พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 884


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๘๘๔

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๒๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๖


    ผู้ฟัง ชื่อพิมลวรรณค่ะ กราบเรียนท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์กล่าวว่า ปัญญาคือสิ่งที่รู้จริง ความจริงคือสิ่งที่ปรากฏ สิ่งที่ปรากฏคือเวลานี้ ดิฉันเห็นอาจารย์กำลังสนทนาธรรม แล้วความจริงที่เห็นว่าเป็นดอกไม้ เป็นสิ่งต่างๆ แล้วอกุศลเกิดขึ้น คือสิ่งที่ปรากฏความจริง ที่เราเห็น มันจะแทรกตัวอกุศลที่เกิดขึ้น จะถูกต้องหรือไม่ หากเราเห็นความจริงในสิ่งที่ปรากฏ ที่เห็นอยู่ อย่างเวลานี้กำลังพูดอยู่ กำลังดูอยู่ กำลังฟังอยู่ อกุศลจะไม่เกิดขึ้น

    ท่านอาจารย์ คงทราบว่าเดี๋ยวนี้จิตเกิดดับนับไม่ถ้วน จริงหรือไม่ หรือว่าแค่ไม่กี่ดวง ไม่กี่ขณะ เห็นหนึ่งขณะ ได้ยินหนึ่งขณะ คิดหนึ่งขณะ หรือมากกว่านั้นมาก นับไม่ถ้วนเลย เพราะว่าเพียงแค่เห็นเท่านั้น สิ่งที่ปรากฏทางตาดับแล้ว ก่อนที่จะเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด

    เพราะฉะนั้นที่เห็นเป็นดอกไม้แต่ละดอก กลีบแต่ละกลีบ เป็นใบไม้ เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ เป็นคนต่างๆ แสดงว่าจิตเกิดดับเท่าไร ใครจะนับได้ นับไม่ถ้วนเลย เพราะฉะนั้นเรากำลังจะกล่าวถึงจิตขณะไหน นี่สำคัญที่สุด เพราะเราเพียงแต่ประมวล และก็รวม และเลือกๆ และเรียกๆ เท่านั้นเอง ใช่หรือไม่ แต่ความจริงแต่ละหนึ่งๆ เป็นความจริงที่ว่า เกิดดับจนกระทั่งไม่ปรากฏเลย ปรากฏเพียงนิมิต การเกิดดับของจิตที่กำลังเห็น ขณะนี้ ไม่ใช่หนึ่งขณะเลย นับไม่ถ้วน และสิ่งที่ปรากฏขณะนี้ก็เกิดดับนับไม่ถ้วน เพราะฉะนั้นอยู่ในโลกของนิมิต

    เพราะฉะนั้นการฟังธรรม คือเริ่มที่จะฟังเรื่องสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง จนกว่าจะรู้จริงๆ ว่า เป็นแต่ละหนึ่งที่มารวมกัน แล้วก็ทำให้เข้าใจ ยึดถือโดยนิมิตสัณฐานว่า เป็นคนนั้นคนนี้ เช่นเห็นคนนี้ หรือว่ากำลังได้ยินเสียงนั้น เป็นต้น แต่ว่าตามความเป็นจริงแล้ว ก็คือว่าสภาพธรรมเป็นสิ่งที่มี ซึ่งลวง มีชั่วคราว มีจริงๆ ไม่ใช่ไม่มี มีเพราะเกิดขึ้นมี เพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไปสืบต่อเร็วมาก ลวงมาตลอดในสังสารวัฏฏ์ จนกระทั่งไม่รู้ และไม่เข้าใจความหมาย แม้แต่เพียงว่าขณะที่กำลังพอใจในสิ่งที่เห็น ความจริงพอใจในสิ่งที่ว่างเปล่า เพราะสิ่งนั้นดับแล้ว ไม่กลับมาอีก เป็นอย่างนี้ทุกขณะ แต่ต่อกันมาก จนกระทั่งเหมือนกับว่า มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดจริงๆ

    ผู้ฟัง ขอบพระคุณค่ะ

    อ.คำปั่น ธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง จะเข้าใจได้ก็ต่อเมื่อมีการฟัง มีการศึกษาพระธรรม ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ก็อยากจะให้อาจารย์กุลวิไลได้สนทนาในเรื่องนี้ว่า อกุศลเกิดขึ้นเป็นไปมากในชีวิตประจำวัน

    อ.กุลวิไล ความจริงก็คือธรรมนั่นเอง เพราะว่าถ้าเราไม่ได้ยินได้ฟังพระธรรม อย่าลืมว่าปุถุชนหนาแน่นด้วยกิเลส มีความเห็นผิด เป็นต้น มีความไม่รู้ในธรรม ตามความเป็นจริง มีความติดข้อง มีความขุ่นเคืองใจ นี่คือชีวิตประจำวันนั่นเอง ถ้าเราไม่ได้ยินได้ฟังพระธรรม ดูเหมือนว่าเป็นคนดี แต่ดีในที่นี้ ต้องหมายถึงกุศลธรรม ไม่ใช่นั่งเงียบๆ ไม่ได้ทำใครเดือดร้อน ดูเหมือนเป็นคนดี แต่อย่าลืมว่าธรรมเป็นความจริง กุศลธรรมก็มี อกุศลธรรมก็มี และธรรมที่ไม่ใช่กุศลธรรม และอกุศลธรรม ก็มี

    เพราะฉะนั้นนี่คือสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงนั้นเอง และจากการตรัสรู้ เพราะเราจะไม่รู้ความจริงว่า เป็นธรรมทั้งหมด ที่เป็นธรรมเพราะว่า เป็นสิ่งที่มีจริง เปลี่ยนแปลงลักษณะไม่ได้ มีใครจะเปลี่ยนแข็งให้เป็นร้อน ก็ไม่ได้ หรือจะเปลี่ยนสิ่งที่ปรากฏทางตาให้เป็นเสียง ก็ไม่ได้ หรือฉันใด เห็น เราจะเปลี่ยนให้เป็นได้ยิน ก็ไม่ได้ นี่คือธรรมที่หลากหลายทีละหนึ่ง

    แต่สิ่งเหล่านี้ เกิดแล้วต้องดับไป เพราะว่าหาสาระไม่ได้ มีชั่วคราว แต่นี่ก็คือ สิ่งที่เราได้ยินได้ฟังจากพระธรมที่ทรงแสดงนั่นเอง ถ้าไม่ได้ยินได้ฟังพระธรรม ความเห็นผิดยังมี ก็ย่อมจะยึดถือสิ่งที่ปรากฏในขณะนี้ว่าเที่ยง แล้วก็เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด และที่สำคัญ ก็ยังไม่รู้ธรรมที่มีจริง ที่ปรากฏในขณะนี้ คิดได้ แต่คิดถูกหรือคิดผิด เพราะว่าถ้ายังมีความเห็นผิดอยู่ ก็ย่อมคิดผิด และเป็นปัจจัยให้การกระทำทางกาย ทางวาจา ก็ผิดไปด้วย

    อ.คำปั่น อีกประเด็นหนึ่งต่อเนื่อง อาจารย์ธิดารัตน์ครับ กล่าวถึงความเป็นจริงของอกุศลธรรม คือกิเลสที่เกิดขึ้นเป็นไปในชีวิตประจำวัน ก็มีความตรงข้ามกับขณะจิตที่เป็นกุศลอย่างสิ้นเชิง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความเป็นจริงของธรรม ที่เป็นอกุศล อย่างเช่นโลภะ โทสะ โมหะ เอาหลักๆ นี้ก่อนว่าโลภะ โทสะ โมหะ เกิดขึ้นเมื่อใด ก่อให้เกิดความพินาศ ทำให้จิตเสียหาย ไม่นำมาซึ่งประโยชน์เกื้อกูลใดๆ เลย ก็อยากให้ได้สนทนาเพิ่มเติมในส่วนนี้ว่า จริงๆ แล้วอกุศลเกิดขึ้นเมื่อใด ไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลเลยแม้แต่น้อย

    อ.ธิดารัตน์ ลักษณะของอกุศลจิต ไม่ว่าจะเป็นอกุศลประเภทใดก็ตาม มีโทษ เพราะขณะที่เกิดขึ้นแล้ว ถ้ามีกำลังมากๆ สามารถจะล่วงทุจริตกรรมต่างๆ ให้ผลเป็นทุกข์ มีวิบากเป็นทุกข์นั่นเอง จึงสามารถจะทำให้เกิดในอบายภูมิได้ และก็ได้รับผล ลองคิดดูว่า ทำไมถึงจะต้องมีการเห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ ได้ยินเสียงที่ไม่น่าพอใจ ได้ลิ้มรส หรือว่าได้กระทบสิ่งที่เป็นทุกข์เหล่านี้ทางกาย เป็นผลของอกุศลกรรมที่เคยทำแล้วทั้งนั้น อกุศลกรรมที่ทำสำเร็จแล้วทั้งนั้น เป็นปัจจัยที่ทำให้มีวิบาก ที่เป็นอกุศลวิบากทั้งหลาย เกิดขึ้น แม้ปฏิสนธิจิตของสัตว์ที่เกิดในอบายภูมิ ก็เกิดเพราะอกุศลเป็นปัจจัย ให้โทษอย่างมากเลย

    การที่จะต้องไปเกิดในอบายภูมิ เป็นสัตว์ เป็นเปรต เป็นอสูรกาย หรือว่าไปตกนรก ได้รับทุกข์มาก จริงๆ ธรรมก็ให้ผลตรงตัว ขณะที่เจริญกุศล กุศลจิตเกิดแล้ว ทำสำเร็จแล้ว ให้ผลก็เป็นวิบากที่เป็นผล ที่เป็นกุศลวิบาก ส่วนอกุศลกรรม ให้ผลก็เป็นอกุศลวิบาก และในขณะนี้ การที่ได้ฟังธรรมก็เป็นการอบรมเจริญกุศล ที่จะทำให้พ้นจากอกุศลทั้งหลาย

    ขณะนี้ปกติถึงแม้จะฟังธรรมแล้ว ลองสังเกตดูว่าอกุศลจิต เกิดคั่นระหว่างการฟัง มากขนาดไหน แล้วก็สะสมๆ เพิ่มด้วย สะสมเพิ่มทุกขณะจิตที่อกุศลจิตเกิด ไม่ว่าจะเป็นความยินดีพอใจ เกิดแล้วสะสมเพิ่ม ที่จะเป็นปัจจัยให้มีโลภมูลจิตเหล่านั้นเกิดขึ้นอีก โทสะเมื่อเกิดขึ้นแล้ว สะสมเป็นอนุสัยที่จะเป็นปัจจัยให้โทสะเกิดขึ้นครั้งต่อๆ ไป

    การฟังธรรม จะทำให้รู้จักกิเลสหรือว่าอกุศลธรรมทั้งหลาย ที่เกิดขึ้นแล้ว เพราะจะไปห้ามไม่ให้อกุศลเกิดไม่ได้เลย มีเหตุ มีปัจจัยก็เกิด แต่การสะสมความเข้าใจ ก็จะเป็นปัจจัยให้ เข้าใจลักษณะของอกุศลตามความเป็นจริง

    อ.คำปั่น ทุกส่วนที่ได้ยินได้ฟัง ก็เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล คือความเข้าใจถูก เห็นถูกนั่นเอง เชิญคุณอรวรรณครับ

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์คะ ที่ท่านอาจารย์กล่าวว่าครึ่งๆ กลางๆ รู้ครึ่งๆ กลางๆ แล้วยกตัวอย่างที่อาจารย์อรรณพกล่าวถึง เรื่องความเพียร ขอเรียนสนทนากับท่านอาจารย์ อย่างไรที่ว่ารู้จักความเพียร โดยที่ไม่ใช่ครึ่งๆ กลางๆ เพราะในพระไตรปิฎก จะตัดมาว่า จงปรารภความเพียร บุคคลล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร หรืออะไรที่เกี่ยวกับความเพียร จะเยอะมาก

