พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 871
ตอนที่ ๘๗๑
ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา
วันอาทิตย์ที่ ๑๕ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๖
อ.กุลวิไล จุดประสงค์ของการศึกษาพระธรรม ไม่ว่าในพระสูตร ในพระอภิธรรม ก็ไม่พ้นชีวิตประจำวัน แล้วก็มีจริงในขณะนี้
ท่านอาจารย์ เคยโกรธใคร เกลียดใคร ไม่ชอบใคร เขาไม่ได้ตามไปโลกหน้า แต่ว่าความโกรธ ความเกลียด ความไม่ชอบ จะติดตามบุคคลนั้นไป ดีหรือไม่ มากด้วยอวิชชา ความไม่รู้ และอกุศลทั้งหลาย เพราะฉะนั้นพระธรรมเท่านั้น ที่จะทำให้สามารถเห็นถูก เข้าใจถูก แล้วก็เริ่มรู้โทษของอกุศล และเห็นประโยชน์ของการที่จะทำดี ไม่ใช่เพื่อเรา แต่เพราะเหตุว่าเป็นธรรมฝ่ายดี ซึ่งตรงข้ามกับธรรมฝ่ายไม่ดี แล้วก็ต้องศึกษาธรรมให้เข้าใจขึ้น เพราะใครจะมาบอกว่าไม่ใช่เรา ยาก ฟังเท่าไร ถ้าปัญญายังไม่ถึงกาลสมควร ที่จะเริ่มเข้าใจได้ ว่าแม้แต่เห็นเดี๋ยวนี้ก็เป็นธรรม
เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรมต้องมีหลายระดับขั้นของปัญญา ปริยัติ ปฏิปัตติ ปฏิเวธ ปริยัติ ถ้าไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้เป็นธรรม ซึ่งสามารถเข้าใจถูกได้ คิดว่าธรรมเป็นตัวหนังสือ เล่มนั้นเล่มนี้ คัมภีร์นั้น คัมภีร์นี้ มีแต่ความจำ และก็เรื่องราว นั่นไม่ใช่ปริยัติ เพราะปริยัติหมายความถึง ศึกษาพระพุทธพจน์ แต่ไม่ใช่เพียงอ่าน และคิดว่าศึกษา ต้องเข้าใจ ว่าขณะนั้นที่ตรัสรู้ และทรงแสดง ก็คือรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นปริยัติทั้งหมดก็คือว่า เมื่อผู้นั้นรู้ว่า เดี๋ยวนี้เป็นธรรม แล้วก็ศึกษาเพื่อเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ
ผู้ฟัง กราบเรียนท่านอาจารย์ครับ คำที่ท่านกล่าวว่า เรื่องโกรธ เกลียด หรือว่ารัก ชัง จะติดตามไปในภพภูมิต่อไป ขอความเข้าใจท่านช่วยอธิบายครับ
ท่านอาจารย์ คุณสมเกียรติมีเพื่อนหลายคน ใช่หรือไม่
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ นิสัยเขาเหมือนกันหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่เหมือน
ท่านอาจารย์ แล้วใครไปทำให้นิสัยเขาต่างกัน ขณะนี้ทุกคนกำลังฟัง เพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ แต่ความเข้าใจของแต่ละคนเท่ากันหรือเปล่า ลึกซึ้ง กว้างขวาง มากน้อยเท่ากันหรือเปล่า หรือว่าไม่รู้เท่าๆ กัน ใช่หรือไม่ ไม่ได้เข้าใจธรรมที่กำลังปรากฏเท่าๆ กัน ตามความเป็นจริง เพราะเหตุว่าอยากจะเข้าใจ เห็นประโยชน์แล้วก็มาฟัง แต่สิ่งที่กำลังเข้าใจน้อยมาก เดี๋ยวก็ลืมๆ เดี๋ยวก็เป็นเรื่องอื่นไปหมดทั้งวัน ไม่มีขณะที่กำลังนึกถึงคำที่ได้ฟังว่า คือขณะนี้ เดี๋ยวนี้
เพราะฉะนั้นปัจจัยที่จะทำให้สามารถรู้ลักษณะสภาพธรรมที่มีจริงๆ สั้นมาก ยากมาก เพราะเหตุว่าไม่มีความเข้าใจเพียงพอ แล้วก็ถ้ามีความปรารถนา ความต้องการเมื่อไรก็กั้นทันที และก็ละเอียดมาก โลภะจะตามไปตลอด จนกว่าจะรู้แจ้งอริยสัจธรรม ดับความสงสัย และดับการยึดถือสภาพธรรม เพราะต้องทั่วในชีวิตประจำวัน เพราะฉะนั้นการอบรมเจริญปัญญา ก็เป็นเรื่องของการเข้าใจสิ่งที่เกิดแล้ว เดี๋ยวนี้ตามเหตุตามปัจจัย ไม่มีใครไปทำอะไรได้ ไม่ให้คิด ได้หรือไม่ ถึงคิดก็เป็นธรรม เพราะฉะนั้นกว่าจะทั่วหมด การรู้แจ้งอริยสัจธรรมไม่ง่าย แต่เป็นความจริง
