พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 883


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๘๘๓

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๒๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๖


    อ.อรรณพ ผู้ที่จะรับมรดก ก็ต้องมีคุณสมบัติด้วย คุณสมบัติก็คือ มีสมบัติที่ดี ที่จะรับได้ อย่างธรรมไม่ได้สาธารณะกับทุกคน ธรรมมีให้ศึกษา มีให้ฟัง มีให้พิจารณา ในภาษาต่างๆ ภาษาบาลีก็เป็นภาษากลางของธรรม ซึ่งก็จะถูกแปลไปเป็นภาษาต่างๆ พร้อมที่จะถ่ายทอดมรดก ให้กับผู้ที่สะสมมาที่จะได้ฟัง ใช่หรือไม่ แต่ผู้ที่ไม่เห็นค่าก็ไม่อยากได้ เพราะไม่รู้ว่ามีค่า เหมือนไก่ เหมือนอะไร ใช่หรือไม่ เขาก็เห็นข้าวเปลือกมีค่ามากกว่าเพชรนิลจินดา ถูกไหม แต่เรายิ่งกว่านั้น บางคนก็เห็นธรรม คือพระธรรมคำสอนเป็นเรื่องล้าสมัย เป็นเรื่องที่มีไว้สำหรับผู้ที่สูงอายุ หรือไว้ปลอบใจ เอาไว้ทำใจ ใช่หรือไม่ แต่ไม่รู้เลยว่าจริงๆ แล้ว พระองค์ท่านทรงแสดงธรรม ๔๕ ปี ประมวลมาเป็นพระธรรมวินัย ประมวลมาเป็นปิฎก ๓ เพื่อเป็นมรดกสำหรับผู้ที่สะสมมา ที่จะได้อาศัยพระธรรมคำสอน ได้สะสมอบรมความเข้าใจ เป็นอุปนิสยโคจร เริ่มต้นเลย

    แค่มรดกคือ การศึกษาพระธรรมก็ยังไม่รับ ไม่ต้องไปพูดถึงมรดกคือทรัพย์ต่างๆ ซึ่งเป็นอริยทรัพย์ ศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา ซึ่งเป็นธรรมที่ดีงาม ที่จะเป็นมรดกที่จะติดไปในจิต ซึ่งมรดกหรือทรัพย์ที่มีค่าเหล่านี้ ก็เป็นอีกระดับหนึ่งแล้ว จนสามารถจะถึงมรดกสูงสุด คือการที่สามารถถึงพระนิพพานแล้วก็ดับกิเลสได้ แต่ถ้าจะพูดให้ง่ายๆ กว่านี้ก็ได้ เมื่อมีความเข้าใจธรรมแล้ว ก็มีการปรุงแต่งในการเจริญกุศลต่างๆ

    เมื่อวานช่วงบ่ายก็สนทนากันเรื่องความเพียร ว่าความเพียรมีหลายลักษณะ เพียรที่จะละอกุศล เพียรที่จะไม่ให้อกุศลที่ยังไม่เกิด ไม่เกิดขึ้น แล้วอกุศลที่เกิดแล้วก็ละคลาย กุศลที่ยังไม่เกิด ก็เกิดขึ้น หรือกุศลที่เกิดขึ้นแล้ว ก็ไพบูลย์ สมบูรณ์จนเต็มเปี่ยม เป็นมรดกทั้งนั้น ที่จะทำให้คลายอกุศล เจริญกุศล จากกุศลที่ไม่ได้ทำ เช่นทาน ศีล แต่ก่อนก็อาจจะมีบ้าง แต่ก็ไม่ได้ประกอบด้วยปัญญา แต่เมื่อมีความเข้าใจ ทาน ศีลนั้นก็มีความเข้าใจประกอบด้วย การบูชาก็บูชาเหมือนกัน ใช่ไหม แต่ผู้ที่เข้าใจธรรม ก็มีความละเอียด แล้วก็มีความเข้าใจ สลับกับการกระทำต่างๆ มีการสักการะบูชา การทำประโยชน์ต่างๆ เหล่านี้ ก็ค่อยๆ สะสมเป็นมรดกอยู่ในจิต แต่ยังไม่ใช่มรดกสูงสุด แต่นำไปสู่มรดกสูงสุด ก็คือการที่ได้ประจักษ์แจ้งความจริงโดยลำดับ

