พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 868


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๘๖๘

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๒๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๖


    ผู้ฟัง เมื่อสักครู่ท่านอาจารย์กล่าวว่า หลังเห็น หลังได้ยิน กิเลสเกิดขึ้น แล้วเกิดปรุงแต่ง และสะสมไว้ในจิตใหม่ ตรงนี้ฟังแล้วก็น่ากลัวมาก ที่จะเรียนสนทนาก็คือ จะมีเหตุปัจจัยอะไรที่ทำให้ไม่เป็นเช่นนี้ คือไม่คุ้ย ไม่ปรุง แล้วก็ไม่สะสมเข้าไปอีก

    ท่านอาจารย์ ปกติเป็นอย่างนั้น แต่จะเข้าใจได้ และก็ค่อยๆ ละคลายการที่จะเป็นอกุศลเพิ่มเติมได้ เพราะฉะนั้นมีธรรมสองฝ่าย ความไม่รู้ฝ่ายหนึ่ง จึงนำมาซึ่งคำถามนี้ และก็ความรู้ ความเข้าใจถูก ความเห็นถูก ในสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้

    เพราะฉะนั้นในขณะนี้ คุ้ยกิเลสหรือยัง ทุกอย่างถ้าไม่พูดถึงสิ่งที่มีในขณะนี้ ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ เราพูดถึงชื่อต่างๆ มากมาย ในคัมภีร์ต่างๆ แต่เมื่อสิ่งนั้นยังไม่ใช่ขณะนี้ เราก็ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงได้ เพราะฉะนั้นขณะนี้ สิ่งใดที่กำลังปรากฏ เราต้องเข้าใจ แม้แต่คำว่า คุ้ยหรือไม่คุ้ยกิเลส เดี๋ยวนี้หลังจากที่เห็นแล้ว ใครรู้บ้างว่า เพราะไม่รู้ว่าเห็น เป็นธรรม ซึ่งมีจริงเกิดแล้วเพราะเหตุปัจจัย และที่ไม่รู้ยิ่งกว่านั้นก็คือว่า เมื่อเกิดแล้ว เห็นแล้ว ดับไป เห็นทำอย่างอื่นไม่ได้เลย นี่คือการฟังเพื่อที่จะปลูกฝังความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ลงในจิต จนกระทั่งมั่นคง ที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่ว่าขณะไหน

    เพราะเหตุว่าถ้าสามารถจะเข้าใจขณะนี้ได้ ขณะอื่นๆ ก็สามารถที่จะเข้าใจได้ เพราะว่าขณะนี้เห็น ขณะต่อไปก็มีเห็นอีก ทั้งวัน ทั้งชาติ แล้วไม่รู้เรื่องสิ่งที่มีทุกวัน ก็แสดงว่าเราเพียงแต่ฟังธรรม ฟังเรื่องของธรรม แต่ถ้าในขณะนี้กำลังเข้าใจสิ่งที่ปรากฏ โดยการไตร่ตรอง โดยการพิจารณา ซึ่งไม่ใช่บังคับว่าจะต้องเป็นไปตามข้อความในพระไตรปิฎก แต่เนื่องจากพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง เป็นวาจาสัจจะ อาจจะค้านกับความเห็นของคนอื่น หรือว่าความคิดของคนอื่น ยังไม่เป็นไปตามที่ทรงแสดง เพราะอวิชชา เพราะการไม่รู้ความจริง

    เพราะฉะนั้นการที่จะรู้ความจริงได้ คือเริ่มฟังให้เข้าใจ สิ่งที่มีในขณะนี้ เพื่อเข้าใจขึ้น แม้แต่ แต่ละคำที่คุณอรวรรณสงสัย เช่นคุ้ยกิเลส เมื่อวานนี้ก็พูดไปแล้ว ก็เอามาปรุงแต่งให้มันมากขึ้น และในที่สุดก็กลับไปสู่จิต เพิ่มกำลังของกิเลสขึ้นอีก ก็ต้องรู้ว่าเดี๋ยวนี้ คุ้ยกิเลสหรือเปล่า กำลังเห็น ต้องตรง ธรรมต้องตรง

    ผู้ฟัง ถ้าไม่เข้าใจความจริงของเห็น ส่วนใหญ่ก็จะไม่รู้ อย่างน้อยก็สะสมความไม่รู้มากขึ้น

    ท่านอาจารย์ แต่ยังไม่ได้คุ้ย ใช่หรือไม่ ยังไม่เห็นว่ากิเลสมากๆ ที่สะสมไว้ในใจ อยู่ที่ไหน และมีอะไรบ้าง แต่ถ้ามีเหตุการณ์ที่ไม่ใช่ธรรมดา อย่างเห็นธรรมดาเป็นปกติธรรมดา แต่ว่าเหตุการณ์ที่ทำให้ตื่นเต้น ตกใจ วิตกกังวล เป็นเรื่องใหญ่ เมื่อนั้นจะเห็นได้ว่ากิเลสไม่น้อย เพียงแค่เห็นแล้วติดข้อง ไม่รู้ในเห็น แต่มากกว่านั้นอีกมากทีเดียว

    เพราะเหตุว่าเพียงมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ สิ่งนั้นใหญ่แค่ไหนตามกิเลส ถ้าพระอรหันต์ได้ยินได้ฟังเรื่องต่างๆ เหล่านั้น จะมีเหตุใหญ่ๆ สำหรับท่านหรือไม่ หรือว่าเป็นธรรมดา เพราะเป็นธรรม ธรรมคือธรรมดา มาจากคำภาษาบาลีว่า ธรรมตา หมายความถึงความเป็นไปของธรรม จะเปลี่ยนความเป็นไปของธรรมให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้ เช่นในขณะนี้เห็น แล้วหลังจากที่เห็นเกิดขึ้น และดับไป เพราะเห็นแล้วก็ดับ แต่สภาพของจิตไม่ได้เพียงสูญสิ้นไปเพียงเกิดมาเห็นเท่านั้น ขณะที่จิตเห็นเกิดขึ้นเห็นแล้วดับไป ก็เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อ ซึ่งยากที่จะรู้ได้

    เพราะเหตุว่าธรรมเป็นสิ่งที่ละเอียดลึกซึ้งมาก แม้แต่พูดเรื่องจิตก็ฟังเรื่องจิต แล้วจิตก็เกิดดับ ก็ยังไม่ได้ประจักษ์การเกิดดับของจิต แต่ฟังเรื่องจิตเกิดดับ แล้วเวลาที่จิตเกิด และดับไป จิตอื่นเกิดต่อ แล้วก็ความเป็นเรา หรือว่าความยินดีพอใจในเห็น เพราะขณะนั้นเป็นความไม่รู้ แน่นอนใช่หรือไม่ ก็ต้องเกิดเป็นกิเลส แต่อย่างบางเบา จึงใช้คำว่า อาสวะ ยังไม่ถึงกับไปคุ้ยขึ้นมาให้เห็น ว่ามีอะไรบ้าง แต่เวลาที่มีเหตุการณ์ต่างๆ ที่รู้สึกว่าเป็นเหตุการณ์สำคัญ ร้ายแรง หรืออะไรก็แล้วแต่ ขณะนั้นมีใครจริงๆ หรือเปล่า มีคนอื่นหรือเปล่า หรือมีสภาพของจิต ซึ่งตื่นเต้นไปตามเรื่องราว ที่ได้ยินบ้าง ได้ฟังบ้าง คิดนึกบ้าง ซึ่งขณะนั้นจะไม่รู้เลย ว่ากำลังมีเรื่องใหญ่ กำลังมีคน มีเหตุการณ์ต่างๆ แท้ที่จริงก็เพราะจิตเกิดขึ้นคิด และจิตที่คิด ใครรู้บ้าง ว่าเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล ลองดู ธรรมดาทุกวันนี้ เป็นอกุศลมากกว่าปกติ ใช่หรือไม่ ชอบมากๆ อยากให้เป็นอย่างนั้น อยากให้เป็นอย่างนี้ ใช่หรือไม่ พออยากให้เป็นอย่างนั้น อยากให้เป็นอย่างนี้ แล้วไม่เป็น ก็โกรธมาก ไม่พอใจมาก ขุ่นเคืองมาก คุ้ยแล้วใช่หรือไม่ ที่อยู่ในจิตมากมายมหาศาล แต่ถ้าไม่มีอะไรมากระทบ ก็ไม่สามารถที่จะเห็นว่า เก็บอะไรไว้บ้าง ความสำคัญตนก็มี ความริษยาก็มี หรือสภาพธรรมที่เป็นอกุศลทั้งหมด อยู่ในจิตเพียบ ถ้าจะอุปมาจิต หรือแต่ละหนึ่งคน เหมือนเรือ แล้วแต่เรือนั้นบรรทุกอะไรมา ใช่หรือไม่ แต่ละคน

