พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 885
ตอนที่ ๘๘๕
ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา
วันอาทิตย์ที่ ๒๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๖
ท่านอาจารย์ รูปเป็นศีลได้หรือไม่ เห็นไหม ขณะนี้ทุกคนมีจิต เจตสิก รูปเกิด และก็ยึดถือว่าเป็นเรา เป็นเขา เป็นการกระทำ เป็นกาย เป็นวาจา แต่พระธรรมทั้งหมดที่ทรงแสดง เพื่อให้มีความเห็นถูก เข้าใจถูก ในสภาพธรรม อย่าลืม ต้องในสภาพธรรม เพราะฉะนั้นแม้ศีลก็ต้องเป็นธรรมหนึ่งธรรมใดที่มีจริงๆ เป็นรูปได้หรือไม่ ได้หรือไม่ได้ ศีลเป็นรูปได้หรือไม่
อ.วิชัย รูปไม่ใช่สภาพรู้ เป็นไม่ได้แน่นอน
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นถ้าจะกล่าวถึงศีล ต้องรู้ว่าหมายความถึงธาตุรู้ ซึ่งเกิดพร้อมกัน คือจิต และเจตสิก เพื่อให้รู้ความจริงว่าขณะนี้ เราละเลยสภาพธรรมหนึ่ง ซึ่งเป็นใหญ่ และสำคัญมาก คือจิต ทุกอย่างเป็นไปตามอำนาจของจิต ซึ่งเกิดพร้อมกับเจตสิก เพราะฉะนั้นความเป็นปกติทุกๆ ขณะของจิต เจตสิก เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย
ด้วยเหตุนี้ ถ้าจะกล่าวถึงธรรมหมวด ๓ คือกุศลธรรม อกุศลธรรม อัพยากตธรรม กุศลธรรมหมายความถึงสภาพธรรมที่ดีงาม ไม่เป็นโทษ แล้วก็ให้ผลเป็นสุข อกุศลธรรมก็ตรงกันข้าม สภาพธรรมที่ไม่ดีงาม ให้โทษ เป็นทุกข์แน่นอน และก็อัพยากตธรรม ก็ยังมีธรรม ซึ่งไม่ใช่กุศล และไม่ใช่อกุศลด้วย จึงเป็นอัพยากตธรรม ฉันใด
แม้เดี๋ยวนี้ขณะนี้ จิต และเจตสิก ซึ่งกำลังเกิดดับสืบต่อ เหมือนกับว่ามีทุกคนที่กำลังนั่งอยู่ที่นี่ และกำลังได้ยินได้ฟังธรรมคือสิ่งที่มีจริง ที่สามารถจะเข้าใจได้ในขณะนี้ ก็คือความเป็นปกติของจิต เจตสิก ส่วนรูปไม่ใช่สภาพรู้ แต่ถ้าไม่มีรูป การกระทำใดๆ ก็มีไม่ได้เลย พูดได้หรือไม่ ไม่มีรูป
อ.วิชัย ไม่ได้
ท่านอาจารย์ เฉพาะจิต เจตสิก ไม่ได้แน่ เพราะฉะนั้นทั้งหมดขณะนี้ก็คือ ศีล คือปกติของจิต และเจตสิกที่เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย เป็นอกุศล ขณะนั้นเป็นอกุศลศีล ปกติเป็นอกุศล จริงหรือไม่