อ.กุลวิไล ท่านอาจารย์คะ ความโกรธ ต้องไม่เป็นประโยชน์แน่นอน เพราะว่าเป็นธรรมฝ่ายไม่ดี ทำไมถึงติดตามไป
ท่านอาจารย์ ธรรมที่ไม่ดี เกิดที่ไหน โลภะเกิดที่ไหน
อ.กุลวิไล ต้องเกิดที่จิต
ท่านอาจารย์ เกิดที่จิต แล้วจะออกไปนอกจิตที่กำลังเกิดดับอยู่ตลอดเวลา ได้หรือไม่
อ.กุลวิไล ไม่ได้
ท่านอาจารย์ แล้วจะอยู่ที่ไหน
อ.กุลวิไล ก็ต้องอยู่ที่จิต เพราะฉะนั้นถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมจะไม่เห็นโทษ ถึงการที่จิตนั้นสะสมสันดานของตน
ท่านอาจารย์ ก็ต้องฟังให้เข้าใจจริงๆ จิตเกิดขึ้น มีโลภเจตสิกเกิดร่วมด้วย จิต และเจตสิกดับไปหมด แต่การที่เกิดเป็นอย่างนั้น ไม่ได้หายไปเลย เพราะเกิดที่จิต และจิต เจตสิกขณะนี้ ก็เป็นปัจจัยให้จิต และเจตสิกขณะต่อไปเกิด จะเอาสิ่งที่มีแล้วในจิตนั้นไปทิ้งที่ไหน เพราะว่าจิตเกิดดับสืบต่อกันอยู่ตลอดเวลา
เพราะฉะนั้นแต่ละคนสะสมแสนโกฏกัปป์มาแล้ว เป็นใคร อยู่ที่ไหน เป็นเศรษฐีหรือว่าเป็นขอทานโรคเรื้อนก็ได้ ใช่หรือไม่ จะทำบุญทำทาน จะทำอกุศลใดๆ ก็ไม่ได้หายไปไหนเลย สะสมกิเลส สะสมกรรม สะสมวิบากที่จะเกิด เพราะเหตุว่า มีเหตุที่สะสมมาอยู่ในจิต ซึ่งจะเป็นปัจจัยให้จิตที่เป็นผลของกรรม และกิเลสที่ได้ทำไว้เกิดขึ้น ถ้าไม่มีอย่างพระอรหันต์ที่ดับกิเลสหมดแล้ว กรรมก็ไม่มี จะเอากิเลส และกรรมที่ไหน มาทำให้เกิดวิบากต่อไป
เมื่อเป็นพระอรหันต์แล้ว ยังไม่ปรินิพพาน ก็เป็นผลของกรรมที่ได้กระทำแล้ว แต่หลังจากที่เป็นพระอรหันต์แล้ว ไม่ได้มีกิเลส ไม่ได้มีกรรม เพราะฉะนั้นเมื่อจากโลกนี้ไป ก็ไม่มีอะไรที่จะไปทำให้เกิดเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ได้
อ.กุลวิไล พูดถึงเห็น ถ้าเราไม่ศึกษาพระธรรมแล้ว เราไม่ทราบว่า เห็นก็ต้องเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา แต่ดูเหมือนว่าทุกคนก็บอกว่ารู้จักเห็น แต่พอเห็นแล้ว ก็เห็นเป็นคน เป็นสิ่งของมากมาย เพราะฉะนั้นการที่จะมั่นคง และรู้ว่าเห็นไม่ใช่เรา เพียงแต่ขั้นฟัง ก็ไม่ใช่เป็นปัญญาที่จะรู้ตามความเป็นจริงได้
ท่านอาจารย์ ถ้าฟังรู้ตามความเป็นจริงได้ ก็ไม่ต้องอบรมอะไรเลย ทุกคนบรรลุ ใช่หรือไม่ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แต่เนื่องจากว่าธรรมเป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง แต่ละคำอย่างที่เราพูดเมื่อสักครู่นี้ เพียงแค่คำเดียว รูปารมณ์หรือว่าสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ รู้จักสภาพธรรมนี้หรือเปล่า หรือเพียงแต่แน่นอน เห็นก็ต้องมีสิ่งที่ถูกเห็น เพราะฉะนั้นสิ่งที่ถูกเห็นจะใช้ภาษาอะไรก็ได้ หมายความถึงสิ่งที่ถูกเห็น แต่เข้าใจคำว่า สิ่งที่ถูกเห็นหรือรูปารมณ์จริงๆ หรือเปล่า เพียงแค่คำเดียวในพระไตรปิฎก แล้วยังคำอีกมากมาย เข้าใจจริงๆ หรือเปล่า เดี๋ยวนี่เอง ยังไม่เข้าใจหรือว่าเข้าใจแล้ว สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้
