พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 874


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๘๗๔

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๒๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๖


    ท่านอาจารย์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรม ให้คนที่ไม่สามารถจะรู้ได้ด้วยตัวเอง เข้าใจความจริงได้

    ผู้ฟัง ไม่ใช่แค่ฟังเฉยๆ หรือว่าได้ยินก็จะเป็นอุปนิสสยโคจรได้ ก็คือว่าเป็นนิสัยที่จะฟังคำที่อธิบายความจริง แล้วให้เข้าใจ ตรงนี้ดูเหมือนจะเป็นขั้นที่ยากมาก

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เพราะฉะนั้นมีปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ มีสัจจญาณ กิจจญาณ กตญาณ แสดงโดยนัยหลากหลาย แม้ว่าจะเป็นเรื่องเดียวกัน เพราะเหตุว่าปริยัติต้องเป็นการฟังพระพุทธพจน์ ฟังพระธรรม วาจาสัจจะ เท่านั้น ถ้าฟังอย่างอื่นไม่ใช่ปริยัติ นี่ก็อย่างหนึ่ง แต่ฟังแล้วไม่เข้าใจ ก็ไม่ใช่ปริยัติ

    เพราะฉะนั้นจึงมีสัจจญาณ หมายความว่าฟังแล้ว มีปัญญาที่รู้ความจริงว่า ต้องเป็นอย่างนี้เท่านั้น ไม่เป็นอย่างอื่น หมายความว่าถ้าฟังครึ่งๆ กลางๆ จิต เจตสิก รูป ไม่ใช่ตัวตน เป็นอนัตตา ใช่หรือไม่ จิตเกิดไม่ได้ ถ้าไม่มีเจตสิก เจตสิกก็เกิดไม่ได้ ถ้าไม่มีจิต ฟังอย่างนี้ สัจจญาณหรือไม่

    ผู้ฟัง ถ้าไม่เข้าใจว่าขณะนี้เป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ เพราะเหตุว่าฟังอย่างนี้แล้วก็ไปปฏิบัติ ไม่ได้เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นปริยัติไม่ได้เป็นปัจจัยให้ปฏิบัติเกิดเลย ถ้าไม่เข้าใจว่าปริยัติคือศึกษาอะไร ไม่ใช่ศึกษาชื่อ ไม่ใช่ศึกษาเรื่อง แต่ศึกษาสิ่งที่มีจริงๆ สภาพธรรมที่กำลังปรากฏให้เข้าใจ ซึ่งในครั้งโน้นทรงแสดงพระธรรมจากพระโอษฐ์ แต่สมัยต่อมา ก็มีการจารึกพระธรรมที่ได้ทรงแสดง ให้รู้ว่า ณ พระวิหารเชตวัน ตรัสว่าอย่างนี้ ณ พระวิหารเวฬุวันตรัสเรื่องนี้อย่างนี้ ก็คือสิ่งที่กำลังมีจริงๆ

    เพราะฉะนั้นในครั้งนั้นไม่มีเครื่องกั้น เพราะว่ามีสภาพธรรมกำลังปรากฏ พระผู้มีพระภาคทรงแสดงเรื่องของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เรื่องของสิ่งที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ โดยครบถ้วนโดยประการทั้งปวง แต่คนสมัยนี้ไม่ได้เข้าใจว่า ธรรมคือสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นการฟังธรรม การศึกษาธรรม ถ้าไม่รู้จักว่า ธรรมคือเดี๋ยวนี้ ไม่ได้ศึกษาธรรมเลย เพราะเหตุว่าถ้าศึกษาจริงๆ เข้าใจจริงๆ ทุกคำสอดคล้องกัน ขณะนี้สภาพธรรมเกิดแล้ว เป็นอนัตตา ไม่มีใครทำให้เกิด เกิดแล้วดับไป ไม่เที่ยง