พูดถึงธรรมก็คือเดี๋ยวนี้ แต่ไม่ลืมว่า ขณะนี้พอพูดถึงศีล ลืมเรื่องจิตไม่ได้ พูดถึงเรื่องศีลก็คือจิตเดี๋ยวนี้ ปกติอย่างนี้เป็นอะไร ตอนนี้ทราบแล้วใช่หรือไม่ เป็นอกุศลศีล ปกติเป็นอกุศล แต่บางกาลกุศลก็เกิดขึ้น ปกติขณะนั้น ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะไปเปลี่ยนแปลงได้ มีเหตุปัจจัยที่จะเกิดขึ้น ขณะนั้นจิต เจตสิก ไม่ใช่รูป ก็เป็นกุศลศีล สำหรับอัพยากตะ ส่วนใหญ่ก็เป็นจิตของพระอรหันต์ ซึ่งสำหรับคนที่ไม่ใช่พระอรหันต์ ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องกล่าวถึงเลย เพราะเป็นสภาพของจิต ซึ่งไม่ใช่กุศล ไม่ใช่อกุศล มีปัจจัยเกิดขึ้นทำกิจ ตามควรแก่ฐานะ คือเมื่อถึงฐานะที่จะเกิด ก็เกิดขึ้นทำกิจนั้น แล้วก็ดับไป
เพราะฉะนั้นก็ส่วนใหญ่ก็จะคิดว่า พระอรหันต์ทั้งหลาย ท่านดับกิเลสหมด ไม่มีเชื้อที่จะทำให้เป็นกุศล และอกุศล ซึ่งจะต้องเป็นเหตุให้ผลเกิดขึ้น ด้วยเหตุนี้สภาพจิตใจที่ดีงามทั้งหมด เพราะอกุศลดับหมดแล้ว แต่เมื่อไม่เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดผล จึงเป็นอัพยากตศีล ปกติสำหรับพระอรหันต์ แต่ว่าเราไม่ได้มีแต่จิต และเจตสิก ใช่หรือไม่ มีรูปด้วย แต่รูปไม่รู้อะไรเลย รูปรับคำสั่งให้ทำนั่นทำนี่ได้หรือไม่ แต่รูปก็เปลี่ยนแปลงไป ใช่หรือไม่ รูปมีสมุฏฐานให้เกิด แล้วแต่ว่าจะมีกรรมเป็นสมุฏฐาน ให้ตา หู จมูก ลิ้น กายปสาท เกิดซึมซาบ เคลื่อนไหวได้หรือไม่
อ.วิชัย ถ้าไม่มีจิต ก็เคลื่อนไหวไม่ได้
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีจิต แล้วก็ยังมีรูปอื่นๆ อีก ซึ่งทั้งหมดไม่ใช่สภาพรู้ แต่ว่าในภูมิที่มีขันธ์ ๕ มีทั้งจิต เจตสิก รูป จนถึงสวรรค์ นรก เดรัจฉาน รูปพรหม เว้นกุศลที่ยิ่งใหญ่ เป็นมหัคคตะ ซึ่งไม่มีรูปเป็นอารมณ์เท่านั้น ที่จะไม่มีรูป
เพราะฉะนั้นหนีรูปไม่พ้นเลย ไม่ว่าจะเกิดในภูมิไหน ในภูมิมนุษย์ มีจิต เจตสิก ก็มีปัจจัยจะให้รูปเกิดขึ้นด้วย แต่รูปไม่ใช่ศีล เฉพาะจิต และเจตสิกเป็นศีล แต่ว่าถ้าไม่มีรูป ก็พูดไม่ได้ ทำอะไรก็ไม่ได้ จิตเป็นกุศล ก็ไม่ได้พูดอะไร ใช่หรือไม่ แต่เพราะมีรูป ขณะนั้นรูปนั้นก็เป็นไปตามกำลังของจิต เพราะฉะนั้นวันนี้ อกุศลศีลคือจิต เจตสิก เป็นอกุศล รูปที่เคลื่อนไหวไปเพราะจิต ตั้งแต่ตื่นจนถึงเดี๋ยวนี้ เป็นอะไร
อ.วิชัย เป็นการคิด คาดคะเน เพราะลักษณะของอกุศลก็ไม่ปรากฏ แต่เข้าใจว่าโดยปกติก็เป็นอกุศลส่วนมาก
ท่านอาจารย์ เราเรียกจิต เจตสิกว่า ศีล แต่ในขณะเดียวกันก็มีรูป ซึ่งเป็นไปตามจิต และเจตสิกด้วย เพราะฉะนั้นทั้งวันตั้งแต่เช้ามาที่เป็นอกุศล จิต เจตสิกเป็นศีลจริง แต่รูปที่เคลื่อนไหวไป เพราะเป็นอกุศลศีล ด้วยเหตุนี้ไม่ใช่ไปเพ่งเล็งที่รูป แต่ต้องรู้ว่า การกระทำทั้งหมด ต้องมาจากจิต ซึ่งแล้วแต่ว่าจะเป็นกุศลจิตหรืออกุศลจิต หรืออัพยากตจิต
