความโกรธมีแน่นอนเป็นอย่างหนึ่ง และความติดข้อง พอใจ สนุกสนาน รื่นเริง ขณะนั้นก็เป็นอีกอย่างหนึ่งไม่ปะปนกันเลย เพราะฉะนั้นก็กล่าวให้เข้าใจตามความเป็นจริงว่า ตั้งแต่เกิดแล้วก็ไม่รู้ความจริงเลย หลงว่าเป็นเรา หลงว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง ไม่ปรากฏว่าเปลี่ยนแปลงเลย แท้ที่จริงก็คือว่า สิ่งนั้นๆ มีลักษณะเฉพาะแต่ละหนึ่งซึ่งปะปนกันไม่ได้ เพราะฉะนั้นที่ว่าร่างกายของเรา มีความสำคัญในร่างกายตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ตาเรา หูเรา แขนเรา ทั้งหมดนี้เพราะไม่รู้ตามความเป็นจริงว่า ที่เป็นเรานั้นมีลักษณะอย่างไร

    เพราะฉะนั้นแต่ละลักษณะที่มีจริงสามารถที่จะเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงได้ว่า เมื่อสิ่งนั้นมีจริงเป็นลักษณะอย่างนั้นแล้วจะเป็นเราได้ไหม นี่จะต้องเป็นการที่จะเป็นผู้ตรงตั้งแต่ต้นคือ สิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นอย่างนั้นก็เป็นอย่างนั้น อย่างแข็งที่ตัวก็เป็นแข็ง แล้วแข็งจะเป็นเราได้ไหมในเมื่อบอกว่า แข็งเป็นแข็ง แข็งจะเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นจะต้องเป็นผู้ที่ตรงทุกคำตั้งแต่ต้น โกรธเป็นเรา หรือโกรธเป็นโกรธ คือแสดงให้เห็นความจริงของทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งมีจริงว่า เป็นธาตุแต่ละชนิดซึ่งมีลักษณะเฉพาะแต่ละอย่างซึ่งไม่สามารถที่จะไม่ให้เกิดขึ้น หรือว่าให้ตั้งอยู่ไม่ให้หมดไปก็ไม่ได้ นี่คือการเริ่มฟังความจริง เพราะฉะนั้นเวลาที่ฟังธรรมคือ ฟังเรื่องสิ่งที่มีจริงให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงเพื่อที่จะรู้ว่า สิ่งที่มีจริงมีจริงๆ ชั่วคราวแต่ละหนึ่งไม่ปะปนกันเลย เพราะฉะนั้นจะเป็นของเราได้อย่างไรเมื่อรู้ว่าเป็นแต่ละหนึ่งจริงๆ และแต่ละหนึ่งนั้นก็หลากหลายมาก เช่น ได้ยินก็มีจริงๆ เป็นอื่นไม่ได้เลยนอกจากได้ยิน เป็นเห็นไม่ได้ เป็นคิดไม่ได้ เป็นเฉพาะได้ยินเท่านั้น เมื่อได้ยินเกิดเมื่อไหร่จะไปรู้อย่างอื่นไม่ได้เลยนอกจากได้ยินเสียง

    เพราะฉะนั้นแต่ละหนึ่งก็ไม่ใช่ใคร และไม่ใช่ของใคร ได้ยินเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ได้ยินแล้วก็ดับไป จะเปลี่ยนได้ยินให้เป็นอื่นไม่ได้ เสียเกิดขึ้นปรากฏว่า เป็นเฉพาะเสียงไม่เป็นอย่างอื่นแล้วก็ดับไป ถ้ามีความเข้าใจแต่ละธาตุทั้งหมดว่า แท้ที่จริงแล้วก็เป็นสิ่งที่มีจริงซึ่งมีลักษณะปรากฏเพียงชั่วคราวเพราะเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัยก็สามารถที่จะรู้ความจริงที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ และทรงแสดงให้คนอื่นสามารถเข้าใจถูกคือ ขณะนี้เป็นธาตุทั้งหมดเลย ขณะนี้เป็นธาตุทั้งหมดไม่มีเราที่กำลังฟัง เพราะฉะนั้นยิ่งฟังยิ่งเข้าใจก็จะรู้จักธาตุที่มีตามความเป็นจริง จนกว่าจะละคลายความยึดถือว่า เป็นเรา เพราะว่ามีความเข้าใจในธาตุ