ถ้าเข้าใจจริงๆ ไม่มีใครเลย กำลังศึกษาอีกโลกหนึ่ง ต่างจากโลกเดิม ซึ่งเต็มไปด้วยความไม่รู้ เป็นเรื่องเป็นราวต่างๆ มาสู่โลกของสัจจธรรม ความจริงแท้ซึ่งไม่เปลี่ยน และเป็นสิ่งที่ละเอียดลึกซึ้งมาก เช่นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ต้องอาศัยปัญญาจากการศึกษา และจากการได้ฟัง และพิจารณาด้วย แค่หลับตาไม่เห็น ดูไม่ยาก ใช่หรือไม่ หลับตาแล้วไม่มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นเลย แม้อย่างนี้ก็ยังยาก ที่จะละสิ่งที่ปรากฏให้เห็นว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะเกิดสืบต่อเร็วมาก ทันทีที่จิตที่เห็น หรือว่ามีสิ่งที่ปรากฏทางตา เมื่อสิ่งที่ปรากฏทางตาดับ เห็นต่อไปไม่ได้เลย แต่ว่าเดี๋ยวนี้เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า ก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้น
นี่คืออีกโลกหนึ่ง โลกของสัจจธรรม ความจริง ซึ่งมีอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่รู้ ต้องอาศัยการฟัง และก็การพิจารณา จนกระทั่งค่อยๆ เข้าใจขึ้น เห็นเมื่อไร ขณะนั้นพร้อมที่จะเข้าใจว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นหรือยัง ถ้ายัง ก็แสดงว่าต้องฟังต่อไปอีก ต้องอบรมความมั่นคงว่า สิ่งนี้จริงๆ แล้ว ไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้นในนั้น เหมือนในกระจก ส่องกระจกมีคนหรือไม่ มีของที่ปรากฏให้เห็น ลองสัมผัสดู ไม่ว่าคน โต๊ะ เก้าอี้ ดอกไม้ในกระจกก็มีทั้งนั้นในความคิด
เพราะฉะนั้นถ้าจะเข้าใจสิ่งที่ปรากฏทางตาจริงๆ ก็คือต้องมีความเข้าใจมั่นคงว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นคนไม่ได้ เป็นอะไรไม่ได้เลยทั้งสิ้น เป็นธาตุชนิดหนึ่ง ซึ่งสามารถกระทบตา กระทบหู ก็ไม่ได้ปรากฏ แล้วก็ต้องมีจิตเห็นเกิดขึ้นเห็นด้วย สิ่งนี้ในขณะนี้จึงปรากฏว่าเป็นอย่างนี้ อีกนานหรือไม่ เห็นแล้วก็ละ ปัญญามีหน้าที่ละ ไม่ใช่มีหน้าที่ติดข้อง ขณะใดที่เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่รู้แล้วว่าขณะนั้นมีความติดข้อง ถือว่าสิ่งนั้นเที่ยง หรือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่เวลาที่ค่อยๆ เข้าใจความจริงขึ้น ตรงขึ้น ก็จะมีความมั่นคง จนกว่าพอเห็นก็รู้ว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ แล้วจะติดข้องในสิ่งที่ปรากฏเหมือนเดิมหรือไม่ ถ้าประจักษ์ความจริงยิ่งขึ้น เกิดให้เห็นแล้วก็ดับ แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย หาอีกไม่ได้เลย เหมือนสิ่งที่เคยเห็นมาแล้วในสังสารวัฏฏ์
เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่มีในขณะนี้ แสนสั้น เพราะว่าจิตเกิดดับเร็วมาก และจิตก็เป็นธาตุรู้ เดี๋ยวรู้สิ่งที่ปรากฏให้เห็น เดี๋ยวคิดนึก เดี๋ยวได้ยิน เพราะฉะนั้นอายุของจิตสั้นมาก ไม่มีเราจริงๆ ที่เที่ยง ถ้าเข้าใจถูกต้องว่าเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ความเข้าใจที่มั่นคงต้องทีละหนึ่ง ถ้ายังไม่ทั่วหมดในชีวิตประจำวัน ก็ยังคงมีความสงสัย และก็มีการยึดมั่นว่าเป็นเรา
