พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 880


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๘๘๐

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๑๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๖


    ท่านอาจารย์ ถ้าเข้าใจนิดหน่อยก็เห็นโทษ แล้วก็เห็นประโยชน์ของกุศล ขวนขวายนิดหนึ่งที่จะทำกุศลแม้เพียงเล็กน้อย มิฉะนั้นแล้วขณะนั้นอกุศลก็เพิ่มอีก นี่คืออันตรายของการไม่รู้ความจริง ซึ่งจะต้องมากมายด้วยอวิชชา และกิเลสต่างๆ ต่อไป

    ด้วยเหตุนี้การฟัง จึงฟังเพื่อให้เข้าใจความจริง ว่าไม่มีเรา แต่เมื่อมีการเข้าใจถูกว่า อกุศลเป็นโทษ เห็นโทษแล้วจะค่อยๆ ละ การที่เคยทำสิ่งที่ไม่ดี แม้เพียงเล็กน้อยนิดๆ หน่อยๆ กายวาจาไม่ดีเยอะ อย่างที่คุณอรรณพกล่าวถึง เอื้อมมือไปนิดหนึ่ง เพราะอะไร ไม่ว่าจะขยิบตา หันหน้าหันหลังนิดหนึ่ง เพราะอะไร ก็ไม่พ้นอกุศลเลย

    มิฉะนั้นพระผู้มีพระภาคจะไม่ทรงแสดงอาสวะ โอฆะ และโยคะ ประเภทเดียวกันหมดเลย แต่ทำไมถึงแสดงละเอียดถึงอย่างนั้น ละเอียดก็เพราะเหตุว่า ธรรมละเอียดจริงๆ นั่งนิ่งๆ ยังไม่ผิดศีล ยังไม่ได้กระทำทุจริตกรรม แต่อกุศลจิตเกิดแล้ว แล้วถ้าเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ใช่หรือไม่ ปัญญาไม่เกิดเลย ก็เป็นตอในวัฏฏะ คือไม่รู้อะไรก็ทำไปด้วยอกุศลเรื่อยๆ ด้วยเหตุนี้คงไม่เบื่อที่จะฟัง เพื่อให้เป็นคนดีขึ้น เพราะเข้าใจถูกว่า มากด้วยอกุศลแม้นั่งเฉยๆ ยังไม่ได้มีการกระทำทางกาย ทางวาจาเลย

    เพราะฉะนั้นละชั่ว ละถึงไหน ก่อนอื่นไม่ใช่เรา ละความเห็นที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเราก่อน นี้คือชั่วอย่างยิ่ง เพราะเหตุว่าเกิดจากอวิชชา จึงยึดถือสภาพธรรม ด้วยความไม่รู้ว่า ขณะนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น และก็ดับไปหลากหลายมาก จนต้องทรงแสดงโดยละเอียดถึงจิต และเจตสิก และรูปแต่ละประเภทว่า ไม่ใช่เรา ขณะนี้ทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังปรากฏดับแล้ว แต่ก็มีสิ่งที่เกิดสืบต่อทันทีแน่นสนิท จนไม่เห็นการดับไปของขณะก่อน

    เพราะฉะนั้นปัญญาเป็นเรื่องที่ต้องอบรมในทุกทาง แม้แต่ในเรื่องของศีล เรื่องของสมาธิ และเรื่องของปัญญาด้วย วันนี้ใครดีบ้าง ถามใหม่ เมื่อสักครู่นี้อกุศลเยอะเลย ใช่หรือไม่ ก็รู้ว่ามีอกุศลมาก และก็จะขจัดออกไปด้วยการฟัง และเข้าใจธรรมทีละเล็กทีละน้อย เพราะฉะนั้นก็ถามว่า วันนี้ใครดีบ้าง มีหรือไม่ ตั้งแต่เช้ามา หาดูว่าดีตรงไหน ดีบ้างหรือเปล่า พอจะเจอบ้าง หรือว่าไม่เจอ มีแต่เรา ตั้งแต่เช้าเลย เราทั้งนั้น ไม่ว่าจะรับประทานอาหาร ไม่ว่าจะแต่งตัว ไม่ว่าจะคิด ไม่ว่าจะทำอะไร เราทั้งหมด หรือว่ายังคิดถึงคนอื่นบ้างที่จะช่วย ถ้าเขาต้องการความช่วยเหลือ หรือว่าเป็นหนทางที่เราจะทำได้ ให้เขาเกิดความเข้าใจถูกต้อง ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง คงไม่มีใครอยากเข้าใจอะไรผิดๆ