    ท่านอาจารย์ จริงหรือไม่ ที่ได้ฟัง บุคคลล่วงทุกข์ด้วยความเพียร จริงหรือไม่

    ผู้ฟัง จริง

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นไม่ใช่คำไม่จริง ใช่หรือไม่ ครึ่งๆ กลางๆ หรือเปล่า

    ผู้ฟัง หมายถึงถ้าเข้าใจเช่นนี้ ก็ไม่ครึ่งๆ กลางๆ

    ท่านอาจารย์ รู้จักว่า เพียรไม่ใช่เราหรือเปล่า เพียงได้ยินว่า เพียร ครึ่งๆ กลางๆ หรือไม่ ยังเป็นเราหรือเปล่า

    ผู้ฟัง หมายความว่า ถ้ามีเราไปเพียร ก็ไม่เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ ถ้าถามว่า ความเพียรนี้ เพียรแล้วก็ล่วงทุกข์ได้ จริง ไม่ใช่ไม่จริง แต่รู้ไหมว่าเพียร ไม่ใช่เรา

    ผู้ฟัง ถ้าไม่ฟังก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นครึ่งๆ กลางๆ หรือไม่ แค่ได้ยิน และก็จริงด้วย ไม่ใช่ไม่จริง เพราะฉะนั้นธรรมต้องเข้าใจโดยตลอด ที่ไม่ลืมเลย เป็นอนัตตา ผู้ที่จะได้รับมรดกก็คือ เข้าใจความเป็นอนัตตา เพราะว่าใครก็พูดสิ่งที่จริงได้ ขยันแล้วก็จะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าไม่ดีแล้วก็จะเป็นอย่างนั้นอย่างนี่ ก็พูดได้ แต่มีใครที่จะบอกว่า นั่นไม่ใช่เราเลย เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง มีปัจจัยเกิดขึ้นตามการสะสม บังคับบัญชาไม่ได้

    ทุกคนอยากดี ไม่อยากเลว ไม่อยากให้อกุศลเกิด ไม่อยากทำชั่ว แต่เกิดแล้วเพราะเหตุปัจจัย เพราะอะไร เข้าใจหรือเปล่าว่า ขณะนั้นที่มีลักษณะนั้นๆ แสดงความเป็นธรรมแต่ละหนึ่งชัดเจน แต่ปัญญาไม่สามารถที่จะมีความเข้าใจพอที่จะรู้ว่า นั่นไม่ใช่เรา

    เพราะฉะนั้นมรดกจริงๆ ก็คือการที่เข้าใจถูกต้องว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา เพราะว่าใครก็สอนได้ ใช่หรือไม่ ให้ขยันหมั่นเพียรต่างๆ นานา แต่ว่าเป็นเรา หรือว่าเป็นธรรมครึ่งๆ กลางๆ ไม่ใช่รู้โดยตลอด

    ผู้ฟัง นั่นหมายความว่า ถ้าจะคุยคุณสมบัติที่จะรับมรดก ก็ต้องตั้งต้นว่าเป็นธรรม แต่ละลักษณะ

    ท่านอาจารย์ ตรัสรู้อะไร พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อะไร

    ผู้ฟัง เป็นธรรม เป็นธาตุ ไม่ใช่สัตว์ ตัวตน บุคคล

    ท่านอาจารย์ ทั้งหมดเลย ญาณปัญญา รู้ความจริง

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นถ้าไม่ตั้งต้นว่า ไม่ใช่สัตว์ ตัวตน บุคคล เป็นธรรม แต่ละลักษณะ ยกตัวอย่างความเพียร ถ้าไม่เข้าใจก็จะไปมีตัวตนที่ไปเพียร