เพราะฉะนั้นการที่จะถึงการที่รู้ความจริง จนกระทั่งดับการยึดถือ ว่าสิ่งที่ปรากฏเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง ที่เคยเป็นตัวตน ก็ต้องด้วยปัญญาถึงระดับขั้นของพระโสดาบัน โสตาปัตติมรรคจิต แต่ไม่ใช่ไม่มีหนทาง ขณะนี้กำลังดำเนินไปในทาง ที่จะทำให้เข้าใจสิ่งที่ปรากฏยิ่งขึ้น ถ้าไม่มีอย่างนี้ คือการฟังให้เข้าใจ ไม่มีทางเลย ที่จะละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน บางคนอาจจะเคยฝัน ฟังธรรมแล้วเหมือนอยู่ท่ามกลางมหาสมุทร จริงหรือไม่ โอฆะ แล้วก็มีทางในระหว่างสองข้างนั้นก็มีหนทาง หนทางนี้ก็แล้วแต่ใครจะเดินด้วยความระมัดระวัง หรือว่าเผลอไปแล้ว ก้าวเท้าพลาดก็ตกลงไปอีก
เพราะฉะนั้นธรรมนี้ ก็เป็นเรื่องที่มากด้วยความไม่รู้ มากด้วยความติดข้อง ถ้าไม่มีความมั่นคงจริงๆ ว่าฟังเพื่อเข้าใจ ว่าไม่ใช่เรา ฟังเพื่อเข้าใจว่าเป็นสิ่งที่เกิดดับ ฟังเพื่อเข้าใจว่าสิ่งที่ปรากฏขณะนี้ ไม่ได้กลับมาอีกเลย ก็จะทำให้สามารถที่จะเดินในทางที่เป็นทางในมหาสมุทร ทางเดินในมหาสมุทร ซึ่งต้องเดินไปด้วยความรอบคอบ ไปด้วยกันเป็นกลุ่มก็ได้ คนนั้นตกแล้ว ใช่หรือไม่ เพราะประมาท เพราะไม่รอบคอบ เพราะฉะนั้นธรรมทั้งหมด ก็เตือนทุกคำให้รู้ว่า ประมาทเมื่อไร ไม่ฟังธรรมเมื่อไร ไม่เข้าใจเมื่อไร ก็อยู่ไปในสังสารวัฏฏ์ และสังสารวัฏฏ์ที่ใกล้ที่สุดคือชาติหน้า ถ้าไม่นับชาตินี้ ชาตินี้ที่ใกล้ที่สุดคือ ทุกขณะที่เห็น ที่ได้ยิน คือสังสารวัฏฏ์ ขาดหนึ่งไปก็ไม่มีสังสารวัฏฏ์แล้ว
เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นเห็น หรือจะเป็นได้ยิน หรือจะเป็นรู้สิ่งที่แข็ง หรือว่าที่คิดนึก หนึ่งขณะนั้นคือสังสารวัฏฏ์ เพราะฉะนั้นจากความเป็นบุคคลนี้ในสังสารวัฏฏ์ที่สั้น เป็นคนนี้อีกไม่นาน แล้วต่อไปจะเป็นอะไร จะไปไหน เดินไปด้วยกัน สนุกสนานไปบ้างบางคน สนทนากันบ้าง อะไรบ้าง คนหนึ่งก็ก้าวพลาดไปเสียแล้ว ก็เป็นไปได้
เพราะฉะนั้นก็มีหลายอย่าง ที่จะทำให้เราเห็นความสำคัญของความไม่ประมาทว่า เพราะไม่รู้ ทุกอย่างที่เป็นอกุศล เพราะไม่รู้ เกิดอีกก็เพราะไม่รู้ จะไม่เกิดอีกก็เพราะรู้จริงๆ ตามลำดับขั้น
อ.วิชัย กราบท่านอาจารย์ครับ ได้ยินท่านอาจารย์อุปมา คือการที่จะก้าวไป หรือว่าดำเนินไปด้วยความระมัดระวัง คืออย่างไร
ท่านอาจารย์ เข้าใจก่อน ใช่หรือไม่ ว่าถูกเป็นอย่างไร ผิดอย่างไร ถ้าประมาทก็ตกไปแล้ว เพราะฉะนั้นความเข้าใจเป็นหนทาง มาก่อนอื่นเลย มรรคมีองค์ ๘ ขาดความเข้าใจถูก ความเห็นถูกไม่ได้เลย เช่นขณะนี้ใครจะรู้ว่าสภาพธรรมกำลังเกิดดับ และสภาพธรรมที่เกิด ที่เป็นธาตุรู้ ก็มีทั้งจิต เจตสิกมากมาย ตามประเภทของจิตนั้น ก็ไม่รู้ทั้งนั้น ก็เป็นเรา
