พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 882


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๘๘๒

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๒๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๖


    อ.วิชัย ขณะที่มีความพอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัส เป็นอกุศลหรือไม่

    ผู้ฟัง เป็นอกุศล

    อ.วิชัย มีอุทธัจจะเกิดร่วมด้วยหรือเปล่า เมื่อสักครู่ตอบแล้ว ใช่ไหม ถ้าเป็นอกุศลต้องมีอุทธัจจะเกิดร่วมด้วย

    อ.อรรณพ นิวรณ์ ๕ ก็มี ๑. กามฉันทนิวรณ์ การติดข้องในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ๒. พยาปาทนิวรณ์ โทสะ ความขุ่นข้องเดือดร้อนต่างๆ ๓. วิจิกิจฉานิวรณ์ ความลังเล สงสัย ในสภาพธรรมที่เกิดขึ้นกลุ้มรุมอยู่ และ ๔. ถีนมิทธนิวรณ์ ความโงกง่วง ความหดหู่ ท้อถอย แล้ว ๕. อุทัธจจกุกกุจจนิวรณ์ ความไม่สงบ ความเดือดร้อน รำคาญใจ ซึ่งเป็นอกุศลธรรมที่มีกำลังมากกว่า บางเบามากกว่าอาสวะ

    ลองคิดดูว่า แค่อาสวะบางเบา ยังไม่ได้กลุ้มรุม เป็นความพอใจมากมาย หรือโทสะอะไรรุนแรง ก็ยังขยายห้วงของกิเลสเลย เพราะฉะนั้นถ้าเป็นนิวรณ์ เป็นอะไรที่เกิดกลุ้มรุม ก็ยิ่งจะทำให้เกิดการสะสมกิเลสกว้างขวาง และกิเลสดุจห้วงน้ำ ห้วงน้ำก็ยิ่งกว้างๆ เพิ่มขึ้น ข้ามอยากขึ้น

    ผู้ฟัง นิวรณ์ทั้ง ๕ จะเกิดร่วมกันทั้งหมดหรือไม่

    อ.อรรณพ ทีละขณะ โลภะกับโทสะ เกิดพร้อมกันได้หรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    อ.อรรณพ ไม่ได้ ขณะที่กามฉันทนิวรณ์เกิด อย่างพอใจ ดอกไม้สวยมากเลย ชอบมากๆ นั่นคือความพอใจ ติดข้อง กามฉันทนิวรณ์ กิเลสก็เกิดขึ้นกลุ้มรุมแล้ว ถ้าเกิดโทสะ ไม่พอใจสัตว์บุคคลต่างๆ รถติด คนปาดหน้า อะไรต่ออะไร ใช่ไหม ก็เกิดความไม่พอใจ พยาปาทนิวรณ์ คนละขณะ

    ผู้ฟัง อุทธัจจะเกิดร่วมกับกามฉันทะหรือ

    อ.อรรณพ อุทธัจจะ เกิดกับอกุศลทุกประเภท เป็นความไม่สงบ เพราะฉะนั้นก็แล้วแต่ว่าอกุศลประเภทใด จะสามารถเกิดกับอกุศลประเภทใดได้ บางประเภทเขาก็ไม่เกิดด้วยกัน อย่างโลภะกับโทสะ กามฉันทะกับพยาปาทะ ก็ต้องคนละขณะ

    อ.ธิดารัตน์ อกุศลเจตสิกที่ทั่วๆ ไปแก่อกุศลจิตทุกดวง ก็ต้องมีโมหะ อหิริกะ อโนตตัปปะ แล้วก็อุทธัจจะ อกุศลทุกประเภทเลย ต้องมีเจตสิกทั้ง ๔ แต่ทั้งนี้ว่าที่คุณรักมาถาม กล่าวโดยนัยของนิวรณ์ ซึ่งเป็นธรรมที่เป็นอกุศลธรรม ที่เป็นเครื่องกั้นกุศลธรรม กราบเรียนท่านอาจารย์ค่ะ ลักษณะของนิวรณ์ซึ่งเหมือนกับจะมีกำลัง แล้วก็เป็นเครื่องกั้น