    เพราะฉะนั้นไม่มีใครสามารถจะไปบังคับบัญชาได้ ถ้าขณะนี้ที่สภาพธรรมปรากฏ แล้วปัญญาไม่เกิดเข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วจะเข้าใจอะไร แม้แต่การที่ทรงตรัสรู้ ก็ทรงตรัสรู้ความจริงที่กำลังปรากฏในขณะนั้น ถ้าสิ่งที่ดับไปแล้ว จำไว้ได้เลย ไม่ได้กลับมาอีกเลย แล้วจะไปรู้ความจริงของสิ่งที่ดับไปแล้วได้อย่างไร สิ่งที่ยังไม่เกิด ไม่ปรากฏ แล้วจะไปรู้ความจริงของสิ่งที่ยังไม่เกิด ไม่ปรากฏได้อย่างไร

    เพราะฉะนั้นในการฟังธรรม ไม่ใช่ฟังแล้วไม่เข้าใจว่า กำลังฟังอะไร เข้าใจว่าฟังเรื่องจิต เจตสิก รูป แต่ไม่เข้าใจว่าเดี๋ยวนี้เห็น เป็นธาตุรู้ เป็นใหญ่เป็นประธาน ตรงกับคำที่ทรงแสดงไว้ว่าเป็นจิต แล้วก็เกิดไม่ได้ ถ้าไม่มีปัจจัยที่เกิดพร้อมกัน คือเจตสิกทั้งหลาย เพราะฉะนั้นเมื่อมีความเข้าใจอย่างนี้ ก็ค่อยๆ คลายการที่เคยยึดถือ ว่าเป็นเราเห็น เพราะแม้แต่สภาพธรรมเพียงหนึ่งขณะ หรือหนึ่งอย่าง เกิดไม่ได้เลย ถ้าไม่มีเหตุปัจจัย มีปัจจัยหลายอย่างทำให้เกิดขึ้น แล้วก็ดับไปเร็วมาก

    เพราะฉะนั้นถ้าเป็นปริยัติจริงๆ คือรู้ว่า กำลังฟังเรื่องสิ่งที่มีจริง จะไม่ต้องใช้คำว่าธรรมก็ได้ เพราะสิ่งที่มีจริงไม่เคยรู้ ไม่เคยเข้าใจถูกต้องเลย แต่ว่าสิ่งที่มีจริงมีหลากหลายมาก ก็รวมกันเป็นประเภทว่า ทุกอย่างที่มีจริงก็คือธรรม แล้วธรรมที่เป็นปรมัตถธรรมคือมีลักษณะจริงๆ ไม่ใช่ไปนึก ไปฝัน ว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ อย่างแข็ง ไม่ต้องไปนึกไปฝันว่าแข็ง กระทบเมื่อไร แข็งปรากฏว่ามีแข็งจริงๆ เสียงก็มีจริงเมื่อเสียงเกิดขึ้นปรากฏ

    เพราะฉะนั้นสภาพธรรมที่เป็นจริงอย่างนี้ ลึกซึ้งมาก เพราะฉะนั้นถ้าไม่ได้ฟังด้วยความเข้าใจ ก็จะคิดว่า ธรรมไม่ใช่สิ่งที่กำลังปรากฏ ไปศึกษาเป็นตำรา เป็นเรื่องราวต่างๆ แต่ถ้ามีความเข้าใจถูก ทุกคำที่ได้ยิน อยู่ในพระธรรมที่สืบทอดกันมา ที่ทรงแสดงไว้ จัดเป็นพระไตรปิฎก ๓ ปิฎก เพราะฉะนั้นให้รู้ว่าทั้งหมด คือสิ่งที่มีจริง ไม่ว่าพระวินัยปิฎกก็มีจริงๆ พระสุตตันปิฎกก็มีจริงๆ พระอภิธรรมปิฎกก็ทรงแสดงความลึกซึ้งของธรรมที่มีจริงนั่นเอง ก็คือกำลังศึกษาธรรม ตัวธรรมจริงๆ ที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ นั่นถึงจะเป็นปริยัติ ซึ่งจะนำไปสู่ปฏิบัติติเมื่อเป็นสัจจญาณ เข้าใจจนกระทั่งไม่เปลี่ยนความเห็นเป็นอย่างอื่น