    ท่านอาจารย์ บางคนก็ศึกษาพระอภิธรรม ใช้คำว่า ศึกษาพระอภิธรรม บอกได้ว่าศึกษาเรื่องจิต เรื่องเจตสิก รูปจำนวนเท่าไร แต่ก็ไปปฏิบัติธรรม ครึ่งๆ กลางๆ หรือเปล่า ไม่ใช่ไม่เรียน เรียน แต่ว่าไม่ได้เข้าใจเลยว่า ธรรมอยู่ที่ไหน ความหมายของอภิธรรม คือลึกซึ้งอย่างยิ่ง แม้กำลังเห็น ก็ไม่รู้ว่าเป็นธรรมอย่างไร ไม่ใช่ตัวตนอย่างไร มีปัจจัยเกิดขึ้น แล้วก็หมดไปอย่างเร็ว จนกระทั่งไม่เหลือ ก็ยังหลงคิด หลงข้องใจ หลงพอใจ หลงโกรธ ทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งหมดไปทุกขณะ ว่างเปล่า ถ้าจิตไม่คิด ไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น และคิดก็คิดได้สั้นมาก คือชั่วขณะที่เกิดขึ้นคิด แล้วก็ดับไป

    นี่คือพระปัญญาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงเพราะเห็นว่า มีผู้ที่สามารถที่จะเข้าใจได้ แต่ถ้าไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ ก็เหมือนบุตร ซึ่งประพฤติไม่ดี ไม่มีโอกาสที่จะได้มรดกแน่นอน

    ผู้ฟัง เคยรู้จักคนที่ไปปฏิบัติ เขาไม่ได้สอนปริยัติ เพราะฉะนั้นก็ฟังท่านอาจารย์ ฟังปริยัติจากท่านอาจารย์ และก็ถ้าจะให้บรรลุเร็วๆ หรือว่าเข้าใจอะไรเร็วๆ ก็ต้องไปปฏิบัติเสริมกัน นั่นหมายความว่า ฟังไม่เข้าใจว่า ไม่มีตัวตนที่จะไปทำอะไร

    ท่านอาจารย์ ครึ่งๆ กลางๆ เพราะถามเขา เขาตอบว่าเป็นธรรม ไม่ใช่ตัวตน แต่พฤติกรรมหรือการกระทำ ไม่ใช่เข้าใจธรรม เพราะฉะนั้นคำจริง เป็นคำอนุเคราะห์ คนที่เข้าใจผิด ให้เข้าใจถูก คนที่ไม่ตรง ให้เป็นผู้ที่ตรง เพราะว่าเป็นคำจริง ปฏิเสธได้หรือไม่ พิจารณาไตร่ตรอง ถูกหรือผิด ไม่ใช่เป็นคำที่บังคับให้เชื่อ หรือบอกให้ทำ แต่ให้เกิดความเห็นถูก ความเข้าใจถูกว่า จริงหรือไม่ สิ่งที่ได้ยินได้ฟัง

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นผู้ฟังต้องไตร่ตรองว่า สิ่งที่ฟังนั่นจริงหรือไม่

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง ไม่ใช่ความผิดของคนพูด คนพูด พูดอะไรก็ได้ เขาเรียกว่าอาจารย์ อาจารย์พูดอะไรก็พูดไป แต่ผู้ฟังมีสิทธิ์ ที่จะรู้ว่าพูดผิดหรือพูดถูก เพราะฉะนั้นไม่มีความสำคัญ ว่าใครจะเป็นครูอาจารย์ ใครจะเป็นลูกศิษย์ หรือผู้ฟัง อะไรก็ตามแต่ ความจริงเป็นความจริง คำจริงเป็นคำจริง พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สภาพธรรม ทรงแสดงว่า สิ่งที่มีจริงมีจริงๆ แต่เป็นอนัตตา คำนี้เปลี่ยนได้ไหม ใครจะเปลี่ยน มีความจริงอื่นจากนี้พอที่จะเปลี่ยนหรือ

    ผู้ฟัง ดูเหมือนท่านอาจารย์ก็จะย้ำมากว่า เป็นธรรม เป็นธาตุ และเป็นอนัตตา คือ ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่ใช่สัตว์ ตัวตน