    ท่านอาจารย์ ใช้ภาษาไทยก็ได้ ใช่หรือไม่

    ผู้ฟัง ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะเหตุว่าคุณรักพอใจแล้วที่ได้ฟังชื่อ ครบถ้วนทั้ง ๕ และคำอธิบายด้วย แล้วเดี๋ยวนี้ นิวรณ์ไหน มีหรือเปล่า ไม่อย่างนั้นเราก็พูดกันไปเรื่อย เรื่องนั้นเรื่องนี้ แล้วเดี๋ยวนี้ นิวรณ์คือสภาพธรรมที่เกิดบ่อย กลุ้มรุม พัวพันจิตใจ ไม่ให้ไปสู่ที่อื่น ก็มี ๕ อย่าง ถูกต้องหรือไม่

    ผู้ฟัง ถูก

    ท่านอาจารย์ อย่างอาสวะเรารู้ไม่ได้ บางเบามาก เพียงแค่เห็นแล้วรูปยังไม่ดับ เกิดแล้วใครจะรู้ เพราะรูปก็เกิดดับเร็วมาก แต่ต่อเมื่อใดถึงขั้นของนิวรณ์พอรู้ ใช่หรือไม่ เพราะว่าคุณรักพูดถึง ๕ อย่าง ครั้งแรกคุณรักใช้คำว่า กิเลส แต่หมายความถึงนิวรณ์ ๕ กิเลสซึ่งเป็นนิวรณ์คือ สภาพธรรมที่กลุ้มรุมจิตพัวพันไม่ให้ไปไหนเลย ประการที่หนึ่งคืออะไร เมื่อสักครู่ฟังแล้ว

    ผู้ฟัง กามฉันทะ

    ท่านอาจารย์ กามฉันทนิวรณ์คืออะไร

    ผู้ฟัง ความพอใจในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้มีหรือไม่

    ผู้ฟัง เดี๋ยวนี้มี

    ท่านอาจารย์ พอใจในรูปอะไร

    ผู้ฟัง พอใจในรูปเครื่องแบบ

    ท่านอาจารย์ เห็นชัดแล้วใช่หรือไม่ นิวรณ์ปรากฏ ไม่ใช่อาสวะ ใช่หรือไม่ อาสวะก็มี แต่ไม่ใช่นิวรณ์ แต่นิวรณ์เห็นชัดเลย ตัวอย่างเดียวก็คงพอ เพราะว่ามีตั้ง ๕ กามฉันทนิวรณ์มี ใครก็ตามที่ไม่ใช่คุณรัก แต่ว่ามีความพอใจในรูปบ้าง ในเสียงบ้าง ดนตรี เสื้อผ้า รองเท้า อะไรก็ตามแต่ กลิ่นบ้าง รสบ้าง พวกนั้น พัวพันอยู่ขณะนั้น ปรากฏว่าเป็นความติดข้อง ขณะนั้นเป็นนิวรณ์ ทำให้ไม่คิดถึงกุศลใดๆ เลยทั้งสิ้น ใช่หรือไม่ ชอบอยู่นั่นแล้ว พอใจอยู่นั่นแล้ว ติดอยู่นั่นแล้ว พัวพันอยู่ตลอดเวลา

    เพราะฉะนั้นกามฉันทนิวรณ์ มีทุกคน เว้นใคร นี่ก็เป็นเรื่องที่ละเอียด ผู้ที่ดับกิเลสอะไรบ้างแล้ว จึงสามารถที่จะไม่มีกามฉันทนิวรณ์ได้ สูงมากเลย เกือบจะถึงความเป็นพระอรหันต์ ที่จะไม่มีกามฉันทนิวรณ์ เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่ให้รู้ว่าเป็นธรรม ขณะนั้นดีไหม มีนิวรณ์

    ผู้ฟัง ไม่ดี

    ท่านอาจารย์ อาสวะก็มี และก็ยังมีนิวรณ์อีก ก็วันหนึ่งๆ ก็เป็นอย่างนี้ ขณะที่ไม่ได้ฟังธรรม ก็พ้นไม่ได้เลย นิวรณ์ประการที่สองคืออะไร