    ผู้ฟัง ซาบซึ้ง และไพเราะมาก สรุปว่าถ้าฟังแล้วไม่เข้าใจว่า กำลังกล่าวถึงสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ ก็แปลว่าไม่ใช่ศึกษาปริยัติ หรือว่าศึกษาให้เป็นสัจจญาณ แต่ไปเข้าใจเรื่องราว ก็ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ เพราะจะไม่มีปัจจัยที่จะทำให้เข้าถึงความเข้าใจตัวธรรม ที่กำลังปรากฏ เพราะฟังจนกระทั่งเข้าใจแล้ว ในขั้นพิจารณา ในขั้นปริยัติ

    อ.คำปั่น เรื่องภัยนี้ก็เป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้งมากเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือ การเกิดขึ้น และดับไปของสภาพธรรม เป็นภัย ซึ่งก่อนหน้านั้น ก็มีการกล่าวถึงภัยประการต่างๆ ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย เป็นภัย กิเลสทั้งหลายทั้งปวงเป็นภัย ความไม่รู้เป็นภัย แม้แต่ภัยภายนอก ไฟไหม้ น้ำท่วม เป็นต้น ก็เป็นภัย เพราะว่าเป็นสิ่งที่นำมาซึ่งความน่ากลัว ความเดือดร้อนต่างๆ

    และที่จะกราบเรียนถามอาจารย์ธิดารัตน์เพิ่มเติม จากประเด็นที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวเมื่อสักครู่ ถึงความเกิดขึ้น และดับไปของสภาพธรรม เป็นภัย จะเข้าใจในความเป็นจริงของสภาพธรรมอย่างนี้ ตรงตามความเป็นจริงในขั้นปริยัติก่อน

    อ.ธิดารัตน์ กว่าจะถึงระดับของปัญญา ที่จะรู้ถึงความเกิดดับของสภาพธรรม ก็ต้องรู้สภาพธรรมขณะนี้ ว่ามีลักษณะอย่างไร เพราะฉะนั้นปัญญาที่ค่อยๆ เจริญขึ้น จากการเข้าใจจากการฟัง จนมั่นคงที่จะเป็นอุปนิสสยโคจรนี้ ก็คือเป็นการศึกษาธรรมเหล่านี้ ที่จะเป็นปัจจัยที่ทำให้มั่นคงว่า มีสภาพธรรมจริงๆ มีลักษณะต่างๆ แล้วก็สภาพธรรมที่มีลักษณะต่างๆ เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย และสภาพธรรมเหล่านี้ เกิด และดับอย่างรวดเร็ว โดยความเข้าใจ และการเกิดดับอย่างรวดเร็ว คือวิปัสสนาญาณก็มีตั้งแต่หลายขั้น ขั้นต้นก็คือนามรูปปริเฉทญาณ ที่รู้ว่าลักษณะของนามธรรมเป็นอย่างไร รูปธรรมเป็นอย่างไร และนามธรรมนั้น รูปธรรมนั้น อาศัยอะไรเป็นปัจจัยเกิดขึ้น จริงๆ ก็คือลักษณะของธรรมที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ที่อาศัยกัน และกัน โดยปัจจัยต่างๆ