    ท่านอาจารย์ครับ ยังไม่ต้องพูดถึงว่ารับมรดก ท่านอาจารย์กล่าวว่าจะได้รับมรดกหรือไม่ เบื้องต้นของการที่จะเห็นคุณค่า แล้วก็จะค่อยๆ มีคุณสมบัติที่เหมาะสม ก็เป็นขั้นต้น และอีกประเด็นก็คือ มรดกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ยิ่งอยากได้ยิ่งไม่ได้ กราบเรียนท่านอาจารย์เบื้องต้นว่า ค่อยๆ มีคุณสมบัติที่จะรับมรดกต่อไป

    ท่านอาจารย์ ก็คือมีความเข้าใจลึกซึ้งแต่ละคำ ขอเชิญคุณอรรณพทบทวนเรื่องของความเพียร

    อ.อรรณพ หนึ่งก็คือเพียรที่จะสำรวม สังวร ไม่ให้อกุศลที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น

    ท่านอาจารย์ แค่นี้ เข้าใจหรือไม่ ฟังๆ ได้ ไม่ใช่ฟังไม่ได้ แต่เพียรไม่ให้อกุศลที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น ถูกหรือไม่ ใครทำได้ เห็นไหม ไม่มีทาง ฟังเฉยๆ ดี น่าที่จะเพียรไม่ให้อกุศลเกิดขึ้น แต่ต้องเป็นคำจริงว่า แล้วเพียรอย่างไร ใช่ไหม ไม่ใช่ผ่านคำนี้ไปโดยที่ว่า ก็ลอยๆ ไป แล้วจะเพียรกันอย่างไร ใครจะเพียรได้ มีใครจะเพียรหรือเปล่า

    เพราะฉะนั้นขณะที่กำลังฟังธรรม เพียรเพื่อไม่ให้อกุศลที่ยังไม่เกิด ไม่เกิดหรือเปล่า ต้องมีหนทาง ไม่ใช่บอกว่าเพียร แล้วจะทำกันอย่างไร ไหนบอกสิ ว่าจะไม่ให้อกุศลที่ยังไม่เกิด เกิด ทำอย่างไร ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้เลย แต่ต้องรู้ว่า แม้คำพูดนี้ก็ลึกซึ้ง ว่า แม้ขณะที่กำลังเข้าใจธรรมที่กำลังฟัง คือการเพียรที่จะไม่ให้อกุศลที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น

    ทั้งหมดเป็นเรื่องของปัญญา อย่าลืมว่าคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำ เป็นเรื่องของปัญญา ไม่ใช่เป็นเรื่องไม่คิด หรือว่าไม่ใช่เป็นเรื่องคิดเอง อย่างนั้น จะถูกต้องไม่ได้ เพราะถ้ามีการถามว่า เพียรอย่างไรที่จะไม่ให้อกุศลที่ยังไม่เกิด ไม่เกิด เพียรอย่างไร ใครจะตอบได้ ใครทำได้ ใครแสดงหนทางได้ เพราะขณะนั้นก็เป็นอกุศล โดยไม่รู้เลยว่า ขณะนั้นก็เป็นอกุศล อยากเพียร ใช่ไหม ทำอย่างไรถึงจะไม่ให้อกุศลที่ยังไม่เกิด เกิด นี่คือความลึกซึ้งอย่างยิ่งของพระธรรม

    เพราะฉะนั้นสำคัญที่สุด คือไม่ประมาท ทั้งหมดของทุกคำ รวมเป็นคำเดียว คือสิ่งที่มีจริง ซึ่งเป็นอนัตตา ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร แล้วก็ไม่สามารถที่จะทำให้สิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นไปด้วยความไม่รู้ อยากจะมีปัญญา อยากจะรู้แจ้งอริยสัจ อยากจะไม่ให้อกุศลเกิด แต่ไม่รู้ ไม่มีความเข้าใจใดๆ เลยทั้งสิ้น ไม่มีประโยชน์เลย เพราะเหตุว่าเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