    ผู้ฟัง พยาปาทะ

    ท่านอาจารย์ มีหรือไม่

    ผู้ฟัง วันนี้ก็มีแล้ว

    ท่านอาจารย์ กำลังมีรู้หรือไม่

    ผู้ฟัง กำลังมี ก็แผล็บเดียว ดับไปแล้ว ถึงรู้

    ท่านอาจารย์ ยาก เพราะเหตุว่ากำลังเป็นโทสะแล้วที่จะให้รู้ว่า ขณะนั้นเป็นโทสะนี่ยาก เพราะโทสะมีกำลัง ด้วยเหตุนี้ที่เป็นนิวรณ์ก็คือกลุ้มรุมด้วยความโกรธ โกรธไม่น้อยเลย ลองมีเรื่องอะไรสักเรื่องหนึ่ง โกรธมาก ข่าวโทรทัศน์บ้าง ข่าวหนังสือพิมพ์บ้าง ข่าวเพื่อนฝูงบ้าง แล้วพยาปาทะไม่ได้หมายความแต่เฉพาะความโกรธ ความขุ่นใจ ความเสียใจ ความน้อยใจ ทุกอย่างหมด น้อยใจใครนานๆ หรือไม่

    ผู้ฟัง น้อยใจ ก็เป็นพยาปาทะเหมือนกันหรือ

    ท่านอาจารย์ ทุกอย่างที่ไม่น่าพอใจ จะใช้คำว่าพยาปาทะได้ ขณะใดที่โทมนัส ความรู้สึกไม่สบายใจเกิด ขณะนั้นต้องมีโทสะเกิดร่วมด้วย คือสภาพที่ไม่พอใจ ที่ทำให้ขุ่นเคืองใจ เดือดร้อนอยู่นานพอสมควร แล้วแต่ว่าจะมากหรือจะน้อย เพราะฉะนั้นพยาปาทะก็เป็นนิวรณ์กลุ้มรุมในขณะนั้น ผู้นั้นเองก็จะรู้ว่าหมดหรือยัง พยาปาทะที่กลุ้มรุม หมดหรือยัง

    อ.ธิดารัตน์ ท่านอาจารย์หมายถึง แม้กระทั่งขณะที่ไม่สบายใจ และความไม่สบายใจ ก็เหมือนกับเกิดอยู่เรื่อยๆ เดี๋ยวก็ไม่สบายใจ แม้เพียงเล็กน้อย ขณะนั้นก็กลุ้มรุมแล้ว

    ท่านอาจารย์ สภาพธรรมที่เกิดบ่อย ไม่ห่างไกลเลย พัวพันอยู่ตลอด ปรากฏในลักษณะที่ว่า เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นอย่างน้อยใจ น้อยใจอยู่นานหรือไม่ หลายวันหรือเปล่า เพื่อนฝูง มิตรสหาย ลูกหลาน ญาติสนิทก็แล้วแต่ ใช่หรือไม่ ขณะนั้นจะชื่อว่าไม่เป็นนิวรณ์หรือ เกิดเสียจนไม่ไปไหน คิดอยู่แต่เรื่องนั้นตลอดเวลา โกรธนานไหม

    ผู้ฟัง ไม่นาน แผล็บเดียวก็ดับไปแล้ว

    ท่านอาจารย์ ลืมหรือยัง

    ผู้ฟัง แต่สัญญายังจำได้อยู่

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวก็คิดอีก โกรธอีก ใหม่อีก ต่ออีก ใช่หรือไม่ ก็เป็นนิวรณ์ มีไหม

    ผู้ฟัง มีอกุศล ย่อมไม่ดีอย่างแน่นอน

    ท่านอาจารย์ ฟังธรรม แล้วเข้าใจว่าไม่ดี แล้วจะลดลงบ้างไหม

    ผู้ฟัง ต้องลดให้ได้

    ท่านอาจารย์ นี่คือจะรู้ได้ว่าจากการฟัง ปัญญาเข้าใจแค่ไหน ไม่ต้องไปถามใครเลย ว่าขณะนี้มีปริญญา หรือได้อะไรต่ออะไรก็ตามแต่ เพียงแต่ว่าเป็นผู้ที่รู้ด้วยตัวเอง ว่ายังมีโทสะหรือไม่ มากหรือน้อย ก็เป็นเรื่องที่ถามคนอื่นไม่ได้ แต่เริ่มเข้าใจว่าเป็นธรรม ซึ่งสะสมมา เพราะฉะนั้นคนที่สะสมไว้มากๆ ก็จะเป็นอย่างนี้ ขี้น้อยใจ ขี้โกรธ อะไรก็หลายๆ อย่าง นี่ก็แสดงให้เห็นถึงการสะสม ซึ่งเป็นธรรม ธรรมเตชะ เมื่อมีความเข้าใจก็จะค่อยๆ สะสม และก็เห็นโทษของสิ่งที่ไม่ดี

    แต่ว่าชีวิตประจำวัน และก็เป็นเครื่องแสดงว่า เข้าใจธรรมแค่ไหน ถูกต้องหรือไม่ ถ้ากุศลธรรมเกิดมาก อกุศลธรรมน้อยลง ก็แสดงว่ามีความเข้าใจธรรมเพิ่มขึ้น

    ผู้ฟัง แล้วนิวรณ์เป็นเครื่องกั้นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ขณะที่กำลังโกรธ ทำดีได้หรือไม่

    ผู้ฟัง ทำไม่ได้ เพราะว่าเกิดโทสะแล้ว

    อ.ธิดารัตน์ อย่างน้อย ก็ได้ค่อยๆ พิจารณาว่า ขณะนี้มีอกุศลธรรมประเภทไหน เกิดกลุ้มรุมแล้ว ก็เป็นนิวรณ์

    อ.คำปั่น สืบเนื่องจากการสนทนาธรรมมาหลายสัปดาห์ ท่านอาจารย์ครับ ที่กล่าวถึงความเป็นจริงของธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งก็มีจริงๆ ตราบใดก็ตามที่ยังไม่สามารถจะดับกิเลส ถึงความเป็นพระอรหันต์ ทุกคนต้องมีแน่นอน นั่นก็คือ อกุศลธรรม ซึ่งตามความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงนั้น แสดงเพื่อให้เข้าใจตามความเป็นจริงแน่นอน ทุกคนยังมีกิเลสอยู่ ยังมีอกุศลอยู่ แต่การศึกษาพระธรรม ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ในส่วนของอกุศลธรรม โดยนัยต่างๆ มากมาย สิ่งที่จะเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่ผู้ฟัง ผู้ศึกษานั้นจะเป็นอย่างไร กราบเรียนท่านอาจารย์ถึง ความสำคัญของการศึกษา ในส่วนของสภาพธรรม ที่เป็นอกุศลธรรม

    ท่านอาจารย์ ไม่ว่าจะเป็นกุศลธรรม อกุศลธรรม ก็ตามแต่ ประโยชน์คือได้รู้ความจริง สั้นอย่างนี้ แต่ว่าเคยรู้ความจริงอะไรบ้างหรือเปล่า ในสิ่งที่มีตั้งแต่เกิดจนตาย ความจริงที่ทุกคนคิด จะเป็นความจริงถึงที่สุด อย่างที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงหรือเปล่า นี่ก็เป็นสิ่งซึ่งจะเห็นได้ว่า แต่ละคนไม่ได้มีปัญญาถึงการที่จะรู้ความจริงด้วยตนเอง แต่ต้องอาศัยการได้ฟัง ผู้ที่ทรงบำเพ็ญพระบารมี ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง

    เพราะฉะนั้นแต่ละคำ เป็นคำที่ลึกซึ้ง ทั้งหมดเป็นคำจริง ส่วนคนที่จะได้เข้าใจความจริงมากน้อยแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับว่า ได้พิจารณาคำจริงนั้นว่า หมายความถึงสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้แน่นอน จึงเป็นคำจริงที่สุดที่ว่า ขณะนี้ไม่ว่าอะไรกำลังปรากฏ พระผู้มีพระภาคทรงแสดงความจริง ของสิ่งที่กำลังปรากฏ ให้ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ไม่ทราบตรงใจของคนที่ต้องการรู้ความจริงหรือเปล่า หรือว่าต้องการความจริงอื่น