    เมื่อปัญญาเจริญขึ้น ก็สามารถที่จะเข้าใจถึงว่า สภาพธรรมนั้นเกิด และดับไปอย่างรวดเร็ว อย่างไร ก็เป็นอีกญาณหนึ่ง แล้วก็อุทยัพพยญาณ ก็เห็นทั้งความเกิด และความดับอย่างชัดเจนขึ้น ยังไม่ถึงปัญญาที่จะเข้าถึงความเป็นภัย ภังคญาณ ความดับไปของธรรมนั้น ดับไปๆ อย่างชัดเจน กล่าวตามการศึกษา เพราะจริงๆ ปัญญาที่จะเห็นถึงสภาพธรรมเหล่านั้น อย่างไรก็ตามกำลังของปัญญา และเมื่อเห็นความดับไปโดยไม่มีเหลือของสภาพธรรมที่ปรากฏเหล่านี้ ปัญญาจะค่อยๆ เข้าใจเพิ่มขึ้นว่า ความดับไปนั้นเป็นภัย ซึ่งก็ต้องกราบเรียนท่านอาจารย์ ว่าเห็นสภาพธรรมที่ดับไปๆ อย่างนี้ แล้วเป็นภัย ท่านอาจารย์ช่วยกรุณาเพิ่มเติมรายละเอียด หรือยกตัวอย่าง เพราะเป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้ง

    ท่านอาจารย์ อะไรที่เกิดแล้วดับ ไม่เป็นภัยหรือ แค่นี้ คือไม่ต้องพยายามไปหา สิ่งที่ยังไม่ประจักษ์ เพราะเหตุว่าแม้แต่การจะรู้ว่าไม่ใช่เรา เป็นแต่เพียงนามธรรม และรูปธรรม ก็ยังไม่ได้ปรากฏ เพราะฉะนั้นสภาพที่เกิดขึ้น และดับไป ของสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนั้น ก็จะค่อยๆ ทำให้เห็นว่า มีประโยชน์หรือไม่ ที่จะมีการเกิดดับไปเรื่อยๆ ถ้ามีก็ไม่ใช่วิปัสสนาญาณแน่

    อ.ธิดารัตน์ หมายถึงว่ากว่าจะถึงวิปัสสนาญาณ ก็คือเห็นถึง เข้าใจถึงว่า สภาพธรรมหรือสังขารธรรมทั้งหลายไม่เป็นประโยชน์ คือเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปหมดไป แล้วก็จะต้องมีสภาพธรรมอย่างนี้เกิดขึ้นอีกๆ เหมือนกับไม่สามารถจะพ้นจากความเกิดดับสืบต่อกันของธรรมเหล่านี้ได้ เพราะฉะนั้นจึงเห็นการเกิดดับสืบต่อกันของธรรมเหล่านี้ โดยความเป็นภัย เป็นโทษ

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่สิ่งที่เราพยายามจะไตร่ตรองสักเท่าไร เพราะเหตุว่าแม้แต่สิ่งที่กำลังปรากฏ เราก็ยังไม่ได้เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง เพียงแค่คิด เพียงแค่คิด ไม่มีเรา เป็นอย่างไร รู้สึกอย่างไรบ้าง เพียงแค่คิดเท่านั้นเอง ยังไม่ถึงความจริง ไม่มีเรา เคยมีเรามานานแสนนาน แล้วก็ไม่มีเรา เป็นอย่างไร เบาสบายดีหรือ หรืออย่างไร หรือว่าแสนจะเสียดาย แล้วก็ต้องไม่มีเขาด้วย แล้วก็ต้องไม่มีอะไรๆ ทั้งหมดเลย ไม่ใช่ไม่มีแต่เพียงเรา แต่ยังมีเขา หรือมีสมบัติมากมายก็ไม่ใช่ แต่สิ่งที่เคยเป็นของเราทั้งหมด ไม่ใช่ของเรา และก็ไม่มีเราด้วย หมดไปเลย

    อ.อรรณพ ท่านอาจารย์ครับ คงประหลาดใจ แล้วก็มหัศจรรย์ใจ ถ้าเป็นอย่างนั้น ถ้ารู้อย่างนั้น ที่ท่านอาจารย์ถามว่าจะคิดอย่างไร คงมหัศจรรย์ใจมาก ว่าไม่มีเรา ไม่มีเขา