    เพราะฉะนั้นการที่จะละความยึดถือที่เคยยึดถือด้วยความเข้าใจผิดในสิ่งที่ปรากฏว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ต่อเมื่อมีการรู้ลักษณะเฉพาะแต่ละหนึ่งจริงๆ ไม่ปะปนกัน แต่ละทางด้วยเ และก็เป็นแต่ละหนึ่งซึ่งปรากฏเพียงชั่วคราวซึ่งในขณะนี้ก็มีหลายอย่าง มีสิ่งที่ปรากฏทางตา และก็มีแข็ง และก็มีเสียง และก็มีคิด และก็มีจำหลายอย่างมาก แม้แต่ความรู้สึกก็มีขณะนี้เฉยๆ หรือว่าดีใจ หรือว่าเสียใจ ทั้งหมดมีจริงๆ เป็นธาตุแต่ละหนึ่งๆ เกิดปรากฏเพราะเหตุปัจจัยจึงไม่ใช่ใคร และไม่ใช่ของใคร อยากรู้อย่างนี้ไหม อยากเข้าใจถูกอย่างนี้ไหม หรือว่าอยากจะมีความรู้มากๆ เรื่องตัวหนังสือ ธาตุมีเท่าไหร่ อะไรบ้าง แต่ว่าไม่ได้เข้าใจธาตุที่กำลังมีในขณะนี้เลย

    เพราะฉะนั้นต้องรู้ว่า พระธรรมที่ทรงแสดง ทรงแสดงให้เข้าใจสิ่งที่มีแล้วเกิดแล้วๆ ก็ปรากฏโดยที่ว่า ไม่มีใครสามารถที่จะทำให้เกิดได้เลย เช่น เสียงเกิดแล้วดับแล้ว และก็ได้ยินเสียงเฉพาะ เช่น ไม่ได้ยินเสียงอื่นเลยแต่ความจริงไม่ใช่เพียงเฉพาะ เช่น ต้องมีเสียงก่อนแล้วต่อจากนั้นก็มีการเข้าใจเสียงนั้นว่าความหมายว่าอะไร แต่ละชาติแต่ละภาษา คนที่ไม่ใช่คนไทยได้ยินคำว่า เช่น เขาไม่รู้ความหมายว่าอะไรแต่ทุกคนได้ยินเสียง เพราะฉะนั้นการได้ยินเสียงเป็นอย่างหนึ่ง และการคิดการเข้าใจความหมายเป็นอีกอย่างหนึ่ง

    เพราะฉะนั้นทั้งหมดตั้งแต่เกิดจนตายทุกภพชาติทุกโลกไม่ว่าจะโลกไหนทั้งสิ้นก็เป็นเพียงธาตุแต่ละหนึ่งซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เมื่อไหร่เข้าใจถูกอย่างนี้ก็ชื่อว่ารู้ความจริงของแต่ละหนึ่งซึ่งมีจริงๆ ในขณะนี้ เพราะฉะนั้นกว่าจะรู้อย่างนี้ได้ อดทนที่จะฟัง และพิจารณาแล้วมีความเห็นถูกต้องตามความเป็นจริง ไม่ใช่ความเห็ฯก่อนๆ ว่า ยังมีเราตั้งแต่เด็กจนถึงเมื่อวานนี้จนถึงวันนี้ และต่อๆ ไป แต่ความจริงก็คือว่า มีแต่ละหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นปรากฏแล้วก็หมดไปหลากหลายมาก รู้ความจริงอย่างนี้เมื่อไหร่ชื่อว่ามีความเห็นที่ถูกต้องตามความเป็นจริง

    อ.อรรณพ คำเดียวคือคำว่า ธาตุ ก็ตลอดไปหมดถึงความจริงทั้งหลายซึ่งกำลังมีกำลังปรากฏของแต่ละบุคคล ซึ่งถ้าจะพิจารณา หรือคิดว่าธาตุมีเท่าไหร่ มีคำถามว่าธาตุมีเท่าไหร่ จะมีความข้าใจอย่างไรดี