    แต่ความจริงที่สุดก็คือว่า ขณะนี้มีสิ่งที่มีจริงๆ ยากที่จะรู้ว่า สิ่งที่มีจริงนั้น จริงอย่างไร แค่ไหน จริงชั่วคราว สั้นมาก เพียงปรากฏแล้วหมดไป นี่คือต่อไปเมื่อได้ศึกษาละเอียดขึ้น ก็จะรู้ว่าทุกคำที่ทรงแสดงเป็นความจริง ซึ่งสามารถที่จะเริ่มค่อยๆ เข้าใจขึ้น ขณะนี้พูดถึงเห็น จริง เหมือนนาน เห็นอยู่นาน แต่ว่าความจริงก็คือ เพียงชั่วขณะที่ปรากฏสั้นมาก แล้วก็ดับไป

    เพราะฉะนั้นความจริงนี้ ยากที่จะรู้ นอกจากผู้ที่เห็นประโยชน์ และมีศรัทธาว่า จริงหรือ สิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ สั้นอย่างนั้นหรือ เกิดขึ้น และดับไปจริงๆ หรือ และก็ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เคยจำไว้ว่า เที่ยงหรือว่ายั่งยืนเลย แต่เป็นสิ่งที่เพียงปรากฏ และเพราะความหลง ก็ยังคงยึดมั่น พอใจ วุ่นวาย อยู่กับสิ่งที่หมดแล้วเสมอ ขณะนี้สิ่งที่กำลังปรากฏหมดแล้ว ก็ยังวุ่นวาย ถ้าไม่รู้ความจริง

    เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ ว่าประโยชน์จริงๆ ก็คือได้เข้าใจถูก อย่าไปหวังที่จะหมดกิเลสทันที หรืออย่าไปหวังที่จะเป็นผู้ที่สงบกาย สงบใจ สบายมาก วันนี้ได้ฟังธรรม ก็ไม่ใช่อย่างนั้น แต่ว่าทุกอย่างที่เกิด เกิดเพราะเหตุปัจจัยจริงๆ ใครก็บังคับบัญชาไม่ได้ เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ไม่อยากให้เป็นอย่างนี้ก็เป็น อกุศลได้ยินชื่อ ก็ไม่ชอบแล้ว ใช่หรือไม่ กุสละแปลว่าดีงาม ให้ผลเป็นสุข แต่อกุสละหรืออกุศล ตรงกันข้าม ใครจะอยากมี ใครจะอยากเป็น แต่ก็มี ก็เป็น เพราะเหตุปัจจัย เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ที่ตรง และการที่จะสามารถรู้ว่า สิ่งนั้นเป็นจริงอย่างนั้น ก็ด้วยปัญญาที่รู้ตรงความจริงด้วย

    อ.คำปั่น กราบเรียนท่านอาจารย์เพิ่มเติม เพราะว่าการศึกษาพระธรรมนี้ ก็ไม่พ้นไปจากชีวิตประจำวันเลย ไม่ว่าจะกล่าวถึงเรื่องใด ไม่พ้นจากสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้เลย ขอกราบเรียนอาจารย์กล่าวถึงความเป็นจริงของธรรม ที่มีจริงประการหนึ่ง ซึ่งก็คือ ความติดข้อง ยินดีพอใจ เพราะว่าจริงๆ แล้วก็มีด้วยกันทั้งนั้น และก็มีตั้งแต่ระดับที่บางเบา จนกระทั่งถึงมีกำลังกล้าที่จะเบียดเบียน ลักขโมยทรัพย์สินของผู้อื่นได้ เพราะมีความติดข้อง ยินดีพอใจ และถ้าหากว่าศึกษาแล้ว จะเห็นว่าโลภะ ซึ่งเป็นความติดข้อง ยินดีพอใจนี้ อกุศลธรรม ๙ กอง จะไม่ปราศจากโลภะเลย ก็กราบเรียนท่านอาจารย์ถึงความละเอียดลึกซึ้งของพระธรรม ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงโดยนัยต่างๆ