สำหรับเรื่องของสภาพธรรม เป็นปกติในชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นอกุศล ยังไม่ถึงกับการที่จะมีกำลังที่จะเบียดเบียนใครให้เดือดร้อน เพราะฉะนั้นในขณะนั้นก็เป็นปกติของอกุศลจิต และก็เป็นอกุศลศีล พอจะเข้าใจได้ ใช่หรือไม่ บางท่านก็กล่าวว่า ถ้าไม่มีศีล ไม่มีสมาธิ ก็ไม่มีปัญญา เพราะฉะนั้นท่านคิดว่า ท่านจะต้องไปมีศีล มีสมาธิเสียก่อน แล้วจึงจะเป็นปัญญา แต่นั่นคือท่านไม่ได้เข้าใจความจริง ที่กล่าวว่าศีล เพราะเหตุว่าจิตขณะนั้น เป็นกุศลหรือว่าเป็นอกุศล อัพยากตะ คงไม่ต้องกล่าวถึง
เพราะฉะนั้นขณะใดก็ตาม ที่กายเป็นไปตามกำลังของจิต มีการเบียดเบียนประทุษร้ายคนอื่น ทางกายหรือทางวาจา ขณะนั้นก็กล่าวว่า ล่วงศีลซึ่งเป็นกรรมบถ แต่ว่าขณะนั้นก็แสดงว่า ต้องคิดถึงจิต ว่าจิตต่างหากที่มีกำลังถึงอย่างนั้น ปกติของจิตวันนี้เป็นอย่างนั้นบ้างไหม ทางกาย ทางวาจา พูดมาก ทุกคนพูด คิดมากอยู่แล้ว แต่ไม่พูด แต่เวลาที่พูดก็ต้องคิด จะพูดโดยไม่ได้คิดไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้นก็ต้องแล้วแต่จิต ว่าขณะนั้นเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล ถ้าพูดดี ขณะนั้นก็เป็นกุศล เมตตา หรือจะทำอะไรก็ได้ทางกาย ทางวาจา เพราะฉะนั้นทั้งหมดให้ทราบก่อนให้มั่นคง ถ้าพูดถึงศีล อยู่ที่จิต และเจตสิก
อ.วิชัย ถ้ากล่าวถึงเรื่องของศีล ในบุคคลที่เคยได้ยินได้ฟัง ก็อาจจะกล่าวถึงเรื่องของการที่จะวิรัติงดเว้น ปาณาติบาตบ้าง และในช่วงที่เริ่มต้น ท่านอาจารย์ก็กรุณาให้ความหมายกับคำว่า ศีล ก็หมายถึง ทั้งที่เป็นอกุศลก็เป็นศีลด้วย กุศลก็เป็นศีลด้วย หรือแม้อัพยากตะ ที่เป็นจิตของพระอรหันต์ก็เป็นศีลด้วย ซึ่งจะให้เกิดความรู้ ความเข้าใจทั่วไป กับบุคคลที่เคยเข้าใจว่า ศีลหมายถึงการวิรัติงดเว้นอย่างไร
ท่านอาจารย์ เพราะเหตุว่ามีหลายอย่าง ทางกายก็มี ทางวาจาก็มี ที่เป็นกุศลก็มี ที่เป็นอกุศลก็มี เพราะฉะนั้นถ้าพูดถึง การกระทำทุจริต เพราะว่ากิเลสมีกำลัง ขณะนั้นก็เป็นการกล่าวถึงว่า ผู้นั้นล่วงศีล
อ.วิชัย ซึ่งขณะนั้นก็เป็นอกุศล
ท่านอาจารย์ นั่งอยู่เดี๋ยวนี้ คุณธิดารัตน์คะ เป็นศีลหรือเปล่า นั่งอย่างปกติธรรมอย่างนี้ เป็นศีลหรือเปล่า
อ.ธิดารัตน์ ถ้าเป็นโดยปกติที่เป็นไป มีการเคลื่อนไหวกาย วาจา ก็แล้วแต่ว่าจะเป็นอกุศลจิตหรือเป็นกุศลจิต
