พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 861


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๘๖๑

    ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๖


    ท่านอาจารย์ สิ่งที่เห็นบ้างได้ยินบ้างต้องไม่น่าพอใจ แต่ว่าโวฏฐัพพนสามารถที่จะรู้อารมณ์ได้ทั้งที่น่าพอใจ และไม่น่าพอใจ เพราะฉะนั้นไม่ใช่วิบาก จึงเป็นกิริยาจิตเพราะว่าจิตทั้งหมดที่เกิดขึ้น ชาติคือการเกิด "ช่วยชาติให้พ้นภัย" คือช่วยจิตแต่ละขณะที่เกิดขึ้นไม่ให้เป็นอกุศล ไม่ต้องไปรับผลของอกุศลกรรม เพราะฉะนั้นเวลาที่จะจักขุวิญญาณเกิด และดับ สัมปฏิจฉันนจิตเกิด และดับ สันตีรณเกิด และดับเป็นวิบากจบเรื่องของกรรมต่อจากนั้น โวฏฐัพพนเป็นกิริยาจิต เพราะเหตุว่าไม่ว่าสิ่งที่น่าพอใจ หรือไม่น่าพอใจเกิด จิตนี้สามารถรู้ได้ ในขณะที่กุศลวิบากรู้ได้เฉพาะอารมณ์ที่น่าพอใจ อกุศลวิบากรู้ได้เฉพาะอารมณ์ที่ไม่น่าพอใจ สัมปฏิจฉันนกุศลวิบากก็รู้ได้เฉพาะแต่เฉพาะอารมณ์ที่น่าพอใจ อกุศลวิบากก็รู้ได้แต่เฉพาะอารมณ์ที่ไม่น่าพอใจ แต่โวฏฐัพพนรู้ได้ทั้งอารมณ์ที่ไม่น่าพอใจ และอารมณ์ที่น่าพอใจ ถ้าเป็นวิบากก็ต้องรู้เฉพาะอารมณ์ของตน เช่นถ้าเป็นอกุศลวิบากผลของอกุศลกรรมก็จะรู้แต่เฉพาะอารมณ์ที่ไม่น่าพอใจ แต่โวฏฐัพพนรู้อารมณ์ที่น่าพอใจก็ได้ อารมณ์ที่ไม่น่าพอใจก็ได้ เพราะฉะนั้นโวฏฐัพพนเป็นกิริยา จิตที่เกิด ชาติเกิดแล้วต้องเป็นอย่างหนึ่งอย่างใด ถ้าเป็นกุศลเป็นอกุศลไม่ได้ เป็นวิบากไม่ได้ เป็นกิริยาไม่ได้ ถ้าเป็นอกุศลก็เป็นอกุศลเป็นวิบากเป็นกิริยาไม่ได้ ถ้าเป็นวิบากก็เป็นกุศล เป็นอกุศล เป็นกิริยาไม่ได้ ถ้าเป็นกิริยาก็ไม่เป็นกุศล ไม่เป็นอกุศล ไม่เป็นวิบาก เพราะฉะนั้นกิริยาจิตที่คนทั่วไปมีได้มีเพียงสอง แต่วันนี้ขณะนี้พูดถึงหนึ่งคือ โวฏฐัพพนหรืออีกชื่อหนึ่งคือมโนทวาราวัชชนหรืออีกชื่อหนึ่งชวนปฏิปาทกมนสิการ เพราะว่าเมื่อโวฏฐัพพนหรือมโนทวาราวัชชนดับ ชวนจิตต้องเกิดต่อ อย่างอื่นเกิดต่อไม่ได้เลย และชวนก็ไม่พ้นจากกุศล อกุศล และกิริยาซึ่งเกิดดับสืบต่อถึง ๗ ขณะทำให้ปรากฏ สัมปฏิจฉันนเกิดแล้วดับแล้วไม่ปรากฏ สันตีรณเกิดแล้วดับแล้วไม่ปรากฏ โวฏฐัพพนเกิดแล้วดับแล้วไม่ปรากฏ แต่โลภะเกิดซ้ำกัน ๗ ขณะ ปรากฏ ชอบอะไรก็พอจะรู้ได้ โกรธอะไรก็พอจะรู้ได้