    อ.วิชัย โดยนัยพระอภิธรรมจะทรงแสดงไว้ ๑๘ ธาตุ ทางตาก็มีรูปธาตุ จักขุธาตุ จักขุวิญญาณธาตุ ทางหูก็มีสัททธาตุ โสตธาตุ โสตวิญญาณธาตุ ทางจมูกก็มีคันธธาตุ ฆานธาตุ ฆานวิญญาณธาตุ ถ้าทางลิ้นก็มีรสธาตุ ชิวหาธาตุ ชิวหาวิญญาณธาตุ ทางกายก็มีโผฏฐัพพธาตุ ธาตุเย็นร้อน อ่อนแข็ง ตึงไหว กายธาตุ และกายวิญญาณธาตุ ส่วนธาตุที่เหลือ ๓ คือ มโนธาตุ มโนวิญญาณธาตุ และธรรมธาตุซึ่งธรรมธาตุก็แสดงถึงธาตุที่เหลือจากที่กล่าวแล้วข้างต้น ก็แสดงถึงสิ่วที่มีจริงทั้งหมด

    อ.อรรณพ กราบเรียนท่านอาจารย์ ธาตุนี่้จริงๆ แต่ละอย่างก็เป็นธาตุหมดเลย ทีนี้พระองค์ท่านทรงแสดงโดยประมวลสรุปก็มีอย่างเช่น พระองค์ท่านทรงแสดงธาตุทั้งที่ไม่ใช่ธาตุรู้เป็นรูปธรรม และธาตุที่เป็นธาตุรู้อย่างในธาตุที่เป็นรูป ท่านจะประมวลแสดงเป็นธาตุคือธาตุทั้งรู้ และไม่รู้ท่านจะแสดงเป็นธาตุ ๖ ก็คือ ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ๔ แล้วก็อากาสธาตุ ท่านก็แสดง ๕ อย่างนี้ส่วนนามธาตุทั้งหลายท่านก็แสดงวิญญาณธาตุเพียงอย่างเดียว กราบเรียนท่านอาจารย์ว่า ท่านประมวลธาตุทั้งหมดนี้มากมายแต่แสดงเป็น ๖

    ท่านอาจารย์ เราจะเรียนเรื่องราวของธาตุ หรือว่าเราจะเข้าใจธาตุใช่ไหม นี่เป็นสิ่งที่สำคัญมากเพราะว่าส่วนมากเวลาที่เราศึกษาวิชาการใดๆ ก็มีเรื่องราวของสิ่งนั้นๆ แต่เรากำลังเรียนเรื่องราว แต่ว่าตามความเป็นจริงพระธรรมที่ทรงแสดงเพื่อให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีให้เข้าใจถูกต้องเพราะเหตุว่า เรามีชีวิตอยู่โดยที่ว่าเราไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง อยู่ไปวันๆ เห็นบ้าง ได้ยินบ้างแต่ก็ไม่รู้ความจริง ยังคงยึดถือว่าเป็นเราจนกว่าจะได้ฟังพระธรรม พระธรรมเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งละเอียดอย่างยิ่งแม้แต่คำๆ เดียวที่จะคิดว่า ฟังแล้วจะเข้าใจเมื่อไหร่ เข้าใจได้มากน้อยแค่ไหน หรือบางคนก็บอกแล้วจะเข้าใจได้ยังไง ไม่มีวิธีอื่นเลยนอกจากฟัง และได้ยินคำที่แสดงถึงสิ่งที่กำลังมีจริงในขณะนี้ อันนี้หมายความว่า ที่แล้วมาทั้งหมดไม่เคยรู้อะไรเลย แม้แต่คำว่า ธาตุ ธา-ตุ ก็ไม่เคยได้ยิน ธรรมก็ไม่เคยได้ยินแต่ว่าเมื่อโอกาสที่จะได้รู้ได้เข้าใจว่า สิ่งที่มี เคยมีมาแล้ว และกำลังมีเดี๋ยวนี้ และถึงแม้ว่าจะมีต่อไปนั้นคืออะไร ก็ต้องฟัง และเข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ด้วย