    ท่านอาจารย์ ผู้ฟังก็ต้องพิจารณาว่า จริงหรือเปล่า คำนี้มาจากไหน ใครเป็นคนแสดง ผู้ที่ทรงตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือใครก็ไม่รู้ พูดอีกอย่างหนึ่ง

    ผู้ฟัง ก็จะชัดว่า ขณะจิตต่อไป ยังไม่ทราบเลยว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร หรือท่านอาจารย์ก็จะกล่าวว่า ไหนลองทำความเพียร ไม่ให้อกุศลเกิดสิ หรือว่าลองทำความเพียรให้กุศลเกิด ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะทำเช่นนั้น

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เพราะว่าเป็นอนัตตา หมายความว่าผู้นั้นเข้าใจความเป็นอนัตตา และในขณะที่กำลังเข้าใจไม่มีความเพียรหรือ วิริยเจตสิกเกิดแล้ว ไม่ต้องมีใครไปทำอะไรเลย ใครจะไปทำเพียรอีก ก็ผิดอีก เพราะฉะนั้นหนทางผิดมีมาก โดยเฉพาะอันตรายของการรู้ครึ่งๆ กลางๆ

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นการที่จะแก้เรื่องครึ่งๆ กลางๆ ได้ ก็คือต้องฟังวาจาสัจจะ

    ท่านอาจารย์ รู้ความจริงที่ไม่เปลี่ยน อนัตตาเป็นอนัตตา จะเปลี่ยนเป็นอัตตาได้อย่างไร

    ผู้ฟัง ช่วงนี้ท่านอาจารย์ก็จะมีคำถามบ่อยมากว่า แล้วเราเป็นใคร ก็จะขอความกรุณาท่านอาจารย์ว่า ท่านอาจารย์จะเตือนให้รู้อะไรที่ถามว่า แล้วเราเป็นใคร

    ท่านอาจารย์ เราเป็นผู้ที่สามารถเพียงได้ยิน แล้วก็เข้าใจพระธรรมทะลุปุโปร่งโดยตลอด ทรงจำคล่องปากหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่ หมายความว่า อวิชชาเยอะ ปัญญาน้อย ก็ต้องฟังมากๆ ไม่ใช่ฟังนิดหนึ่งแล้วก็จะให้สติระลึก ก็เป็นไปไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ฟังแล้วก็ต้องรู้ว่า คำไหนเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำไหนไม่ใช่ ทุกคำที่เป็นเรื่องติดข้อง ไม่ใช่คำของสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคำที่เป็นไปเพื่อการละ เป็นคำสอนของพระสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้า แค่นี้พิสูจน์ได้หรือไม่ ทำไมช้านัก เร็วๆ หน่อยดีกว่า ไปที่โน่นก็ได้ ที่นี่ก็ได้ จะได้สติเกิดมากๆ นั่นอะไร คำสอนให้ละ หรือว่าให้ติดข้อง ให้ต้องการผล

    เพราะความจริงอยู่เดี๋ยวนี้ นานไหม กว่าจะฟังเข้าใจว่า ไม่ใช่เราที่เห็น ลักษณะที่เห็นมีจริงๆ กำลังเห็นด้วย มีปัจจัยเกิดขึ้นเห็น แล้วก็ดับไป แล้วไม่กลับมาอีกเลย เมื่อวานนี้ทั้งวัน สำคัญไหมเมื่อวานนี้ กำลังเป็นเมื่อวานนี้สำคัญมาก แต่วันนี้หมดไม่เหลือเลย ยังสำคัญไหม

    ผู้ฟัง ก็ไม่แล้ว

    ท่านอาจารย์ ถ้าใครยังสำคัญ ก็คือสำคัญในสิ่งที่ไม่มีแล้ว และไม่ใช่แต่เฉพาะเมื่อวานนี้ เดี๋ยวนี้ก็เป็นอย่างนี้

