พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 870


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๘๗๐

    ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๑๕ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๖


    เปลี่ยนพระอาจารย์ค่ะท่านอาจารย์ถึงอารมณ์นั้นคืออะไรแล้วก็เป็นธรรมะอย่างไรแล้วตัณหาที่สร้างไปไหน อาจารย์ก็ในชีวิตประจำวัน ก่อนอื่นนะคะ ต้องเข้าใจจุดประสงค์ของการฟัง สำคัญที่สุดค่ะไม่ใช่ฟังชื่อไม่ใช่ฟังเรื่องไม่ใช่ใครบอกว่าอะไรแต่ว่าฟังเพราะรู้ว่าขณะนี้นะคะ มีสิ่งที่ปรากฏ แต่ว่าไม่รู้จักสิ่งนั้นตามความเป็นจริง ตั้งแต่เกิดมาเนี่ยค่ะมีทุกสิ่งที่ปรากฏในแต่ละวันนะคะ ซึ่งถ้าไม่คิดก็จะไม่รู้ พอได้ยินธรรมะทุกคนก็ไปหาธรรมะแต่ไม่เข้าใจเลยค่ะว่าในภาษามะฆะที่ธรรมะหมายความถึงสิ่งที่มีจริงผู้ฟังธรรมะคือเพราะรู้ว่าไม่เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงเลยแล้วก็มีผู้ที่ตรัสรู้ความจริง ต์จริงปั่นค่ะ ขอพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงเกียรติรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้นะคะ ให้เข้าใจขึ้นในภาษาของตนของตน เพราะฉะนั้นในครั้งที่พระผู้มีต้องทรงเสด็จธรรมะเป็นภาษาที่ชาวเมืองนั้นใช้คือภาษามาจากที ของเราไม่ใช่รู้จักภาษานั้นเลยนะคะ ถ้าพูดกันไม่เข้าใจเลยแต่ว่ามีสิ่งที่สามารถที่จะเข้าใจได้ในภาษาไทยทราบว่าการปั้นกับมะเขือเข้าใจ ความจริงนะคะ ในชีวิตทุกขณะซึ่งมีจริงๆ เดี๋ยวนี้ด้วย เพราะฉันเป็นความคิดการไตร่ตรองของผู้ฟังค่ะไม่ใช่ฟังตามคำนี้แปลว่าอย่างนั้นคำนั้นแปลว่าอย่างนี้นะคะ แต่ให้ทราบว่าเดี๋ยวนี้เลยค่ะทำไมฟังสิ่งที่มีขณะนี้เช่นเห็นบ้างได้ยินบ้างคิดนึกบ้างก็เพราะเหตุว่าไม่รู้ความจริงของสิ่งต่างๆ เหล่านี้เลยไม่ใช่ฟังเพื่อที่จะไปปฏิบัติ ไม่ใช่ฟังเพื่อที่จะได้บรรลุมรรคผลแต่ฟังเพราะไม่รู้เลยในสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้นะคะ เมื่อวานนี้ก็มีการสนทนาธรรมกับชาวต่างชาติ มีผู้ของผู้เรียนรู้ธรรมะองค์๘ กินความจริงค่ะมีเห็นเดี๋ยวนี้ และก็เราพูดถึงเห็นเมื่อวันก่อนเมื่อเดือนก่อนปีก่อนแต่ก็ยังไม่เข้าใจเห็น อย่างถูกต้องตามความเป็นจริงนะคะ เพราะขาดการไตร่ตรองพิจารณาโมงแต่เพื่อที่จะได้ยินคำพระพุทธเจ้าทรงแสดงว่าอะไรสูตรนี้หมายความว่าอะไรเกี่ยวข้องกับอะไรแต่ไม่ได้รู้ความประสงค์จริงๆ นะคะ ไม่ว่าจะเป็นพระธรรมที่ทรงแสดงที่ไหนเมื่อไหร่ก็เพื่อให้เข้าใจสิ่งที่มี โดยที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อน เพราะฉะนั้นทุกคนก็ดีใจค่ะที่จะได้ตั้งต้นอีกเพราะรู้ว่าพูดไปหนึ่งปีแต่ยังไม่ได้ตั้งต้นที่จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมะที่ปรากฏจริงๆ นะคะ จนกว่ามีปัจจัยพอที่จะรู้ว่าสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ตรงตามที่ทรงแสดงทุกอย่างแต่ไม่ได้แสดงเรื่องอื่นให้ไปจำให้คิดนะคะ แสดงให้เข้าใจความจริงที่กำลังมีจริงในขณะนี้ซึ่งทุกคนก็รู้ตัวเองใช่ไหมคะ ไม่ใช่เรื่องคนอื่นมันบอกเราว่าเรารู้แค่นั้นเรารู้แค่นี้แต่ความเป็นผู้ตรงไหนคะเห็นขณะนี้ได้ฟังว่าเห็นเกิดแล้วดับแล้วไม่กลับมาอีกเป็นเราหรือทุกอย่าง และจะนำไปสู่ความจริงที่ว่าเป็นธรรมะไม่ใช่เรียกชื่อว่าธรรมะเดียวเป็นธรรมะนะคะ แต่ลักษณะที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ค่ะเป็นสิ่งที่มีจริงที่ยังไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นฟังเพื่อเข้าใจขึ้นแล้วก้อจะรู้ความสว่างของการฟังนะคะ ว่าฟังครั้งแรกเนี่ยไม่เข้าใจเท่าไรหรอกบางคนก็บอกว่าตั้ง๑๐ปีกว่าจะรู้ว่าเดี๋ยวนี้ขณะนี้เป็นธรรมะไปหาธรรมะนะคะ เมื่อไม่รู้จักธรรมะแต่ถ้ารู้จักธรรมะอยู่ในค่ะ เดี๋ยวนี้เดี๋ยวนี้นี่เองค่ะทีนี้เองไม่ต้องไปหาที่ไหนเลย เพราะฉะนั้นการฟังธรรมะเรื่องก็คือว่าเข้าใจธรรมะในภาษาของตน ขณะนี้ถ้าไม่มีเห็นไม่มีได้ยินไม่มีได้กลิ่นไม่มีคิดไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยจะมีเราไหม มันคงไม่ค่ะ สำคัญอยู่ที่ความมั่นคงค่ะว่าฝันก็เข้าใจหรอกแต่ว่าความเข้าใจที่ระลึกเกินหน่อยนะคะ มึงเห็นเพื่อกำลังช่วยช่วยมั่นคงขึ้นที่จะเข้าใจถูกต้อง และศึกษาธรรมะคืออะไรศึกษาให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีนะ แล้ววันหนึ่ง ก็ขณะที่ฝั่งเนี่ยไม่ได้คิดสิเรื่องราวหรือเรื่องอื่นแต่พูดถึงคำไหนก็รู้ว่าขณะนั้นนะเป็นสิ่งที่กำลังกล่าวสิเช่นพูดถึงเห็น คิดถึงอะไรคะยัง แต่พูดถึงเห็นแล้วก็ไม่ไปไหนวิบัติกะเจตสิกว่าจะใช้ทำอะไร จริง หยดโหมดเสยงชวคราว