พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 867


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๘๖๗

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๑๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๖


    อ.คำปั่น ยิ่งฟังก็ยิ่งละเอียด สิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้เป็นสิ่งที่มีจริงๆ ใครก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่มีจริง เพราะว่ามีจริงทุกขณะ แล้วก็ทุกขณะที่ว่านี้ ก็คือคุณทุกขณะในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่เกิดจนตายไม่เคยปราศจากธรรมเลย ก็ขอต่อเนื่องอีกสักประเด็นหนึ่ง อาจารย์ธิดารัตน์ครับ วันนี้ก็เริ่มต้นกับคำว่า เจตสิก แต่ก็มีการกล่าวถึงธรรม ละเอียด ทั้งจิตบ้าง ทั้งรูปบ้าง ได้ฟังท่านอาจารย์ยกตัวอย่าง เรื่องของเจตสิก อย่างเช่นความชอบ ความไม่ชอบ ความขยัน ความรู้สึก เป็นต้น ก็อยากจะให้อาจารย์ธิดารัตน์ ได้ยกตัวอย่างสภาพธรรม ที่เป็นเจตสิกในชีวิตประจำวัน เพราะว่าบางคนอาจจะไม่คุ้นกับคำว่า เจตสิก ดูเหมือนจะเป็นคำใหม่ แต่จริงๆ เมื่อกล่าวถึงสภาพธรรมต่างๆ ก็จะตรงตามพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง แม้จะไม่ใช้ชื่อว่า เจตสิก ก็ตาม

    อ.ธิดารัตน์ พูดถึงความรู้สึก ใช่หรือไม่ ส่วนใหญ่เราก็จะคิดว่าความรู้สึกเป็นเรา แต่จริงๆ ความรู้สึกที่จะใช้คำว่า ความรู้สึก ภาษาบาลีใช้คำว่า เวทนา ใช่หรือไม่ แล้วก็มีหลากหลาย ขณะที่ชอบเป็นลักษณะของเจตสิกเหมือนกันที่ชอบ ชอบมาก ชอบน้อย หรือชอบเฉยๆ เพราะแม้ความชอบ ก็จะมีความรู้สึกที่สุขใจ ถ้าเราได้สิ่งที่น่าพอใจมากๆ เลย ก็จะมีความสุขใจ ความสุขใจตรงนั้นคือ ความรู้สึก หรือว่าโสมนัสนั่นเอง หรือถ้าชอบธรรมดา ความรู้สึกก็เฉยๆ แต่ก็ยังเป็นความพอใจ ซึ่งเกิดกับความรู้สึก ซึ่งเป็นเจตสิกอีกประเภทหนึ่ง ที่ใช้คำว่า เวทนาเจตสิก แล้วก็ที่มีประจำเลย ความรู้สึกทุกข์กาย ไม่สบายกาย เรียกว่า ทุกข์กาย หรือว่าสบายๆ กายดี ก็สุขกาย ก็เป็นลักษณะของเวทนา

    จำแนกเวทนาละเอียดก็มี ความรู้สึกดีใจ เสียใจ เสียใจ แม้ความรู้สึกไม่สบายใจเพียงเล็กน้อย รู้สึกเหมือนกับประทุษร้ายใจโดยสภาพ ก็จะเป็นลักษณะของความรู้สึกที่ไม่สบายใจ ไม่สบายใจเป็นลักษณะใช้ชื่อก็คือ โทมนัสเวทนา แล้วก็จะเกิดกับโทสะ เวลาโกรธจะไม่รู้สึกเลยว่า มีสภาพของความไม่สบายใจเกิดร่วมด้วย ก็จะรู้สึกโกรธ แต่จริงๆ แล้ว ขณะที่เดือดร้อนใจ หรือไม่สบายใจ นั่นก็คือลักษณะของความรู้สึก โทสะก็คือเจตสิก ความขัดเคือง ความขุ่นใจ จะเกิดร่วมกับความรู้สึกที่ไม่สบายใจ