    ถ้าสำหรับผู้ที่ใกล้จะเป็นพระอรหันต์ เต็มไปด้วยรัตนะ สิ่งที่ดีงามทั้งนั้นเลย กุศลทุกประเภท แต่ถ้าไม่ใช่อย่างนั้น ขยะเต็มเรือ ก็บรรทุกไป แต่แม้กระนั้นผู้ที่ได้อบรมทางฝ่ายกุศลที่เป็นบารมีมา พร้อมที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม อย่างท่านพระราหุล พระผู้มีพระภาคยังทรงเตือนว่า ประมาทไม่ได้เลย เพราะแม้ว่าเรือนั้นจะบรรทุกรัตนะมามากมาย แต่รั่วได้ ถ้าประมาท พอเรือรั่วก็จมไปหมด ทั้งเรือ และรัตนะ

    เพราะฉะนั้นถ้าบุคคลใดก็ตาม ที่แม้สะสมกุศล ความเห็นถูก ความเข้าใจถูกมา แต่ไม่มีโอกาสได้ฟังธรรม บุคคลนั้น ชาตินั้น ก็ไม่สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ แล้วชาติต่อไปก็ยังมีโอกาสที่จะได้พบ ได้เห็นอกุศลอะไรเพิ่มขึ้น การรู้แจ้งสภาพธรรมก็เนิ่นนานต่อไปอีก เพราะฉะนั้นพระธรรมที่ทรงแสดงไว้เป็นปัจฉิมวาจาก็ถือว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิด สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง พวกเธอทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม

    เพราะฉะนั้นการฟังธรรมต้องเป็นเรื่องละเอียด ใครรู้ว่ากำลังคุ้ยหรือไม่คุ้ย ไม่ใช่คนอื่นบอก แต่เพราะได้ฟังพระธรรม แล้วก็ได้เข้าใจความจริง แท้ที่จริงแล้วทุกสิ่งทุกอย่างที่เหมือนปรากฏว่ามีในขณะนี้ ก็เป็นเพราะธาตุรู้ จิตเกิดขึ้นพร้อมเจตสิก ซึ่งเกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน รู้สิ่งที่ปรากฏในขณะที่จิตรู้อย่างเดียวกัน และก็ดับไป สืบต่อเร็วมาก และขณะไหนเป็นขณะที่เป็นทะเลที่กำลังราบเรียบ ขณะไหนเต็มไปด้วยพายุ มีกิเลสโผล่ออกมาให้เห็นมากมาย เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรม คือว่าให้เข้าใจถูกต้องว่าเป็นธรรมเท่านั้น ฟังจนกระทั่งเข้าใจจริงๆ ว่าเป็นธรรม เมื่อนั้นก็จะหมดปัญหา

    ผู้ฟัง ในชีวิตประจำวัน ฟังธรรมให้เข้าใจก็คือ หมายความว่าฟังธรรม เมื่อปัญญาเจตสิกเกิดขึ้น รู้ลักษณะของรูปธรรมอย่างหนึ่ง หรือรู้ลักษณะของนามธรรมอย่างหนึ่ง มีประโยชน์อย่างไร

