พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 878
ตอนที่ ๘๗๘
ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา
วันอาทิตย์ที่ ๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๖
ท่านอาจารย์ คุณความดีที่สะสม เพื่อที่จะละคลายความเป็นตัวตน เพราะทุกบารมีเลย เพื่อคนอื่น ถ้ายังมีความเป็นเราอย่างหนาแน่นมาก วันนี้เพื่อคนอื่นบ้างหรือเปล่า หรือว่าเพื่อคนอื่นก็คือ เพื่อตัวเองนั่นแหละ อย่างละเอียด จนกว่าจะเพื่อคนอื่นจริงๆ แล้วก็ไม่ได้หวังสิ่งใดตอบแทนทั้งสิ้น ไม่ใช่เพียงตามที่ทรงแสดง ทรงแสดงตามความเป็นจริงของสิ่งที่ปรากฏ
เพราะฉะนั้นธรรมที่ทรงแสดง ก็แสดงให้เข้าใจ สิ่งที่กำลังมี สิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่ใช่เข้าใจสิ่งที่ไม่มี ไม่ปรากฏ ปัญญาไม่เกิดก็ยังอยู่มาได้ โดยปัจจัยที่ต้องมี คิดดู ไม่เกิดได้ไหม ไม่เห็นได้ไหม ไม่คิดได้ไหม ไม่ต้องห่วงเลย ไม่ได้มีปัญญาสักนิดก็ยังอยู่ได้ แต่เมื่อมีปัญญาแล้ว ไม่ว่าสิ่งใดเกิดขึ้น ไม่ใช่เรา มีความเข้าใจในความจริงของสิ่งที่เกิดแล้วว่า ตามเหตุตามปัจจัย
อ.กุลวิไล อาจารย์วิชัยคะ อะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เกิดปัญญา
อ.วิชัย เราก็ทราบว่า ปัญญาก็เป็นธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งธรรมก็มีหลายประการ เป็นสิ่งที่มีจริงๆ แต่ก็มีลักษณะต่างๆ กันออกไป โดยเฉพาะปัญญาก็เป็นสิ่งที่มีจริงประการหนึ่ง เป็นธรรม เป็นนามธรรม ที่เป็นสภาพที่รู้ตามความเป็นจริง ดังนั้นความรู้ที่จะเกิดขึ้นรู้ตามความเป็นจริงได้ ก็ต้องมาจากการที่ได้ยิน ได้ฟังผู้รู้
เพราะเหตุว่าการสะสมในบุคคลนั้น อาจจะมีการไตร่ตรอง และมีความเข้าใจในระดับหนึ่งในความเห็นถูกบ้าง แต่ก็เป็นเพียงการสะสมมา ที่จะมีความเห็นถูก ความเข้าใจถูกตามการสะสมมา แต่ก็ไม่ใช่บุคคลที่ตรัสรู้ตามความเป็นจริง อย่างพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งทรงบำเพ็ญบารมีมา เพราะเหตุว่าการที่จะมีปัญญา ที่จะถึงความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ต้องอาศัยกาลเวลาที่ยาวนาน อย่างเร็วที่สุด ก็ต้องเป็น ๔ อสงไขยแสนกัป หลังได้รับพุทธพยากรณ์แล้ว อย่างนี้เราก็จะเห็นถึงกาลเวลาในการที่จะอบรมบารมีต่างๆ แม้ในสมัยที่เป็นพระโพธิสัตว์ พระองค์ก็ต้องฟังพระธรรมจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ
ดังนั้นประโยชน์ของการฟังธรรม คือสิ่งที่เมื่อฟังแล้ว สามารถที่จะเกิดความรู้ความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ในสิ่งที่มีจริงๆ ได้ อย่างเช่นถ้ากล่าวว่า สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ถ้าไม่รู้จักคำว่า สังขาร เลย ยกตัวอย่างช่วงต้น กล่าวถึงเรื่องของขันธ์ ถ้าไม่รู้เรื่องของขันธ์เลย จะเห็นถึงความไม่เที่ยง เป็นทุกข์เป็นอนัตตา ได้หรือไม่ ในเมื่อไม่รู้จักเลยว่าขันธ์นี้ คืออะไร
แต่ความเข้าใจถูก ก็ต้องเริ่มต้นว่า อะไรที่จริง แม้จะไม่กล่าวคำว่าขันธ์ก็ได้ แต่เริ่มที่จะมีความเข้าใจถูกว่า สิ่งที่มีจริงเกิดขึ้น เกิดแล้วดับไป เที่ยงหรือไม่เที่ยง แม้เห็นขณะนี้ เป็นสิ่งที่มีจริงๆ แต่จะให้เห็นตลอดเวลา เป็นไปได้หรือไม่ ที่ไม่เห็นอย่างอื่น หรือว่าไม่ได้ยินเสียงนี้ตลอดเวลา ได้หรือไม่ ซึ่งได้ยินเกิดแล้วก็ดับไป