    ผู้ฟัง นั่นหมายความว่า ธรรมเป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง เพราะฉะนั้นผู้ฟังที่ฟังยังไม่มาก แล้วก็จะให้รู้เร็วๆ ก็เป็นไปไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่รู้จักพระพุทธเจ้า แล้วก็ไม่ได้มรดกด้วย

    ผู้ฟัง กราบขอบพระคุณ และกราบอนุโมทนา

    ผู้ฟัง หนูอ่านเจอว่า จักขุปสาท โสตปสาท กายปสาท ชิวหาปสาท ฆานปสาท เป็นบ้านว่าง เรียนท่านอาจารย์ช่วยอธิบายคำว่า บ้านว่าง

    ท่านอาจารย์ ขอเชิญคุณอรรณพค่ะ

    อ.อรรณพ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ใช่หรือไม่ เกิดแล้วดับไหม เกิด และดับ ตาที่เราคิดว่าเป็นของเรา ที่แท้แล้วคือจักขุปสาทรูป ที่เกิดจากกรรม เกิดแล้วดับ หู จมูก ลิ้น กาย ก็เหมือนกันนัยหนึ่ง และอีกนัยหนึ่ง เป็นทางที่จะให้จิตต่างๆ อาศัยเกิด ใช่หรือไม่ เพราะมีตา จึงมีทางที่จะทำให้เกิดจิตทางตา จิตเกิดขึ้นตั้งแต่เริ่มกระทบกับสี แล้วก็มีการเห็น มีการรับรู้ต่อ มีกุศล อกุศล เดี๋ยวกุศลก็เกิดทางตาก็มี บางครั้งกุศลก็อาศัยตาเกิด บางครั้งตาก็เป็นที่อาศัยของอกุศล เปรียบเสมือนกับในหนทางเดิน ก็จะมีเรือนว่างบ้านร้างอยู่ คนที่เดินทางสัญจรไป บ้านร้างนั้น บางทีก็เป็นที่อาศัยของคนดีบ้าง บางทีพวกโจรก็ไปอยู่ แล้วก็ไป โจรก็ไป คนดี กองคาราวานอะไรมา ก็มาพักตรงนั้น คนดีมาก ดีน้อยก็อาศัยบ้านนี้ เป็นที่อาศัย เดี๋ยวไป แล้วโจรก็ไปอยู่ แต่ส่วนใหญ่โจรอยู่ โจรเยอะกว่า ฉันใด ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นที่อาศัยของอกุศลจิตเกิดบ้าง กุศลจิตเกิดบ้าง เหมือนเรือนว่าง เรือนร้าง เดี๋ยวก็มีใครต่อใครมาอาศัย

    เพราะฉะนั้นก็เป็นการเตือนให้เห็นว่า อัตภาพก็คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เกิดแล้วดับ ว่างเปล่าจากความเป็นตัวตน หรือไม่ใช่ของใคร แต่เป็นที่อาศัยให้กุศลจิตเกิด หรืออกุศลจิตเกิด

    อ.วิชัย การสนทนาธรรมก็เป็นประโยชน์ เพื่อการที่จะเพิ่มความรู้ ความเข้าใจในพระธรรมมากขึ้น จากการที่มีโอกาสได้ยินได้ฟัง แล้วก็ได้มีโอกาสได้สนทนา วันนี้ก็เป็นโอกาสหนึ่ง ที่จะมีการร่วมสนทนา แม้ในเรื่องของศีล ซึ่งบางท่านก็อาจจะเคย ได้ยินได้ฟังมาบ้างแล้ว แต่ว่าเรื่องของศีลก็เป็นเรื่องที่ละเอียดมาก แสดงโดยนัยต่างๆ มากมาย ดังนั้นก็จะมีการร่วมสนทนา เพื่อความรู้ความเข้าใจถูกต้อง ในเรื่องของศีล เพราะเหตุว่าเรารู้ว่าทุกอย่างเป็นธรรม ดังนั้น ศีลก็เป็นธรรม แต่การที่จะมีความรู้ความเข้าใจว่าธรรมอะไรที่เป็นศีล