    ท่านอาจารย์ อันตรายมาก ใช่หรือไม่ โลภะ มีอันตรายที่มากกว่าโลภะหรือไม่

    อ.คำปั่น มี

    ท่านอาจารย์ โลภะอะไรที่มีอันตรายกว่าโลภะอื่น เพราะเหตุว่าโลภะเป็นโลภะ แต่อะไรเกิดร่วมกับโลภะ ที่เป็นอันตรายมากด้วย

    อ.คำปั่น ความเห็นผิด

    ท่านอาจารย์ ความเห็นผิด เพราะฉะนั้นการที่จะดับกิเลสต้องทราบเลย ต้องศึกษาโดยละเอียด พระธรรมที่ทรงตรัสรู้ และทรงแสดง ว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ก็ไม่ควรที่จะข้ามไปเลย โลภะก็เป็นอนัตตา โทสะก็เป็นอนัตตา ซึ่งอนัตตาก็คือ ไม่ใช่เรา นี่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะเหตุว่ากำลังฟังเรื่องโลภะ ก็เป็นเราฟังเรื่องโลภะ กำลังคิดไม่อยากจะมีโลภะ ไม่อยากจะมีอกุศล ก็เป็นเรา

    เพราะฉะนั้นที่สำคัญที่สุด คือต้องมีความเห็นถูกว่า สิ่งที่ปรากฏ นี่เป็นความเห็นถูกจริงๆ ในการที่จะดับกิเลสอื่นๆ ใดทั้งสิ้น ก็ต้องมีความเข้าใจถูกว่า สิ่งที่ปรากฏเป็นอะไร ขณะนี้มีโลภะหรือเปล่า มีโทสะหรือเปล่า มีสภาพธรรมมากมาย โดยไม่รู้เลย ถ้าไม่ทรงแสดง แต่เมื่อทรงแสดงแล้ว ก็แล้วแต่ว่าขณะนั้นสภาพธรรมใดจะปรากฏให้เข้าใจ อย่างเวลานี้ กำลังเห็น และก็จะพูดเรื่องโลภะ จะเข้าใจอะไร ถ้าขณะนั้นไม่มีโลภะ แต่มีเห็น

    เพราะฉะนั้นการที่จะเข้าใจจริงๆ ประการแรกก็คือว่าต้องเข้าใจ ธรรมว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ไม่ว่าจะเป็นโลภะ โทสะ ประการใดใดก็ตาม ทั้งหมดเป็นสิ่งที่มีจริง ไม่ใช่ไม่มี แต่เกิดขึ้นปรากฏเมื่อไร ก็มีจริงเมื่อนั้นว่า ต้องมีเหตุปัจจัยที่ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นถ้าไม่เข้าใจ และยึดถือสิ่งนั้นว่าเป็นเรา ก็เพราะไม่รู้ความจริงว่า แท้ที่จริงก็เป็นธรรมนั่นเอง

    ขณะนี้มีความยินดี ในสิ่งที่ปรากฏทางตาที่สวย และก็สงสัยว่า แล้วความไม่รู้จะเป็นเหตุให้เกิดความยินดีอย่างนี้ได้อย่างไร ก็แสดงให้เห็นว่า เพราะไม่รู้ความจริงว่า สิ่งที่ปรากฏที่ว่าเป็นดอกไม้ จริงๆ แล้วคืออะไร เพราะฉะนั้นโลภะก็ต้องมีที่ตั้งของโลภะด้วย ความยินดีพอใจ ไม่ใช่เกิดขึ้นมาลอยๆ แต่ยินดีพอใจในอะไร ในสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ในเสียง ในกลิ่น ขณะที่กำลังรับประทานอาหาร ก็ยินดีพอใจในรส ขณะที่กระทบสัมผัสก็ยินดีพอใจ ไม่แข็งจนกระทั่งเจ็บ กำลังสบาย ที่นั่งหรืออะไรก็ตามแต่ หรืออากาศ ขณะนั้นก็ยินดีในสิ่งที่ปรากฏที่กาย แล้วก็เรื่องราวที่สนุกต่างๆ หัวเราะเบิกบาน ขณะนั้นก็ยินดีในเรื่องที่คิด และในเรื่องที่จำ