เพราะฉะนั้นที่จะเข้าใจจนกว่าจะประจักษ์แจ้งว่า ไม่มีเรา ก็เพราะเหตุว่าสัจจญาณ ฟังธรรมไม่ใช่เรียกว่าปริยัติ แต่ต้องหมายความว่า ปริยัติคือความเข้าใจถูกว่า กำลังศึกษาให้เข้าใจสิ่งที่มีในขณะนี้ให้ถูกต้อง เพราะว่ายังไม่ได้ประจักษ์สภาพธรรมแต่ละหนึ่งเกิดดับ แต่ต้องมีการฟัง และก็มีความเข้าใจ จนถึงขั้นที่เป็นสัจจญาณ ไม่เปลี่ยน ความเข้าใจนี้ ก็จะเป็นปัจจัยให้มีการระลึกได้ เทียบส่วน เมื่อวานนี้ระลึกได้หรือเปล่า ว่าเห็นเป็นธรรม ไม่มี ใช่หรือไม่ แค่ฟัง
เพราะฉะนั้นจนกว่าจะมี แสดงว่าสัจจญาณมี จึงทำให้สามารถอยู่ที่ไหน ไม่ใช่เรา พยายามไปคิด ไปนึก แต่เกิดตามเหตุตามปัจจัย ทำให้สามารถที่จะไม่ละเลย และก็เริ่มเข้าใจสิ่งที่ปรากฏ แล้วก็รู้ด้วยว่า มีขณะนั้นได้ เพราะว่ามีการฟัง และเข้าใจปริยัติ และก็มีการละความต้องการด้วย เพราะส่วนใหญ่ พอเข้าใจว่าเป็นธรรม อยากรู้ อยากเห็น อยากละ แต่ว่าอยากรู้ อยากเห็น อยากละ เป็นโลภะ เป็นความติดข้อง เพราะฉะนั้นพระธรรมที่ทรงแสดงละเอียดอย่างยิ่ง ที่จะรู้ว่าถ้าไม่เห็นโลภะ ละโลภะไม่ได้
อ.วิชัย จากการที่เรา ได้ยินได้ฟังธรรม มีความเข้าใจมากขึ้น แล้วก็มีการที่จะคิดถึง อย่างเช่นได้ยินคำว่าสิ่งที่ปรากฏทางตา ก็มีการที่จะคิดถึงสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาขณะนี้ ความต่างกับการที่คิดถึงสิ่งที่มีจริง กับการที่ระลึกได้
ท่านอาจารย์ อย่างวันนี้ เมื่อสักครู่นี้ ได้ฟังว่าสิ่งที่ปรากฏต่างๆ และตอนนี้คิดอย่างไร
อ.วิชัย ก็ไม่ได้คิดถึงสิ่งที่ปรากฏทางตาเลย
ท่านอาจารย์ ไม่ได้คิด และก็คิดเรื่องอื่นเลย เพราะฉะนั้นกว่าจะถึงความเป็นอนัตตาว่า แม้ไม่ได้ฟัง แต่ความเข้าใจมีเพิ่มขึ้น มั่นคงขึ้น ก็ทำให้เห็นความเป็นอนัตตาว่า อาจจะกำลังดูละคร ดูหนัง สนทนากับเพื่อน ฟังดนตรี คิดได้ เกิดขึ้นแล้วว่าเป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา เริ่มไปทีละเล็กทีละน้อย โดยไม่คาดหวัง เพราะเหตุว่าหวังเมื่อไร ผิดทันที เพราะนั่นเป็นโลภะ ไม่ใช่ปัญญา
อ.กุลวิไล จำได้ว่า สังขารขันธ์ สภาพธรรมที่ปรุงแต่ง ก็จะอาศัยการฟังพระธรรมนั่นเอง เชิญอาจารย์อรรณพค่ะ
อ.อรรณพ ท่านอาจารย์ครับ อะไรที่จะทำให้ก้าวพลาด แล้วตกลงไปจมอยู่ในมหาสมุทร
ท่านอาจารย์ ความประมาท
อ.อรรณพ ประมาทอย่างไรบ้าง
ท่านอาจารย์ ทุกอย่าง
อ.อรรณพ ถ้าตกลงไปแล้ว ขึ้นมาเดินต่อได้หรือไม่
ท่านอาจารย์ ก็แล้วแต่ปัจจัย ชีวิตจริงเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปหาชีวิตอื่นในสังสารวัฏฏ์ บางครั้งบางคราวก็ไม่อยากจะฟังธรรม มีสิ่งอื่นที่สำคัญกว่า ประมาทหรือเปล่า
อ.อรรณพ ตอนนั้นก็จมลงไปชั่วขณะ
ท่านอาจารย์ ถ้าขณะนั้นตรงกันข้าม คือเริ่มเข้าใจว่า แม้ขณะนั้นก็เป็นธรรม ลองคิดดู ชีวิตทั้งหมด ไม่เหลือความสงสัย ในสภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใด เพราะว่าไม่ประมาท และเริ่มเข้าใจขึ้น
อ.อรรณพ ถ้าโดยละเอียดแล้ว มหาสมุทรก็คือ ห้วงของกิเลส ก็ตกไปอยู่เรื่อยๆ แต่ว่ายังมีโอกาสที่จะมีความระลึกได้