    ท่านอาจารย์ ที่เวียดนาม พอมีคนฟังธรรมเสร็จ เขาก็บอก ไม่เคยได้ยินอย่างนี้มาก่อนเลย ใหม่มาก เพราะตลอดชีวิตมาไม่เคยได้ฟัง ก็ถามเขา บอกว่า ขณะที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงปฐมเทศนา คือเทศนาครั้งแรกกับพระปัญจวัคคีย์ ใหม่หรือไม่ หรือว่าเหมือนเดิมที่เคยได้ยินได้ฟังมา ก็เป็นไปไม่ได้เลย ใช่หรือไม่ จากการที่ทรงตรัสรู้ โลกเปลี่ยนจากที่เคยเป็น เมื่อมีความเข้าใจแล้ว เพราะเหตุว่าที่เคยเป็นโลก ก็คือทุกสิ่งทุกอย่างมีคน มีสัตว์ มีอะไรมากมาย บ้านช่อง ภูเขาไฟ อะไรก็แล้วแต่ แต่ว่าความจริงแล้ว สิ่งต่างๆ เหล่านี้ไม่ปรากฏว่ามี ถ้าจิต ธาตุรู้ไม่เกิดขึ้น

    เพราะฉะนั้นในขณะที่กำลังเห็น ตามความเป็นจริงที่ทรงตรัสรู้ และทรงแสดงก็คือว่า มีแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏ ยังไม่ใช่คน สัตว์ใดๆ เลยทั้งสิ้น แต่เป็นสิ่งที่สามารถกระทบตาคือจักขุปสาท และจิตเห็น ธาตุรู้เท่านั้นในขณะนั้นที่กำลังเห็น อย่างอื่นไม่มีเลย หมดเลย ไม่เหลือเลย ใหม่หรือไม่

    เพราะฉะนั้นพระธรรมที่ทรงแสดง ไม่ธรรมดา น่าอัศจรรย์ ซึ่งความจริงไม่มีใครสามารถจะรู้ได้ว่า ขณะนี้ที่ปรากฏว่ามีอะไรๆ ทั้งหมดเลยในขณะนี้ แท้ที่จริงเพียงจิต ธาตุรู้ ไม่เกิดขึ้นขณะเดียว สิ่งต่างๆ เหล่านี้ก็ไม่ปรากฏว่ามี เพราะฉะนั้นกว่าจะเป็นคน กว่าจะเป็นเรา กว่าจะเป็นญาติพี่น้อง ทรัพย์สมบัติ ใช่หรือไม่ ก็ต้องมีสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เพราะความไม่รู้ ก็เข้าใจว่ายั่งยืน แต่ว่าไม่ยั่งยืนเลย เพียงแค่เกิด และดับไป โลกเปลี่ยนหรือไม่ จากการที่ไม่เคยรู้ความจริง แล้วรู้ว่าความจริงก็คืออย่างนี้

    เพราะฉะนั้นคำว่านิพพานหมายความถึงอะไร คำว่า ปรินิพพานหมายความถึงอะไร ไม่ใช่คำที่พูดกันแล้วก็ไม่เข้าใจ แล้วก็อยากจะได้ แต่ต้องรู้จริงๆ ว่าคืออะไร นิพพานมีอะไรเกิดหรือเปล่า จะไปถึงดีไหม ต้องเป็นความเข้าใจจริงๆ

    อ.กุลวิไล ท่านอาจารย์คะ ผู้ที่ยังไม่ได้เห็นโทษจริงๆ ก็ดูเหมือนว่า มีสภาพธรรมที่ยังมีปัจจัย ที่จะเกิดสืบเนื่องอยู่เรื่อยๆ

    ท่านอาจารย์ ถ้ายังไม่เห็นโทษ ก็ยังอยากอยู่ ใช่หรือไม่ ถ้าไม่เห็นว่าการเกิด เกิดแล้วก็ต้องตาย ก็ยังอยากเกิด หรือว่าเกิดแล้วต้องตายก็ยังอยากเกิด ถ้าตอบว่าเห็นภัยแล้ว ถูกหรือผิด