    เพราะฉะนั้นแต่ละคำละเอียดอย่างยิ่ง ลึกซึ้งอย่างยิ่ง เพราะแม้ในขณะนี้ ขณะที่เพิ่งเริ่มที่จะฟัง สำหรับบางท่าน แล้วพอฟังเข้าใจขึ้น ยังไม่จบ ยังไม่ตลอด ยังแค่ครึ่งๆ กลางๆ เพราะเหตุว่าอย่างไรอกุศลก็ยังต้องเกิด ใช่หรือไม่ จนกว่าปัญญา ความเห็นที่ถูกต้อง เพราะความเพียรเข้าใจพระธรรม ก็จะรู้ตามลำดับได้ ว่าอกุศลอะไรที่จะไม่เกิดต่อไป เพราะอกุศลมีมากเหลือเกิน

    เพราะฉะนั้นประการแรกก็คือว่า ความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรม ว่าเป็นตัวตนหรือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ธรรมก็ต้องสอดคล้องกันทั้งหมด ไม่ใช่เราเพียรไม่ให้โลภะเกิด ไม่ให้โทสะเกิด เพียรอย่างไร ไม่มีทางสำเร็จได้เลย เพราะไม่รู้ เพราะฉะนั้นทั้งหมด ก็ต้องเป็นเพราะปัญญา ถ้าไม่ใช่ปัญญา ยังคงเป็นอวิชชา ที่จะไปให้อกุศลไม่เกิด เป็นไปไม่ได้ เพราะเหตุว่าอวิชชาก็ต้องทำให้อกุศลเกิด

    อ.คำปั่น เชิญ คุณเผดิมครับ

    อ.เผดิม อย่างข้อความในพระไตรปิฎก ที่เกี่ยวกับเรื่องความเพียร อย่างเช่นเป็นผู้ปรารภความเพียร ควรเป็นผู้มีความเพียร

    ท่านอาจารย์ แค่นี้ก่อน จะทำอะไรความเพียรที่ว่า ปรารภความเพียร

    อ.เผดิม พยายามจะทำกุศล พยายามที่จะฟังพระธรรม

    ท่านอาจารย์ ถ้าเพียรโดยที่ไม่เกิดความเห็นถูก ไม่มีความเข้าใจถูก จะไม่ให้อกุศลเกิด ได้หรือไม่

    อ.เผดิม ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเพียรอย่างไร ที่จะไม่ให้อกุศลเกิด ก็ต้องเพราะรู้จักสภาพธรรม ทั้งหมดนี้ตามคำสอนที่ทรงแสดง จากการที่ทรงตรัสรู้ มิฉะนั้นครึ่งๆ กลางๆ อันตรายมาก เพียงแค่ได้ยินได้ฟัง คิดเองแล้ว เจริญกุศล แล้วอกุศลจะไม่เกิดหรือถ้าไม่มีปัญญา

    อ.เผดิม แต่อกุศลก็ไม่ดี ไม่ใช่หรือ ควรที่จะละ

    ท่านอาจารย์ อกุศล เกิดจากอะไร

    อ.เผดิม เกิดจากกิเลสที่มี

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นอกุศลทั้งหมด เกิดจากอะไร

    อ.เผดิม ความไม่รู้ เพราะฉะนั้นถ้ายังคงมีความไม่รู้ จะไม่ให้อกุศลเกิดได้หรือไม่ แม้ว่าจะทำกุศลมากๆ แล้วหมดอกุศลหรือ ในเมื่อขณะนี้ ที่กำลังเห็น อกุศลเกิดแล้วโดยไม่รู้ แล้วจะหมดได้อย่างไร ที่จะไม่ให้อกุศลเกิด

    เพราะฉะนั้นขณะที่กำลังฟัง เข้าใจ ขณะนั้นอกุศลเกิดไม่ได้ เมื่อเข้าใจ ต้องไม่ลืม เมื่อเข้าใจ เพราะฉะนั้นในขณะที่ฟัง แล้วไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจอกุศลเกิดหรือเปล่า ไม่เข้าใจเป็นอกุศลหรือเปล่า เกิดแล้วก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นเมื่อใดที่เข้าใจ เมื่อนั้นอกุศลไม่ได้เกิด เพราะฉะนั้นคำของใครเป็นคำจริงที่ว่า เพียรทำกุศล เพื่อที่จะไม่ให้อกุศลเกิด ชั่วคราวเล็กน้อยในขณะที่กุศลกำลังเกิด แต่แล้วอกุศลก็ต้องเกิดอีก แน่นอน