    แต่กว่าจะรู้ความจริง ไม่ว่าอะไรก็ตาม เพียงปรากฏแสนสั้น และหมด เพราะฉะนั้นทั้งหมดที่เป็นไปกับสิ่งที่ไม่เหลือ ไม่มี แต่ก็ยังจำว่ามี เพราะฉะนั้นจำว่าเป็นอัตตา เป็นสิ่งที่ยั่งยืน แต่ความจริงก็คืออนัตตา เพราะฉะนั้นที่สำคัญที่สุด คือฟังให้เข้าใจว่า ธรรมเป็นธรรม ก่อนที่จะดับกิเลสใดๆ ได้เลย ก็ต้องมีความเข้าใจ ซึ่งความเข้าใจคือปัญญา ตรงกันข้ามกับอวิชชา เมื่อปัญญาถึงขั้นที่สามารถจะรู้ความจริง ก็ค่อยๆ ละคลายการยึดถือสภาพธรรม แล้วก็จะเข้าใจว่า แม้ขณะนี้โลภะก็ต้องมีที่ตั้งว่า ยินดีในอะไร แม้สิ่งนั้นก็เป็นสิ่งที่ว่างเปล่า คือเพียงปรากฏชั่วคราวแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้นก็ต้องรู้ว่าเป็นธรรม จริงๆ

    อ.คำปั่น ไม่ว่าจะกล่าวถึงเรื่องใด ก็ไม่พ้นไปจากชีวิตประจำวัน กราบท่านอาจารย์ต่อเนื่อง ที่ท่านอาจารย์กล่าวถึงว่า เข้าใจในความเป็นธรรมก่อน ว่าธรรมเป็นอนัตตาไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน และเมื่อสักครู่ท่านอาจารย์ก็กล่าวถึงว่า ยินดี ติดข้องในสิ่งที่ว่างเปล่า ที่ว่ายินดีในความว่างเปล่านี้ อะไรคือความว่างเปล่า เพราะจริงๆ แล้วก็มีเห็น แล้วก็มีติดข้อง เหมือนกับว่ายังมีสิ่งที่ติดข้องอยู่

    ท่านอาจารย์ เห็น ดับหรือไม่

    อ.คำปั่น เห็นดับ

    ท่านอาจารย์ แล้วยังจะมีเห็นอยู่หรือเปล่า เมื่อเห็นดับไปแล้ว

    อ.คำปั่น เห็นดับแล้วก็ไม่มี

    ท่านอาจารย์ ไปหาเห็นเมื่อสักครู่นี้ได้จากที่ไหนอีก ว่างไปเลย ว่างเปล่าไม่เหลือเลย ดับแล้วดับเลยจริงๆ จำสิ่งที่เห็นเมื่อสักครู่นี้ ได้หรือไม่ ว่าเป็นอะไร แม้ความจำก็ดับไปแล้วพร้อมกับเห็น ใช่ไหม เพราะฉะนั้นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นก็ว่างเปล่า เพราะไม่เหลืออีกเลย แม้แต่เห็นขณะนั้น พร้อมสภาพธรรมที่เกิดพร้อมกัน ก็ดับไปไม่เหลือเลย

    เพราะฉะนั้นโลกว่างเปล่า มีแต่การเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย แต่ก็มีปัจจัยที่จะทำให้สิ่งต่างๆ เกิดสืบต่อ เกิดแล้วก็ดับๆ ลวงเหมือนกับว่ายังมีอยู่ เพราะฉะนั้นถ้ามีความพอใจในสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่ปรากฏ เช่นดอกไม้ที่กำลังเห็น รู้ไหมว่าปรากฏแล้วดับ แล้วไม่กลับมาอีกเลย แต่ไม่ได้เห็นอย่างนั้นเลย เพราะการเกิดดับสืบต่ออย่างเร็วสุดที่จะประมาณได้ ต้องอาศัยการฟัง ค่อยๆ เข้าใจ ค่อยๆ น้อมไป ไม่ใช่ว่าเราจะรู้ความจริงในชาตินี้ แต่การสะสมความเห็นถูกจากการฟัง ไม่ได้หายไปไหนเลย ยังสะสม แล้วก็มั่นคงขึ้น เมื่อเกิดขึ้นบ่อยๆ แสดงว่าการฟังเพียงครั้งเดียวไม่พอ ฟังมานานแสนนานในสังสารวัฏฏ์ ก็ยังต้องฟังต่อไปอีก เพื่อความมั่นคงที่จะค่อยๆ เข้าใจ เมื่อเข้าใจ ก็คลายการที่คิดว่าสิ่งนั้นเที่ยง หรือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ยั่งยืน เพราะฉะนั้นนี่ก็เป็นภาวนา ซึ่งหมายความถึงการอบรมปัญญา ที่จะรู้ความจริง