    อ.คำปั่น ยังไม่เห็น

    ท่านอาจารย์ พูดกันเรื่องภัยตั้งนาน โดยประการนั้น โดยประการนี้ แล้วถามว่าเห็นภัยหรือยัง

    อ.คำปั่น ถ้าเป็นในเรื่องของสภาพธรรมที่เกิด และดับไป ก็ยังไม่ถึง

    ท่านอาจารย์ ถ้าบอกว่าเห็นภัยแล้ว ผิดแน่ ใช่หรือไม่ เพราะเหตุว่าแม้แต่สิ่งที่กำลังปรากฏยังไม่รู้เลย และก็พูดเรื่องภัย เรื่องอะไรของสิ่งที่กำลังปรากฏ เกิดขึ้น และดับไป จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นภัย แต่ผู้ที่ได้ตรัสรู้แล้ว ประจักษ์แล้วก็กล่าวว่า นั่นแหละคือภัย เพราะเหตุว่าได้ประจักษ์การเกิดขึ้น และดับไป แต่ขณะนี้แม้เป็นธรรม เป็นหรือยัง ไม่ว่าจะเห็น ไม่ว่าจะคิด ไม่ว่าจะจำ เป็นหรือยัง ยังไม่เป็น เพราะฉะนั้นเห็นภัยได้หรือไม่

    อ.คำปั่น แล้วเวลาที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ในส่วนของธรรมที่เป็นอกุศลธรรมประการต่างๆ อย่างวันนี้ ก็มีการกล่าวถึงภัย ที่เป็นภัยภายใน สำหรับที่จะเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่ผู้ที่มีโอกาสได้ยิน ได้ฟัง แม้จะยังไม่ได้ประจักษ์ในความเป็นภัยจริงๆ แต่ก็พอที่จะเริ่มเห็นโทษว่า เกิดขึ้นเมื่อใด ก็นำมาซึ่งความเดือดร้อนเมื่อนั้น และก็เป็นทุกข์ เป็นโทษจริงๆ

    ท่านอาจารย์ เป็นอุปนิสัสยโคจรหรือยัง เห็นหรือไม่ ฟังไปเถอะ กี่ชาติ กี่ปี เป็นอุปนิสสยโคจรหรือยัง ถ้าเป็นก็จะนำไปสู่อารักขโคจร ขณะนั้นอกุศลไม่เกิด ถ้าขณะนั้นสิ่งที่ได้สะสมมา สามารถที่จะเกิดขึ้นแทนอกุศล แต่ก็ยังไม่พอ เพราะเหตุว่ายังไม่รู้ว่าแม้ขณะนี้ ถ้าไม่มีการเข้าใจลักษณะที่เป็นธรรมของสิ่งที่ปรากฏ จนคุ้นเคย จนไม่เดือดร้อน ไม่ว่าเมื่อสักครู่นี้หลงลืมสติ หรือทั้งวันมาแล้ว สติไม่เกิดเลย ก็ไม่เดือดร้อน เมื่อขณะที่สติเกิดก็รู้ว่า นั่นแหละคือหนทางที่จะทำให้ละโทมนัส การที่ไม่อยากจะรู้สิ่งที่กำลังปรากฏได้ เพราะว่าขณะนั้นมีความเห็นถูก มีความเข้าใจถูกว่า ขณะนั้นเป็นธรรม

    เพราะฉะนั้นสิ่งที่ได้ฟังมาทั้งหมด เป็นอุปนิสสยโคจรสะสมไว้ๆ ๆ วันนี้ยังไม่เห็นภัยแน่นอน เพราะว่ายังไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมเลย ทั้งที่กำลังเห็น กำลังได้ยิน แต่สะสมความเข้าใจไว้ในจิต แต่ละขณะเรื่อยๆ ไป จนกว่าทุกคำที่ได้ทรงแสดง เรื่องอุปนิสสยโคจร อารักขโคจร อุปนิพันธโคจร จะเป็นจริง