    อ.ธิดารัตน์ ซึ่งท่านก็แสดงว่า ความสะอาดทั้งทางกาย ทางวาจา ที่ปรากฏก็เป็นลักษณะของศีล แล้วก็ยังมีเหตุใกล้ ใกล้มากเลยก็คือ หิริโอตตัปปะ จริงๆ ถ้าไม่มีเจตสิกทั้งสองประเภท ซึ่งเป็นหิริโอตตัปปะ ที่จะเป็นปัจจัยทำให้มีความสะอาดทางกาย ทางวาจา

    ท่านอาจารย์ แน่นอน ชื่อมาอีกแล้ว รู้จักชื่อเยอะไปหมดเลย เมื่อสักครู่ก็ศีลชื่อหนึ่งตอนนี้หิริอีกชื่อหนึ่ง และก็โอตตัปปะอีกชื่อหนึ่ง อยู่ไหน เห็นไหม หาเจอหรือไม่ หรือว่าฟังไปก็มีแต่ชื่อ เดี๋ยวนี้มีไหม จากการฟังจะทำให้เข้าใจถูกต้องว่า กล่าวถึงอะไร และเข้าใจสิ่งนั้นแค่ไหน และขณะนี้มีหรือไม่ ทั้งหมดต้องขณะนี้ จึงจะเข้าใจสภาพธรรมที่ได้ยินได้ฟังละเอียดขึ้น

    อ.ธิดารัตน์ ขณะที่กุศลจิตเกิด ก็มีหิริโอตตัปปะ แต่ท่านก็ยังแสดงว่า หิริโอตตัปปะ เป็นเหตุใกล้ของศีล

    ท่านอาจารย์ แน่นอน ทั้งหมดเป็นเหตุใกล้ของกุศลทุกประเภท ไม่ใช่แต่เฉพาะศีลอย่างเดียว ข้อสำคัญ หิริคืออะไร คุณธีรพันธ์คะ

    อ.ธีรพันธ์ หิริคือความละอายต่ออกุศลที่เกิดขึ้น มีความที่จะเห็นโทษ และก็ควรที่จะน้อมประพฤติ ที่จะเป็นไปในทางที่เป็นกุศล

    ท่านอาจารย์ ขณะที่คุณธีรพันธ์กำลังพูดอย่างนี้ มีหิริหรือไม่ ถ้าไม่มีหิริจะกล่าวได้ไหม

    อ.ธีรพันธ์ ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นกุศลทุกประเภท ต้องมีหิริ ความละอาย แต่ว่าลองคิดดูจิตหนึ่งขณะ มีเจตสิกเกิดร่วมด้วยเท่าไร แม้แต่ขณะที่เป็นเพียงกุศลขณะเดียว ก็จะมีโสภณเจตสิกเกิดร่วมด้วย อย่างน้อย ๑๙ ประเภท แล้วเราจะไปรู้จักหิริหรือไม่ เราจะไปรู้จักโอตตัปปะหรือไม่ เราจะไปรู้จักอโลภะ อโทสะหรือไม่ เพราะเกิดมาพร้อมกันเลยกับจิต แล้วก็ดับไปพร้อมกันในหนึ่งขณะจิต

    เพราะฉะนั้นชื่อ เรียกชื่อ เพื่อที่จะเข้าใจว่า แม้ขณะหนึ่งก็มีสภาพธรรม ซึ่งเรายังไม่รู้จัก แต่ได้ยินชื่อ แล้วก็เรียกชื่อถูกว่า หิริ เป็นสภาพที่ละอายต่ออกุศล การไม่ฟังธรรมเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล

    อ.ธิดารัตน์ เป็นอกุศล

    ท่านอาจารย์ ธรรมเป็นสิ่งที่ควรฟังหรือไม่ควรฟัง ใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้นเมื่อธรรมเป็นสิ่งที่ควรฟัง แล้วไม่ฟัง เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล มีหิริหรือเปล่า แต่ถ้าในขณะใดก็ตามที่เห็นประโยชน์ เพราะหิริโอตตัปปะ และโสภณเจตสิกอื่นๆ เกิดพร้อมกันในจิตหนึ่งขณะ ทำให้ขณะนั้นเป็นกุศล แต่ก็ไม่ใช่ว่า เราจะสามารถรู้ และเข้าใจลักษณะของหิริ และโอตตัปะ อโลภะ อโทสะ ซึ่งเกิดพร้อมกันได้

    เพราะฉะนั้นปริยัติ การฟังพระพุทธพจน์ ทำให้เราสามารถเข้าใจความละเอียด ในความไม่มีตัวตน ว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นเพราะปัจจัยทั้งนั้น เป็นสิ่งซึ่งสามารถจะรู้ได้ เข้าใจได้เมื่อฟังต่อไป แล้วก็เข้าใจต่อไปอีก แต่ถ้าไม่ฟังต่อ ไม่เข้าใจต่อ เพียงเท่านี้ก็ได้ยินแต่ชื่อต่อไป

    อ.ธิดารัตน์ ท่านอาจารย์คะ มีข้อความแสดงว่า หิริโอตตัปปะ เหมือนกับเป็นธรรมที่เป็นภาระ คือมีกำลังได้ ถ้าหากขณะที่มีกำลัง สามารถจะปรากฏลักษณะได้ ใช่หรือไม่

    ท่านอาจารย์ แน่นอน กำลังจะกระทำทุจริต ไม่ทำ งดเว้น เพราะหิริโอตตัปปะ กำลังจะพูดคำที่ไม่จริง อาจจะล้อเล่น สนุกสนานหรืออะไรก็ได้ แต่ขณะนั้นเป็นอกุศลแล้ว เพราะฉะนั้นเมื่อมีหิริโอตตัปปะ ไม่พูด เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่า คุ้มครองป้องกันจิต ไม่ให้เป็นไปทางฝ่ายอกุศล

    จะรู้ด้วยตัวเอง ฟังจบแล้วกุศลจิตเกิดเพิ่มขึ้นอีกบ้างหรือไม่ แม้เพียงเล็กน้อย เพราะได้ฟังพระธรรมเข้าใจ นี่ก็เป็นเครื่องพิสูจน์แล้ว ฟังแล้วเหมือนเมื่อวานนี้ เหมือนวันก่อน เหมือนเดิมอาจจะอกุศลเพิ่มมากขึ้น ก็แสดงว่าผลของการฟังยังไม่มี เพราะยังไม่เห็นโทษจริงๆ เพียงฟังครั้งเดียว และอาจจะเบื่อ ใช่หรือไม่ พูดเรื่องกาย เรื่องวาจาตามปกติ พูดเรื่องกุศล อกุศล เพื่ออะไร เพื่อประโยชน์ของบุคคลที่ฟัง จะได้เพิ่มกุศลขึ้น ไม่ใช่ว่าฟังแล้วก็เก่งมากเลย ชื่อนี้ก็รู้ ชื่อนั้นก็รู้ แต่ว่าเหมือนเดิม

    อ.ธิดารัตน์ เหมือนกับเวลาที่จะเว้นคำพูดที่ไม่เหมาะสม บางครั้งก็เว้นเพราะหิริโอตตัปปะ เพราะเห็นถึงโทษ ละอายใจอย่างนี้ ใช่หรือไม่

    ท่านอาจารย์ ก็แล้วแต่ว่า ขณะนั้นจะมีสภาพธรรมอะไรปรากฏให้เห็นได้ ให้เข้าใจได้

    อ.ธิดารัตน์ แล้วขณะที่เป็นวิรตีเจตสิก ที่เป็นสัมมาวาจาทำกิจ

    ท่านอาจารย์ ไม่ต้องเรียกชื่อ ได้หรือไม่ ขณะใดก็ตามที่ละเว้น ไม่พูดสิ่งที่ไม่จริง ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดคำเพ้อเจ้อ ไม่พูดคำส่อเสียด ขณะนั้นอะไรหยุดยั้งไว้ อะไรระงับ ไม่มีเรา แต่เพราะเหตุว่ามีธรรม ซึ่งเป็นคุณธรรมฝ่ายดี ที่ได้สะสมมา ทำให้ขณะนั้น สามารถที่จะละเว้นได้ แต่ไม่ต้องไปเรียกชื่ออะไรเลย