ท่านอาจารย์ แม้นั่งอยู่อย่างนี้ ฟังธรรมแล้ว รู้ว่าเป็นกุศลศีล หรืออกุศลศีล แต่ถ้ามีการกระทำทางกาย ทางวาจาที่เป็นทุจริตกรรม ขณะนั้นก็ต้องเป็นอกุศลศีลแน่นอนถ้ามีการช่วยเหลือคนอื่น ด้วยกายบ้าง ด้วยวาจาบ้าง ขณะนั้น ผู้นั้นก็รู้ว่านั่นคือกุศลศีล จะปราศจากศีลไม่ได้ เพราะศีลคือปกติของจิต เจตสิก
อ.วิชัย ถ้ากล่าวถึงศีลที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงให้มีการอบรมเจริญ ที่ว่าเป็นศีล สมาธิ และปัญญา จะมีความพิเศษกว่าศีลที่กล่าวถึง ในความหมายของคำว่า ปกติ อย่างไรบ้าง
ท่านอาจารย์ ต้องไม่ลืม พระธรรมทั้งหมด ไม่ว่าจะเรื่องใดทั้งสิ้น เป็นการแสดงพระธรรม เพื่อให้คนเข้าใจถูก เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจถูกจริงๆ ว่ามีแต่อกุศลศีลมากมายตั้งแต่ลืมตา ใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้นทำอย่างไรที่จะไม่เป็นอกุศลศีล ต้องเป็นความเข้าใจ ต้องเป็นความเห็นถูกว่า ทั้งหมดนี้มาจากจิต เพราะฉะนั้นจิตสะอาดหรือไม่สะอาดระดับไหน มิฉะนั้นแล้วจะไม่มีการขัดเกลาเลย แม้แต่ศีลที่จะแสดงโดยละเอียด ก็ไม่ได้ทำให้เกิดความสะอาดขึ้น ถ้าไม่มีความเข้าใจ แต่ถ้ามีความเห็นถูกว่า ไม่มีเรา แต่สภาพของจิตที่เป็นอกุศลต่างหาก ที่เป็นปกติ ทำให้อกุศลเพิ่มขึ้นทั้งวัน จนกระทั่งเมื่อไรที่มีกำลัง ยับยั้งที่จะไม่ให้เป็นทุจริต ที่จะล่วงออกไปไม่ได้ นี่คือความเห็นถูก
เพราะฉะนั้นการที่จะรักษาศีล ซึ่งเป็นกุศล ก็ต้องมาจากปัญญา ถ้าไม่มีปัญญาที่เห็นโทษของอกุศลจิต ซึ่งมีอยู่เป็นประจำ จะมีการพยายามที่จะเจริญกุศลหรือไม่ เพราะฉะนั้นปกติ อาจจะเคยทำร้ายสัตว์เล็ก สัตว์น้อย แต่พอมีปัญญาเห็นโทษ ขณะนั้นเห็นโทษของอะไร ของจิตซึ่งเป็นอกุศล ไม่ใช่เรา
เพราะฉะนั้นนี่เป็นปัญญาที่สามารถที่จะรู้ และเข้าใจถูกว่า ไม่ใช่เรา แต่เป็นจิตที่เป็นอกุศล นับวันเพิ่มขึ้น ถ้าไม่ละเว้นจะเป็นอย่างไร ด้วยเหตุนี้ในขณะนั้น แม้แต่การวิรัติทุจริต ก็เพราะมีความเข้าใจถูกว่า จิตขณะนั้นถ้าไม่วิรัติ ก็เป็นอกุศล
นี่คือพระธรรมที่ทรงแสดง ไม่ใช่เพียงแต่ทรงแสดงว่า ให้รักษาศีล แต่พระธรรมทั้งหมดให้เข้าใจถูก แม้แต่ว่าศีลคืออะไร ศีลก็คือจิต และเจตสิก เพราะฉะนั้นเมื่อจิต และเจตสิกเป็นอกุศล ก็เป็นอกุศล ถ้ามีกำลังเพิ่มขึ้น ก็ทำทุจริตกรรม และก็เป็นโทษซึ่งเกิดกับใคร ก็กับจิต ซึ่งเป็นเหตุที่จะทำให้เมื่อไรที่จิตที่เป็นผลเกิด เพราะมีเหตุที่จะทำให้เกิด ก็ต้องเกิด มีการเห็น การได้ยิน เป็นต้น ที่เป็นผลของอกุศลกรรม