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้ เห็นมีจริงๆ หรือเปล่า

    ผู้ฟัง มีจริงๆ

    ท่านอาจารย์ เป็นธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เห็นเป็นธรรม มีจริงๆ

    ท่านอาจารย์ แล้วคนที่คุณประทีปสนทนาด้วย เข้าใจหรือเปล่า ว่าทุกสิ่งที่มีจริงๆ ภาษาบาลีใช้คำว่า ธรรม แต่ภาษาไทยก็คือ สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ แม้ไม่ต้องเรียกอะไรก็มีจริงๆ ที่ใช้คำว่า ธรรม เพราะเหตุว่าสิ่งนั้นเกิดขึ้นเพราะมีปัจจัยทำให้เกิดขึ้น แล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้นจะเป็นใครไม่ได้ เป็นของใครไม่ได้ เพียงมีปัจจัยเกิดแล้วดับแล้วไม่กลับมาอีก คือให้ทุกคนสามารถจะเข้าใจความจริงเดี๋ยวนี้ ซึ่งกำลังมีจริงๆ ไม่ต้องใช้คำพิเศษอะไรเลย ยังไม่ต้องไปถึงคำว่า รูปธรรม นามธรรมก็ได้ แต่ให้เขาเริ่มรู้ความจริงว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริงๆ ตั้งแต่เกิดจนตาย และไม่เคยรู้เลย ได้ยินแต่ว่า พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรม ได้ยินคำว่า ธรรม อย่างนั้น แต่ก็ยังไม่รู้ว่า อะไรที่ทรงตรัสรู้ และทรงแสดง

    เพราะฉะนั้นก่อนอื่น เมื่อได้ยินคำไหน ขอให้เข้าใจคำนั้นจริงๆ ไม่สับสน และเข้าใจจนถึงที่สุดด้วย เพราะฉะนั้นขณะนี้ก็มีเห็น เรายังไม่ได้เข้าใจเห็นถึงที่สุด เพียงแต่ว่าก่อนนี้ไม่เคยเลยที่จะเข้าใจว่า เห็น เป็นสิ่งที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ ซึ่งภาษาบาลีใช้คำว่า ธรรม ภาษาบาลีไม่มีคำว่า สิ่งที่ตรัสรู้ ใช่หรือไม่ แต่มีคำว่า ธรรม คือสิ่งที่มีจริง ซึ่งสามารถเข้าใจได้ และรู้ความจริงของสิ่งนั้นถึงที่สุด โดยที่ไม่มีใครสามารถที่จะรู้อย่างนั้นได้เลย เช่นในขณะนี้ เห็นเกิดขึ้นแล้วเห็นดับ ใครรู้ เห็นมีจริงๆ ใครไม่รู้ ใช่หรือไม่ ก็คือให้เขาสามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ จนกระทั่งเข้าใจขึ้นๆ ว่า แม้จะใช้คำภาษาอื่น แต่ก็หมายความถึงสิ่งที่มีจริง และภาษาไทยก็สามารถที่จะทำให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงนั้นได้ในภาษาของตนเอง