    อ.ธิดารัตน์ แต่ขณะที่มีการเว้น ก็หมายถึงก็ต้องมีวิรตีเจตสิกเกิดขึ้นเว้น

    ท่านอาจารย์ ถ้าเป็นการละเว้นทุจริตทางกาย ทางวาจา แต่เวลาที่ทำดี มีวิรตีเจตสิกเกิดร่วมด้วยหรือไม่ มีสองอย่าง เว้นชั่ว และทำความดี ในขณะที่กำลังเว้นทุจริตไม่ว่าทางกาย ทางวาจา ไม่ใช่เรา แต่เป็นคุณธรรม ธรรมฝ่ายดี ถ้าเป็นทางวาจาก็สัมมาวาจาเกิดขึ้น เห็นหรือไม่ ไม่ใช่เรา แต่มีธาตุชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นไปกับการที่จะกล่าวคำ ซึ่งได้สะสมมา ซึ่งเป็นคำที่ไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะไม่ควร ขณะนั้นเพราะเจตสิกนั้นเกิดขึ้นวิรัติ

    เพราะฉะนั้นในขณะอื่น เช่นในขณะที่ไม่ได้งดเว้นการพูดสิ่งที่ไม่ดี แต่เป็นการทำดีขณะนั้นมีวิรตีเจตสิกหรือไม่ ถ้าไม่ศึกษาจะไม่รู้เลย คิดเองหมด เหมาเองหมด แต่ต้องเข้าใจความละเอียดว่า แม้คำพูดที่ดี แต่ไม่ใช่ขณะที่กำลังละเว้นคำพูดที่ชั่ว ขณะนั้นมีวิรตีเจตสิกเกิดหรือเปล่า เพราะว่าวิรตี วิรัติ งดเว้นจากคำพูดที่ชั่ว เป็นวจีทุจริตทั้งหลาย มีเจตสิกชนิดหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นวิรัติ แต่เวลาที่ไม่ได้กำลังเป็นไปอย่างนั้น ในขณะที่ให้ทาน รักษาศีล ไม่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการพูดทุจริตใดใดเลย ขณะนั้นก็ไม่มีวิรตีเจตสิกเกิดขึ้นวิรัติ ทำกิจวิรัติเฉพาะในขณะนั้น นี่เป็นความละเอียดของสภาพธรรม ซึ่งเป็นเจตสิกแต่ละหนึ่ง ซึ่งเมื่อฟังแล้วก็จะรู้ว่า ไม่ใช่เรา

    อ.ธิดารัตน์ เพราะฉะนั้นวิรตีเจตสิก ก็จะเกิดขณะที่มีการเว้น ก็ต่างกัน เพราะว่าศีลเป็นศีลที่มีการเว้นกับศีลที่เป็นปกติ ถ้าเป็นกุศลศีล ก็คือกุศลจิตที่เกิดขึ้นปกติ ก็ไม่เศีลโดยปกติ ใช่หรือไม่

    ท่านอาจารย์ กำลังฟังธรรมเข้าใจ มีวิรตีเจตสิกหรือไม่ ไม่มี ใช่หรือไม่ ไม่ใช่ในขณะนั้น แต่ว่ามีโสภณเจตสิกอื่น ต่อไปนี้คงจะเจอวิรตีเจตสิกบ้าง ใช่หรือไม่ เพราะว่ามักจะพูดคำที่รุนแรงบ้าง หรือว่าคำหยาบคายบ้าง หรือว่าคำไม่จริง ก็แล้วแต่ แต่ว่าบางคนท่านก็บอกว่า อ้าปากค้าง คือไม่ทันพูดออกไป วิรตีเจตสิก ก็วิรัติวาจาที่ไม่ดีนั้น เพราะฉะนั้นต่อไปก็อาจจะทราบว่า ไม่ใช่เราเลย อยู่ดีๆ กำลังจะพูดก็หยุดได้ เพราะอะไร ก็เพราะเหตุว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา

    อ.ธิดารัตน์ คุณกุลวิไล มีอะไรจะสนทนาเพิ่มเติมในเรื่องของการเว้นหรือว่าศีล หรือไม่

    อ.กุลวิไล จะเห็นได้ว่าช่วงของการสนทนาพื้นฐานพระอภิธรรม ก็ไม่พ้นสภาพธรรมที่มีในชีวิตประจำวันนั่นเอง เป็นการสะสมความเห็นถูก และก็ตรงกับพระธรรมที่ทรงแสดง เพราะว่าทั้งหมดเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ฉะนั้นแม้แต่ความหมายของคำว่า ศีล ที่แปลว่าปกติ ซึ่งก็คือชีวิตประจำวันนั่นเอง เพราะโดยสภาพธรรมของจิต เจตสิก และรูป ก็ไม่พ้นสภาพธรรมที่เป็นกุศลธรรมก็มี อกุศลธรรมก็มี และธรรมที่เป็นอัพยากตธรรม ก็คือไม่ใช่กุศลธรรม และอกุศลธรรมก็มี

    เพราะฉะนั้นสภาพจิตขณะนี้ เป็นปกติที่เป็นกุศลศีลหรืออกุศลศีล นี่คือชีวิตประจำวันนั่นเอง แต่ถ้าขณะใดที่หลงลืมสติ ดูเหมือนกับว่าเป็นคนดี แต่ท่านอาจารย์ก็ให้ความเข้าใจว่า เราอาจจะคิดว่าเราเป็นคนดี แต่ถ้าเป็นเราอยู่ จะดีได้อย่างไร ขณะนั้นก็เป็นไปกับอกุศลธรรมนั่นเอง เพราะว่าถ้าดีแล้ว ต้องเป็นกุศลธรรมนั่นเอง แม้แต่การที่จะคิดถึงผู้อื่น ช่วยเหลือผู้อื่น จะรู้หรือไม่ก็ตาม ขณะนั้นก็ต้องเป็นไปด้วยกุศลธรรมนั่นเอง แต่เมื่อใดเป็นเราตลอด แล้วก็ไม่รู้ธรรมตามความเป็นจริง ก็เป็นอกุศลธรรมนั่นเอง

    เพราะฉะนั้นชีวิตก็ไม่พ้นกุศลธรรมก็มี อกุศลธรรมก็มี อัพยากตธรรม คือไม่ใช่กุศลธรรม และอกุศลธรรมก็มี ซึ่งเราก็สนทนาถึงเรื่องของการเว้นที่เป็นวิรตี ซึ่งวิรตีเจตสิก ก็เป็นโสภณเจตสิกนั่นเอง แต่ก็ไม่ได้เกิดกับกุศลจิตทุกประเภท หรือโสภณจิตทุกประเภท เพราะว่าโสภณสาธารณเจตสิก จะไม่มีวิรตีเจตสิกเกิดร่วมด้วย แต่เมื่อใดมีการวิรัติ งดเว้นทางกาย ทางวาจา ขณะนั้นก็เป็นไปเพราะว่า มีสภาพธรรมที่เป็นวิรตีเจตสิกนั่นเอง ที่เป็นสภาพธรรมที่เว้นชั่ว เพราะถ้าตราบใดที่เรายังมีอกุศลจิตอยู่ แล้วเราก็เป็นไปกับทางกาย ทางวาจา เนื่องด้วยอกุศลจิตนั่นเอง แต่เมื่อมีการวิรัติ งดเว้น แม้แต่คำพูดหรือการกระทำ ขณะนั้นก็ด้วยวิรตีเจตสิก ที่เป็นโสภณเจตสิก ที่เกิดกับกุศลจิตนั่นเอง และถ้าพูดถึงหิริ และโอตตัปปะ โสภณสาธารณเจตสิก เกิดกับกุศลจิต ทุกประเภท ให้รู้เลยว่ากุศลจิตเกิดเมื่อไร ขณะนั้นมีความละอาย และเกรงกลัวต่อบาป ซึ่งก็คือชีวิตประจำวันนั่นเอง