    ผู้ถาม จะเป็นกุศลไม่ได้ใช่หรือไม่

    ท่านอาจารย์ กุศลหมายความว่าเป็นเหตุ ถ้าเป็นกุศลก็ต้องประกอบด้วยเจตสิกฝ่ายดีงาม ถ้าเป็นอกุศลก็ต้องประกอบด้วยเจตสิกที่เป็นอกุศล แต่โวฏฐัพพนไม่มีกุศล และเจตสิก และอกุศลเจตสิกเกิด อย่างไม่ถึงกาลที่จะเกิดก็เกิดไม่ได้ แต่พอสัมปฏิจฉันนดับ สันตีรณดับ โวฏฐัพพนดับ กุศล และอกุศลที่สะสมมาเกิดแล้วยับยั้งไม่ได้ ถ้าเข้าใจจริงๆ จะลืมหรือไม่ อย่างจิตลืมหรือไม่

    ผู้ถาม ไม่ลืม

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้มีจิตหรือไม่

    ผู้ถาม มีครับ

    ท่านอาจารย์ มีเจตสิกหรือไม่

    ผู้ถาม มีครับ

    ท่านอาจารย์ มีรูปหรือไม่

    ผู้ถาม มีครับ

    ท่านอาจารย์ ไม่ลืมเพราะอะไร

    ผู้ถาม ไม่ลืมเพราะเข้าใจอย่างแน่นแฟ้นว่าในขันธ์ ๕ ก็ต้องมีอยู่เพียงเท่านี้

    อาจารย์คำปั่น อาจารย์ธิดารัตน์ จริงๆ แล้วก็ไม่พ้นจากสภาพจิตเลย ไม่พ้นจากจิตแต่ก็มีข้อความที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ว่า ชำระจิตของตนให้ผ่องใสชำระอะไร แล้วอะไรเป็นเครื่องชำระจิต

    อาจารย์ธิดารัตน์ การที่ต้องชำระจิตเพราะว่าอย่างเช่นอกุศลจิตที่ใช้คำว่าอกุศลจิตหรือ คือจิตที่มีอกุศลธรรมเกิดร่วมด้วยอย่างเช่นโลภมูลจิต ใช้คำว่าจิตนั้นมีโลภเป็นมูลหรือว่าเป็นเหตุที่ทำให้เกิด เพราะฉะนั้นจิตก็เศร้าหมองเพราะกิเลสที่เกิดร่วมด้วย และการที่จะชำระจิตให้พ้นจากความเศร้าหมองหรือว่าจิตที่จะไม่มีความเศร้าหมอง ปัญญาเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องชำแรกกิเลส หรือว่าอกุศลธรรมทั้งหลาย เมื่อดับกิเลส และอกุศลธรรมทั้งหลายซึ่งเป็นเหตุหรือว่าเป็นมูลที่จะไปเกิดร่วมด้วยกับจิตที่จะทำให้จิตนั้นเศร้าหมองเพราะอกุศลธรรมได้ เมื่อดับกิเลสเป็นขั้นขั้นไป จิตก็จะปราศจากกิเลสที่ถูกดับแล้ว กิเลสที่ถูกดับแล้วอย่างเช่นพระโสดาบันหรือว่าโสตาปัตติมรรคที่ดับความเห็นผิดก็คือทิฏฐิเจตสิก วิจิกิจฉาเจตสิกเหล่านี้ เมื่อดับเป็นสมุทเฉทก็คือตัดขาดออกจากจิต เมื่อไม่มีเหตุเหล่านี้หรือเมื่อทิฏฐิถูกดับไปแล้วทิฏฐิก็จะเกิดร่วมกับจิตอีกไม่ได้ เพราะฉะนั้นโลภมูลจิตหรือจิตที่มีโลภะเป็นมูลที่สามารถจะทิฎฐิเกิดร่วมด้วย แต่เมื่อดับทิฎฐิด้วยโสดาปัตติมรรคแล้ว โลภะก็จะไม่มีทิฏฐิเกิดร่วมด้วยอีกต่อไป อันนี้ก็เรียกว่าชำระไปในระดับหนึ่ง เพราะว่าการที่จะตัดอกุศลธรรมหรือว่าเครื่องเศร้าหมองที่เป็นกิเลสเหล่านี้ต้องด้วยกำลังของมรรคจริงๆ ที่จะตัดขาด ไม่เช่นนั้นก็จะไม่สามารถที่จะละกิเลสได้เป็นสมุทเฉทได้เลยถ้าไม่มีปัญญาในระดับที่จะเกิดร่วมกับมรรคจิตที่จะดับกิเลส แต่ในขณะที่กุศลจิตเกิดอกุศลไม่ได้เกิดร่วมด้วย มีความผ่องใสหรือด้วยอำนาจของโสภณธรรมแต่ละขณะแต่ละขณะ แต่ก็ยังมีอนุสัยกิเลสนอนเนื่องอยู่ในจิตเสมอ ถ้าไม่ได้ถูกดับด้วยอรหัตมรรค ซึ่งก็คือหมดสิ้นเลย ไม่มีกิเลสใดๆ หลงเหลืออยู่อีก