แต่การเกิดขึ้นของธรรมต่างๆ ก็มีปัจจัยปรุงแต่งให้เกิดขึ้น ไม่ใช่ว่ามีอัตตาหรือมีเราที่จะบังคับบัญชาได้ เช่นอาจจะมีบุคคลกล่าวว่า ให้ปล่อยวาง ก็น่าพิจารณา ใช่หรือไม่ อะไรที่ปล่อย หรืออะไรที่จะวางได้ เพราะเหตุว่าเมื่อไม่รู้ตามความเป็นจริง ก็คิดว่ามีเรา แต่ถ้าพิจารณาถึงความละเอียดแต่ละขณะว่า ขณะที่มีจริงๆ ขณะนี้ อะไรที่เป็นเราบ้าง เห็นเป็นเราไหม ได้ยินเป็นเราหรือไม่ หรือว่าได้กลิ่น ลิ้มรส สัมผัสต่างๆ ก็เป็นธรรมแต่ละอย่าง ดังนั้นการฟังสิ่งที่มีจริงๆ เหล่านี้ เป็นการที่จะเริ่มเห็นถูก และเข้าใจถูกว่า สิ่งที่มีจริงๆ ขณะนี้ มีลักษณะจริงๆ และก็เป็นธรรมไม่ใช่ตัวเรา มีปัจจัยปรุงแต่งให้เกิดขึ้น
ดังนั้นการฟังธรรมนี้ ก็เป็นปัจจัยเกื้อกูล ที่จะให้ความรู้ ความเข้าใจถูกในขั้นของการฟัง ก็ต้องรู้ว่าความรู้หรือปัญญา มีหลายระดับขั้น การฟังก็อย่างหนึ่ง ในการที่จะมีความเห็นถูก ความเข้าใจถูก การพิจารณาไตร่ตรองในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง ไม่ใช่เพียงฟังแล้วก็เข้าใจ แต่มีปัจจัยให้เกิดการได้คิด ได้พิจารณาในสิ่งที่ฟัง แล้วเกิดความรู้ถูก ความเห็นถูกขึ้นหรือไม่ การพิจารณาไตร่ตรองก็เป็นปัจจัยอย่างหนึ่ง ที่จะให้เกิดความรู้ ความเข้าใจถูก แล้วก็มีการที่จะอบรมความรู้ความเห็นถูกให้เจริญยิ่งๆ ขึ้น ก็เป็นปัจจัยเกื้อกูลให้ปัญญาเจริญขึ้น แต่ก็ต้องเป็นบุคคลนั่นเองที่จะรู้ ใช่หรือไม่
เมื่อสักครู่ก็มีท่านถามว่า จะรู้ลักษณะของสิ่งที่มีจริง กำลังปรากฏอย่างไร เมื่อลักษณะของปัญญาระดับนั้นยังไม่เกิดขึ้น ก็ไม่มีปัจจัยให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ แต่สามารถเข้าใจในเบื้องต้นได้หรือไม่ว่า ขั้นฟังมีความเข้าใจถูก ในสิ่งที่มีจริงๆ มากน้อยแค่ไหน เมื่อมีความเข้าใจขึ้น ก็เป็นเรื่องของสภาพธรรมเป็นเรื่องของปัญญา ที่จะเจริญขึ้น ไม่มีตัวเราที่จะไปจัดแจงกระทำใดๆ ได้เลย
อ.กุลวิไล กราบเรียนท่านอาจารย์คะ อะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เกิดปัญญา
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้มีหรือเปล่า ปัญญาคือความเข้าใจถูก ความเห็นถูก ในสิ่งที่มี ที่กำลังปรากฏ เดี๋ยวนี้มีหรือไม่
อ.กุลวิไล เราฟังในเรื่องของสิ่งที่มีจริง
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้เข้าใจหรือไม่ เพราะฉะนั้นรู้ปัจจัยใช่หรือไม่ ว่าเข้าใจเพราะอะไร
อ.กุลวิไล นึกถึงตอนต้นชั่วโมง ที่ท่านอาจารย์ถามว่า มีศรัทธาในอะไร ซึ่งถ้าเป็นผู้ที่เห็นประโยชน์ของการฟังในสิ่งที่มีจริง ที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ก็ไม่ต้องบอกว่าคือการอบรมปัญญานั่นเอง
ท่านอาจารย์ ไม่ต้องใช้คำพูดใดๆ ก็ได้ แต่ฟังครั้งที่หนึ่ง ครั้งที่สอง ครั้งที่สาม ต่อๆ มา ความเข้าใจเพิ่มขึ้นหรือเปล่า เพราะฉะนั้นก็สามารถที่จะรู้ได้ว่า ฟังแล้วเข้าใจ และก็ฟังอีก ก็เข้าใจอีก หรือว่าฟังแล้วก็ยังไตร่ตรองถึงสิ่งที่ได้ฟัง เพิ่มความเข้าใจขึ้น ไม่ทอดทิ้ง ไม่ละเลย ไม่หลงลืมในสิ่งที่ได้ฟังแล้ว