    เพราะฉะนั้นคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพียร เพียรไม่ให้อกุศลเกิด โดยไม่รู้ความจริง หรือว่าอกุศลเกิดอีกต่อไปไม่ได้ เพราะดับ จึงเกิดต่อไปไม่ได้ คือเพียรไม่ให้อกุศลเกิด เพราะดับอกุศลได้ นี่ก็เป็นสิ่งที่ต้องพิจารณา ต้องเข้าใจ มิเช่นนั้นก็เป็นการที่ฟังเผินๆ ครึ่งๆ กลางๆ และไม่รู้ว่าแท้ที่จริงแล้ว หนทางที่จะดับอกุศล มีแน่นอน ไม่ใช่ไม่มี แต่ไม่ใช่เป็นคำของคนอื่น ไม่ใช่เป็นความคิดของคนอื่น แต่ต้องเป็นการศึกษาด้วยความเคารพอย่างยิ่งว่า หนทางนี้ยากไหม ที่อกุศลจะไม่เกิด ในเมื่ออกุศลสั่งสมมามากมายในสังสารวัฏฏ์ แล้วจะไม่เกิดได้อย่างไร

    อ.เผดิม ถ้าไม่เพียรแล้ว กุศลจะเจริญขึ้นได้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ แล้วเพียรเจริญกุศล จะเพียรอย่างไร ลองบอกหน่อย

    อ.เผดิม พยายามทำความดีประการต่างๆ

    ท่านอาจารย์ โดยที่ไม่เข้าใจธรรม แล้วอกุศลจะไม่เกิดหรือ

    อ.เผดิม ก็ยังเกิดบ้าง

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นหนึ่งในสังสารวัฏฏ์มาแล้ว คนที่ไม่ได้ฟังพระธรรม ก็มีทั้งกุศล และอกุศล ก็ยังคงอยู่ในสังสารวัฏฏ์ ยังไม่ได้ดับอกุศลเลย เพราะฉะนั้นแม้แต่ความคิดที่ว่า ไม่ให้อกุศลเกิด หมายความแค่ไหน ชั่วคราวแล้วก็เกิดอีกๆ แล้วก็สะสมอีก หรือเพื่อที่จะดับอกุศลไม่เกิดอีกเลย ก็ขึ้นอยู่กับผู้ที่ฟัง ว่าเพียรไม่ให้อกุศลเกิด พอใจระดับไหน พอใจที่ระดับนั้น ไม่เป็นอกุศล แต่อกุศลก็ต้องเกิดอีกเรื่อยไป เพราะยังมีปัจจัยที่อกุศลจะเกิดอยู่

    เพราะฉะนั้นคำสอนอื่น ไม่ใช่หนทางดับกิเลส ไม่ใช่หนทางดับอกุศล เพียงแค่ไม่ให้อกุศลเกิด แต่คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงดับกิเลส เพราะฉะนั้นก็ทรงแสดงหนทางที่จะดับกิเลส ดับเหตุที่จะให้กิเลส และอกุศลเกิด เพราะฉะนั้นอกุศลเกิดอีกไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้นจะฟังใคร จะไตร่ตรองอย่างไร จะเพียรอย่างไร เพียรแค่ไหน อย่างเวลานี้ ถ้าเป็นเพียงว่า เพียรให้กุศลเกิด ลองทำสิ ใครเพียรให้กุศลเกิดเดี๋ยวนี้ ลองทำสิ กุศลอะไร เดี๋ยวนี้ข้างหน้ายังมาไม่ถึง สิ่งที่ผ่านพ้นไปแล้ว ก็ไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้นทำให้อกุศลไม่เกิด ทำได้อย่างไร เพียรอย่างไรที่จะไม่ให้อกุศลเกิด