    อาจารย์คำปั่น เมื่อศึกษาพระธรรมคำสอนแล้วก็จะเข้าใจว่าสิ่งที่จะชำระล้างสิ่งที่ไม่ดีได้นั้นก็ต้องอาศัยการอบรมเจริญปัญญา ก็ขออนุญาตอ่านข้อความจากเถรีคาถา ซึ่งกล่าวถึงเรื่องนี้โดยตรงว่าชำระล้างบาปด้วยอย่างอื่นได้หรือไม่ เป็นการสนทนากันระหว่างอุบาสิกาผู้เข้าใจธรรมกับพราหมณ์ผู้กำลังดำเนินหนทางที่ผิด และจากการเกื้อกูลกันทำให้พราหมณ์ท่านนี้ถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งในที่สุดออกบวชเป็นพระอรหันต์ อุบาสิกาท่านนี้บรรลุเป็นพระโสดาบันแล้ว และในที่สุดก็ออกบวชเป็นพระเถรี ในที่สุดก็เป็นพระอรหันต์ ก็ลองฟังดูว่าท่านสนทนากันว่าอย่างไร อุบาสิกาถามว่า ท่านพราหมณ์ ท่านกลัวอะไรจึงลงอาบน้ำทุกเมื่อ ท่านมีตัวสั่นเทาประสบความหนาวเย็นอย่างหนัก พราหมณ์ก็ตอบว่า ดูกรแม่ปุณณาผู้เจริญ เจ้ารู้ว่าเรากำลังทำกุศลกรรมอันปิดซึ่งบาปกรรม ยังจะสอบถามอยู่หรือหนอ ก็ผู้ใดไม่ว่าแก่หรือหนุ่มประกอบกรรมที่เป็นบาป แม้ผู้นั้นก็จะหลุดจากบาปกรรมได้เพราะการอาบน้ำ นี้คือความเห็นของพราหมณ์ อุบาสิกาก็กล่าวตอบว่า ใครหนอช่างไม่รู้มาบอกกับท่าน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าตนจะหลุดพ้นจากบาปกรรมได้เพราะการอาบน้ำ พวกกบ เต่า งู จระเข้ และสัตว์อื่นๆ ที่สัญจรอยู่ในน้ำทั้งหมดก็คงจักพากันไปสวรรค์แน่แท้ คนฆ่าแพะ คนฆ่าสุกร คนฆ่าปลา คนฆ่าเนื้อ พวกโจร พวกเพชฌฆาต และคนทำบาปกรรมอื่นๆ แม้คนเรานั้นจะหลุดพ้นจากบาปกรรมได้เพราะการอาบน้ำ ถ้าหากว่าแม่น้ำเหล่านี้จะพึงนำบาปที่ท่านทำมาก่อนไปได้ไซร้ แม่น้ำเหล่านี้ก็จะพึงนำบุญแม้ของท่านไปด้วย ท่านก็จะพึงเหินห่างจากบุญนั้นไป ดูกรพราหมณ์ท่านกลัวบาปกรรมอันใดจึงลงอาบน้ำทุกเมื่อ ท่านพราหมณ์ท่านก็อย่าทำบาปกรรมนั้น ขอความหนาวเย็นอย่าทำลายผิวของท่านเลย นี้ก็เป็นการเกื้อกูลซึ่งกัน และกันทำให้ได้เข้าใจตามความเป็นจริงว่าคนจะไม่บริสุทธิ์ด้วยการลงอาบน้ำ ไม่สามารถที่จะลบล้างบาปกรรมด้วยการลงอาบน้ำแต่จะบริสุทธิ์ได้เมื่อได้อาบน้ำในพระธรรมวินัย ซึ่งก็คือการอบรมเจริญปัญญา