    เพราะฉะนั้นการศึกษาในส่วนของพระอภิธรรม ก็จะเป็นส่วนที่จะให้เราเข้าใจถูก เห็นถูก ในสภาพธรรมตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นเราอาจจะคิดว่าเป็นคนดีทั้งวัน เพราะนั่งเฉยๆ ไม่ได้พูดเท็จ ไม่ได้ฆ่าสัตว์ ไม่ได้ลักทรัพย์ ไม่ได้ดื่มน้ำเมา ก็ดูเหมือนเป็นคนดี แต่จริงๆ แล้วอย่าลืมว่า จิตนั้นมี ๔ ชาติ ชาติกุศลก็มี อกุศลก็มี วิบากก็มี กิริยาก็มี เพราะฉะนั้นนั่งเฉยๆ ขณะนั้นจะเป็นกุศลหรืออกุศล ถ้าไม่ใช่ปัญญาที่รู้ลักษณะสภาพธรรมตามความเป็นจริง และถ้าไม่มีความเข้าใจพระธรรมที่ทรงแสดง ซึ่งดิฉันก็ชอบมากเลย ที่ท่านอาจารย์กล่าวถึงธรรมเตชะ ถ้าไม่มีคุณของพระธรรม ไม่สามารถจะมีความเจริญขึ้นของกุศลธรรมได้เลย เพราะว่าเดชหรือเตชะ เผาธรรมฝ่ายตรงกันข้าม กุศลธรรม เป็นธรรมฝ่ายดี เพราะฉะนั้นก็ต้องอาศัยการได้ยินได้ฟังพระธรรมนั่นเอง จึงจะเผาอกุศลธรรม ซึ่งตรงกันข้ามกับกุศลธรรม แต่ธรรมใดที่จะเป็นเครื่องละเว้นความชั่วทั้งหมด ก็ต้องไม่พ้นปัญญาที่เห็นถูกในสภาพธรรมตามความเป็นจริง

    อ.ธิดารัตน์ พูดถึงวิรตีเจตสิก ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน การเว้นทางวาจา ก็เป็นสัมมาวาจา ขณะที่เว้นคำพูดที่ไม่เหมาะสม หรือวจีทุจริตทั้ง ๔ ประเภท วิรตีเจตสิกที่เกิดขึ้นเว้น ขณะที่เป็นไปทางกาย กายกรรมต่างๆ ที่จะมีการล่วงศีล และเกิดขึ้นเว้น ซึ่งแต่ละขณะก็จะเกิดขึ้นทีละครั้ง จะไม่เกิดพร้อมกัน วิรตีดวงหนึ่งดวงใด เกิดขึ้นทำหน้าที่ แล้วก็ยังเหลืออีก สัมมาอาชีวะ กราบท่านอาจารย์ ทุกคนก็ต้องมีอาชีพ มีการเลี้ยงชีพชอบ ในชีวิตประจำวันจะมีการเว้นโดยเป็นสัมมาอาชีวะ ลักษณะอย่างไรบ้าง

    ท่านอาจารย์ ทุจริตก็ไม่พ้นจากกาย วาจา ใช่หรือไม่ ทั้งหมดก็มาจากใจ แต่ที่ทรงแสดงธรรมโดยละเอียด แม้แต่สภาพธรรมที่เว้นทุจริต ก็ให้รู้ว่าไม่ใช่เรา แต่เมื่อเป็นธรรม ก็ต้องเป็นธรรมฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด คือเป็นรูปธรรมหรือเป็นนามธรรม เพราะฉะนั้นในขณะนั้นเราก็รู้อยู่แล้วว่า รูป ไม่ใช่สภาพรู้เลย เพราะฉะนั้นทุกอย่างในชีวิต เป็นไปด้วยกำลังของจิต แล้วแต่ว่าจะเป็นกุศลหรืออกุศล