    แต่เมื่อได้ยินได้ฟังคำในภาษาบาลี ซึ่งพระผู้มีพระภาคทรงแสดงด้วยภาษามคธี ซึ่งเป็นภาษาที่ดำรงรักษาพระศาสนาไว้ จึงใช้คำว่า ปาละหรือปาลี คนไทยก็เรียก ป.เป็นบ. ก็คือภาษาบาลี เพราะฉะนั้นเราก็จะศึกษาความเข้าใจธรรม ควบคู่ไปกับคำที่เราได้ยินได้ฟังจาก พระไตรปิฎก และอรรถกถา เพราะฉะนั้นก่อนอื่นให้เขาได้เข้าใจว่า สิ่งที่มีจริงขณะนี้ มีจริงๆ และพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งนี้ และทรงแสดงว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่มีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีการดับไปเป็นธรรมดา ให้เขาเข้าใจสิ่งที่กำลังมีอยู่ในขณะนั้นอย่างนี้ก่อนตามลำดับ ทีละเล็กทีละน้อย หรือใครไม่เห็นด้วยเวลานี้ สิ่งที่มีในขณะนี้ต้องเกิด ถ้าไม่เกิด ไม่มี และเกิดเองก็ไม่ได้ อยู่ดีๆ อยากเห็นก็เห็นขึ้นมา ไม่ได้ ถ้าไม่มีจักขุปสาทะ ไม่มีสิ่งที่สามารถกระทบ ตา ในภาษาไทย ซึ่งภาษาบาลีหมายความถึงรูปพิเศษที่สามารถกระทบกับสี สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น สีสันวรรณะต่างๆ จะเรียกอะไรก็ได้ เรียกวรรณะก็ได้ เรียกวัณโณก็ได้ เรียกอะไรก็ได้ สิ่งที่กำลังมีจริงเดี๋ยวนี้ ปรากฏเมื่อจิตเห็นเกิดขึ้น

    เพราะฉะนั้นถ้าสามารถที่จะให้เขาเข้าใจว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่จะเกิดได้ ต้องมีปัจจัยเฉพาะสิ่งนั้น จึงทำให้สิ่งนั้นเท่านั้นเกิด เช่นขณะที่ได้ยิน ไม่ใช่ขณะที่เห็น เพราะฉะนั้นขณะที่ได้ยินมีจริงๆ และเสียงที่ปรากฏในขณะที่จิตได้ยินก็มีจริง เสียงต้องเกิด ต้องกระทบกับโสตปสาทะ ซึ่งภาษาไทยใช้คำว่า หู แต่ไม่ใช่ใบหูทั้งใบ แต่เป็นรูปพิเศษที่มองไม่เห็น ที่สามารถกระทบกับเสียง แล้วก็ถ้าจิตได้ยินไม่เกิด เสียงก็ไม่ปรากฎ นี่คือทุกอย่างไม่เว้น แม้แต่หู หรือเสียง หรือว่าจิตได้ยิน ก็เป็นธรรมซึ่งเกิด และยังไม่ดับในขณะนั้น ทำให้สภาพที่ปรากฏคือเสียง ปรากฎว่าเสียงมีจริงๆ ทั้งหมดเป็นธรรม ขอให้เริ่มเข้าใจอย่างนี้ และรู้ว่าทรงแสดงความจริงถึงที่สุดของทุกอย่าง จนกระทั่งบุคคลนั้นมีความเห็นที่ถูกต้องว่าเป็น ธรรม ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย แต่ว่าเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะเฉพาะของสิ่งนั้นที่เกิดขึ้น

    เพราะฉะนั้นเราไม่จำเป็นต้องใช้คำหลายคำมากมาย และจำนวนเยอะแยะ เพราะว่าขณะนี้ ให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่ปรากฏ จนกระทั่งบุคคลนั้นสามารถเข้าใจด้วยตัวเอง ว่าขณะนี้สิ่งที่มีจริงทั้งหมด เป็นสิ่งที่รู้ได้ ไม่ใช่ไปหลงผิด ยึดถือ เกิดมาแล้วอะไรเกิด ไม่รู้ แต่เกิดมาแล้วเป็นเราเกิด เกิดมาแล้วต้องเห็น ต้องได้ยิน ต้องคิดนึก อะไรเห็น อะไรได้ยิน เห็นไม่ใช่ได้ยิน ได้ยินไม่ใช่คิดนึก แต่ก็มีทั้งเห็นบ้าง ได้ยินบ้าง คิดนึกบ้างในชีวิตประจำวัน แล้วก็จากโลกนี้ไป แล้วไปไหน แล้วอะไรไป