    อาจารย์ธิดารัตน์ ลักษณะของโมหะที่ท่านแสดงไว้ในชีวิตประจำวันมีอยู่มาก แต่ก็เหมือนกับรู้ว่ามีแต่ก็ไม่เข้าใจ และท่านก็ยังแสดงถึงความเป็นยอดหรือเป็นศีรษะ เป็นสิ่งที่ต้องทำลายว่าถูกตัดอีก ถ้าจะค่ะ

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นความมืดมนจริงๆ ขณะนี้ดูเหมือนสว่าง แต่ถ้าไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนั้นต้องมืดแน่เพราะเหตุว่าแม้สว่างอย่างไรก็ยังไม่สามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฎ พระผู้มีพระภาคฯ ทรงอุปมาอวิชชาเป็นศีรษะ สำคัญหรือไม่ ทุกคนที่นี้ยังมีศีรษะ ยังนั่งอยู่ได้ ยังไปไหนไม่ได้เพราะมีศีรษะ เมื่อวานนี้อวิชชาทำอะไรบ้าง ไม่ได้ถามถึงใครเลยสักคน แต่ถามถึงธรรมคือสิ่งที่มีจริงคือสภาพที่ไม่รู้ (๑๐:๑๖)

    ไม่สามารถที่จะเข้าใจถูกเห็นถูกในสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมะถ้าไม่พูดถึงสิ่งที่มีจริงๆ ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้เพียงชื่อเพียงคำแต่ตัวจริงอยู่ที่ไหน เพราะฉะนั้นเวลาพูดถึงศีรษะขณะนี้ก็กำลังมีศีรษะแล้วก็เมื่อผู้มีพระภาคทรงอุปมาว่าอวิชานะคะ เหมือนศีรษะ เพราะฉะนั้นเมื่อวานนี้ยังมีศีรษะเมื่อวานนี้วิชาทำอะไรบ้าง เรียนแล้วไม่ลืมแล้วก็ไม่ใช่ว่าทิ้งไปเลย แต่ทุกคำที่ได้ฟังมีประโยชน์เพราะเหตุว่าสามารถที่จะทำให้เข้าใจสิ่งซึ่งในขณะนี้แสงสว่างไม่สามารถที่จะทำให้เข้าใจถูกได้แต่พระธรรมที่ทรงแสดงความจริงให้เข้าใจ เกิดความเห็นที่ถูกต้องที่ยิ่งกว่าแสงสว่างเพราะแม้ในความมืดนะคะ ก็ยังสามารถเข้าใจธรรมะได้ เพราะฉะนั้นเมื่อวานนี้นะคะ ทบทวนอวิชชาทำอะไรบ้างคะ คิดว่าเราทำทั้งนั้น แต่ความจริงอวิชา และธรรมะเอ็มเอ็นทั้งนั้น เพราะฉะนั้นตอบได้ไหมคะเมื่อวานนี้อ่ะวิชาทำอะไรบ้าง ทำมากมายทุกอย่างเว้นขณะที่เป็นกุศล และเป็นผลของกรรมที่เป็นวิบากกับกิริยา นี่คือกล่าวด้วยความละเอียดนะคะ แต่ไหนพิสูจน์ได้ทำไมต้อง เขต๔ ก็สามารถที่จะทำให้เห็นความจริงซึ่งขณะนี้เป็นอย่างนั้นชัดเจน เมื่อวานนี้ไม่มีใครทำอะไรแต่อ่านวิชาธรรมตลอดเวลา บางคนก็อาจจะคิดว่ามือทำต่างหากใช่ไหมคะขาทำต่างหากปากถ้ำต่างหากแต่ว่าตามความจริง และรูปทำอะไรไม่ได้ถ้าไม่มีจิต เพราะฉะนั้นเนี่ยค่ะขณะนี้ก็กำลังเกิดดับสืบต่ออย่างเร็วมากนะคะ รูปเป็นรูปค่ะรูปไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลยทั้งสิ้นไม่คิดไม่จำไม่มีเรื่องราวใดๆ กับโรคใดๆ เลยทั้งสิ้นนะคะ เพราะฉะนั้นเมื่อวานนี้ขนาดไหนที่ไม่ใช่กุศล ช่ายค่ะทุกอย่าง ไม่ว่าจะพูดไม่ว่าจะคิดไม่ว่าจะเดินไปไหนเรียกว่าทำอะไรนะคะ ก็เพราะอวิชชานั่นคือเมื่อวานนี้แล้ววันนี้ล่ะยังมีศีรษะ ก็ยังทำเหมือนเดิมนะคะ จนกว่าจะมีอะไรที่ตัดศีรษะทำต่อไปอีกไม่ได้เลยค่ะอวิชาทำงานต่อไปอีก ยังไม่ราบใดที่ยังไม่มีอะไรที่จะตัดศีรษะให้ นี่แค่ไอจี วิชา อยู่ตลอดเวลาเจอตัวแล้วเจอตัวแล้วโหมดเพื่อทำอยู่ทุกปี ให้ฉันในขณะเมื่อวานนี้ก็หมดไปแล้วผ่านไปแล้วโดยอวิชาก็ทำนะคะ และวันนี้ละอวิชาทำหรือเปล่าหรือว่าพักผ่อนหรือเปล่าคะ ๗เจตสิกไม่ได้พักเลยค่ะ ไม่ได้พักเหมือนอย่างที่เราคิดนะคะ เจสเจตสิกเกิดดับสืบต่อไม่หยุด เพราะฉะนั้น จากขณะนี้ถอยไปแซนโกรธกลับก็คือจิตสืบต่อจากที่ได้เคยเกิดแล้วก็ดับไปแล้วไม่กลับไปอีกนะคะ แบบปรุงแต่งให้ขณะนี้ค่ะไม่ทุกขณะโดยที่ว่าไม่เหมือนเก่าแม้ว่าจะเป็นจิตประเภทเดียวกันนะคะ แต่สิ่งที่สะสมก็เพิ่มขึ้นไม่ว่าจะเป็นทางฝ่าย ซอลต์ฝ่ายอนุสรณ์ให้ฉันเมื่อวานนี้นะ วิชาไม่เกิด ตรเข้าใจธรรมะ ก็สะสมความเข้าใจธรรมะนั้นไว้นะคะ ว่าอวิชาคือความไม่รู้ไม่ว่าสิ่งนั้นจะปรากฏก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้แต่เมื่อวานนี้ก็ได้สะสมปัญญาที่ได้ฟัง และเข้าใจพระธรรมที่ทรงแสดงว่าเอาวิชาเป็นศีรษะเพระเหตุแวะตราบใดที่ยังมีศีรษะ อยู่ก็จะต้องมีการกระทำต่างๆ ตั้งแต่เช้ามาอวิชาก็ทำงานแล้ว ตัลลักอวิชาทำงานหรือเปล่าคะ นี่คือความละเอียดค่ะการคลังธรรมะไม่ใช่ฟังเพลินถ้าฟังเพลินไม่มีทางที่จะการยึดถือสภาพธรรมะเป็นตัวตนเลยนะคะ เพราะฉะนั้นหลับสนิทแนะอวิชาทำงานหรือเปล่า แชร์ก็หลับด้วยไม่ได้ทำงานเลยค่ะเพราะเห็นว่าอกุศลทั้งหมดไม่เกิดกับวิบาก พระเอกนั้นนะคะ อกุศลเป็นชาติเดียวคือเกิดเมื่อไรเป็นอกุศลจะเป็นวิบากจะเป็นกิริยาจะเป็นกุศลไม่ได้ เพราะฉะนั้นในขณะที่หลับสนิทจากเกิดมาแล้วก็มีการเห็นการได้ยินสืบต่อมาทุกวันจนถึง ผลของกรรมเดียวกับที่ทำให้ปฏิสนธิเป็นบุคคลนี้ยังไม่เปลี่ยนเป็นบุคคลอื่นเลยนะคะ เจ๋งเหมือนกับปฏิสนธิจิตคือไม่ได้มีการรู้อารมณ์ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ และเมื่อเป็นผลของกรรมขณะนั้นอกุศลเกิดไม่ได้เลยเว้นชั่วคราวก็ยังดีใช่ไหมคะ ภัทรพรตอนที่อะไรก็ไม่ปรากฏแต่พอตื่นขึ้นมาเห็นเป็นผลของกรรม จำเป็นต้องเห็น อยากเห็นหรือไม่อยากเห็นก็ต้องเห็นถึงเวลาที่กรรมให้ผลให้เห็นก็ต้องเห็น บางคนก็แผนที่จะเห็นเกาะติดมาได้ยินนะคะ ก็เป็นผลของกรรมที่จะให้ผลทางตาหรือทางหู เพราะฉะนั้นให้ทราบว่านะคะ ชีวิตตลอดตั้งแต่เกิดจนตายก็มีธาตุที่เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัยทั้งหมดนี้ค่ะถ้าศึกษาโดยละเอียดจะรู้ว่าถ้าไม่มีปัจจัย อะไรอะไรก็เกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้นการเห็น และเป็นการอุปปัตติเกิดขึ้นของการกระทบกันของสิ่งที่สามารถกระทบกันได้ คือตาเนื้อจักขุประสาทสามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ค่ะแล้วก็เป็นปัจจัยกรรมทำให้จิตเห็นเกิดขึ้นนะคะ ที่เห็นแล้วดับไปแล้วไม่กลับมาอีกเลยอวิชาก็ยังไม่ได้ทำหน้าที่ใดๆ จนกว่าเห็นแล้วนะคะ หน้าโดยพระสูตร และก็จะไม่แสดงโดยวิถีจิตโดยละเอียดแต่ก็ให้สร้างใครบ้างที่เห็นแล้วเป็นกุศล อยากนะคะ แค่รู้ว่า ผู้สอนเป็นไปในอะไรบ้าง และในขณะที่ไม่รู้ความจริงก็เกิดแล้วก็ไม่รู้แล้วก็ยึดถือสิ่งที่ปรากฏสืบต่อโดยมิตะ๓จนกระทั่งปรากฏเป็นนิมิตเพราะความรวดเร็วนะคะ ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ว่าการที่ทางนามธรรม และรูปธรรมเกิดดับ๑๐ตก็ทำให้เป็นเครื่องหมาย หรือมนุษย์ และสิ่งนั้นเป็นอย่างนั้นยังปรากฏชื่อในขณะที่กำลังเห็นขณะนี้นะคะ เห็นเป็นอะไรขนาดนั้นนะคะ ก่อนจะเป็นอะไรนั้นอวิชาทำหน้าที่แล้ว คือไม่รู้ความจริง เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรมเนี่ยเป็นผู้ที่ เป็นเหตุที่ได้กระทำไว้ในปางก่อนนะคะ ทำให้สามารถรู้ว่าสิ่งใดควรฟัง เหมือนสาวเกาหลีใจอย่างยิ่งแล้วก็ยากอย่างยิ่งที่จะเข้าใจได้แต่ก็สามารถที่จะเข้าใจได้เมื่อมีศรัทธาแล้วก็มีความอดทน และมีการเข้าใจถูกต้องแวะรู้ดีกว่าไม่รู้แน่นอนเพราะว่าประโยชน์มากมิฉะนั้นวันนึงวันนึงก็ยังคงเป็นผู้ที่มีศีรษะ นะคะ คืออวิชาแล้วก็ทำทุกอย่างด้วยแอปวิชา เพราะฉะนั้นการฟังธรรมะด้วยค่ะก็เป็นการสะสมอาวุธนะคะ ที่จะตัดศีรษะแต่ว่าอาวุธนี้ แค่ไหนยังตัดไม่ได้แน่เพราะเหตุว่าซีซั่นนี้ใหญ่มากเลยนะคะ แล้วก็เหนียวหนาแน่นมาก เพราะฉะนั้นก็ต้องอาศัยปัญญาความเข้าใจเพราะฉันเข้าใจเท่านั้นค่ะไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่มีเราที่จะทำอะไรได้แต่ว่ามีธาตุชนิดหนึ่งซึ่งสามารถที่จะเกิดขึ้นนะคะ จากการฟัง และไตร่ตรองขนาดนั้นก็เป็นนามธาตุมากมายหลายอย่างซึ่งเราใช้คำว่าเจตสิ จิตทำให้ถนัดด้วยค่ะขณะใดที่กำลังเข้าใจขณะนั้นอวิชาเกิดขึ้น แล้วก็ทำอีกได้นะคะ เพราะฉะนั้นการฟังธรรมะก็คือเป็นผู้ที่ตรงที่จะรู้ว่าไม่มีเราก่อนเองค่ะอย่าได้คิดที่จะไปละกิเลสอื่นใดๆ ทั้งสิ้นถ้าตราบนั้นยังคงมีความไม่รู้ และยึดถือสภาพธรรมะว่าเป็นเราที่ยึดถือสภาพธรรมะว่าเป็นเราเพราะไม่รู้ เพราะฉะนั้นการที่จะละคลายความไม่รู้คืออวิชชาที่ยึดถือสภาพธรรมะว่าเป็นเรานะคะ ก็ด้วยปัญญาความเห็นถูกความเข้าใจถูกจากการฟัง และไตร่ตรอง และก็ค่อยๆ เข้าใจความจริงเลยค่ะ ไม่สามารถที่จะเข้าใจในขณะที่ฝั่ง วิชัยเป็นราวไปพลหายไปา อีกนะเชื่อมโยงของ มีมา เจอแม่คนนี้เล่าเจ็บทำให้เราหงุดหงิดคิดว่าขณะนั้นนะคะ เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยงหลอกลวงว่าที่ทั้งๆ ที่ไม่เที่ยง และก็มีความยินดีพอใจที่จะไม่เข้าใจธรรมะก็มีนะคะ สำหรับบางท่านพอใจที่เกิดมาแล้วมีความสุขก็ไม่ต้อง มีมา จากการสะสม เพราะฉะนั้นก่อนอื่นให้ทราบค่ะเอาวิชามีวิชาทำงานนะคะ แล้วแต่ว่าสิ่งโอกาสที่แอร์วิชาจะเกิดขึ้นทำงานเมื่อไหร่ก็ทำเมื่อนั้นเรื่อยๆ แต่โอกาสของธรรมะที่เป็นกุศลก็มีนะ ที่เห็นประโยชน์ของการฟังธรรมะเป็นเบื้องต้นมีศรัทธาแล้วก็ฟังแล้วก็ไตร่ตรองจนกระทั่งเป็นความเข้าใจ คนที่น่ารักๆ นะคะ แค่ขยับหรือวิชาทำงานหรือเปล่า ก็ทำร่วมกันรบพระเห็นไหมคาดว่าใครจะนี้คนต้องอาศัยการฟังจริงๆ เข้าใจจริงๆ และรู้ว่าถ้ายังคงเป็นเราไม่มีทางที่จะละกุศลใดๆ เลยทั้งสิ้น ถามถึงแสดงว่าความสุดท้ายนะคะ ที่อธิบายลักษณะของโมหะกับความเป็นบุญเป็นลาง แต่ว่าเป็นอยู่เป็นเหตุใกล้ที่ทำให้เกิด เพราะฉะนั้นถึงแม้ขณะที่เป็นอักษรธรรมทั้งหลายนะคะ ก็จะต้องมีอวิชานะครับ เอง คาดอวิชาไม่ได้เลยค่ะ ไม่ว่าอกุศลประเภทใดทั้งสิ้นนะคะ ต้องมีอวิชาเกิดร่วมด้วย ถ้าจะขัดจริงๆ แล้วท่านก็แสดง ลักษณะของอวิชานะคะ ด้วยความเป็นเหตุทั้งเป็นเหตุด้วยการเกิดความอย่างเช่นเป็นเหตุปัจจัยเป็นเหตุเป็นมูลนะคะ แต่ก็ยังอธิบายโดยความเป็นเหตุโดยสิทธิ์ระยะหนึ่งซึ่งเป็นเหตุทั่วไปซึ่งเป็นสาธารณะเหตุนะคะ จะกว้างขวางกว่ายังไงก็ท่าจะ แพทย์กล่าวโดยปัจจัยนะคะ เราก็คุ้นหูมาบ้างบางคำเช่นสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่เกิดแล้วขณะนี้นะคะ ต้องมีปัจจัยที่ทำให้เกิดถ้าไม่มีปัจจัยที่ทำให้เกิดเกิดไม่ได้เลยค่ะไม่ว่าคณะไหนทั้งสิ้นแต่ว่าที่เป็นปัจจัย เอสซี เช่นชนาดไหนก็ตามแม้ชีวิตของเจ้าชายสิทธัตถะก่อนที่จะได้ตรัสรู้ขณะนั้นก็มีอวิชาถ้าไม่มีต้องดับไปค่ะก็ไม่ต้องดับ เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่านะคะ ตราบใดที่ยังไม่เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมะตรงตามความเป็นจริง ขณะนั้นก็คือความไม่รู้ซึ่งเป็นอวิชาเพราะไม่รู้นะคะ ก็จึงเกิดอกุศลกรรมอกุศลธรรมทั้งหมด ไม่ว่าอะไรทั้งแท่งกายทั้งวาจาทั้งใจแม้ว่าทางกายยังไม่ได้มีการกระทำใดๆ ทางใจยังไม่มีการกระทำใดใดนะคะ แต่ขณะใดที่ไม่รู้นี้อวิชาไม่พ้นเลยค่ะเพราะอวิชานั่นเอง จึงทำให้ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏเป็นสภาพธรรมะที่ปิด ความจริงนะคะ ส่วนปัญญาตรงกันข้ามเป็นสภาพธรรมะที่ เข้าใจเพราะไม่มีอวิชาปิด เนี่ยค่ะก็เป็น๔ซึ่งค่อยๆ เข้าใจขึ้น แล้วก็ ต้องรู้ว่านะคะ ไม่ว่าจะเป็นอกุศลประเภทใดคณะใดทั้งสิ้นถ้าไม่มีอวิชาอกุศลหนาแน่นเกือบไม่ได้ เพราะฉะนั้นอัดวิชาจึงเป็นร่าง หมู ด้วยเหตุนี้ส่งสมัที่เป็นหมูเรื่องของธรรมะ วันนี้ที่๖ ซึ่งเป็นมูลรากที่ใช้คำว่าปัจจัยนะคะ ทำให้สิ่งต่างๆ เกิดขึ้น และทางฝ่ายอกุศลที่เป็นมูลเป็นร้าก็มี๓ชาติอภิชาไม่ได้เลยนะคะ เราเห็นได้โทสะเห็นได้แล้วพอเหอะ จะต้องมีอยู่แต่ไม่เห็นว่าพระม ทางฝ่ายกุศลก็มีอีก๓ทางฝ่ายโซนนะคะ คืออโลภาอ่ะโทสะโมหะได้แก่ปัญญาเจตสิก ในบรรดาธรรมะทั้งหมดไม่ว่าจะเกิดเมื่อไหร่ก็ตามนะคะ ธรรมะที่เป็นราบเหงาเป็นมูลที่จะทำให้เกิดทำไมอดีตก็มีเพียง๖

    อ.ธิดารัตน์ คุณวิชัยค่ะความไม่รู้นะคะ เป็นปัจจัยให้ทำอะไรได้บ้างคะยกตัวอย่าง ในชีวิตประจำวันเพราะว่าเยอะมาก


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 193
    27 ต.ค. 2567

    ซีดีแนะนำ