    อ.เผดิม อย่างในชีวิตประจำวัน เรามากไปด้วยอกุศล

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นแค่คิดขณะนั้น ก็เป็นอกุศลแล้ว ใช่หรือไม่ อยากไม่ให้อกุศลเกิด เพราะฉะนั้นใครจะเป็นผู้ชี้หนทาง ให้กระจ่างจริงๆ ให้สว่างจริงๆ ให้พ้นจากความมืดจริงๆ ว่า แม้ขณะนั้นก็เป็นอกุศล

    อ.เผดิม เท่ากับว่ามีหนทางเดียว คืออบรมปัญญาให้เข้าใจพระธรรมต่อไป ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ถูกต้องหรือไม่

    อ.เผดิม ดูเหมือนจะช้า

    ท่านอาจารย์ ดูเหมือนช้า ช้าแน่ เพราะเหตุว่าอกุศลมีเท่าไร

    อ.เผดิม มีมาก

    ท่านอาจารย์ มากแค่ไหน

    อ.เผดิม คงมากกว่าที่คิดไว้

    ท่านอาจารย์ แล้วจะให้หมดได้อย่างไร

    อ.เผดิม ก็ต้องฟังพระธรรมต่อไป

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีปัญญา หมดได้ไหม

    อ.เผดิม ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ตอนนี้คงไม่ใช่ดูเหมือน ใช่หรือไม่ ดูเหมือนคือไม่แน่ใจ

    อ.อรรณพ ท่านอาจารย์ครับ คนที่เขาสนใจศึกษาพระธรรม แต่พอได้ยินว่าเพียร ไม่ว่าจะเพียรไม่ให้อกุศลเกิด หรือเพียรละอกุศลที่เกิด หรืออะไรก็แล้วแต่

    ท่านอาจารย์ ก็ขอทราบความจริง ลองเพียรสิ บอกว่าเพียรไม่ให้อกุศลเกิด ทำอย่างไร

    อ.อรรณพ ที่ติดอยู่ในใจคน มีความคิด

    ท่านอาจารย์ คิด ก็เป็นอกุศล

    อ.อรรณพ ขนาดเพียรยังไม่ได้เลย แล้วถ้าไม่มีตัวตนที่จะเพียรเลย แล้วจะเป็นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ แน่นอน มีตัวตนหรือ เพียรเป็นตัวตนหรือ หรือความจริงเพียรเป็นเพียร เป็นธรรมอย่างหนึ่ง ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ถ้ายังไม่รู้เพียงเท่านี้ ไม่มีทาง เพราะเหตุว่าไม่เข้าใจธรรม ว่าเป็นธรรม ยังคงยึดถือธรรมว่าเป็นเรา เพียรนั้นก็เป็นเรากำลังเพียร อกุศลหรือเปล่า

    อ.อรรณพ สิ่งนี้ยากที่จะเห็น เพราะเขาคิดว่า เขากำลังทำดี แล้วจะเหมือนกับว่าไม่สนับสนุนกันหรืออย่างไร

    ท่านอาจารย์ เมื่อทรงตรัสรู้แล้ว ไม่น้อมพระทัยที่จะทรงแสดง หมายความว่าอะไร เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า บำเพ็ญเพียรเป็นพระโพธิสัตว์ ๔ อสงไขยแสนกัป เมื่อได้รับคำพยากรณ์แล้ว จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทีปังกร ถ้ากล่าวถึงพระองค์นี้ แล้วก่อนหน้านั้น ก็ต้องมีความคิดตั้งใจที่จะไม่เกิดอกุศล พยายามเพียรไปที่จะไม่ให้อกุศลเกิด แล้วสำเร็จไหม

    เพราะฉะนั้นเมื่อบำเพ็ญบารมีถึงปานนั้น ตรัสรู้แล้ว ยังไม่น้อมพระทัยที่จะทรงแสดง หมายความว่าอย่างไร หมายความว่าธรรมลึกซึ้งอย่างยิ่งหรือเปล่า แล้วใครประมาท ว่าไม่ต้องอย่างนั้นก็ได้ อย่างนี้ก็ได้ อย่างนั้นนานไป ช้าไปด้วย เร็วๆ ดีกว่า แต่ว่าเร็วๆ นั่นอะไร ก็อกุศลทั้งนั้น

    เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรมเป็นเรื่องยาก อย่างที่คราวก่อน เราได้กล่าวถึงแล้ว ขณะอย่าได้ล่วงเลยไป ขณะที่จะได้ยินได้ฟังพระธรรม เสียงที่ทำให้เข้าใจความจริง เพราะเหตุว่ากำลังฟังอยู่ เสียงอื่นมาแล้ว ใช่หรือไม่ ขณะนั้นล่วงเลยขณะที่ได้ฟัง และเข้าใจ เพียงแม้อยู่ตรงนี้ ก็มีขณะที่ล่วงเลยกาลที่จะฟังพระธรรมให้เข้าใจ

    อ.คำปั่น ก็เป็นเครื่องเตือนที่ดีอย่างยิ่งเลย ขณะอย่าได้ล่วงเลยไปเสีย ในขณะนี้ที่มีโอกาสได้ยินได้ฟังพระธรรม ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ก็ทรงแสดงว่า การที่พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นในโลกประการหนึ่ง การที่พระองค์จะทรงแสดงธรรมประการหนึ่ง และประการที่บุคคลนั้นได้เกิดมาเป็นมนุษย์ พร้อมกันทั้ง ๓ อย่างนี้ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยาก

    เพราะฉะนั้นเป็นโอกาสที่มีค่าอย่างยิ่ง ที่จะได้สะสมความเข้าใจถูก เห็นถูก จากการได้ฟังพระธรรมในแต่ละครั้ง เชิญพี่สุกัญญาครับ

    ผู้ฟัง กราบท่านอาจารย์ค่ะ ขณะฟังพระธรรม ยกเว้นขณะที่เข้าใจ ไม่ได้เป็นกุศล จะมีอกุศลเกิดค่อนข้างมากกว่ากุศลด้วยซ้ำ สภาพของวิริยะหรือความเพียร เป็นสิ่งที่ไม่คิดว่าจะรู้ได้ สภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้นจริงๆ ที่ควรจะรู้

    ท่านอาจารย์ เรารู้หรือปัญญาเข้าใจ

    ผู้ฟัง ปัญญาเข้าใจ

    ท่านอาจารย์ คุณสุกัญญาเป็นคนขยันหรือเป็นคนเกลียดคร้าน

    ผู้ฟัง แล้วแต่ขณะ

    ท่านอาจารย์ ก็แสดงว่า มีบางเวลาที่ลักษณะของความเพียร ก็ยังปรากฏให้เห็นได้ แต่ว่าเป็นเรา แต่ความลึกซึ้งยิ่งกว่านั้น ทรงแสดงโดยขณะจิต ว่าจิตขณะไหน ซึ่งแม้ขณะนี้กำลังเกิดดับอย่างเร็วสุดที่จะประมาณได้ แต่จากพระปัญญาที่ทรงตรัสรู้ ก็ทรงแสดงจิตแต่ละขณะว่า จิตขณะไหน มีสภาพธรรมที่เราใช้คำว่าเพียร คือวิริยเจตสิกเกิดร่วมด้วย และขณะไหนไม่มีวิริยเจตสิกเกิดร่วมด้วย ทั้งๆ ที่จิตก็เกิดดับสืบต่อเร็วจนแยกไม่ออก แต่ปัญญาตรง เข้าใจถูก ตรงตามความเป็นจริงของสภาพธรรม

    เพราะฉะนั้นขณะที่ฟัง เพื่อเกิดปัญญา ความเห็นที่ถูกต้องในความจริง ซึ่งต้องเป็นผู้ตรง ว่าเพียงการฟังแค่นี้ ไปทำอะไรกิเลสไม่ได้เลย มีตัวตนไปเพียรละกิเลสไม่ได้ เพราะเหตุว่ายังไม่เข้าใจสภาพธรรมในขณะนี้ ตามความเป็นจริงว่า เป็นชั่วขณะที่เกิด และดับไป เร็วสุดที่จะประมาณได้ เราจึงไม่รู้ว่าขณะไหนเพียร ขณะไหนไม่เพียร แต่ก็พอจะใช้คำอย่างชาวโลก คนนี้ขี้เกียจ คนนี้ขยัน แต่ขี้เกียจก็มีเพียร นี่แสดงถึงความละเอียดลึกซึ้งว่า ไม่ใช่อย่างที่เราคิด