อ.วิชัย ต้องมีความเห็นถูกว่า สิ่งใดที่ควรงดเว้น และสิ่งใดที่ควรเจริญ ใช่หรือไม่
ท่านอาจารย์ มิฉะนั้นจะทำให้เกิดความสงบ และปัญญา จนกระทั่งรู้แจ้งอริยสัจธรรม ได้หรือไม่
อ.วิชัย ถ้าไม่มีความเห็นที่ถูกต้อง ก็ไม่ได้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจะกล่าวว่า ถ้าไม่มีศีล ไม่มีสมาธิ แล้วก็ไม่มีปัญญา จึงต้องไปรักษาศีล ทำสมาธิ เพื่อจะให้เกิดปัญญา เข้าใจถูกหรือเปล่า
อ.วิชัย ถ้าไม่มีความเข้าใจถูก ก็ไม่สามารถจะอบรมอะไรได้เลย
ท่านอาจารย์ ถ้ามีความเข้าใจถูก ละเว้นด้วยความเข้าใจถูก สีลมยญาณ ปัญญาที่รู้ความจริง ทำให้งดเว้นศีลที่เป็นอกุศลศีล
อ.วิชัย ขอเรียนถามอาจารย์อรรณพครับ กล่าวถึงเรื่องของกุศลศีล ก็จะมีข้อความในอรรถกถา ปฏิสัมภิทามรรค มีข้อความสั้นๆ ว่า กุศลศีลมีกุศลจิตเป็นสมุฏฐาน ขยายความตรงนี้สักนิด
อ.อรรณพ ถ้าเข้าใจเบื้องต้นว่า ศีลคืออะไร ศีลไม่ใช่รูปแน่ ไม่ใช่นิพพานแน่ ใช่หรือไม่ ก็ต้องเป็นจิต เจตสิก ถ้าจิต เจตสิกนั้นเป็นอกุศลอยู่เรื่อยๆ เนืองๆ บ่อยๆ ขณะนั้นก็เป็นอกุศลศีล ยิ่งเกิดบ่อยๆ เป็นปกติ ก็ชัดเจนว่ามีปกติเป็นอย่างนั้น หรือแม้ในขณะที่อกุศลจิตเกิด แต่ละขณะนี้ ขณะนั้นก็ต้องเป็นอกุศลศีล อาจารย์วิชัยพูดถึงฝ่ายกุศล
อ.วิชัย กุศลศีล ว่ามีกุศลจิตเป็นสมุฏฐาน
อ.อรรณพ เพราะฉะนั้นมีกุศลจิตเป็นสมุฏฐาน เป็นความสำคัญ ถ้าไม่มีความเข้าใจพื้นฐานเรื่องจิต เจตสิก จะไม่มีความเข้าใจความลึกซึ้งโดยพระสูตร ที่อาจารย์วิชัยกล่าว จิตเป็นสภาพรู้ ที่เป็นใหญ่ เป็นประธาน ถูกไหม ส่วนเจตสิกที่เกิดกับจิต ก็เป็นสภาพรู้ที่เกิดประกอบกับจิต จิตกับเจตสิกมีความเกี่ยวข้องกันหรือไม่ ในขณะที่จิตเกิดขึ้นหนึ่งขณะ ถ้าไม่มีจิต เจตสิกจะเกิดขึ้นได้ไหม ไม่ได้ ถูกไหม ถ้าจิตนั้นเป็นกุศล จิตนั้นก็จะเป็นปัจจัยให้เจตสิกที่เกิดนั้น ก็เป็นกุศลด้วย หรือว่าเจตสิกที่ดีงามนั้น เป็นกุศลก็ปรุงแต่งให้จิต เจตสิกที่เกิดร่วมกันเป็นกุศล
เพราะฉะนั้นเจตสิกเป็นศีลหรือไม่ เจตสิกก็เป็นศีล จิตก็เป็นศีล เมื่อพระองค์ท่านจะทรงแสดงเฉพาะเจาะจง เจตสิกที่ชัดเจน พระองค์ท่านก็ทรงหยิบยกมาว่าเป็นศีล เช่นเจตนาก็เป็นศีล วิรัติงดเว้นก็เป็นศีล หรือโดยความรวมทั้งหมด ขณะที่กุศลจิตเกิดขึ้น เจตสิกทั้งหลายที่เกิด และจิตนั้นก็เป็นสภาพที่ดีงาม เพราะฉะนั้นนั่นเป็นกุศลศีล
เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีจิต เจตสิกก็เกิดร่วมด้วยไม่ได้นั่นเอง และถ้าจิตนั้นเป็นกุศล เจตสิกก็เป็นกุศลด้วย เพราะฉะนั้นต่างอาศัยพึ่งพิงกัน ที่ว่าศีลก็มีกุศลจิตเป็นรากฐาน เป็นพื้นฐาน เพราะว่าเจตสิกเกิดขึ้น ก็ต้องอาศัยจิตด้วย เบื้องต้นที่ท่านจะพอเข้าใจได้ง่ายๆ ก็คือ ตอนที่เป็นกุศลนั้น เป็นกุศลศีล ซึ่งก็ได้แก่สภาพธรรม ปรมัตถ์ ๒ อย่างคือจิตปรมัตถ์ และเจตสิกปรมัตถ์ ในขณะนั้น
เพราะฉะนั้นสิ่งที่เป็นศีล ก็ต้องอาศัยพึ่งพิงกันเกิดขึ้น จิต เจตสิกเกิดขึ้น ต้องเป็นปัจจัยต่างๆ กัน เจตสิกเกิดขึ้นลอยๆ ไม่ได้ ก็ต้องมีจิต จิตเกิดขึ้นลอยๆ ก็ไม่ได้ ต้องมีเจตสิก แต่ในที่นี้ท่านจะเน้นถึงเจตสิกธรรมที่เป็นศีลซึ่งหลากหลายมาก เจตนาเจตสิกก็เป็นศีล วิรตีเจตสิกก็เป็นศีล ซึ่งเจตสิกเหล่านี้จะเกิดได้ก็ต้องมีจิต เป็นใหญ่ เป็นประธาน เป็นที่อาศัยให้เกิดขึ้น
อ.วิชัย กราบท่านอาจารย์ครับ ขอเป็นตัวแทนคนใหม่ เรียนถามอาจารย์คือ ถ้ากล่าวถึงเรื่องของศีล ก็รู้ว่าสิ่งใดที่เป็นความประพฤติ อย่างเช่นฆ่าสัตว์ หรือว่าลักทรัพย์ เป็นความประพฤติที่มีโทษ แล้วก็ให้ผลเป็นทุกข์ แต่ว่าก็ยังมีเหตุให้เป็นไป ทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี หมายถึงว่า มีการที่ฟังเรื่องของศีล ว่าสิ่งนี้มีโทษ และการวิรัติงดเว้น ในสิ่งที่มีโทษคือ ปาณาติบาต เป็นต้น ว่าเป็นสิ่งที่ดีงาม แต่ก็ยังมีโอกาสให้ทำอกุศลได้ ทั้งๆ ที่มีความรู้ความเข้าใจว่าสิ่งใดดีหรือไม่ดี
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจะขาดปัญญาไม่ได้เลย พระธรรมที่ทรงแสดงทั้งหมด เป็นเรื่องของความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ขณะนี้ที่นั่งอย่างนี้ มีศีลหรือไม่ ทบทวนเท่านั้นเอง เพื่อให้เข้าใจจริงๆ ว่าธรรมดาๆ ทุกวัน ตื่นมาหรือว่ากำลังนั่งอยู่เดี๋ยวนี้ เป็นศีลหรือไม่
อ.วิชัย ก็ต้องเป็นศีล เพราะมีจิตที่เกิดขึ้น
ท่านอาจารย์ กำลังฟังธรรมเป็นศีลหรือไม่
อ.วิชัย เป็น เพราะเป็นปกติ เป็นกุศลจิตที่เกิดขึ้น
ท่านอาจารย์ ต้องเป็นปัญญา ที่รู้ว่าขณะนี้มีอกุศลจิตเกิดหรือเปล่า คั่นหรือไม่ เพราะฉะนั้นถ้าไม่เข้าใจจริงๆ คือเรื่องของปัญญา ไม่ใช่เพียงแต่ฟังแล้วกล่าวสรุป แต่ต้องเป็นปัญญาอีกขั้นหนึ่ง เห็นหรือไม่ ว่าศีลก็ต้องละเอียดต่อไปอีก เพราะเหตุว่าอกุศลศีล คืออกุศลจิต มีเป็นปกติ แต่ถ้าไม่มีปัญญา ตอบไม่ได้ว่าขณะไหนเป็นกุศลศีล ขณะไหนเป็นอกุศลศีล