    นี่เป็นสิ่งที่มีโดยไม่รู้ตลอดทุกชาติ แต่ว่าเมื่อผู้มีพระภาคทรงบำเพ็ญพระบารมี ทรงตรัสรู้ ก็มีผู้ที่มีโอกาสได้ยิน ได้ฟัง ได้ศรัทธา ได้เห็นประโยชน์ว่า เกิดมาแล้วตายไป โดยที่ไม่รู้ความจริงเลย และเอาอะไรไปก็ไม่ได้เลย นอกจากสิ่งที่เป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้าง แล้วแต่ว่าวันหนึ่งๆ อะไรเกิดมาก อกุศลเกิดมากก็ยังไม่รู้เลย ว่าแท้ที่จริงสะสมอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นตายไป จะไปไหน ก็ไปตามเหตุที่ได้กระทำไว้แล้ว

    เพราะฉะนั้นสามารถที่จะให้คนเข้าใจว่า เดี๋ยวนี้เป็นธรรม แล้วฟังธรรมเพื่อเข้าใจความจริง และการเข้าใจความจริงเป็นประโยชน์สูงสุด เป็นประโยชน์ยิ่งเหนือสิ่งอื่นใด ใครอยากถูกหลอกบ้าง ใครอยากให้คนอื่นมาพูดสิ่งที่ไม่จริงให้ฟังบ้าง ถ้าเป็นเพื่อนแท้เพื่อนที่ดี ก็จะให้แต่สิ่งที่ดี คือให้ความจริง ที่สามารถจะให้ได้ ที่เป็นประโยชน์กับผู้นั้น

    เพราะฉะนั้นก็คือว่า ไม่จำเป็นต้องใช้คำอื่นที่ไม่ใช่ภาษาไทย ขอให้เข้าใจในภาษาไทยก่อน และก็ค่อยๆ รู้ว่า คำในภาษาไทย ภาษามคธี ภาษาบาลี ใช้คำอะไร จะได้ควบคู่กันไป แต่ไม่ใช่ไปเอาคำที่เราไม่รู้จักมาบัง รูปธรรม นามธรรม กำลังนั่งอยู่อย่างนี้ ได้ยินคำว่ารูปธรรม นามธรรม ธรรมยังไม่รู้เลยว่าอะไร และรูปธรรม นามธรรมเป็นอย่างไร ใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้นก็ต้องให้เขาเข้าใจในภาษาไทย และให้รู้ว่าหมายความถึงสิ่งที่มีจริงเดียวนี้ ให้เขาตอบได้ ด้วยการคิดของเขาเอง ว่าเดี๋ยวนี้อะไรจริง

    ผู้ฟัง สิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้เอง

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเห็นจริง ถูกต้องหรือไม่

    ผู้ฟัง ถูกต้อง

    ท่านอาจารย์ เป็นธรรมหรือไม่

    ผู้ฟัง เป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ อะไรอีกที่จริง

    ผู้ฟัง ได้ยิน

    ท่านอาจารย์ ได้ยินจริง ใช่หรือไม่ เป็นธรรมหรือไม่

    ผู้ฟัง เป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ เป็นคุณประทีปหรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่

    ท่านอาจารย์ ได้ยิน เป็นคุณอรวรรณหรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ ได้ยิน เป็นคุณอรรณพหรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเริ่มเข้าใจแล้ว ได้ยินเป็นได้ยิน เป็นธรรมซึ่งเกิดขึ้นได้ยินแล้วดับไป นี่จะเป็นประโยชน์กว่าหรือไม่ ให้เขาสามารถเข้าใจถูก เห็นถูกในสิ่งที่กำลังมีจริงๆ เดี๋ยวนี้ ธรรมคือเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นก็สามารถจะทำให้คนเข้าใจได้ แล้วก็ได้ยินกับเสียง เป็นอย่างเดียวกันหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เสียงกับได้ยินไม่เหมือนกัน