เพราะฉะนั้นตามความเป็นจริง ฟังว่าขณะนี้มีสิ่งที่กำลังเห็น ถูกต้องหรือไม่ มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น รู้แล้วหรือ พอแล้วหรือ หรือว่ายังไม่ได้รู้ความจริงอย่างนี้ว่า แม้แต่เพียงคำพูดที่ว่า เป็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ แค่นี้ก็จะต้องละ การที่เคยยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด หรือเป็นเรา เพราะมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น ไม่ลืมว่า เมื่อไรก็ตาม ขณะใดที่เห็น สิ่งที่ปรากฏให้เห็นมีจริงๆ แค่เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ถ้ายังไม่เป็นอย่างนี้ ก็ฟังต่อไปอีก เพื่อที่จะได้ไม่ลืม ว่าจริงหรือเปล่า ที่กล่าวว่าขณะนี้ ขณะใดที่เห็น ต้องมีสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นได้
เพราะฉะนั้นการฟังไม่ใช่ครั้งเดียวพอ ฟังแล้วก็ลืม หรือแม้ว่าเพียงเป็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ แค่นี้ก็ยากแล้ว เพราะเคยเป็นคน เคยเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาตลอด และจะเป็นเพียงแค่สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้เท่านั้น ไม่เป็นอะไรเลยสักอย่างเดียว ถ้าไม่มีการคิดนึก และการคิดนึกก็ห้ามไม่ได้ ฟังอย่างนี้ คิดเรื่องอื่นก็ได้ ฟังเรื่องเห็น ไม่ได้รู้เห็นที่กำลังเห็นก็ได้ เพียงแต่จำคำ และก็ไตร่ตรอง
เพราะฉะนั้นในชีวิตจริงๆ ประจำวัน สิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง ก็เป็นสิ่งที่ทรงแสดงไว้โดยละเอียดว่า ไม่ใช่สัตว์ บุคคลใดๆ ทั้งสิ้น เป็นแต่เพียงสิ่งที่มีจริง ใช้คำว่า ธรรม ใช้คำว่าธาตุ หมายความว่าเป็นธาตุที่ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ใครคิดจะเปลี่ยน ไม่ให้เห็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นบ้าง เป็นไปไม่ได้เลย แม้แต่ขณะที่ได้ยิน ใครคิดจะเปลี่ยนให้ไม่ใช่ได้ยินสิ่งที่ปรากฏ คือ เสียง ซึ่งต่างกับสิ่งที่ปรากฏทางตา เป็นไปไม่ได้เลย นี่คือฟังให้มีความเข้าใจที่มั่นคงว่า ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ถ้าไม่มีธรรมเกิดขึ้น จะมีอะไรๆ เป็นคน เป็นวัตถุสิ่งต่างๆ ไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้นการฟังก็คือ เพื่อให้เข้าใจจริงๆ ในขณะนี้ ละความไม่รู้ แม้เพียงเล็กน้อยที่ไม่เคยรู้เลยว่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร ทรงแสดงธรรมอะไร เป็นสิ่งที่มีจริงที่สามารถที่จะเข้าใจได้ทุกกาลสมัย ไม่ใช่ต้องคอยเวลา แต่เมื่อมีการฟังเข้าใจแล้ว ก็สามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่ปรากฏ ขณะนี้ เดี๋ยวนี้เลย เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้เท่านั้นหรือยัง เป็นผู้ตรง แต่ความจริงเป็นอย่างนี้ใช่ไหม เมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ วันหนึ่งก็สามารถที่จะรู้ได้ว่า เพียงปรากฏให้เห็น แล้วจะเป็นใคร แล้วจะไปยึดมั่น แล้วจะไปติดข้องในสิ่งที่เพียงปรากฏเท่านั้นหรือ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น จะเรียกว่าปัญญาหรือไม่เรียกว่าปัญญา แต่เป็นความเห็นถูกตามความเป็นจริง ของสภาพธรรมที่มีจริงๆ
ผู้ฟัง กราบเรียนท่านอาจารย์ว่า เปิดของที่ปิด อยากให้ท่านอาจารย์ช่วยขยายความด้วย
ท่านอาจารย์ เปิดยากหรือไม่ ยากมากๆ เลย เรี่ยวแรงเท่าไรก็เปิดไม่ได้ ต้องเป็นความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย อย่างเช่นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ แต่เห็นเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดอยู่ตลอด ใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้นก็ต้องเข้าใจความต่างกันว่า เห็น ต้องเห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้
ผู้ฟัง สิ่งที่ปรากฏก็มีจริงๆ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นกว่าเราจะสามารถเข้าถึงความหมายของคำว่า ขณะนี้ ที่เคยเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นคน เป็นโต๊ะ เป็นดอกไม้ แท้ที่จริงคือว่าเห็นอะไร เห็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ยังไม่ต้องไปนึกถึงรูปร่างสัณฐาน คนนั้นคนนี้ ชื่อเสียง เรื่องราวอะไรทั้งสิ้น เพียงสิ่งที่มีจริง ที่กำลังปรากฏให้เห็นได้ แต่ที่ถูกปกปิดไว้ก็คือขณะนี้ สิ่งนี้แหละ เกิดดับนับไม่ถ้วน ยากไหม ถ้าไม่มีการเกิดดับนับไม่ถ้วน จะปรากฏเป็นสีสันวัณณะต่าง รูปร่าง สัณฐานต่างๆ ไม่ได้ เพราะว่าเห็นก็สั้นนิดเดียว ใช่หรือไม่ แล้วเห็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ แต่สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ เกิดซ้ำบ่อยๆ และจิตเห็น ก็เกิดขึ้นเห็นสิ่งนั้นบ่อยๆ ไม่เห็นสิ่งอื่น
เพราะฉะนั้นในขณะที่สิ่งที่เกิดซ้ำๆ ๆ จนทำให้จิตเห็น ที่เห็นบ่อยๆ ซ้ำๆ ๆ ๆ ก็ปรากฏว่า เห็นเป็นนิมิตรูปร่าง สัณฐานต่างๆ เพราะฉะนั้นถูกปกปิดไว้ด้วยการไม่รู้ว่า ที่เป็นรูปร่าง สัณฐานต่างๆ ได้ เพราะมีสิ่งที่ปรากฏทางตา เกิดดับนับไม่ถ้วน จึงปรากฏเป็นรูปร่าง สัณฐานต่างๆ ให้ทรงจำว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด และในขณะนี้ไม่ได้มีแค่เพียงสิ่งเดียวเลย
เพราะฉะนั้นเพื่อจะแสดงให้เห็นเกิดดับเท่าไร และสิ่งที่ปรากฏให้เห็นก็เกิดดับเท่าไร รวมทั้งการจำ นิมิต สัณฐานต่างๆ มากเท่าไร จึงปรากฏว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้เต็มไปหมดเยอะแยะ ต้องเรียกทีละหนึ่งด้วยซ้ำไป ใช่หรือไม่ แต่ว่าตามความเป็นจริง และสภาพที่จำรูปร่าง สัณฐานของแต่ละหนึ่ง ซึ่งเกิดดับ ก็ต้องมาก
นี่คือสิ่งที่ถูกปกปิดไว้ เพราะอวิชชา ความไม่รู้ ถ้าพระพุทธเจ้าไม่ทรงตรัสรู้อย่างนี้ จะแสดงความจริงอย่างนี้ ซึ่งเป็นความจริง แม้เพียงเริ่มฟังก็เข้าใจว่า ความจริงต้องเป็นอย่างนี้แน่นอน ได้หรือไม่ ถ้าไม่รู้ความจริงอย่างนี้ เพราะฉะนั้นอะไรปกปิด ความไม่รู้ เพราะไม่เคยได้ยินได้ฟังคำจริง วาจาสัจจะ ซึ่งเป็นพระธรรมที่ทรงแสดง เพราะฉะนั้นปกปิดไว้ก็เพราะอวิชชา ความไม่รู้ และก็ไม่มีวันจะรู้ได้ ถ้าไม่มีการฟังพระธรรม