    อ.คำปั่น นี่คือประโยชน์ของการมีโอกาสได้ยิน ได้ฟังความจริงอย่างแท้จริง อาจารย์ธีรพันธ์ครับ วันนี้ก็ได้ฟังเรื่องของภัยโดยนัยต่างๆ มากมาย หนึ่งในนั้นที่สนทนากันเยอะทีเดียว ก็ในเรื่องของกิเลส อกุศลธรรม ซึ่งก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริงๆ ไม่ว่าจะกล่าวถึงชื่อใด มีหมดเลย ที่ท่านอาจารย์กล่าวอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของโลภะ โทสะ โมหะ มีหมดเลย สิ่งเหล่านี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่าเป็นมลทิน เป็นความไม่สะอาดของจิต ซึ่งในอรรถกถาก็ได้อธิบายว่า เพราะเหตุใดสิ่งเหล่านี้ที่เป็นกิเลส เป็นอกุศลธรรม จึงเป็นมลทิน

    ที่ประมวลจากอรรถกถามี ๔ ประการ ประการแรกก็คือตามเผาผลาญ ในขณะที่อกุศลกิเลสเกิดขึ้น ตามเผาผลาญ และผลเกิดขึ้นก็เผาผลาญอีก นี่คือประการหนึ่ง ประการที่สองก็คือ มีกลิ่นเหม็น อาจจะสงสัยว่า กิเลส อกุศลธรรม เป็นนามธรรม ทำไมมีกลิ่น ท่านก็แสดงไว้ว่า ผู้ที่มีความประพฤติไม่ดี มีการกระทำบาปกรรม อกุศลประการต่างๆ จะอยู่ที่ไหนก็มีคนรู้จัก กล่าวขานในทางที่ไม่ดี เพราะประกอบแต่อกุศลกรรม เพราะมีพื้นมาจาก กิเลส อกุศลธรรมนั่นเอง ประการที่สามก็ตรงตัว ความหมายของมลทินก็คือ ทำให้จิตใจเศร้าหมอง และประการที่สำคัญ ไม่ทำให้ถึงการเกิดในสุคติภูมิ ไม่ทำให้ถึงการรู้แจ้งอริยสัจธรรม ก็เป็นความเป็นจริงของกิเลส อกุศลธรรม ได้ฟังอย่างนี้แล้ว อาจารย์ธีรพันธ์ครับ ประโยชน์อยู่ตรงไหน