แต่รู้เท่าที่จะรู้ได้ว่าทั้งที่พูดเรื่องเห็นแล้วเห็นต้องจบให้เห็นหมูเห็นเพราะฉันพูดให้เข้าใจความจริงว่าเห็นขณะนี้เกิดแล้วโดยที่ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลยเป็นธรรมะซึ่งยังไม่รู้ กินกว่าจะรู้ความจริงซึ่งพระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ทรงแสดงความจริงว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มีปัจจัยปรุงแต่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป มั่นคงหรือยังคะ กำลังเกิดดับอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าท่านตาทางหูทางจมูกทางลิ้นทางกายทางใจในห้องนี้หรือว่าไปที่ไหน ไม่เคยค่ะ ซึ่งแฟนๆ แบบนี้เลยที่เวียดนามค่ะก็มีเด็กอายุ๕ขวบ เขาก็ตามคุณแม่คุณพ่อไปฟังธรรมะนะคะ แต่วิธีการของเขาไม่ใช่มานั่งที่๙อี้นะคะ เขาก็เดินไปเดินมานะคะ แล้วก็ตามประสาเด็กแต่ทุกคำตอบของเขามาจากความเข้าใจ แม่อยากให้ไปโรงเรียนนะ เขาตอบว่า ทีนี้ก็มีเห็นที่โรงเรียนก็มีเห็นที่นี่ก็ไม่ได้ยินที่โรงเรียนก็ได้ยินเหมือนกันหมดไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนนี่คือความเข้าใจ และพอมีคำถามตอบได้เลยตามความเข้าใจไม่ต้องไปพลิกหนังสืออาศัยตำรา แต่ว่าพุ่ง ทีนี้กำลังเห็น ที่ไหนๆ ก็ไม่ได้ยินที่นี่ก็ไม่ได้ยินก็เหมือน รู้สึกคันต่อไปเด็กห้องขวบซึ่งไม่ต้องมาขอโทษแม่สอนเลยนะคะ แล้วเค้าก็เอาดอกไม้มาให้แดนดอกนึงแล้วก้อเขากลับบอกพ่อแม่ ถ้าเขามีดอกไม้๓ดอก ตอนนี้ก็มีดอกเดียวใช่ไหมฮะเขาก็จะให้แม่หนึ่งดอกพหนึ่งดอกแล้วก็ดิฉันหนึ่งดอก แล้วแม่จะถามว่าก็ถ้ามีดอกเดียวจะให้ใคร ให้อาจารย์ เพราะอาจารย์สอนธรรมะ มีเหตุผลค่ะไม่ใช่พวกนี้ครับช่างแอร์ให้เพราะคุ้นเคยด้วยนะแต่เหตุผลเค้าจะมีจัดคำตอบที่ถูกค้างทันทีไม่ต้องคิดด้วย และก็รู้เหตุผลด้วยอย่างให้แดนเพราะอาจารย์สอนธรรม และชื่อของเขาเธอแปลเป็นภาษาไทยหมายความว่ารัตนจิต ค่ะ เราเห็นคุณตา ตกอยู่ แล้วก็ดื่มเบียร์เข้าเบ้าคุณตาว่าคุณตาไม่ได้ทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า บอกคุณตานะคะ แล้วก็คุณลุงป่วยอยู่ที่โรงพยาบาลเขาเขาคิดถึงคุณลุงที่ป่วยถ้าเราคุณลุงได้มาฟังธรรมะก็ดี เห็นไหมคะนี่คือความคิดของเด็กที่รู้ว่าธรรมะมีประโยชน์ และก็คนป่วยซึ่งไม่ได้ฟังธรรมะเลยนะถ้าได้มีโอกาสได้ฟังธรรมะก็ดีนี่ก็เป็นเรื่องที่แสดงให้เห็นว่าไม่ได้เกี่ยวกับชื่อแต่เกี่ยวกับความจริงที่เข้าใจ เบื้องต้นคือในเหตุ และนายพล ไม่ใช่ว่าพูดโดยไม่มีเหตุผลอะไรนะคะ หรือทำโดยไม่มีเหตุผลแต่ไม่ว่าคำพูดนั้นจะพูดว่ายังไงก็มีเหตุผลด้วย เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้นะคะ ก็มีเหตุมีได้ยินเห็นได้ยินคิดเล็กนานแสนนานมาแล้วในสังสารวัแต่โอกาสที่จะค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่ลึกซึ้งเช่นขณะนี้เห็นเกิดจึงมีเห็นแล้วเห็นก็ดับไปจึงมีได้ยินโดยมีคิดนึกหรือมียา ก็แสดงว่าอันหลอดมาในสารวัตเนี่ยไม่ได้มีเห็นแม่หมีได้ยินก็ไม่ได้เข้าใจ เพราะฉะนั้นทางที่ถูกต้องนะคะ คือ ให้เข้าใจธรรมะที่ปรากฏ ไม่จำเป็นต้องไปคิดถึงชื่อต่างๆ เลยนะคะ เช่นเดียวนี้นะคะ พูดถึงเห็น ใครเขาจะเห็นแค่ในฝั่งมาแล้วตั้งนานแต่ตั้งนานในสังสารวัฎไม่ได้เข้าใจเห็นเพราะฉันอีกนาน กว่าจะค่อยๆ เข้าใจเพราะเหตุว่าทำไมไม่เข้าใจเห็น เพราะไม่รู้มานานมาก ต่อให้ได้ยินเห็นเกิดแล้วเห็นแบบ และเห็นก็เป็นเห็นไม่ใช่อะไรเลยทั้งสิ้นก็ต้องอาศัยนะคะ ที่เข้าใจเดี๋ยวนี้แล้วไม่ลืมค่อยๆ เก็บเล็กผสมน้อยที่จะมั่นคงนะคะ และโดยเฉพาะถือว่าความเป็นอนัตตาของทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิด มืดเข้าใจทำได้จริงๆ จะไปวังใหม่ก็ฝันธรรมะเพื่ออย่างนั้นหรือฟังธรรมะเพื่ออย่างนี้เพราะเหตุว่าเป็นเรื่องของธรรมะทั้งหมดไม่เข้าใจเพราะไม่เคยได้ฟังนานมากแล้วก็เวลาเข้าใจนิดๆ หน่อยๆ นะคะ แล้วเข้าใจว่าเราไม่ได้เข้าใจ ธาตุชนิดหนึ่งธรรมะชนิดหนึ่งนะคะ ซึ่งตรงกันข้ามกับความไม่รู้เพราะไม่เคยฟังแต่ไม่ได้ยินได้ฟังคำวาจาสัจจะของผู้ที่ทรงตรัสรู้นะคะ ก็มีความเข้าใจขึ้นแต่ก็ลืมบ่อยเราฟังน้อยมากถ้าเทียบกับสังสารวัฎ เกินกว่า๔อสงไขยแสนกับชาจะนับชั่วโมงนะคะ ของการฟังในชาตินี้ก็วงกว่าเยอะแต่ว่าไม่สำคัญขึ้นอยู่กับว่าสะสมมาเมื่อ อยู่ที่ถูกต้องไม่มีความเชื่อใจ ๒๐ ไม่รู้เลยที่ชื่อทุกคนทุกวันที่ไม่มีความเข้าใจแนะน่าจะเอาความติดข้องไปทิ้งที่ไหน ทั้งหมดมาจากเพราะไม่รู้ และไม่รู้ก็คืออวิชา เพราะฉะนั้นหน้าที่ของวิชามีนะคะ ธรรมะกำลังปรากฏก็ไม่รู้ตามความเป็นจริงไม่ต้องไปหาอวิชาที่ไหนเลยค่ะ และขณะที่กำลังเข้าใจขึ้นนะคะ เพราะอาศัยการฟัง และถ้าฟังหน่อยแล้วไม่ฟังต่อไปจะเข้าใจอีกมั้ยก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ด้วยเหตุนี้นะคะ ประโยชน์ที่แท้จริงของการฟังคือมั้ยวะที่จะเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ไม่หวังแม้แต่จะเป็นคนดีขึ้นเพราะยังเป็นเราแต่ความจริงแล้วนึกหวังที่จะ ศึกษาธรรมะเมื่อไหร่ก็ตามนะคะ ประโยชน์ก็คือว่าเข้าใจสิ่งที่ได้ฟัง แล้วก็เป็นหน้าที่ของปัญญาที่เข้าใจก็จะทำหน้าที่ในทุกสถานการณ์ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นขณะนี้นะคะ ได้ยินคำว่าเจ็บ เป็นสิ่งที่กำลังมีขณะนี้หรือเปล่า ได้ยินคำว่าจิตหรือว่าจิตเป็นสภาพธรรมะเป็นธาตุรู้เดี๋ยวนี้หรือเปล่า เข้าใจหมดไม่ลืมเลยใครถามว่าจิตคืออะไรตอบได้จิตเป็นธาตุชนิดหนึ่ง ขึ้นต้องรู้สิ่งที่ทำไปแล้วกดแล้วกดไม่เจ็บตัวขึ้นรู้จะตอบได้หมดแต่ว่าเดี๋ยวนี้จิตอะไร กำลังมีลักษณะอย่างไรเช่นจิตเห็นเดี๋ยวนี้นะคะ รู้จักแล้วค่ะแต่ก่อนได้ยินคำว่าจิตก็ไม่รู้ว่า ความละเอียดของจิตซึ่งไม่ใช่เราเลยมีมากมายหลายประเภทตามสภาพธรรมะที่เกิดร่วมกันเพื่อว่าเฉพาะจิตนะคะ เป็นธาตุที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งไม่ทำอื่นเลย ไม่โกรธไม่รักไม่ช้างเพราะฉันเดี๋ยวนี้เลยค่ะจิตอะไรเยอะหลายประเภทใช่ค่ะค่อยๆ ศึกษาค่อยๆ เข้าใจว่าจิตคืออย่างนี้ไม่ใช่สภาพธรรมะจึงเป็นซึ่ง ผมอะจะใดก็ตามที่ปรากฏต้องอาศัยเหตุปัจจัยจึงเกิดได้ไม่ใช่เกิดได้เพราะความปรารถนาเพราะความหวังเพราะความต้องการจะได้มั่นคงในความหมายของคำว่าอนัตตาเริ่มจากอนัตตาคือไม่ใช่เรา และไม่ใช่ของเรามีจริงๆ นานไปแล้วก็มีเกิดขึ้นได้เพราะเหตุปัจจัยเมื่อเป็นคารถหรูซึ่งเกิดขึ้นนะคะ ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ เข้าใจก่อน ใช่ไหมคะแน่นอนใช่ไหมคะธาตุรู้เกิดขึ้นต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ตอนนี้ชื่อก็จะตามมาเพื่อให้รู้ว่าใหม่ความถึงอะไรเมื่อเห็นว่าธรรมะทั้งวันธรรมะตั้งแต่เกิดจนตายมากมายนะครับ แล้วจะรู้ทำไมต้องทีละเล็กที่ละน้อยโดยการรู้ว่าถ้าไม่มีธาตุรู้เกิดขึ้นรู้ ไม่มีโรคไม่มีอะไรปรากฏเลย ไม่เดือดร้อนไม่มีปัญหาไม่รักไม่ช่างดีมั้ยคะ แต่ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครธาตุรู้ต้องเกิดเมื่อมีปัจจัย