    เพราะฉะนั้นมีพระธรรมเป็นที่พึ่งหรือเปล่า มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งหรือเปล่า มีหรือไม่มี ถ้าเราคิดเอง

    ผู้ฟัง แต่ความเพียร ก็ไม่ได้เกิดกับจิตทุกขณะ

    ท่านอาจารย์ ขณะไหนไม่เกิด

    ผู้ฟัง ขณะจิตเห็น จิตได้ยิน จิตได้กลิ่น จิตลิ้มรส

    ท่านอาจารย์ สิบแล้ว กุศลวิบากหนึ่ง อกุศลวิบากหนึ่ง แล้วอะไรอีก

    ผู้ฟัง แล้วก็ปัญจทวาร

    ท่านอาจารย์ ปัญจทวาราวัชชนจิต นี่จำทั้งนั้นเลย

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้เป็นอย่างนี้ มีเพียรหรือไม่มีเพียร ก็ไม่รู้ ใช่ไหม ถ้าไม่ทรงแสดง เพราะอะไรจึงฟัง เพราะให้รู้ว่าเกินวิสัยของใครที่จะไปคิด จะไปเข้าใจ เพียงแต่ว่า ฟังเพื่อเห็นความเป็นอนัตตา และความลึกซึ้งอย่างยิ่งว่า ประมาทไม่ได้ คิดว่าจะไปเข้าใจธรรม ไปเพียรอย่างนั้น เพียรอย่างนี้ โดยไม่มีปัญญา ที่จะรู้ว่าขณะนี้ไม่ใช่เราเลย ก่อนอื่นเป็นธรรม คือสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง ที่ปรากฏลักษณะให้รู้ว่า เป็นสิ่งนั้นไม่ใช่สิ่งอื่น ความรู้ต้องตามลำดับด้วย

    เพราะฉะนั้นขณะนี้จะไปรู้ความเพียร รู้ได้ไหม แต่ฟังได้ เข้าใจได้ ว่าเพราะเหตุใดความเพียรจึงไม่เกิดกับจิตประเภทนั้น และเกิดกับจิตประเภทอื่น เพื่อเข้าใจความไม่ใช่เรา จะไปคิดเอง จะไปบังคับบัญชาไม่ได้

    ผู้ฟัง ถ้าเพียรที่จะทำดีแล้ว ต้องเป็นขณะที่กุศลจิตเกิด

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง แต่แล้วอกุศลก็เกิดหลังจากที่กุศลดับ ตามเหตุตามปัจจัย เพราะฉะนั้นวันหนึ่งๆ อกุศลมากหรือไม่มาก

    ผู้ฟัง มาก

    ท่านอาจารย์ แต่ความดีมากหรือไม่

    ผู้ฟัง ความดีก็เกิดสลับบ้าง

    ท่านอาจารย์ มากหรือน้อย

    ผู้ฟัง ถ้าคิดเอาเองก็มาก

    ท่านอาจารย์ คิดเอาเอง บางคนเขาว่า เขาเป็นคนดี เขาไม่มีอกุศลเลย ถ้าเขาคิดเอง

    ผู้ฟัง แต่สภาพจริงๆ ที่เกิด จะรู้ได้ยากมาก

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เพราะใครเป็นผู้ตรัสรู้

    ผู้ฟัง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ท่านอาจารย์ แล้วเราเป็นใคร

    ผู้ฟัง การรู้ตาม ก็ต้องด้วยกับปัญญา

    ท่านอาจารย์ ระดับไหน มาจากการฟังเข้าใจหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเข้าใจพอ ที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมขณะนี้หรือไม่

    ผู้ฟัง รู้บ้าง ไม่รู้บ้าง

    ท่านอาจารย์ ถ้ารู้ ต้องมีเหตุผลว่า รู้อะไร รู้ชื่อ รู้เรื่อง หรือรู้ลักษณะที่เป็นธรรม ที่ไม่ใช่เรา

    ผู้ฟัง บางขณะ

    ท่านอาจารย์ บางขณะ ขณะนั้นเป็นอย่างไร

    ผู้ฟัง ขณะที่เกิดจากการฟังพระธรรมที่เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นขณะนั้นรู้อะไร ลักษณะอะไร