    อ.ธีรพันธ์ กลิ่นที่ไม่ดีภายนอกก็ทราบแล้ว ใช่หรือไม่ว่า ขณะกลิ่นที่เป็นภายนอก ซึ่งไม่ใช่สภาพรู้ ก็ยังไม่ชอบเลย ใช่หรือไม่ ขณะกลิ่นที่เป็นภายใน ต้องมีปัญญาถึงจะเห็นจริงๆ สำหรับผู้ที่มีปัญญา สำหรับผู้ที่ไม่มีปัญญา ก็จะสะสมกลิ่นนั้นอยู่เสมอ เพราะว่ากลิ่นนั้นเป็นกลิ่นดิบ เป็นกลิ่นของอกุศลนั่นเอง เมื่อผู้ใดประพฤติ มีปัจจัยให้มีกำลังที่กระทำทุจริตกรรมทั้งหลาย แน่นอน ต้องได้รับผลที่ไม่ดีแน่นอน เนื่องมาจาก กลิ่นที่ไม่ดี เพราะว่าขณะนั้นเป็นอกุศล เพราะให้โทษ เพราะไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นทางกาย วาจา ใจ ก็ดี ตราบใดที่เห็นแล้ว ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้โผฏฐัพพะ คิดนึกแล้ว หรือแม้ขณะนี้ ถ้าไม่รู้ความจริง ขณะนั้นมีกลิ่น แต่กลิ่นนั้นจะปรากฏก็ต่อเมื่อ ขณะนั้นมีปัญญา ถ้าไม่มีปัญญาก็ไม่ทราบกลิ่น เพราะว่ากลิ่นอยู่ใกล้ แต่ว่าไม่รู้ และกลิ่นนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะเป็นสิ่งที่เป็นเหมือนกับรูป แต่ว่าไม่ต้องอาศัยลม ไม่ต้องอาศัยสื่อที่จะต้องนำไป แต่ผู้รู้ติเตียน ผู้รู้หรือว่าผู้อื่นที่รังเกียจ เห็นว่าผู้นี้ประกอบด้วยทุจริตต่างๆ หรือแม้กระทั่งการคิดที่ไม่ดี ขณะนั้นก็เป็นกลิ่นแล้ว ใช่หรือไม่ ไม่ใช่กลิ่นที่เป็นกลิ่นขยะ ที่เห็นภายนอก หรือว่ารู้ภายนอก แต่เป็นกลิ่นที่แค่นึกถึง ก็ไม่ชอบแล้ว ก็รู้สึกรังเกียจแล้ว นี่คือกลิ่นของอกุศล และที่จริงก็คือมาจากความไม่รู้ ไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงในขณะนี้ ถ้าไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ก็เป็นการค่อยๆ สะสมกลิ่น แม้ว่าผู้ใดก็ตามที่มีร่างกายที่อาจจะมีกลิ่นไม่สะอาด แต่ถ้าจิตใจรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ขณะนั้นเป็นผู้ที่สามารถที่จะขจัดสิ่งที่ไม่ดีทั้งหมดเลย ไม่ว่าจะเป็นอกุศล รวมทั้งรูปธรรม คือสามารถดับได้ทั้งหมดเลย คือดับกิเลส แต่ก็เป็นเรื่องที่ไกลมาก

    เพราะกว่าจะเห็นโทษ เห็นภัย เห็นความน่ารังเกียจนี้ก็ยาก ก็เป็นปัญญาจริงๆ ต้องมีอุปนิสสยโคจรจริงๆ ก็คือการฟัง จากการฟังเริ่มแรกเลย ฟังสิ่งที่ถูกต้อง ฟังสิ่งที่พระบิดา ก็คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมของพระองค์ ให้พุทธบริษัทได้ฟัง คือเป็นที่อาศัยที่มีกำลังจริงๆ ที่จะคอยประคับประคองให้ผู้นั้นไม่เป็นอกุศล และในที่สุดก็สามารถรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงได้

    นี่คือการที่จะพ้นจากกลิ่นต่างๆ กลิ่นดิบ กลิ่นอกุศลต่างๆ ก็คือรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง คือเห็นถูกตรงตามความเป็นจริงนั่นเอง

    อ.คำปั่น ท่านอาจารย์ครับ ชีวิตที่เหลืออยู่นี้ ควรที่จะเป็นไปอย่างไร

    ท่านอาจารย์ อย่างที่เข้าใจถูกต้อง

    อ.คำปั่น อย่างที่เข้าใจถูกต้อง เพราะว่ามีปัญญาเป็นที่พึ่ง ความเข้าใจถูก เห็นถูก ก็เป็นที่พึ่งได้ทุกที่ ทุกเวลา ทุกสถานการณ์จริงๆ

    ท่านอาจารย์ เวลานี้ใครได้กลิ่นดิบหรือกลิ่นอกุศลของใครบ้างหรือเปล่า หรือว่าคนที่มีอกุศลมากๆ ได้กลิ่นบ้างหรือยัง เพราะฉะนั้นจะมีชีวิตอยู่อย่างไร ก็ต้องตามที่เข้าใจถูกต้อง


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 193
    7 ก.พ. 2568

    ซีดีแนะนำ