และกำลังเกิดดับด้วยในขณะนี้เมื่อเป็นธาตุรู้นะคะ ที่อาศัยกัน และกันเกิดขึ้นพร้อมกันเพราะว่าสภาพธรรมะจะเกิดขึ้นเพียงลำพังอย่างเดียวไม่ได้สภาพธรรมะที่เป็นนาน จิตเป็นใหญ่เป็นประธานจริงๆ คาดที่อาศัยกัน และกันเกิดขึ้นพร้อมจิต และจิตก็ต้องอาศัยพลาดกันด้วยนะคะ พลาดมันก็ต้องอาศัยภาพกันด้วยเกิดพร้อมกัน ประสานบาหลีก็คือสหชาตะเป็นปัจจัยใครไปเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลยค่ะให้ไม่พร้อมกัน เพราะฉะนั้นนามธาตุสองอย่างอย่างหนึ่งเป็นใหญ่เป็นประธานแต่คือ๗ อย่างอื่นที่ไม่ใช่ที่เป็นใหญ่เป็นประธานเรียกว่าเจตสิกภาษาบาลีก็คือเจตสิกกะจิต และเจตสิกเกิดพร้อมกันอาศัยกัน และกันขาดกันไม่ได้ รู้สิ่งเดียวกันเพราะเป็นธาตุรู้ด้วยกันเมื่อเกิดพร้อมกันเป็นธาตุรู้จะให้ไปรู้ต่างกันได้ไหม นั่นคือเหตุผลใช่ไหมคะจิตธาตุรู้เจตสิกธาตุรู้อาศัยกัน และกันเกิดขึ้นพร้อมกัน สิ่งที่รู้ก็ต้องรู้สิ่งเดียวกันทั้งจิต และเจตสิกแต่ต่างกันเพราะว่าจิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ส่วนเหง้าเผ่าจิต ๗๐โทรศัพท์เกิดบางครั้งบางคราวเมื่อไหร่ที่เกิดก็ต้องเกิดกับจิตธรรมะอื่นนอกจากจิตที่เกิดพร้อมกันเป็นนามธาตุด้วยนะคะ ก็คือเจตสิก ขอพูดถึงกรธ ภาษาไทยรู้แล้วใช่ไหมคะ ไม่เห็นอะไรไม่รู้อะไร แล้วโกรธได้ไหม แม้แต่คิด ขณะนั้นก็ต่ำอีกสิ่งที่จิตกำลังรู้เรื่องที่คิดมิเช่นนั้นเรื่องก็ไม่มีเมื่อจิตไม่คิด เพราะฉะนั้นขณะนั้นก็ต้องมีสิ่งที่จิตรู้ และรู้ในสิ่งที่ไม่น่าพอใจนะคะ จึงเป็นปัจจัยให้เจตสิกเสน คือชีวิตประจำวัน๑๒เพื่อให้เข้าใจสิ่งที่มึ จะประจักษ์แจ้งความจริงว่าไม่ใช่เรา สภาพธรรมะตื่นไม่ได้จิตจะเป็นเจตสิกไม่ได้ ความติดข้องจะเป็นความไม่พอใจไม่ได้ ปัญญาจะเป็นอวิชาไม่ได้จึงเป็นสะโพกที่เป็น ใส่แบบที่มีสูตรศักดิ์สิทธิ์ ต์ จริงๆ ต์ ค์แอบบีชัวร์เพราะเจตสิกซึ่งเกิดร่วม และเมื่อใดก็ตามซึ่งธาตุรู้เกิดขึ้นต้องมีสิ่งที่ถูกรู้เข้าใจอันนี้ก่อนนะคะ แล้วก็จะได้รู้ว่าพระผู้มีพระภาคประสานไม่ขัดสี สิ่งที่จิตรู้ ต์๓บาหลีก็เป็นอารัมมณะเมื่อมีจิตต้องมีอารมณ์ไม่มีถาดรู้ต้องมีสิทธิ์ที่จุดรู้ ภาพรู้นะคะ ถ้าไม่มีใครบอกถ้าไม่ฟังก็ถามเจ็บ แม่ญาติรู้เกิดขึ้นขณะแรกต่างกับคณะหลังหลัง