    เพราะฉะนั้นชีวิตประจำวัน เรามีการเว้นทุจริต ถูกต้องหรือไม่ แต่ไม่ใช่เรา แสดงตามความเป็นจริงให้เข้าใจถูกต้องว่า แม้ขณะนั้นก็เป็นธรรม เพราะฉะนั้นทั้งหมดไม่ว่าจะแสดงโดยชื่อต่างๆ ก็หมายความถึงขณะนั้น ชื่อนั้น เช่น ใช้คำ วีรตีเจตสิก ก็คือขณะที่กำลังเว้นทุจริตทางกาย ทางวาจา ไม่พร้อมกัน ถ้าเป็นกาย ทางกาย ก็เป็นวิรตีที่เป็นไปทางกาย ถ้าเป็นทางวาจา ก็เป็นการงดเว้นที่เป็นไปทางวาจา คนละเจตสิก แต่ก็ยังมีอีกหนึ่งเจตสิก ซึ่งการงดเว้นนั้น เป็นไปในการเลี้ยงชีพหรือในการที่เราจะดำรงชีวิตต่อไป เพราะฉะนั้นก็ต้องแยกกัน ไม่มีความจำเป็นใดๆ เลย ที่จะต้องเลี้ยงชีพโดยการทุจริต ใช่หรือไม่ แต่เมื่อมีอกุศลเกิดขึ้น ก็เป็นไปตามกำลังของอกุศลนั้น จนกว่ามีปัจจัยที่ทำให้สัมมาวายามะเกิดขึ้นวิรัติ แม้ว่าขณะนั้น จะเป็นไปเพื่อการเลี้ยงชีพ

    นี่ก็แสดงให้เห็นว่าต่างกัน เพราะเหตุว่าการสะสมทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิต จะติดตามสืบต่อ แม้ในชาติซึ่งอาจจะเกิดเป็นนกกระยาง ก็ไม่กินอาหารที่เป็นสัตว์ที่มีชีวิตก็ได้ แล้วแต่ ไม่มีใครสามารถที่จะไปเลือกชีวิตของแต่ละคน ในชาติไหนให้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ แต่ที่สำคัญที่สุด คือเข้าใจถูกว่าเป็นธรรม ไม่ว่าจะฟังเรื่องวิรตี สัมมาวาจาชอบเมื่อวิรัติทุจริต หรือว่าสัมมาอาชีวะ เมื่อขณะนั้นเป็นไปในการเลี้ยงชีพ แต่ก็ต้องเห็นประโยชน์ว่า ที่ทรงแสดงเพื่อให้เข้าถึงความเป็นธรรม ซึ่งไม่ใช่ตัวตนที่เว้น แต่ต้องเป็นสภาพของเจตสิกนั่นเอง

    อ.ธิดารัตน์ เวลาที่เว้นทุจริต ถ้าเว้นทางวาจา ก็ต้องมีสัมมาวาจา ถ้าเว้นทางกาย ก็ต้องมีสัมมากัมมันตะ

    ท่านอาจารย์ เพราะสัมมาวาจาเจตสิกเกิดขึ้นวิรัติทุจริต เพราะสัมมากัมมันตเจตสิกเกิดขึ้นวิรัติกายทุจริต ไม่มีเรา ทั้งหมดเพราะเป็นธรรม

    อ.ธิดารัตน์ แล้วจะมีการเว้นกายหรือเว้นวาจา แล้วก็เป็นไปเพื่อการเลี้ยงชีพ

    ท่านอาจารย์ ถ้าต้องขึ้นศาล จะพูดจริงไหม หรือไม่ต้องไปศาล ก็พูดไม่จริงไปเรื่อยๆ ต่างกันแล้ว ใช่หรือไม่ สัมมาวาจาปกติ เป็นไปกับการเลี้ยงชีพเพื่อความเป็นอยู่เพื่อชีวิต ขณะใดก็ตามที่วิรัติจากทุจริต ไม่ว่าโดยประการใด จะโดยอาชีพหรือโดยการไม่ฆ่าสัตว์เล่น สนุกหรืออะไรก็ตามแต่ หรือว่าพูดวาจาเพ้อเจ้อ หรือว่าไม่จริง แล้วก็หัวเราะกันเล่น โดยที่ไม่เกี่ยวกับการอาชีพก็มี ในวาระที่ต่างกัน เป็นเพราะเจตสิกต่างกัน ที่สามารถจะรู้ได้จริงๆ อย่างนี้หรือเปล่า หรือเพียงแค่ฟัง ถึงเวลาจริงๆ อาจจะนึกไม่ได้ แต่ถ้าศึกษาต่อไป ปัญญาเจริญขึ้น เข้าใจธรรมขึ้น ขณะนั้นก็จะรู้ถึงลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นธรรมจริงๆ ขอยกตัวอย่านิดหนึ่ง ที่นี่มีดอกไม้เหี่ยวแห้งหนึ่งดอก หยิบขึ้นมาจิตอะไร