    อ.คำปั่น ก็ตรงตามความเป็นจริง ไม่ว่าจะกล่าวถึงคำใด ก็ไม่พ้นจากขณะนี้ เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมก็คือ ศึกษาให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ง่าย ที่จะรู้ตามความเป็นจริง ขณะนี้ก็อยู่ในช่วงของการสนทนาธรรม สนทนาธรรมก็คือการกล่าวตรงกัน การกล่าวในสิ่งที่มีจริง ให้เข้าใจถูกต้องตรงกัน จึงจะเป็นการสนทนาธรรม เป็นมงคลอย่างยิ่ง เป็นไปเพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูกยิ่งขึ้น จากที่ไม่เคยเข้าใจก็จะค่อยๆ เข้าใจขึ้น เพิ่มพูนความเข้าใจ มั่นคงยิ่งขึ้น นี่คือประโยชน์ ของการสนทนาธรรม เชิญคุณอรวรรณครับ

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์คะ อะไรที่ทำให้ไปที่อื่น ทั้งๆ ที่ท่านอาจารย์ก็ย้ำตลอดเวลาว่า เดี๋ยวนี้ ตรงนี้ เป็นอนัตตา แต่อยากทราบว่าเหตุปัจจัยที่ทำให้เดี๋ยวนี้นะไม่ใช่ที่อื่น เพราะท่านอาจารย์กล่าวถึงเดี๋ยวนี้ๆ ย้ำภาพธรรมที่กำลังปรากฏตลอด

    ท่านอาจารย์ คุณอรวรรณลองพูดคำว่า แข็ง

    ผู้ฟัง แข็ง

    ท่านอาจารย์ แล้วอยู่ที่ไหน กำลังพูดคำว่าแข็ง

    ผู้ฟัง ถ้าใส่ใจแข็งก็กำลังปรากฏ

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้อยู่ที่แข็ง ในขณะที่พูดคำว่า แข็ง ใครก็ได้ลองพูดคำว่า แข็ง รู้อยู่ที่แข็งหรือเปล่า ขณะที่พูดคำว่า แข็ง

    ผู้ฟัง ถ้าพูดคำว่า แข็ง ก็ต้องนึกคำว่า แข็ง

    ท่านอาจารย์ มีแข็งปรากฏแน่ๆ ใช่หรือไม่ แล้วคุณอรวรรณก็พูดว่าแข็ง

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ แต่ขณะนั้น รู้ อยู่ที่แข็งหรือเปล่า

    ผู้ฟัง บางทีก็นึกถึงบ้าง บางทีก็ไม่

    ท่านอาจารย์ ปกติธรรมดา พูดคำว่าแข็ง พูดคำว่าสิ่งที่ปรากฏทางตา พูดคำว่าเสียง พูดคำว่าเย็น รู้อยู่ที่ตรงนั้นหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ยัง

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่า การจะรู้ที่แข็ง ต้องเป็นความเข้าใจถูก ต้องเป็นความเห็นถูก ไม่ใช่อยากจะรู้ที่แข็ง ก็ไปรู้ที่แข็ง พอกันเขาบอกว่าแข็ง ก็จับแข็ง และก็ไปรู้ตรงแข็ง นั่นไม่ใช่ความเข้าใจถูก แต่ว่าเมื่อได้ยินได้ฟังว่าแข็ง มีแน่นอน ปรากฏด้วย แต่ปรากฏเมื่อไร เมื่อมีธาตุรู้ ที่ใช้คำว่าจิต เป็นใหญ่เป็นประธาน รู้ลักษณะตรงแข็ง ประการหนึ่ง เป็นธรรมดา ถามว่าแข็งหรือไม่ ก็ตอบว่าแข็ง ใครที่กระทบสัมผัสตรงแข็ง ก็บอกว่าแข็ง ความเข้าใจอยู่ที่ไหน ที่จะทำให้ไม่ไปที่อื่น แต่กำลังเข้าใจลักษณะนั้น เพราะได้ยินว่ามีจริงๆ ก็มีจริงๆ มีจริงๆ แล้วต้องไปมีอย่างอื่นขนาดนั้นด้วย เพราะสิ่งนั้นเท่านั้นที่กำลังมีจริง