ฟังแล้วก็ยังไม่รู้ ใช่ไหม เพราะฉะนั้นก็เข้าใจได้เลย บารมีคืออะไร ต้องนานเท่าไร กว่าจะค่อยๆ ละการยึดถือสิ่งที่ปรากฏ เพราะจำได้ว่าแค่เห็น เป็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ขณะที่ได้ยินเสียงนี้ก็ไม่ปรากฏแล้ว แต่เสมือนว่าไม่เคยขาดไปเลย มีอยู่ตลอดเวลาเพราะความรวดเร็ว และเพราะความไม่รู้ความจริง
ผู้ฟัง การเข้าใจขั้นการฟัง อย่างน้อยก็ไม่หลงทางแล้ว สิ่งที่ปรากฏก็ต้องเป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แต่ก็ค่อยๆ เข้าใจตรงนี้
ท่านอาจารย์ กว่าจะรู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ ซึ่งเพียงปรากฏให้เห็นได้ จะต้องไม่ลืมคำนี้ไปอีกนานเท่าไร ใช่หรือไม่ เพราะเหตุว่าเดี๋ยวก็ลืม ฟังแล้วก็ลืมๆ ลืมเสมอ เพราะฉะนั้นจะต้องฟังคำนี้ และไม่ลืมคำนี้ อีกนานเท่าไร นี่แค่ไม่ลืม เมื่อไม่ลืม ยังต้องเข้าใจด้วย ว่าแท้ที่จริงแล้ว ถ้ามีความเข้าใจจริงๆ ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้แสนสั้นจริงๆ จะคลายหรือไม่ จากการที่หลงยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ยังไม่ทันจะไปดับหมดเป็นสมุฏเฉท แค่คลายความติดข้อง ก็ต้องเริ่มจากการที่ไม่ลืมๆ ๆ จนกระทั่งสามารถที่จะรู้ได้ว่า เวลาไม่ลืมนั้น เริ่มคลายความติดข้องบ้างหรือยัง และคลายไปได้แค่ไหน เมื่อมีการละคลายแล้ว สภาพธรรมอื่นอีก ก็อย่างนี้แหละ เพียงเกิดขึ้น และก็ดับไป เมื่อไรจะค่อยๆ คลายความติดข้องจากสภาพธรรมอื่นๆ อีกทั้งวัน แค่วันเดียว แต่สังสารวัฏฏ์นานกว่าหนึ่งวันมาก
เพราะฉะนั้นก็ต้องอาศัยปัญญา ความเห็นถูกจริงๆ ซึ่งขณะนั้นที่เกิด ก็จะละความติดข้อง เพราะค่อยๆ เข้าใจความจริงว่า เป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ลืมคนในห้องนี้บ้างไหม เห็นแล้วไม่ลืมเลย ลืมแน่นอน ช้าหรือเร็ว ความจริงเร็วมาก แต่ว่าเพราะบ่อยๆ จึงเหมือนกับว่ายังไม่ลืม แต่ความจริงลืมแล้ว เพราะสิ่งอื่นปรากฏ ในขณะที่สิ่งอื่นปรากฏ ก็ต้องจำสิ่งที่ปรากฏ ก็แสดงว่าลืมสิ่งที่เคยจำไว้แล้ว
เพราะฉะนั้นแต่ละทางก็เป็นอย่างนี้ กว่าจะรู้ความจริงของแต่ละหนึ่งทาง จนกระทั่งสามารถเป็นผู้ที่รอบรู้ในปริยัติ คือในพระพุทธพจน์ที่ทรงแสดงว่า ทรงแสดงความจริงอย่างนี้ ให้ค่อยๆ เข้าใจขึ้น คือการอบรมเจริญปัญญา ไม่ใช่ว่าใครจะไปทำเลย แต่อาศัยจากการที่ฟังแล้วเข้าใจ วันต่อไปก็เข้าใจขึ้นอีก วันต่อไปก็เข้าใจขึ้นอีก แล้วก็เป็นผู้ที่ตรงด้วย ว่าความเข้าใจระดับไหน ขณะนั้นก็ละความหวัง ความต้องการ ความยึดมั่น ว่าเป็นเราที่อยากจะรู้เร็วๆ
ผู้ฟัง ถ้าฟังบ่อยๆ ก็ลืมน้อยหน่อย
ท่านอาจารย์ บางคนฟังมาอาจจะ ๔๐ ปี เห็นอะไร ลืมเลย เพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ แล้วจะไปคลายได้อย่างไร ก็ยังคงเป็นสิ่งนั้นอย่างแน่นหนา แต่ถ้ามีการระลึกได้ว่า เพียงสิ่งที่ปรากฏ แม้เล็กน้อย แต่ถ้าบ่อยๆ มากขึ้นอีก ก็สามารถที่จะละคลาย การที่เคยเข้าใจว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด และเข้าใจความหมายว่า เห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา ชัดเจนเลยว่า ต้องอาศัยตา