ท่านอาจารย์ ไม่คาดถึงข้างหน้าเลย ใครจะไปรู้ถึงสิ่งที่ได้สะสมมาแล้ว เดี๋ยวก็จะถึงเวลารับประทานอาหาร ขอประมาทหน่อยหรือเปล่า หรือไม่ต้องขอก็ประมาทเอง แต่ก็มีความเป็นตัวตน ใช่หรือไม่ ความเป็นตัวตนจะตามไปหมด แม้แต่ความคิด
เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจว่า ขณะใดก็ตามที่สามารถไม่ลืม และเข้าใจว่าขณะนั้นเป็นธรรม ชั่วขณะที่ปรากฏ ลึกลงไปอีกคือ ชั่วขณะที่ปรากฏเป็นธรรม ก็เข้าใจ แต่ชั่วขณะที่ปรากฏ ยิ่งเข้าใจเพิ่มขึ้น
อ.อรรณพ ท่านอาจารย์เปรียบเทียบได้เตือนใจมาก เพราะสมมติว่ามีเส้นทาง อาจจะเป็นเส้นลวด หรือเป็นลวดสลิง เดินไปมีแต่มหาสมุทร พวกนักกายกรรมเขาประมาทนี่ เขาก็ตกไปเลย
ท่านอาจารย์ แล้วก็ส่วนใหญ่ ในทางนั้น สนุกสนานกันด้วย ชีวิตประจำวันหรือเปล่า
อ.อรรณพ ใช่
ท่านอาจารย์ แต่ถ้าไม่ประมาท สามารถที่จะรู้ว่าขณะนั้นเป็นธรรม
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ ถ้าพูดได้ว่า ไม่มีเรา มีแต่ธรรมที่ปรากฏ แล้วก็ตามเหตุปัจจัย แล้วก็ดับ เป็นอนัตตา กล่าวอย่างนี้ได้ แต่ว่าในความเป็นไป สามารถทราบได้หรือไม่ ว่ามั่นคงแล้ว ว่าไม่มีเรา มีแต่สิ่งที่ปรากฏ
ท่านอาจารย์ คนนั้นจะรู้ดี ว่าเพียงพูด ทุกอย่างเป็นอนัตตา อะไรจะเกิดขึ้นก็ทุกอย่างเป็นอนัตตา มีคำนี้คำเดียว ใช่หรือไม่ แต่ว่าใครพูด
ผู้ฟัง เหมือนกับว่า ความมั่นคงตรงนี้ก็คือ ต้องฟัง ฟังเข้าใจ และก็ไตร่ตรองตามว่าเป็นเช่นนั้น
ท่านอาจารย์ แล้วเมื่อไรที่รู้ว่า สิ่งที่ประเสริฐที่สุดในชาตินี้ คือปัญญา ความเข้าใจพระธรรม เพราะเป็นความจริง ก็จะทำให้ผู้นั้นเห็นอย่างอื่นไม่มีค่า เพราะว่าไม่ใช่ปัญญา ที่สามารถที่จะทำให้ไม่ทุกข์ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดๆ ทั้งสิ้น พรุ่งนี้แขนขาด คนไม่มีปัญญาเป็นอย่างไร ก็ต้องโศกเศร้าเสียใจ และคนมีปัญญา ตามระดับขั้นของปัญญา
ผู้ฟัง ฟังมากี่ปีๆ แล้วมั่นคงหรือไม่ ว่าไม่มีเรา
ท่านอาจารย์ ฟังมากี่ปีๆ นั่นคือตัวตน จะไม่มีเรา ต่อเมื่อเข้าใจธรรมแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่งแล้วเป็นเราไม่ได้ เห็นเป็นเห็น ไม่ใช่เรา ได้ยินเป็นได้ยิน ไม่ใช่เรา โกรธเป็นโกรธ ไม่ใช่เรา และก็ไม่ใช่เพียงพูด ต้องขณะนั้นที่สภาพธรรมนั้นปรากฏ แล้วรู้ความจริงในขณะนั้น
เพราะฉะนั้นไม่ใช่เพียงพูดว่า ไม่ใช่เรา โดยที่ไม่รู้อะไรเลย แล้วความรู้ก็ไม่ใช่เพียงขั้นฟัง แล้วจำได้ แต่ต้องสามารถเข้าใจลักษณะของสภาพธรรม ที่ปรากฏว่าเป็นธรรมในขณะนั้น นี่คือความต่างกัน ที่ใช้คำว่า หลงลืมสติ กับสติเกิด ขณะใดก็ตามที่สภาพธรรมไม่ได้ปรากฏเป็นธรรม แต่เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แม้เป็นแข็ง แต่ก็ไม่เข้าใจว่าเป็นธรรม ใช่หรือไม่ อย่างถามเด็กหรือถามใครก็ได้ แข็งหรือไม่ ก็บอกแข็ง นั่นไม่ได้มีความเข้าใจว่าแข็งเป็นธรรม เพราะว่าไม่ใช่ความรู้ ใช่หรือไม่ ว่าแท้ที่จริงแล้ว สิ่งที่ว่าเป็นธรรมก็คือว่าไม่ใช่เขา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใคร เป็นเพียงสิ่งที่มีลักษณะอย่างนั้นเกิดขึ้นปรากฏ