    นี่คือการฟังพระธรรม ต้องไม่เผิน จึงสามารถที่จะเข้าถึงว่า นี่เป็นพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ คนอื่นก็รู้แข็ง แต่ในขณะที่คนอื่นกำลังรู้แข็ง ก็มีเห็น แล้วก็มีคิดอย่างอื่น ใช่หรือไม่ แต่ในขณะที่กล่าวคำว่าแข็ง แล้วก็มีแข็งกำลังปรากฏ ขณะนั้นกำลังรู้ลักษณะที่แข็งหรือเปล่า ก็เปล่า แล้วทำไมถึงจะเข้าใจถูกในลักษณะของแข็งว่า เป็นเพียงแข็งที่ปรากฏ ก็ต่อเมื่อมีการฟังพระธรรมเข้าใจว่า ตลอดชาติก็มีแต่เพียงธรรมแต่ละหนึ่งๆ หลากหลายมากเกิดขึ้น และปรากฏชั่วขณะสั้นๆ แล้วก็หมดไป เพราะในขณะที่แข็งปรากฏ เห็นก็มี ได้ยินก็มี คิดก็มี เพราะฉะนั้นปัญญาไม่ใช่เริ่มเข้าใจแข็ง ในขณะที่อย่างอื่นไม่ได้ปรากฏ

    เพราะฉะนั้นความรู้ต้องเพิ่มขึ้นตามลำดับของความเข้าใจด้วย แล้วก็ไม่ได้กะเกณฑ์ แต่ก็รู้ว่าถ้าจะรู้แข็งจริงๆ ต้องในขณะที่แข็งอย่างเดียวเท่านั้นที่ปรากฏ และก็มีความเข้าใจแข็งด้วย ว่าแข็งนั้นเป็นอื่นไม่ได้ เป็นแต่เพียงแข็ง เมื่อเป็นแต่เพียงแข็ง เป็นเราหรือ ทุกวันนี้มีเราแข็งตรงนั้นตรงนี้ทั้งนั้นเลย ใช่หรือไม่ แขนก็แข็ง นิ้วก็แข็ง ผมก็แข็งเท้าก็แข็ง แข็งไปเป็นเราหมด แต่ความจริงกว่าจะรู้ว่า แข็งเป็นเพียงสิ่งที่มีจริง ซึ่งปรากฏแล้วก็หมดไป เหมือนอย่างอื่นทุกอย่าง เห็นก็เป็นอย่างนั้นคือ เกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับไป เหมือนแข็งปรากฏความแข็งแล้วก็ดับไป แต่สืบต่อเร็วจนไม่ปรากฏแต่ละหนึ่งขณะ ว่าเป็นแต่เพียงสิ่งนั้นสิ่งเดียวในขณะนั้น จิตหนึ่งขณะเกิดขึ้นจะรู้หลายๆ อย่างพร้อมกันไม่ได้ จิตเกิดขึ้นหนึ่ง ก็มีสิ่งที่ถูกจิตรู้หนึ่งในขณะนั้น

    เพราะฉะนั้นในขณะที่จิตกำลังรู้แข็ง แข็งปรากฏ แต่เพราะการเกิดดับสืบต่อเร็วมาก เราไม่มีความเข้าใจว่า การรู้แข็งก็ไม่รู้ว่า แข็งไม่ใช่เรา แล้วแข็งไม่ใช่ของเราด้วย แข็งจะเป็นอะไรไม่ได้เลยนอกจากเป็นแข็ง ความจริงเป็นแข็ง จิตกำลังรู้แข็ง แต่ปรากฏว่าปรุงแต่งจนเป็นคนเป็นสัตว์เป็นวัตถุสิ่งต่างๆ โดยไม่รู้หน้าที่การงานของจิตแต่ละขณะ ซึ่งเกิดดับสืบต่ออย่างเร็วมาก ไม่หยุดเลย ก็ปรากฏเป็นทุกสิ่งทุกอย่างภายนอก เป็นโลกภายนอก แต่ว่าโลกภายในจริงๆ ก็คือ จิตเกิดขึ้นรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ สิ่งนั้นจึงปรากฏได้