ไม่ใช่จิตเดียวกันแรงทำให้ความจริงจิตในขณะมีอายุที่สั้นมาก เร็วสุดที่จะเป็นบ้านได้หมด ที่เห็นดอกไม้เป็นคนเป็นโต๊ะเป็น๙อี้ก็แสดงว่าจิตเกิดดับเร็ว ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ความจริงได้เลยว่าถ้านัดแรกนะฮะเป็นใครรู้หรือเปล่า แต่ถ้าไม่มีจิตเกิดขึ้นรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเพราะจิตต้องรู้แม้ว่าขณะนั้นเป็นจิตขณะแรกก็ไม่รู้ว่าจิตรู้อะไรแต่จิตเกิดแล้วเป็นธาตุรู้ก็ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ว่าจะมีคนบอกว่า เกิดขึ้นขณะแรกไม่รู้อะไร ใช่ค่ะแต่มีจิต เพราะฉันไม่รู้อะไรก็เพราะเห็นว่าสิ่งที่จิตรู้ไม่ได้ปรากฏแต่มีจิต เพราะฉะนั้นจิตที่มีมากมายหลายประเภทนะคะ ซึ่งถ้าศึกษาแล้วก็จะต้องเข้าใจโดยไม่เปลี่ยนแปลง ว่าจิตไม่ว่าขนาดไหนเมื่อไรคณะแรกคือคณะที่จากโลกนี้ไปคือคณะสุดท้ายเจ็บก็ต้องเป็นสภาพรู้แต่รู้อะไรเป็นเรื่องละเอียดที่พระหัตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรง สิ้นเชิง ความจริงที่ไม่ปลื้ม หึหึแต่ถ้าขณะนั้นไม่ใช่เห็น ไม่ได้อาศัยตามตายังไม่มีนะคะ คณะแรกที่เกิดในค่ะ ขณะดังที่ไม่เห็นไม่ได้ยินไม่ได้เห็นไม่ลิ้มรสไม่รู้สิ่งที่กระทบ คิดดู จิต เพราะยังไม่ตาย เพราะฉันมีจริตนะคะ ซึ่งอารมณ์ของจิตนั้นไม่ได้ปรากฏ เพราะเหตุว่าไม่ใช่สิ่งที่อาศัยตาหูจมูกลิ้นกายใจก็จะอารมณ์นั้นไม่ปรากฏเช่นขณะที่นอนหลับสนิท ไม่มีใครรู้เหมือนขนาดแรกนะคะ ไม่รู้เลยว่าเป็นใคร เกิดมาเนี่ยค่ะจะทันรู้ไหมว่าคนเกิดเรื่องสัตว์เกิดเรื่องอะไรเกิดไม่สามารถจะรู้ได้เลยค่ะเช่นเดียวกับขณะที่หลับสนิท จิตยังเกิดดับสืบต่อดำรงภพชาติยังไม่จากโลกนี้ไป เพราะฉะนั้นขณะนั้นก็ต้องมีอารมณ์ที่๗รู้เพราะจิตเกิดขึ้นต้องรู้อารมณ์ของจิตขณะนั้นนะคะ เหมือนกับปฏิสนธิขณะแรกก็อารมณ์ไม่ปรากฏ แต่พอตื่นขึ้นมาแล้วค่ะเห็นด้วยได้ยินจึงรู้ว่าไม่ได้ตายยังอยู่แต่ถ้าจะตายระหว่างหลับแน่นอนค่ะเกิดใหม่ล่ะ เป็นบุคคลใหม่โดยสิ้นเชิงจะรู้ไหมว่าก้อนนั้นน่ะก่อนขณะแรกของปฏิสนธิของชาติหน้าเป็นอะไรมาทั้งหมดในชาตินั้นหายไปหมดเพราะเห็นว่าขณะนั้นนะคะ จากบุคคลนี้เป็นบุคคลอื่นทันที เพราะฉะนั้นแม้ว่าจะทรงแสดงเรื่องของเจ็บนะคะ แต่ก็ยังมีจิต มากมายหลายประเภทซึ่งถ้าไม่ทรงแสดงเนี่ยจะไม่คล้ายกันยึดถือว่าไม่ใช่เรา เป็นแต่เพียงธาตุรู้ซึ่งเกิดขึ้นเป็นไป และก็ไม่มีทางที่จะยุติการเกิดขึ้น เป็นฝันเกิดระดับของจิตนะคะ จนกว่าจะถึง จิตสุดท้ายของพระอารยเท่านั้น เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงนะคะ ตายแล้วเกิด หายก็ตามค่ะที่จากโลกนี้ไปแล้วเกิดแล้ว แต่เป็นอะไร เราก็เหมือนกันทุกคนใช่มั้ยคะมีปัญญาระดับไหนถ้ายังไม่ถึงความเป็นพระโสดาบันนะคะ เกิดแล้วไปอบายภูมิก็ได้ นรกเป็นเปรตเป็นอสูรกายเป็นสัตว์ปีสองตามกรรมที่ได้กระทำแล้วไม่ใช่เฉพาะในชาติปีหน้าแม่ชาติก่อนๆ ปฏิสนธิของชาติหน้าก็ประมวลไว้ซึ่งกรรมที่๓เมื่อจะเป็นปัจจัยให้ผลของฉันเกิดขึ้นโดยฉันคงฉันคนนี้ก็คือผู้มีชื่อเสียงเหรอ เมื่อไรจึงรู้จัก เอ็นต์ จะซื้อแจ้งในเวลาที่คนที่รัก หรือว่า ติดจากการเป็นบุคคลนี้ แต่ถ้าเราศึกษาธรรมะต้องเข้าใจนะคะ ตามความเป็นจริงทันทีที่ตายไปปฏิสนธิเป็นบุคคลไม่จุติจิตดับปฏิสนธิเป็นคนใหม่เพื่อเข้าเกิดแล้วแต่ที่สำคัญคือเกิดเป็นอะไรเราก็ไม่รู้ถึงตัวเราเองก็ตามหามาจากไหนก็ไม่รู้แล้วจะไปไหนก็ไม่รู้เหมือนกัน ถ้ายังเป็นผู้ที่มีความไม่รู้ก็ยังไม่รู้เป็นธรรมดา แลกกรรมได้มั้ยคะเอากรรมของเราไปให้คนที่เราเคารพนับถือเพื่อเขาจะได้เกิดดีๆ ไม่มีทางเลยใช่ไหมคะนี่คือเข้าใจความเป็นอนัตตา เพราะมั่นคงจริงๆ แต่ว่าธรรมะทั้งหลายธรรมะทั้งหมดนะคะ เป็นอนัตตาไม่ใช่เราไม่ใช่ของเราแล้วก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา เพราะฉะนั้นทำอะไรกันดีคะชาติไหน ทำดี แล้วก็ศึกษาพระธรรมเพราะเหตุว่าสิ่งที่จะทำดีสักเท่าไหร่แต่ไม่เข้าใจธรรมะนะคะ ก็ยังคงเป็นเรา และเวลาที่เป็นเราเห็นผิดเห็นถูกไม่ใช่เราสัตว์น้อยก็เป็นเราไปหมดนะคะ ก็แสดงถึงความเห็นผิดแล้ว และก็มีความติดข้องด้วยนะคะ ในความเห็นนั้นใครบอกเท่าไหร่ก็ไม่เชื่อเพราะเห็นว่ามีความยึดมั่นในความเห็นนั้น เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่านะคะ ที่ชีวิตดำเนินไปเรื่อยๆ ไม่รู้จบตราบใดที่ยังมีความติดข้อง ซึ่งภาษาบาลีก็ใช้คำว่าโลก จุดประสงค์ของการศึกษาพระธรรมไม่ว่าในพระสูตรในพระอภิธรรมก็ไม่พ้นชีวิตประจำวันแล้วก็มีจริงในขณะนี้


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 193
    29 ม.ค. 2567

    ซีดีแนะนำ