    อ.คำปั่น นี่คือประโยชน์ของการมีโอกาส ได้ฟังความจริงที่เป็นธรรม ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง สภาพธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย เกิดแล้ว ก็ดับไปเป็นธรรมดา ไม่มีธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย แม้แต่อย่างเดียว ที่เที่ยง ที่ยั่งยืน เพราะว่าเกิดแล้วก็ต้องดับไป นี่คือความเป็นจริงของธรรม ที่เกิด และก็หมดไป ว่างเปล่าจากความเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล อย่างแท้จริง เกิดแล้วก็ไม่มี เพราะว่าตั้งอยู่ไม่ได้ นี่คือความเป็นจริงของธรรม ที่เกิดขึ้นเป็นไปในขณะนี้

    ท่านอาจารย์ ยากหรือไม่

    อ.คำปั่น ยาก

    ท่านอาจารย์ ยากแล้วเป็นอย่างไรต่อ

    อ.คำปั่น ยิ่งจะต้องมีความอดทน และก็มีความเพียร ที่จะฟัง ที่จะศึกษาต่อไป

    ท่านอาจารย์ แล้วจะได้รับมรดกไหม มรดกของใคร ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ของคนอื่น ใครเกลียดคร้าน ใครไม่อดทน ไม่มีโอกาสที่จะได้มรดก เหมือนลูกไม่ดีของพ่อแม่ ใช่หรือไม่ ก็ถูกตัดขาด จะได้รับมรดกได้อย่างไร ในเมื่อความประพฤติไม่ดี

    เพราะฉะนั้นถ้าเป็นผู้ที่เพียร อดทน มั่นคง ตรง ศรัทธา พร้อมบารมีทั้ง ๑๐ ก็สามารถที่จะรับมรดกได้ จะเป็นลูกไหน ใครคิดให้ไม่ได้เลย นอกจากตัวเอง ใช่ไหม จะเป็นลูกหรือว่าพ้นจากการเป็นลูก หมดโอกาสที่จะได้รับมรดก

    อ.คำปั่น เมื่อสักครู่ท่านอาจารย์กล่าวถึงมรดก ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมอบไว้ให้ อาจารย์อรรณพครับ ถ้ากล่าวถึงมรดกที่ล้ำค่าจริงๆ ก็คือไม่พ้นไปจาก พระธรรมคำสอน ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ถ้าผู้นั้นไม่ฟัง ไม่ศึกษา ย่อมไม่มีทางที่จะได้รับมรดกจากพระองค์เลย

    อยากจะให้อาจารย์อรรณพ ได้สนทนาในประเด็นนี้เพิ่มเติมด้วย เพื่อความชัดเจน และมั่นคงในความเป็นจริงของธรรม ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง

    อ.อรรณพ มรดกก็ต้องเป็นสิ่งที่มีคุณค่า ถ้าไม่มีคุณค่าก็คงไม่มีใครที่อยากได้รับ แต่มรดกคือพระธรรมคำสอน ผู้ที่จะรับมรดก ก็ต้องมีคุณสมบัติด้วย คุณสมบัติก็คือมีสมบัติที่ดีที่จะรับได้ อย่างธรรมไม่ได้สาธารณะกับทุกคน


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 193
    28 ม.ค. 2568

    ซีดีแนะนำ