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ก็จะกล่าวว่า พูดซ้ำๆ ฟังซ้ำ เพราะว่าความจริงก็คือการรับรู้ ๖ ทาง อย่างชั่วโมงนี้ท่านอาจารย์จะย้ำมากว่า แล้วอยู่ตรงเห็นหรือยัง เพราะเห็นกำลังเกิด อยู่ตรงเสียง เสียงกำลังปรากฏ ตรงนี้เหมือนกับว่า ความจำอะไรที่จำไว้มั่นคงว่า ไม่ใช่แต่ละหนึ่งของสิ่งที่ปรากฏ ก็ทำให้ยังไม่น้อมตามที่ท่านอาจารย์ย้ำ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษาโดยละเอียด แข็งเป็นธรรม แข็งเกิดดับเป็นขั้นๆ ใช่ค่ะถ้าไม่มีแข็งรูปอื่นๆ ก็มีไม่ได้ กลิ่นอยู่ที่ไหนก็อยู่ตรงแข็ง รสเดียวจากไหนก็อยู่ตรงแข็งไม่มีแข่งรถอยู่ในค่ะก็ไม่มีก็ไม่มีกลิ่นก็ไม่มี เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีทั้งหมดนี่ค่ะอยู่ในความมืดสนิทเพราะความไม่รู้เลยไม่เคยได้ยินไม่เคยได้ฟังความจริงของสิ่งที่มีจริงแต่ละอย่างจึงเป็นเพียงสิ่งที่เกิดเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไปแล้วก็ไม่กลับไปอีกเลยไม่เป็นของใครไม่เป็นใคร แล้วก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครด้วย เพราะฉะนั้นสะสมความเห็นถูกว่าก่อนเกิดมาในโลกนี้นะคะ จะรู้ไหมว่าโลกนี้เป็นอย่างนี้ถามสักคำหนึ่งเถอะว่าใครรู้ก่อนแล้วมาได้ยังไงค่ะใครพามาเกิดในโลกนี้มาสู่โลกนี้ไม่ไปสู่สวรรค์ชั้นต่างๆ ไม่เกิดมาเป็นสัตว์เดรัจฉานใหม่ไปอยู่ไหนอ่ะใบยภูมิไม่เกิดในนรกแล้วอะไรทำให้เป็นใยนี้สู่โลกนี้ซึ่งมองดูเหมือนธรรมดานะคะ ก็ใครเกิดมาก็เกิดแต่อะไรล่ะที่ทำให้เกิดในโลกนี้ไม่เต็มที่อีก และก็ไม่เป็นอย่างอื่นด้วย เพราะฉะนั้นทุกอย่างเลยค่ะเป็นธรรมะที่ละเอียด ว่าแล้วทรงแสดงความจริงไว้ทุกอย่างเพื่อให้เห็นความจริงจนกว่าจะรู้ว่าไม่มีเรามีแต่ธรรมมะ ทั้งหมดเนี่ยค่ะเป็นธรรมะ คุณอรวรรณกำลังรู้สึกยังไงตอนนี้ เห็นมั้ยคะมีความรู้สึกก็บอกไม่ได้เพราะไม่ได้อยู่ที่ความรู้สึกค่ะ เพราะฉะนั้นเราคิดดูนะคะ ว่าเดี๋ยวนี้ต้องมีความรู้สึกแน่ๆ ทุกครั้งที่มีจิตเห็นธาตุรู้เกิด เจตสิกเกิดร่วม แต่จิตไม่ได้รู้สึก เพียงรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏแรกเจตสิกคือสิ่งที่มีจริงอย่างหนึ่งก็รู้สึกเกิดขึ้นรู้สึก ในสิ่งที่กำลังปรากฏ พระเจแต่สิทธิ์กับจิตเนี่ยนะคะ เกิดพร้อมกันดับพร้อมกันเป็นธาตุรู้รู้สิ่งเดียวกันในภูมิที่มีรูปก็เกิดที่รูปเดียวกันไม่ใช่แยกกันอีก เพราะฉะนั้นธาตุที่กลมกลืนกันที่สุดก็คือจิต และเจตสิกอาศัยกัน และกันเกิดขึ้นทำกิจการงานแล้วก็ดับไปจิตรู้จักถือสิทธิที่เกิดร่วมด้วยไหมคะ เจตสิกรู้จักจิตที่เกิดร่วมด้วยไหม นาเจตสิกวิจารเจตสิกที่เกิดร่วมกันไหมคะก็ไม่ใช่ก็ไม่รู้ค่ะแต่ละหนึ่งเกิดขึ้นเป็นหนึ่งนะคะ แต่ว่าเกิดร่วมกันเกิดดับพร้อมกันเป็นทาสซึ่งใครก็แยกออกจากกันไม่ได้ และขณะนี้ รู้สึกยังไงคะ ต้องมีความรู้สึกแน่ๆ แต่ถ้าเป็นความรู้สึกเฉยๆ เนี่ยยากที่จะบอกได้แต่ถ้าเป็นความรู้สึกสบายใจ หรือว่าความรู้สึกเค้าไม่สบายใจเห็นความเป็นสภาพธรรมะอันนั้นว่าเกิดจริงเป็นอย่างนั้นไม่เป็นอย่างอื่นแม่ฉะนั้นนะคะ ขณะนี้ก็คือความรู้สึกเฉยๆ ก็เกิดขึ้นไปเฉยๆ จะเป็นสุขไม่ได้เป็นทุกข์ไม่ได้แต้มดี เพราะฉะนั้นสภาพธรรมะที่เกิดไม่ใช่มีสภาพธรรมะ เดี๋ยวนะคะ ไม่ว่าจะเป็นนามธรรมหรือรูปธรรม รูปธรรมที่เกิดไม่ว่าจะเป็นรูปใดๆ ทั้งสิ้นก็ต้องมีที่เกิดร่วมกันที่เป็นใหญ่เขต๕สินธาตุน้ำธาตุไฟธาตุลม ผู้ปราศจากพลาดซีรีส์ สีสันวรรณะเป็นเสียงเป็นกลิ่นพวกนี้ก็มีไม่ได้เลยนั้นไฟลูกแท่งไฟหน้ามาแทงรูนะคะ ไม่มีใครไปบังคับให้มีธาตุรู้ชนิดนี้เกิดขึ้นกับจิตชนิดนั้นแต่ปัจจัยที่สะสมมานะคะ ที่จะทำให้จิตนั้นเกิดเรียกว่าเจตสิกนั้นๆ เกิดกับจิตนั้น ถ้าเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยซึ่งขาดไม่ได้เลยคือทุกครั้งที่มีธาตุรู้ซึ่งเป็นจิตเกิดขึ้นรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดต้องมีความรู้สึกในสิ่งที่ปรากฏ เป็นสุข หรือเป็นช่วงดีใจเสียใจหรือเฉยๆ ไม่ใช่เราเลยค่ะแต่ต้องเผือกต้องมีพร้อมจิต และก็ดับไปพร้อมจิตภาษาบาลีใช้คำว่าเวทนา ภาษาไทยก็สงสารมากนะคะ แต่ความจริงไม่ถูกค่ะเวทนาไม่ใช่ความสงสารแต่ว่าเป็นความรู้สึก แม้ว่าจะรู้สึกเฉยๆ อย่างเดียวนี่บอกไม่ได้เลยว่ารู้สึกอะไรเพราะเฉยๆ แต่ถ้าสุขเกิดขึ้นบอกได้ทุกข์เกิดขึ้นบอกได้เจ็บกิดขึ้นบอกได้ก็เจ็บคือทุกข์กาย ตรงข้ามกับสบายซึ่งก็เป็นสุขกาย เพราะฉะนั้นก็แยกเป็นกาย และใจแต่ต้องเป็นความรู้สึกค่ะทั้งหมดนี้คือชีวิตประจำวันใครรู้หรือไม่รู้จิตเจตสิกก็เกิดขึ้น เมื่อกลับไป ข้าราชการที่ได้พูดถึงสภาพธรรมะที่มีจริงแต่ละเด็กในขั้นต้นเพื่อเข้าใจ การฟังพระธรรมเพื่อเข้าใจว่าพระลานตสัมมาสัมพุทธชาติทรงตรัสรู้ จำนวนสิ่งที่มีจริงๆ เพราะฉะนั้นพระธรรมที่ทรงแสดงก็คือสิ่งที่มีจริงที่คนไม่เคยรู้ว่าเป็นธรรมะไม่เคยรู้ว่าเป็นแต่เพียงสิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยต่างๆ แล้วก็ดับไปแล้วก็ไม่กลับมาอีก เมื่อความจริงเป็นอย่างนี้นะค่ะก็ทรงแสดงให้คนอื่นให้เกิดความเห็นถูกเกิดความเข้าใจถูกว่าที่ว่าเป็นเราเป็นเขาเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็จะไม่พ้นจากจิต