    ผู้ฟัง ลักษณะสิ่งที่มีจริง ที่ปรากฏ

    ท่านอาจารย์ ต้องมีปรากฏว่า ขณะนั้นรู้ลักษณะของอะไร ลักษณะจริงๆ ขณะนั้น ต้องมีลักษณะเฉพาะสิ่งนั้นด้วย

    ผู้ฟัง อย่างเช่นเสียงที่ปรากฏ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นขณะนี้เข้าใจเสียง ใช่หรือไม่ ในขณะที่เสียงปรากฏ เห็นหรือไม่ ต้องกำกับด้วย เข้าใจเสียงในขณะที่เสียงปรากฏ ต่างกันแล้วใช่ไหม

    อ.ธีรพันธ์ ขณะนี้ก็กำลังมีความเพียรอยู่ ที่ฟังธรรมเพื่อความเข้าใจ ไม่มีใครที่สามารถจะทำอะไรได้เลย ไปกำจัดกิเลส โดยที่จะระงับหรือว่าแม้กิเลสที่เกิดขึ้นต่อหน้า ก็ยังไม่รู้จักความจริงที่ปรากฏ ก็ยังไม่สามารถที่จะละกิเลสได้ เพราะฉะนั้นก็ต้องอาศัยการฟังธรรมเท่านั้น ฟังธรรมคือฟังความจริง จากผู้ที่ตรัสรู้แล้ว เพราะว่าผู้ที่ทรงตรัสรู้คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริง กับที่ท่านอาจารย์ ท่านได้กล่าวบ่อยๆ ว่าการที่จะแสดงธรรม ก็เป็นของยาก

    เพราะฉะนั้นไม่ใช่ของง่ายเลย ที่จะเที่ยวแสดง แล้วก็ให้คนอื่นหมดกิเลส นี่ก็เป็นของยากจริงๆ เพราะว่า แม้พระองค์ก็ต้องเห็นความที่ ธุลีในดวงตาของสัตว์ก็คือกิเลสที่น้อย จึงสามารถที่จะรองรับพระธรรมเทศนาได้ ตราบใดที่ยังมีความไม่รู้ มีกิเลสที่เกิดขึ้นในชีวิตจำวัน ถ้ายังไม่รู้ตามความเป็นจริงแล้ว ก็ไม่เห็นโทษของการที่จะฟัง ใช่หรือไม่ ก็มีชีวิตดำเนินไปตามปกติในชีวิตประจำวัน โลภะเกิดขึ้น โทสะเกิดขึ้น แม้ได้ยินในฟังธรรมก็ตาม ก็ยังคิดว่าก็คงไม่เป็นไร ก็จะมีก็มี จะมีความโกรธอะไรเกิดขึ้นก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าผู้ที่เห็นโทษจริงๆ ต้องฟัง ฟังเพื่อรู้ความจริง จะได้รู้ว่าที่เราเข้าใจว่าเป็นกิเลส เป็นโลภะ เป็นโทสะ เกิดจากอะไรกันแน่

    จริงๆ แล้วเกิดจากความไม่รู้ เพราะว่าขณะนี้ก็มีความเพียร ที่จะไม่ต้องเรียกชื่อก็ได้ แต่ว่าขณะที่กำลังฟังในขณะนี้ ถ้ามีความเข้าใจเพิ่มขึ้น ขณะนั้นก็คือระวังอกุศลที่ยังไม่เกิด ไม่ให้เกิดขึ้น เพราะว่าขณะที่มีความเข้าใจ กุศลที่เกิดจากความเข้าใจ ระงับอกุศลคือโมหะ ความไม่รู้นั่นเอง ที่ยังไม่เกิด ไม่ให้โมหะนั้นเกิดขึ้น เพราะว่ามีความรู้ ปัญญาค่อยๆ เข้าใจขึ้น และความเพียรอื่นๆ ก็จะเกิดขึ้นตามมาจากความเห็นถูก ก็คือมีการเห็นโทษของอกุศลต่างๆ แล้วก็พร้อมที่จะเจริญกุศลทุกประการ แต่ที่ขาดไม่ได้คือ ต้องฟังธรรม


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 193
    26 ม.ค. 2568

    ซีดีแนะนำ