เพราะฉะนั้นวันหนึ่งๆ กระทบแข็งบ่อย เป็นธรรมปรากฏหรือเป็นเพียงแข็ง ถ้าขณะนั้นลักษณะของแข็งปรากฏ พร้อมความเข้าใจ ว่านี่คือที่ฟังมาตั้งนาน ใช่หรือไม่ ทั้งเห็น ทั้งได้ยิน ทั้งแข็ง ทั้งหวาน ทั้งเค็ม อะไรก็แล้วแต่ ฟังมาตั้งนานว่าเป็นธรรม เวลาสิ่งนั้นเกิดขึ้น แล้วเข้าใจในความเป็นสิ่งนั้น นั่นคือเข้าใจจริงๆ ว่าไม่ใช่เรา
ผู้ฟัง นั่นหมายความว่า ความเข้าใจขั้นฟังมั่นคงว่า ไม่มีเรา แต่ถ้าธรรมหนึ่งยังไม่ปรากฏ ก็ยังมีความเป็นเราตามที่สะสมมาเนิ่นนาน
ท่านอาจารย์ แน่นอน เพราะฉะนั้นเข้าใจอย่างนี้ ก็จะรู้ว่าขณะนั้นเข้าใจธรรมนั้น ไม่ใช่อื่น ว่าเป็นสิ่งที่มีจริง และก็เป็นเพียงแข็ง จากการที่เคยเป็นส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกาย ก็กลายเป็นเพียงสิ่งหนึ่งที่มีจริง
ผู้ฟัง ก็ให้นึกถึงไปว่า ท่านอาจารย์เล่าเรื่องเด็กเวียดนาม ที่แปลว่ารัตนจิต ก็ได้อ่านที่พี่กาญจนาเขารายงานในเว็บไซต์ ก็จะมีตอนที่ท่านอาจารย์ไม่ได้กล่าวถึง ที่บอกว่าคุณแม่บอกให้เขานั่งเฉยๆ นั่งนิ่งๆ ฟัง ไม่ได้วิ่งซน ท่านอาจารย์ก็บอกว่าเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เพราะสะสมมาอย่างนั้น
ท่านอาจารย์ จริงๆ แล้ว แม้ความคิดอย่างนี้จะเกิดได้หรือไม่ ถ้าไม่มีการสะสมด้วยความเข้าใจ เพราะฉะนั้นไม่ใช่เพียงคำพูด แต่ต้องรู้ด้วย ว่าผู้พูดมีความเข้าใจแค่ไหน เพราะฉะนั้นเพียงถาม ตอบได้ ตรง ก็แสดงว่ามีการสะสมความเข้าใจในระดับหนึ่ง ถ้ามีคนถามว่า เกิดแล้วต้องตายหรือไม่ ก็ตอบกันว่าต้องตาย แต่ว่าเข้าใจหรือเปล่า ว่าไม่ใช่เรา เป็นธรรม
ผู้ฟัง ตรงนี้ก็ยังเป็นเรา เหมือนกับว่าฟังแล้วไม่มีเรา แล้วในขณะเดียวกันพอมีอกุศลเกิด ทำกุศลกรรม ก็บอกสะสมมา มันเหมือนกับเอาธรรมมาเข้าข้างอกุศล
ท่านอาจารย์ ปัญญาไม่มี สะสมมา เป็นเราต้องเป็นอย่างนี้ แต่ถ้าเป็นธรรม ไม่ใช่ความคิดอย่างนั้น เข้าใจในสภาพนั้นว่า ไม่ใช่เรา ในขณะที่สิ่งนั้นปรากฏ
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 841
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 842
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 843
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 844
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 845
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 846
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 847
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 848
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 849
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 850
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 851
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 852
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 853
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 854
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 855
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 856
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 857
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 858
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 859
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 860
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 861
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 862
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 863
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 864
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 865
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 866
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 867
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 868
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 869
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 870
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 871
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 872
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 873
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 874
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 875
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 876
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 877
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 878
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 879
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 880
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 881
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 882
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 883
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 884
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 885
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 886
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 887
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 888
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 889
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 890
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 891
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 892
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 893
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 894
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 895
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 896
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 897
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 898
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 899
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 900