เจสซี่ รูปนิพพานยังไม่ถึง แต่มีจริงๆ เพราะฉะนั้นต้องรู้ว่าธรรมะรู้ซึ้ง และญาติ เพราะฉะนั้นต้องหมั่นศึกษาต้องเป็นผู้ตรงเอาจริงใจ และก็รู้ว่าเดี๋ยวนี้อ่ะค่ะพวกที่รู้ความจริงก็คือว่าสามารถที่จะรู้ว่าขณะนี้ไม่มีอะไรเลยในขณะที่เห็นต้องเป็นเพียงธาตุที่เกิดขึ้นเห็นแล้วดับนั่นคือความจริง เพราะฉะนั้นปฏิบัตินะคะ การเข้าถึงความจริงของสภาพธรรมะ และต้องอาศัยการฟังจนกระทั่งเข้าใจอย่างมั่นคง ให้ไปทำอย่างอื่นเลยค่ะนอกจากรู้ว่าขณะนี้นะคะ ทุกคนกำลังประพฤติตามที่เป็นไป เดี๋ยวนี้เลยไม่ต้องทำอะไรไม่ต้องขยับเขยื้อนไปไหนด้วยนะคะ จะเอื้อมมือไปก็เอื้อมแล้วจะทำอะไรจะพยักหน้าก็พยัคฆ์แล้วก็ประพฤติตามที่เป็นไปตามที่สะสม เพราะฉะนั้นปัญญาก็สามารถที่จะไม่ไปที่อื่นแต่ก็เริ่มรู้ว่าจะรู้ความจริงก็คือว่าตรงสภาพธรรมะที่มีจริงๆ ซึ่งเกิดแล้ว ทันทีที่สติเกิดระลึกได้ไม่ใช่เราพยายามแล้วพยายามอีกนะคะ จะเป็นนั่งอยู่ในที่มืดกี่วันกี่เดือนก็ไม่มีทางที่จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมะที่ปรากฏเพราะเหตุว่าไม่เข้าใจตั้งแต่ต้นอย่างมั่นคงว่าขณะนี้ด้วยค่ะมีสิ่งที่มีจริงซึ่งเกิดเป็นอย่างนั้นไม่เป็นอย่างอื่น แต่ละหนึ่งๆ เกิดแล้วก็ดับแปลกแต่สืบต่อเร็วมากเพราะไม่รู้ความจริงจึงยึดถือแต่ละหนึ่งนั้นว่าเป็นเราเวลาเห็นก็ยึดว่าเราเห็นแต่เวลาไม่เห็นจะมายึดสิว่าเป็นเราเห็นได้ไหมคะ ค่ะเวลาได้ยินขณะที่ได้ยินเนี่ยเราจริงๆ เลยไม่ใช่คนอื่นได้ยินจะไปยึด๔เห็นว่าเป็นเราได้ไหมในขณะที่กำลังได้ยินก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นยึดถือในสิ่งที่มีว่าเป็นเรา เพราะฉะนั้นเมื่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดขณะนี้ที่กำลังปรากฏแล้วไม่รู้นะคะ ก็ไปยึดถือมานานเลยค่ะว่าเป็นเราทั้งนั้นเลยเราจำได้คนนี้ชื่ออะไรเราคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ตามที่เราคิดในขณะนั้นนะคะ โดยที่ไม่รู้ว่าแม่คิดก็บังคับบัญชาไม่ได้ มันแคบตัวเองให้คิดก็ไม่ได้บังคับให้คนอื่นคิดก็ไม่ได้แต่คิดเกิดตามเหตุตามปัจจัยแล้วก็ดับไปยังไม่ต้องทำอะไรเลยทั้งสิ้น ประเภทตามที่เป็นไป เพราะฉะนั้นขณะนั้นนะคะ ถ้ามีความเข้าใจที่มั่นคงนะคะ ความเข้าใจที่มั่นคงละความเป็นตัวตนในระดับหนึ่ง ซึ่งหรูด้วยกันเข้าใจว่าเป็นธรรมชาติแต่ยังไม่ถึงระดับที่สามารถที่จะเห็นจริงๆ ว่าเห็นขณะนี้ ยิ่งเห็นเท่านั้นคือมีอย่างอื่นไม่มีเลยเราทีละน้อย ถามมาครั้งที่จนต่างกันมาเป็นคนหาอ่านคำว่าไงคะเป็นทางที่จะระลึกสถานที่ แข็งไม่รู้อะไรเลยแล้วจะเป็นทางได้ยังไง ๗ระลึกรู้ว่าแคร์นะอะรูแข็งเป็นกายวิญญาณรู้อื่นไม่ได้เกิดแล้วดับไปแล้วค่ะ ไม่มีใครรู้เลยปัญญาไม่รู้แข็งเลยจะรู้ไหมว่าแข็งไม่ใช่เราไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดแต่ตัวแทนไม่ได้ทำอะไรเลยค่ะ ลั่นตนจะแข็งนะฮะ ณตอนนี้กะตังค์ไว้อ่ะ ขาดลงมา ความสงสัยมีจริงๆ หรือเปล่า มีสิครับ เป็นอะไรเป็นอกุศลครับ พิจิตรเก็บฉากกับเรื่องชื่อสรุปนะคะ ความสงสัยมีจริงแล้วคุณรักกำลังเข้าใจความสงสัยในขณะที่กำลังสงสัยหรือ คือยังไม่เข้าใจธรรมะเพราะฉันเ๔ยงคำถามอันนี้ก็แสดงว่ายังไม่ได้เขาจะ ด้วยความสงสัยเมย์จีนแนะกำลังเข้าใจลักษณะที่สงสัยหรือ มีจริง จริงสิ่งนั้นเป็นอะไรนี่คือความลึกซึ้งของธรรมะที่จะต้องค่อยๆ เข้าใจตามลำดับนะคะ ไม่ว่าจะพูดถึงชื่ออะไรพูดถึงสิ่งที่ไม่จริงแต่ใช้ชื่อไม่รู้ว่าหมายความถึงอะไรเช่นกำลังสงสัยความสงสัยมีแจ้งความสงสัยเป็นอะไร ตามคำสัตย์เป็นอกุศลอกุศลเป็นอะไร แม่ค่ะก็คือว่าต้องตั้งต้นใหม่เลยต้องให้มั่นคงจริงๆ ว่าสิ่งที่ดีนะคะ เป็นสภาพที่รู้อะไรรึเปล่าหรือไม่ใช่สภาพที่รู้อะไร ดอกไม้สงสัยอะไรได้ไหมไม่ได้ครับต้องสงสัยได้ไหม ใส่ไม่ได้ครับ๙อี้สงสัยได้ไม่ได้ครับ ปลาสงสัยได้ไหม ตราหมีคาดลุง มีทั้งสองอย่างที่น่ามาทำก็มีรูปธรรมก็มีแต่ปนกันจนกระทั่งไม่ได้รู้ความจริงของแต่ละอย่างจึงเกิดความสงสัยคนที่ไม่ฟังกลับมาเลยนะคะ หิวไหมคะ หิวหิวเป็นสภาพรู้หรือไม่ใช่สภาพรู้ ต้องคิดกันแล้ว ใช่ค่ะเพราะว่ายังไม่ได้เข้าใจจริงๆ เพราะฉะนั้นการฟังธรรมะไม่ประมาทค่ะแม้แต่เพียงคำเดียวที่ได้ยินนะคะ เมื่อสิ่งนั้นมีจริงต้องพิจารณาจึงเข้าใจจริงๆ ว่าสิ่งนั้นเป็น เวลานี้มีธรรมะสองอย่างประเภทใหญ่ สิ่งที่เกิดขึ้นมีจริงจริงแต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลยใช้คำว่ารูปธรรมรวมไปหมดเลยกลิ่นก็ไม่รู้รสก็ไม่รู้แข็งจำนวนทั้งหมดได้เป็นรูปธรรมนะคะ เนื่องจากมันที่เกิดขึ้นก็ต้องเป็นนามธรรมเขาเป็นสภาคองเพราะฉันหิวเนี่ยเป็นอะ ชี้ก็เป็นสภาพกรุงสิครับไม่ใช่ท้องหิว เพราะฉะนั้นการที่เราจะเข้าใจแต่ละคำด้วยนะคะ ไม่จำเป็นต้องมีใครมาบอกเราให้คิดแต่พอได้ยิน และรู้ว่าธรรมะมีสองอย่างคือนามธรรมหรือรูปธรรม พืชในเตาด้วยตัวเองในลักษณะที่กำลังปรากฏในขณะนั้นว่าเป็นอะไรน่าจะค่อยๆ เข้าใจว่าเราไม่ได้เรียกแต่ชื่อแต่มีลักษณะจริงๆ ให้เข้าใจถูกต้องยิ่งขึ้นว่าขณะนั้นนะคะ เป็นสภาพธรรมะประเภทไหนหรือแม่ว่าไม่ต้องเอ่ยคำว่านางมาทำรูปธรรมเลยเพียงรู้ว่ามีจริง