เพราะฉะนั้นก็สามารถที่จะเข้าใจขึ้น ถึงขณะนั้นที่จำ แม้ไม่เห็น ไม่ใช่อาศัยตา นี่ก็แสดงให้รู้ว่า รู้จักโลก คือ ชีวิตประจำวันตามความเป็นจริง แต่ละหนึ่งซึ่งเกิดดับสืบต่อ จนยากที่จะแยกออกได้ ถ้าไม่มีการฟังพระธรรมให้เข้าใจจริงๆ ไม่ใช่ไปทำอย่างอื่นเลย เป็นหน้าที่ของปัญญาเท่านั้น ที่ค่อยๆ เข้าใจขึ้น จนกระทั่งสามารถที่จะถึงอีกขั้นหนึ่ง ปฏิปัตติ ที่ใช้คำว่าปฏิบัติในภาษาไทย มิฉะนั้นจะไม่มีทางที่จะถึงลักษณะที่กำลังปรากฏ ตามที่ได้เข้าใจ เดี๋ยวนี้มีอะไรปรากฏ
ผู้ฟัง เสียง ปรากฏ
ท่านอาจารย์ เสียง เป็นอะไร
ผู้ฟัง เสียงเป็นเสียง จริงๆ ไม่ได้เป็นอย่างที่พูด แต่ก็ค่อยๆ เริ่มที่จะน้อมไปว่า มีเสียงที่กำลังปรากฏ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจากความเป็นคนคด ก็เริ่มความเป็นผู้ตรง นี่คือประการแรก เพราะถ้าไม่ตรงจริงๆ ไม่ได้รับสาระจากพระธรรม
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ถามว่า ขณะนี้มีอะไรปรากฏไหม หนูก็กล่าวว่ามีเสียงที่กำลังปรากฏ
ท่านอาจารย์ เหมือนเดิม ใช่หรือไม่
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ เสียงก็ปรากฏทั้งวันเหมือนเดิม เมื่อวานนี้ก็ปรากฏ แล้วเข้าใจอะไรขึ้นบ้างหรือเปล่า
ผู้ฟัง ตรงขึ้น
ท่านอาจารย์ เข้าใจอะไรขึ้นบ้างหรือเปล่า
ผู้ฟัง ก็เข้าใจจากการฟังว่า เสียงเป็นเพียงเสียง
ท่านอาจารย์ แสดงว่าไม่ได้เข้าใจเสียง แล้วก็ไม่ได้เข้าใจได้ยิน เสียงปรากฏนี่แน่นอน มีใครบ้างไม่รู้จักเสียง เดี๋ยวนี้ก็มีเสียงปรากฏ แต่เข้าใจอะไรหรือเปล่า ในขณะที่เสียงปรากฏ เข้าใจอะไรหรือเปล่า เป็นเพียงสิ่งที่มีจริง ที่ใช้คำว่า สังสารวัฏฏ์ หมายความว่าสิ่งนั้นมีจริงๆ เกิดดับสืบต่อไม่ขาดเลย จากเสียงเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา เป็นสิ่งที่กำลังคิดนึก สารพัดอย่างเร็วมากๆ นั่นคือสังสารวัฏฏ์ เกิดดับสืบต่อไม่มีที่สิ้นสุดเลย แม้แต่เสียงก็มีจริง ได้ยินคำว่า สังสารวัฏฏ์ เสียงเป็นสังสารวัฏฏ์หรือไม่ เห็นไหม มีความเข้าใจอะไรในเสียงหรือเปล่า ใครบ้างที่ไม่รู้จักเสียง ก็รู้จักทั้งนั้นเสียงเกิด และเสียงดับ ก็รู้ แต่มีความเข้าใจถูก เห็นถูกอะไรในเสียงนั้นบ้างหรือเปล่า
ผู้ฟัง เข้าใจเป็นคำ
ท่านอาจารย์ คำไม่ใช่เสียง ใช่หรือไม่ ไม่ใช่ได้ยิน ได้ยินเฉพาะเสียง ได้ยินคำไม่ได้ เห็นคนไม่ได้ เห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ถ้าไม่มีการคิด เสียงนั้นจะเป็นคำได้อย่างไร ดำ เข้าใจหรือไม่ ดำไม่ใช่แดง เข้าใจหรือไม่ แต่เสียง เสียงแค่ดำ อะไรก็ไม่รู้ ภาษาอะไรก็ไม่รู้ ภาษาเวียดนามหรือภาษาไทยก็ไม่รู้ แต่เสียงปรากฏแล้ว ยังไม่ทันรู้ว่าเป็นอะไร เสียงก็ดับ เข้าใจเสียงหรือเปล่า ว่าเป็นเพียงสิ่งที่มีจริง ซึ่งไม่ให้ปรากฏก็ไม่ได้ เมื่อมีเหตุปัจจัยที่จะทำให้เสียงปรากฏ ตั้งหลายปัจจัย เสียงมีแน่นอน เป็นธรรมที่มีจริง แต่จะปรากฏให้ได้ยินหรือเปล่า ที่จะปรากฏว่าเป็นเสียง ถ้าไม่มีได้ยิน เสียงปรากฏได้ไหม ไม่ได้ และถ้าไม่มีโสตปสาทรูป ได้ยินเกิดได้ไหม ก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นแม้แต่เสียงที่ปรากฏ เข้าใจอะไรหรือเปล่า เพราะฉะนั้นขณะนี้ ก็รู้ได้เลยว่า ความเข้าใจหรือปัญญามาจากไหน