    ท่านอาจารย์ ต่างกันอย่างไร

    ผู้ฟัง ต่างกัน เสียงไม่รู้อะไรเลย

    ท่านอาจารย์ แล้วได้ยิน

    ผู้ฟัง ได้ยินเป็นของจริงอย่างหนึ่ง เมื่อเกิดขึ้นแล้วต้องรู้

    ท่านอาจารย์ เป็นสภาพรู้ ในขณะที่กำลังได้ยิน เสียงปรากฏ เพราะมีธาตุชนิดหนึ่งเกิดขึ้นได้ยิน เสียงนั้นจึงปรากฏ มีธาตุที่สามารถเกิดขึ้นได้ยินเสียง แค่นี้ กว่าจะหมดความเป็นเรา มีธาตุ สิ่งที่มีจริงชนิดหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นได้ยินเสียง ธาตุนั้น เห็นหรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่เห็น

    ท่านอาจารย์ ธาตุนั้น คิดหรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่คิด

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเกิดขึ้นได้ยิน แล้วดับไป นี่คือเริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณ ไม่อย่างนั้นจะไม่มีใครได้ยินคำว่า ธรรม แต่เพราะเหตุว่า ทรงตรัสรู้ว่าไม่มีคุณอรวรรณ ไม่มีคุณประทีป ไม่มีคุณอรรณพ แต่มีธรรม นกเห็นหรือไม่

    ผู้ฟัง เห็น

    ท่านอาจารย์ เห็น เป็นนกหรือไม่

    ผู้ฟัง เห็น ไม่ใช่นก

    ท่านอาจารย์ ต่อจากนี้ก็รู้แล้ว เห็นเป็นเห็น

    ผู้ฟัง ที่ท่านอาจารย์กล่าวว่า การศึกษาธรรม ต้องศึกษาทีละคำ เช่นเห็น ก็มีแต่เห็นอย่างเดียว ไม่มีอะไรในโลกนี้เลย แม้แต่คนก็ไม่มี

    ท่านอาจารย์ แล้วรู้จักเห็นหรือยัง

    ผู้ฟัง ไม่รู้จัก

    ท่านอาจารย์ ก็ต้องพูดบ่อยๆ ใช่หรือไม่ เพื่ออะไร จะได้ไม่ลืม เราฟังธรรมเหมือนเรามีชั่วโมงฟังธรรม รายการวิทยุ หรือว่าที่ไหนก็ตาม แล้วก็จบการฟัง ก็ลืม ใช่หรือไม่ นั่นไม่พอเลย เพราะเหตุว่าธรรมมีตลอดเวลา ถึงแม้ว่าขณะที่กำลังไม่ได้ฟังเรื่องของได้ยิน ก็ยังมีได้ยิน เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมที่ว่าให้รู้จริงๆ ให้เข้าใจจริงๆ ก็คือว่าไม่เปลี่ยน สิ่งที่ได้ยินได้ฟัง ฟังบ่อยๆ เหมือนอย่างข้อความเมื่อวานนี้ ที่พราหมณ์ท่านหนึ่งท่านกล่าวว่า ข้าพเจ้าปรารถนาอย่างยิ่งซึ่งวาจาของพระองค์ ไม่ได้ต้องการคำอื่นเลย แต่ปรารถนาเฉพาะในห้องนี้ และก็ที่อื่นก็ไม่ปรารถนาแล้ว จะเป็นความปรารถนาอย่างยิ่งไม่ได้

    เพราะฉะนั้นการฟังธรรม ต้องเป็นผู้ที่ตรง จริงใจ แล้วก็มั่นคงด้วย ที่รู้ว่าความจริงที่มีสามารถรู้ได้ สามารถประจักษ์แจ้งได้ เมื่อมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น ซึ่งความเข้าใจนี้จะหาจากที่อื่นไม่ได้เลย นอกจากพระธรรมที่ได้ทรงแสดงไว้ โดยประการทั้งปวง เพื่อที่จะให้คนสามารถที่จะไม่ไปหนทางผิด เพราะหนทางอื่นไม่สามารถที่จะทำให้รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ได้