    เป็นการเริ่มต้นที่จะเข้าใจสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง เช่น คำว่า ธาตุ หรือธา-ตุ ถ้าบอกว่าเป็นสิ่งที่มีจริงมีลักษณะแต่ละอย่างเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ตอบได้ร้อยเต็มเพราะเหตุว่าไม่ได้ผิดเลย แต่ว่าเข้าใจธาตุที่กำลังมีในขณะนี้รึเปล่า นี่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ไม่ใช่ให้เราไปจำชื่อจำเรื่องแล้วตอบ แต่เดี๋ยวนี้สิ่งที่มีจะเข้าใจได้อย่างไรว่า เป็นธาตุตรงตามที่ทรงแสดงไว้ว่า ธาตุหมายความถึงสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นการฟังก็ต้องเริ่มที่จะเข้าใจว่า มีสิ่งที่มีจริงแต่ไม่เคยรู้ไม่เคยเข้าใจ เพราะฉะนั้นฟังเรื่องสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้เพื่อเข้าใจความจริงของแต่ละสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้

    เพราะฉะนั้นคำว่า ธรรม หมายความถึงสิ่งที่มีจริง แล้วสิ่งที่มีจริงนั้นเป็นอะไร ถ้าเราถามใครเขาก็บอกว่า มีจริงๆ ทั้งนั้น แต่เขาจะให้คำตอบที่ละเอียดมั้ยว่า สิ่งที่มีจริงนั้นเป็นอะไร เพราะฉะนั้นพระธรรมที่ทรงแสดงจากการตรัสรู้ แม้ว่าธรรมเป็นสิ่งที่มีจริงแต่ความจริงของสิ่งที่มีจริงหลากหลายมากเป็นแต่ละหนึ่งจริงๆ ซึ่งใครก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ เพราะฉะนั้นจึงใช้คำว่า ธาตุ หรือธา-ตุ หมายความว่า ทุกอย่างที่มีจริง เริ่มเข้าใจว่า สิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งมีลักษณะเป็นหนึ่งไม่เป็นอย่างอื่นเลย จะเหมือนกันก็ไม่ได้ และแต่ละหนึ่งก็มีลักษณะเฉพาะของตน มีกิจการงานเฉพาะแต่ละอย่าง หรือว่ามีอาการที่ปรากฏ และก็มีเหตุใกล้ที่ทำให้แต่ละหนึ่งเป็นหนึ่งนั้นไม่เป็นหนึ่งอื่นหลากหลายมากทีเดียว และสิ่งนั้นอยู่ที่ไหน อยู่ที่เดี๋ยวนี้ซึ่งจะต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่า ไม่ต้องไปหาธาตุที่ไหนเลยเพียงแต่ฟังให้เข้าใจว่าขณะนี้สิ่งที่มีจริงมีลักษณะแต่ละหนึ่งซึ่งปรากฏว่าไม่เหมือนกัน

    เริ่มเข้าใจว่า สิ่งที่มีจริงขณะนี้ เห็นมีแน่นอน ได้ยินก็กำลังมี คิดนึกก็กำลังมี ใครทำให้เห็นเกิดขึ้น ใครทำให้ได้ยินเกิดขึ้น ใครทำให้คิดเกิดคิดอย่างนี้ได้ไม่คิดอย่างอื่น ใครทำได้ นี่ก็แสดงให้เห็นความเป็นอนัตตา ความไม่ใช่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มีใครจะเป็นเจ้าของ หรือว่าบังคับบัญชาได้เพราะว่า ธรรมทั้งหมดต้องสอดคล้องกัน เมื่อเป็นสิ่งที่มีจริงสิ่งนั้นเกิดปรากฏว่ามีโดยที่เราก็ไม่ได้ทำเลย ขณะนี้แม้แต่กำลังคิดก็ไม่มีใครไปคิดให้คิดอย่างนี้ หรือคิดอย่างนั้น หรือว่ากำลังเห็นเดี๋ยวนี้เห็นก็เกิดแล้วเป็นเห็น ใครทำ ก็ไม่มีใครทำเลย