    อ.ธิดารัตน์ ก็ไม่ชอบ

    ท่านอาจารย์ โดยเท่าที่ได้ฟัง เพราะว่ายังไม่ใช่สติสัมปชัญญะ ที่สามารถจะเข้าถึงลักษณะที่เป็นธรรม คือเป็นจิตหรือเป็นเจตสิกหรือเป็นรูป แต่วันหนึ่งๆ เราก็ทำหลายๆ อย่างด้วยกาย ด้วยวาจา และทางที่จะเข้าใจสิ่งที่ได้ฟัง จะเข้าใจเมื่อไร เข้าใจเวลากำลังพูดถึงตามหนังสือ หรือว่าขณะนั้นมีความเข้าใจกิริยาอาการ ซึ่งเกิดขึ้นในขณะนั้น ซึ่งใกล้ต่อการที่จะรู้ว่าเป็นธรรม แต่กว่าจะรู้ว่าเป็นธรรมจริงๆ ปัญญาต้องเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นเพียงแค่เอื้อมมือไปหยิบดอกไม้ทั่วๆ ไป เป็นจิตอะไร

    อ.ธิดารัตน์ โลภะ

    ท่านอาจารย์ เห็นหรือไม่ มีใครตอบว่ากุศลบ้างไหม ใช่หรือไม่ จะรู้ได้อย่างไร ถ้าไม่ใช่จิตของบุคคลนั้น จะเป็นกุศลถึงการดับกิเลสก็ได้ กิริยาอาการเหมือนกัน เห็นก็เห็นอย่างนี้ แล้วก็ถึงเป็นอกุศลจิต ปัญญาที่อบรมแล้ว ยังสามารถรู้ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา

    เพราะฉะนั้นชีวิตประจำวันจากการที่ไม่ได้ฟังธรรมเลย จนกระทั่งค่อยๆ ได้ยินได้ฟังเพิ่มขึ้น เป็นเรื่องราวต่างๆ วิรตีเจตสิกเป็นอย่างไร เมื่อไร สัมมากัมมันตะต่างกับสัมมาอาชีวะอย่างไร ก็นั่งคิด นั่งฟังไป แต่เวลาที่เกิดขึ้นจริงๆ จะรู้อย่างนั้นไหม หรือแม้เพียงแต่จะเข้าใจถูกว่า ไม่ใช่เรา เพราะเป็นลักษณะของสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ไม่ต้องเอ่ยชื่อเรียกเลย ว่ารูปธรรมหรือนามธรรม

    เพราะฉะนั้นธรรมจึงเป็นเรื่องที่ละเอียด ฟังเพื่อเข้าใจ เพื่อเห็นถูกว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ใช่เรา เป็นแต่เพียงธรรมที่เกิด จึงปรากฏเป็นสภาพธรรมหนึ่ง ไม่เป็นสภาพธรรมอื่นเลย เพราะฉะนั้นก็จะตอบได้สำหรับ คนที่เข้าใจลักษณะของสภาพธรรม ถ้าขณะนั้นไม่ได้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรม ก็เพียงแค่คิดไตร่ตรอง เพราะว่าเมื่อสักครู่นี้ก็มีคนตอบว่า เอื้อมไปหยิบได้คืออกุศลจิต บางคนก็บอกเป็นโลภะ ก็ตอบได้ แต่จริงๆ ลักษณะของโลภะปรากฏหรือเปล่า ก็ไม่ได้ปรากฏ

    อ.ธิดารัตน์ ก่อนที่ท่านอาจารย์ถาม หนูมองอยู่นานแล้ว ก็รู้สึกว่าอยากจะเอามันออก

    ท่านอาจารย์ เป็นความคิด คนละใจก็จริง แต่ก็มีการกระทำอย่างนั้นจริงๆ แต่เมื่อกำลังศึกษาธรรม ฟังธรรม เราสามารถเข้าใจได้ว่า ความรู้ของเราที่ได้ยินได้ฟังแล้ว มากน้อยแค่ไหน


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 193
    31 ม.ค. 2568

    ซีดีแนะนำ