ผู้ฟัง จริงๆ ต้องมาจากการฟังเท่านั้น
ท่านอาจารย์ สาวก ใช่หรือไม่ ไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เป็นสาวก ขณะนี้เห็นอะไร ตอบว่าเห็นคน เพราะฉะนั้นที่เข้าใจว่าเห็นคน ไม่ใช่เห็นที่เห็นแล้วเมื่อสักครู่นี้ ซึ่งไม่ใช่คน เป็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้
ผู้ฟัง หมายถึงว่าสติระลึกทันลักษณะของสิ่งที่เห็นอย่างนั้น ใช่หรือไม่
ท่านอาจารย์ โดยมากจะใช้คำก่อน เรียนชื่อก่อนแล้ว แล้วก็ถามว่าคืออะไร แต่ว่าถ้ามีลักษณะนั้นปรากฏ พอได้ยินชื่อ จะใช้ชื่ออะไรก็คือลักษณะนั้นแหละ ด้วยเหตุนี้ขณะนี้มีเห็น ฟังเรื่องเห็น มีศรัทธาที่จะฟัง ศรัทธาก็ไม่ใช่เรา แต่ในขณะที่กำลังฟังเรื่องเห็น กำลังเข้าใจเห็น หรือว่าเพียงแต่ฟัง แล้วก็ไม่ได้เข้าใจ ไม่ได้รู้เฉพาะที่กำลังเห็นเลย
เพราะฉะนั้นถ้าจะใช้คำว่าเข้าใจเห็นขณะนั้น ต้องรู้เฉพาะเห็น จึงสามารถเข้าใจเห็น ไม่ใช่เพียงฟังเรื่องเห็น พูดถึงแข็ง จะรู้ลักษณะของแข็ง เข้าใจแข็ง ก็ต่อเมื่อแข็งจริงๆ ปรากฏ ไม่ใช่กำลังพูดเรื่องแข็ง เรื่องต่างๆ ว่าแข็งเป็นธาตุที่มีจริง มีลักษณะเฉพาะของตน ซึ่งไม่ใช่เย็น ไม่ใช่ร้อน นั่นคือขณะนั้นไม่ได้รู้แข็งที่กำลังปรากฏ แต่กำลังพูดเรื่องแข็ง
เพราะฉะนั้นขณะที่มีแข็งจริงๆ ปรากฏ แล้วกำลังเข้าใจแข็ง ก็ต้องรู้ว่า ต่างกับขณะที่เพียงฟัง เพราะฉะนั้นจะใช้คำว่าอะไร พระผู้มีพระภาคทรงใช้คำว่า สติสัมปชัญญะ ไม่ใช่สติเท่านั้น แต่ต้องประกอบด้วยปัญญา เพราะว่ามีการฟัง มีความเข้าใจ มีความเห็น จนกระทั่งมั่นคง จึงสามารถที่จะเริ่มรู้ว่าแข็ง เหมือนเสียง เหมือนกลิ่น เหมือนรส เป็นเพียงสิ่งที่มีจริงเกิดขึ้นปรากฏ เมื่อต้องอาศัยจิตที่เกิดเพราะตา เพราะหู เพราะจมูก เพราะลิ้น เพราะกาย เพราะใจ เพราะฉะนั้นทั้งหมดก็เป็นแต่เพียงสิ่งที่มีจริง แต่ละหนึ่งลักษณะ ในหนึ่งขณะเท่านั้นเอง
ผู้ฟัง ลักษณะสัญญาที่เกิดจากการฟังแล้วจำได้กับสติ คือ
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีปริยัติ ไม่มีปฏิบัติ ไม่มีปฏิบัติ ไม่มีปฏิเวธ
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 841
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 842
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 843
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 844
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 845
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 846
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 847
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 848
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 849
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 850
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 851
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 852
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 853
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 854
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 855
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 856
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 857
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 858
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 859
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 860
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 861
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 862
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 863
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 864
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 865
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 866
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 867
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 868
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 869
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 870
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 871
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 872
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 873
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 874
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 875
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 876
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 877
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 878
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 879
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 880
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 881
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 882
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 883
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 884
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 885
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 886
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 887
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 888
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 889
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 890
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 891
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 892
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 893
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 894
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 895
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 896
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 897
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 898
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 899
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 900