    เริ่มเข้าใจความหมายของธาตุ หรือธรรมให้กว้าง และให้ละเอียดขึ้นว่า สิ่งที่มีจริงเกิดเพราะเหตุปัจจัยจึงปรากฏว่ามี และที่เป็นธาตุเพราะเหตุว่า ไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงลักษณะของธาตุ หรือธรรมแต่ละหนึ่งให้เป็นอย่าอย่างอื่นได้ เพราะฉะนั้นกว่าเราจะไปรู้ว่า ทรงแสดงโดยสรุปธาตุโดยเป็นนามธาตุเท่าไหร่ เป็นธาตุทั้งหมดเท่าไหร่ นั่นเรากำลังเรียนเรื่องแต่เราไม่ได้เข้าใจธาตุที่กำลังมีในขณะนี้ เพราะฉะนั้นการที่จะเข้าใจธาตุที่กำลังมีในขณะนี้ก็คือว่า ขณะที่ฟังต้องรู้ด้วยว่ากำลังพูดถึงสิ่งที่มีจริงๆ ขณะนี้ใช่ไหมจึงสามารถที่จะเข้าใจขึ้นได้

    เพราะฉะนั้นถ้ากล่าวถึงยังไม่ต้องจำกัดจำนวน หรืออะไรทั้งสิ้น ทุกคนมีร่างกายรึเปล่า มีใครไหมที่ไม่มีร่างกายมีไหม ไม่มีใช่ไหม ทุกคนมีร่างกาย เรียกว่าร่างกาย ยึดถือว่าร่างกายแต่ไม่รู้ว่าร่างกายคืออะไร แม้แต่มีก็ไม่รู้ และทุกคนมีจิตใจไหม หรือว่ามีแต่ร่างกาย ง่ายๆ ธรรมดา ภาษาธรรมดาไม่ได้มีแต่เฉพาะร่างกาย จิตใจก็มีด้วยแต่ก็ไม่รู้ว่า จิตใจคืออะไร ไม่รู้ทั้งนั้นเลยแต่ต้องไม่ลืมธรรมในภาษาบาลีหมายคงามถึงสิ่งที่มีจริงๆ ในภาษาไทย เพราะฉะนั้นร่างกายมีจริงใช่ไหม เป็นธรรมรึเปล่า เลือกให้ร่างกายเป็นอย่างนี้รึเปล่า ทำให้ร่างกายเป็นอย่างนี้ได้ไหม ไม่ได้

    เพราะฉะนั้นธรรมนั้นแหละเป็นธาตุเป็นธา-ตุ เกิดแล้วเป็นอย่างนั้นไม่เป็นอย่างอื่น แต่ละหนึ่งๆ ลักษณะที่มีที่กาย เกิดแล้วทั้งนั้น และเป็นอย่างนั้นแล้วทั้งนั้นเป็นสิ่งที่มีจริงแต่เป็นธาตุเพราะเหตุว่า ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงลักษณะนั้นได้เลย สิ่งนั้นเกิดแล้วต้องเป็นอย่างนั้นไม่เป็นอย่างอื่น เพราะฉะนั้นคร่าวๆ ทุกคนมีร่างกาย และทุกคนมีจิตใจแต่ก็ไม่รู้ร่างกายจริงๆ เป็นยังไง และจิตใจจริงๆ เป็นยังไงแต่เพียงรู้ว่ามี

    เพราะฉะนั้นพระธรรมที่ทรงแสดงๆ ความจริงของสิ่งที่มีให้เข้าใจถูกต้องว่า ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่มีที่เราเคยยึดถือว่าเป็นร่างกายก็ไม่ใช่ของเราแต่ว่ามีลักษณะที่เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งๆ หลากหลายกันไป แต่ละหนึ่งนั้นก็ไม่มีใครเป็นเจ้าของ จะบอกว่า เป็นร่างกายของเราได้ไหม เช่น ที่กายมีสิ่งที่แข็งแน่ๆ ตัวใครไม่แข็งบ้าง ไม่อ่อนบ้าง มีไหม ไม่มีใช่ไหม กระทบสัมผัสเมื่อไหร่มีอ่อน นั่น หรือร่างกายของเรา คือ เริ่มที่จะเข้าใจความเป็นธาตุในสิ่งที่มี อ่อน หรือแข็งที่ตัวทั้งหมดไม่ว่าจะตรงไหน เคยเข้าใจว่าเป็นผม ลองจับสิ แข็ง แข็งเป็นแข็ง เปลี่ยนแข็งให้เป็นอื่นไม่ได้เลย


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 193
    23 ธ.ค. 2566

    ซีดีแนะนำ