    ในช่วงแรก ก็จะกล่าวถึงข้อความ ในสัจธรรมประกาสินี อรรถกถา ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค สีลมยญาณนิทเทส ก็จะเป็นเบื้องต้นในการสนทนาในเรื่องของศีล ซึ่งก็มีข้อความว่า ท่านพระสารีบุตรแสดงว่า ศีลมีเท่าไร เพราะปกติของสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นๆ ในโลก ท่านกล่าวว่าสีลัง ก็คือกุศลเป็นศีล อกุศลเป็นศีล อัพยากตะก็เป็นศีล

    ในช่วงต้นที่กล่าวว่า เพราะปกติของสัตว์ทั้งหลาย เหล่านั้นๆ ในโลก ท่านกล่าวว่าสีลัง ในช่วงแรก ก็ขอกราบเรียนถามท่านอาจารย์ ที่กล่าวว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริง และกล่าวถึงเรื่องของศีลว่า เป็นปกติของสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นๆ ในโลก ซึ่งขณะนี้ก็มีธรรม และขณะนี้เป็นศีลหรือไม่

    ท่านอาจารย์ การฟังธรรมเพื่อเข้าใจ แล้วก็เข้าใจสิ่งที่กำลังมีด้วย ไม่ว่าจะพูดถึงโดยนัยใดก็ตาม เพราะฉะนั้นก็ต้องเป็นเรื่องที่ละเอียด เพราะเหตุว่าแม้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ท่านพระสารีบุตรก็ได้กล่าวถึง ตามกำลังปัญญาของท่านด้วย เพราะฉะนั้นก็เป็นความละเอียด สำหรับผู้ที่เริ่มฟัง ที่จะรู้ว่าความเข้าใจของเรา จะเป็นความละเอียดอย่างที่ท่านเหล่านั้น ได้เข้าใจธรรม เป็นไปไม่ได้ แต่ก็สามารถที่จะเริ่มเข้าใจได้ ในเมื่อรู้ว่าทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม เพราะฉะนั้นศีลมีจริงๆ หรือเปล่า ขอเชิญคุณวิชัยเป็นตัวแทน ศีลมีจริงหรือเปล่า

    อ.วิชัย มีจริงแน่นอน แต่ศีลคืออะไร เห็นหรือไม่ ยังไม่ทันรู้ว่า ศีลคืออะไร ได้ยินแต่คำว่าศีล และรู้ว่าทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม เพราะฉะนั้น ศีลก็เป็นธรรม แต่ไม่พอเลย เห็นหรือไม่ ที่จะเพียงรู้ว่า แม้ศีลก็เป็นธรรม เพราะเหตุว่ามีจริงๆ แต่ศีลคืออะไร อะไรที่มีจริง ไม่พ้นจากสภาพธรรมที่เป็นจิต เป็นเจตสิก และเป็นรูป

    สำหรับจิต และเจตสิก ก็เป็นธรรมที่เกิดขึ้น เป็นธาตุ ซึ่งไม่มีใครไปบังคับให้เกิด แต่เมื่อมีปัจจัยก็เกิดขึ้น คำว่า นามธาตุที่เกิดต้องเป็นธาตุรู้ หมายความว่า ถ้าไม่มีธาตุนี้ อะไรๆ ก็ปรากฏไม่ได้เลย แต่เพราะเหตุว่ามีธาตุรู้ สิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ ไม่ควรลืมที่จะเข้าใจว่า เพราะมีธาตุรู้ที่กำลังรู้ นี่คือปกติหรือเปล่า เพราะฉะนั้นศีลคือปกติ ต้องไม่ลืมเลย ไม่ใช่ว่าเราไปพูดถึงสิ่งที่ไม่มี แต่สิ่งที่มีเป็นปกติ เป็นศีล แต่ศีลจะเป็นอะไร จิต เจตสิก รูป รูปเป็นศีลได้หรือไม่


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 193
    25 ม.ค. 2568

    ซีดีแนะนำ