ด้วยเหตุนี้การฟังธรรม เพื่อมีความเห็นถูก มีความเข้าใจถูก ตรง เป็นผู้ที่ตรงต่อสภาพธรรมที่ปรากฏ เพราะเหตุว่าสภาพธรรม ไม่ใช่เรา เมื่อจิต เจตสิก เกิดขึ้นเป็นอกุศล จะเป็นอกุศลได้อย่างไร แต่ในขณะที่กำลังเข้าใจธรรม ขณะนั้นก็เป็นอกุศลไม่ได้
เพราะฉะนั้นอย่างที่คุณวิชัยกล่าวถึง ฟังธรรมเข้าใจความเป็นอนัตตา ของสภาพธรรมว่า ไม่ใช่เรา แล้วไม่มีใครสามารถที่จะไปให้อกุศลศีล ซึ่งมีอยู่ตั้งแต่ลืมตา จนถึงก่อนที่กุศลจิตจะเกิด ใครจะไปห้าม ยับยั้งให้เป็นอย่างนั้น ก็ไม่ได้ แต่เพราะอาศัยการฟัง และการรู้ว่า ไม่ใช่เรา แต่เป็นสภาพธรรม ซึ่งมีเหตุปัจจัยเกิดขึ้น ก็จะทำให้รู้ความต่างของกุศล และอกุศล ซึ่งละเอียดมาก โดยมากก็จะเห็นแต่เพียงโทสะ ขณะที่ขุ่นเคืองใจ ไม่ชอบ ขณะนั้นเป็นอกุศล ขณะที่กำลังเพลิดเพลิน มีใครจะเตือนบอกหรือเปล่า ว่าอกุศลศีล ขณะนั้นไม่ใช่กุศลเลย แต่ก็เป็นอกุศลศีล
เพราะฉะนั้นปัญญาเท่านั้น ที่จะนำไปสู่กิจทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นกิจการงานใดๆ ก็ตาม จะเห็น จะทำ จะพูด จะคิดทั้งหมด เพราะปัญญาสามารถที่จะเข้าใจถูกต้องว่าในขณะนั้น เป็นสภาพธรรม ที่เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล มิฉะนั้นละไม่ได้เลย ด้วยเหตุนี้แม้การฟัง ก็เป็นผู้ที่ละเอียด เป็นผู้ที่ตรง อกุศลมากอย่างนี้ แล้วจะละได้อย่างไร ละให้หมดต้องมีปัญญาระดับไหน แต่เพียงปัญญาที่เห็นโทษ ก็สามารถที่จะยับยั้ง ไม่ให้อกุศลศีลมีกำลังมาก จนกระทั่งถึงทำทุจริตกรรม
เพราะฉะนั้นก็ไม่ใช่เรื่องของเราหรือใครเลย แต่เป็นเรื่องของธรรม ที่เริ่มจากความเห็นถูก ความเข้าใจถูกว่า อกุศลมีมาก เพราะฉะนั้นการฟังธรรม เป็นหนทางเดียวที่ความเห็นถูกจะค่อยๆ เกิด เข้าใจสภาพธรรมที่มี จนกระทั่งสามารถที่จะละอกุศล ไม่ให้เกิดได้ แต่ว่าไม่ใช่เป็นเราที่พยายาม ถ้ากล่าวถึงชำระจิตให้บริสุทธิ์ ชำระให้บริสุทธิ์จากอะไร
อ.คำปั่น จากสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายทั้งปวง ที่เกิดขึ้นเป็นไป อย่างเช่น ความติดข้อง ยินดี พอใจ หรือว่าความโกรธ ความขุ่นเคืองใจ ที่จะเป็นเหตุ เป็นปัจจัยให้มีการล่วงทุจริตประการต่างๆ
ท่านอาจารย์ ชำระจิตโดยไม่รู้ว่าเป็นธรรม ได้หรือไม่