เริ่มจากการแบบไม่ใช่เราอันนี้ถูกต้อง อาจารย์ครับก็ขอกลับมาที่ประเด็นสนทนานะครับ ที่กล่าวถึงสภาพธรรมมาธิมีจริงๆ ในชีวิตประจำวันแม้จะไม่ใส่ชื่อสภาพธรรมะเหล่านั้นก็มีจริงๆ ครับคือสภาพรู้ได้แก่จิต และเจตสิกก็จะเรียนถามอาจารย์นพนะครับ ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่า ผิดเท่านั้นที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ ส่วนเจสิคแม้จะเกิดร่วมกับจิตก็ไม่ใช่สภาพธรรมะที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้อารมณ์เหมือนอย่างจิกก็จะกราบเรียนอาจารย์ได้กล่าวถึงความเป็นจริงของสภาพสมาร์ทเพื่อความเข้าใจธรรมะ ต้องมั่นคงยิ่งขึ้นครับอาจารย์ครับ จิตเนี่ยเป็นใหญ่เป็นประธานเอสิกก็เป็นสภาพไม่เคย เกิดด้วยกันประกอบพร้อมเข้ากันเราก็ต้องรู้สิ่งเดียวกันจิตเห็นก็ต้องรู้สิเกดสิ่งที่เกิดกับจิตเห็นก็ต้องรู้สิแต่สิ่งแต่ละอย่างก็ทำหน้าที่แต่ละอย่างไม่ได้มาทำหน้าที่เป็นประธานยางสภาพที่กระทบ๔พร้อมกับที่จิตนั้นรู้ก็คือสภาพถูกกระทบอารมณ์ ที่เกิดกับจิตแต่ละขณะเนี้ยคือพรรษา แม้คำว่าผัสสะเนี่ยฮะไม่มีใครจะมาบัญญัติครอบพระองค์ท่านเนี่ยฮะส่งในลักษณะ อย่างเช่นพรรษาถ ก็เป็นสภาพธรรมะที่ปรากฏกับพยานของพระองค์ประดุจกับว่าผัสสะซึ่งมีอยู่ตลอดนะคะ ทุกคนก็มีทักษะแต่ไม่มีใครรู้จักลักษณะรัฐแต่พระองค์ท่านทรงประจำสภาประมาณนี้แล้วก็ตั้งชื่อ นี่ไม่มีใครจะมาตั้งนะเพราะไม่มีใครรู้จักตัวพัดซะแล้วจะไปตั้งชื่อพัชสัทเป็นอย่างไรเวทนาความจำอะไรอีกเยอะ เพราะฉะนั้นก็เป็นสภาพแต่ละอย่างซึ่งขณะนี้มี แบบไม่รู้นะฮะแต่เท่าที่พอจะปังแล้วก็จะรู้ได้แต่ก็ซื้อตามเหตุตามผลเป็นปริญญาตรีแต่ต้องเป็นจริงตามนั้น งั้นธรรมะเนี่ยนะครับ ไม่ใช่มีอยู่ในตำราน์แต่ธรรมะก็ไม่ใช่นอกตาเพราะธรรมะเป็นความจริงตามตำราคือคำสอนคณะสมาสีจางครับดังนั้นพื้นฐานความเข้าใจเรื่องจิตเจตสิกเนี่ยเป็นพื้นฐานอภิธรรมที่จะทำทุกอย่างให้ฟัง เป็นจริงของ ความผิดพวกเราปรากฏแล้วก็จะเป็นการที่ปรุงแต่งให้รู้ว่าเป็นพม่าแต่ละอย่างไม่ใช่เราเป็นใครที่จ้างประหลาดเป็นเราแต่ความจำเป็นเจตสิกไม่ใช่เราเกิดกับจิตจิตไม่ได้ยากแต่สัญญาจะซื้อ ความรู้สึกอะไรอีกหลากหลายในชีวิตเนี่ยเป็นเกียรติ๑๐เท่านั้นแต่วันนี้เราไม่ได้มาว่าจะศึกษา๗๕ ๑๒การเรียนกลับมาเป็นความเข้าใจพื้นฐานในธรรมะที่มีจริงอย่างละเอียดก็คือหุ้นถ้านักวิทย์ธรรมะในเรื่องของสภาพรู้หลัก และสภาพรู้ขึ้นจนกับจิ


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 193
    18 ก.พ. 2568

    ซีดีแนะนำ