    ผู้ฟัง สภาพธรรมที่กำลังคิด แล้วก็มีเรื่องที่คิด

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้เอง คุณประทีปกำลังคิด เรียกว่าคุณประทีป แต่ความจริงเป็นความคิด ถ้าไม่คิด พูดไม่ได้ ไม่ไกลจากขณะนี้ ต้องไม่ลืมว่าเดี๋ยวนี้เอง

    ผู้ฟัง แต่เนื่องจากส่วนใหญ่ก็จะติดในเรื่องชื่อ

    ท่านอาจารย์ เพราะไม่เข้าใจความจริง ฟังแต่ชื่อ แต่ไม่รู้ว่าอะไร หลายคนเขียนตำราหลายเล่ม ถามว่าเดี๋ยวนี้มีธรรมหรือไม่ หรือว่าธรรมอยู่ที่ไหน ไม่รู้ เพราะฉะนั้นไม่มีประโยชน์เลย แต่ถ้าให้เขารู้ว่าเดี๋ยวนี้เป็นธรรม ก่อนที่จะอ่านหน้าหนึ่งหน้าสอง เรื่องที่เขาเขียน ตั้งต้นให้ถูกต้องว่า เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่มีจริง สิ่งนั้นเกิดขึ้น ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร เกิดได้เพราะเหตุปัจจัย ปรากฏเพียงชั่วคราว ไม่มีใครสามารถรู้ได้ว่าแสนสั้นขณะไหน เพราะขณะนี้ปรากฏแต่เพียง นิมิต เครื่องหมายของสิ่งที่เกิดดับสืบต่อ ซ้ำจนปรากฏว่า เป็นลักษณะเฉพาะอย่างหนึ่งๆ เท่านั้น แต่ตัวการที่สภาพธรรมเกิดขึ้น และดับไป ต้องเป็นปัญญาอีกระดับหนึ่ง ที่เข้าใจแล้ว ละคลายความไม่รู้ ละคลายความติดข้อง สภาพธรรมจึงสามารถปรากฏตามความเป็นจริงได้

    เพราะฉะนั้นทุกคำที่เป็นวาจาสัจจะ เปลี่ยนไม่ได้ แต่ผู้ที่ไม่รู้อย่างนั้น ยังไม่ประจักษ์อย่างนั้น ก็เพราะความเข้าใจยังไม่พอ มีหนทางเดียวคือ รู้ตัวเองว่าเข้าใจยังไม่พอ จึงต้องฟังต่อไป เพื่อให้เข้าใจขึ้น

    อ.คำปั่น จากข้อความที่ได้ฟังเมื่อสักครู่นี้ ที่ท่านอาจารย์กล่าวถึงว่า ตั้งต้นที่ขณะนี้ มีสิ่งที่มีจริงๆ ที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน กราบเรียนท่านอาจารย์ถึงความละเอียดลึกซึ้ง ของข้อความที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวเมื่อสักครู่นี้ เพราะว่าบางท่านซึ่งอาจจะมาฟังพระธรรมเป็นครั้งแรก แต่ท่านอาจารย์ก็กล่าวถึงว่า ตั้งต้นที่ขณะนี้ มีสิ่งที่มีจริงๆ ที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย

    ท่านอาจารย์ เห็น มีหรือไม่ ได้ยินมี พร้อมกันหรือเปล่า

    อ.คำปั่น เห็นกับได้ยิน ไม่พร้อมกัน

    ท่านอาจารย์ เพราะเคยได้ฟัง แต่ถ้าปกติทุกคน ถ้าไม่เคยฟังธรรมเลย เห็นกับได้ยินพร้อมกันหรือไม่ จะตอบว่าอย่างไร

    อ.คำปั่น ก็จะตอบว่าพร้อมกัน

    ท่านอาจารย์ นี่คือความต่างของการฟังความจริง กับการไม่ได้ฟังความจริง เพราะฉะนั้นเพียงมีโอกาส บุญที่ได้สะสมไว้แต่ปางก่อน ทำให้มีโอกาสได้ยินได้ฟัง และได้เข้าใจต่อไป


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 193
    16 ก.พ. 2568

    ซีดีแนะนำ