อ.คำปั่น ไม่ได้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก่อนอื่น จิตที่เป็นอกุศลมากๆ เพราะมีความเห็นผิด ความเข้าใจผิด เพราะไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นการชำระจิตให้บริสุทธิ์ตามลำดับ ข้ามขั้นไม่ได้เลย มุ่งจะไปละโลภะ และโทสะ และอะไรต่างๆ แต่ไม่รู้ว่าขณะนั้นก็ไม่ใช่เรา เป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่มีจริงแต่ละอย่าง
เพราะฉะนั้นปัญญาเท่านั้น คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธพจน์ทุกคำ เป็นการที่จะให้เห็นถูก เข้าใจถูก ในสิ่งที่มีจริงละเอียดขึ้น แม้แต่การคิดที่จะไปชำระจิตให้บริสุทธิ์ จากโลภะ โทสะ ก็เป็นไปไม่ได้ ถ้าไม่มีความเข้าใจตามลำดับ ว่าขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วไม่รู้ความจริง
เพราะฉะนั้นฟังธรรม เพื่อเห็นถูก เพื่อเข้าใจถูก ในขณะที่เห็นถูก ก็ละความเห็นผิด ทั้งหมดนี้ขาดปัญญา ได้หรือไม่ แม้แต่เริ่มต้น เราก็กล่าวให้มีความเห็นถูกว่า ศีลคือ อะไร รูปเป็นศีลได้ไหม เฉพาะจิต และเจตสิก ซึ่งเป็นธาตุรู้ เป็นนามธรรม ใช่ไหม ที่เป็นศีล คือต้องให้มีความเข้าใจถูกต้อง ที่กล่าวว่า ศีล โดยปรมัตถธรรม สภาพธรรมที่มีจริง ได้แก่สภาพธรรมอะไร ไม่ต้องไปเป็นห่วงเรื่องรูป และรูปไม่รู้อะไรเลย แต่จิต ซึ่งมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย ที่สะสมมา สามารถที่จะเข้าใจหรือไม่ ว่าปกติคืออกุศลศีล แล้วกุศลจิตเกิดเมื่อไร กาย วาจาขณะนั้นก็เป็นกุศลศีล หรือแม้กำลังนั่งฟังเดี๋ยวนี้ จะอยู่ตรงไหนก็ตาม จะอยู่ในห้องนี้ หรือว่าจะอยู่ที่อื่น กำลังรับประกันอาหาร ถ้าถามว่าขณะนั้นคนๆ นั้นมีศีลหรือไม่ จะตอบว่าอย่างไร ถ้าศึกษาแล้ว เมื่อมีจิต เจตสิกเป็นปกติ ก็ต้องมีศีลคือปกติ เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล ถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้จะละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน ได้หรือไม่ เพียงได้ยินศีล ก็เป็นศีลไปเลย ๕ ข้อ แล้วก็ ๘ ข้อ ๑๐ ข้อ จะไปละกิเลสได้อย่างไร
เพราะฉะนั้นต้องไม่ลืมว่า พระพุทธพจน์ทั้งหมดทุกคำ เป็นเรื่องของปัญญา มิฉะนั้นพอพูดเรื่องศีล ใครจะกล่าวได้ว่าจิต เจตสิกที่เป็นอกุศล ขณะนั้นเป็นปกติ เพราะฉะนั้นศีลคือปกติของสภาพธรรม ขณะนั้นก็เป็นอกุศลศีล เพราะฉะนั้นต้องมีความเข้าใจ
แต่พระธรรมที่ทรงแสดง ไม่ได้ทรงแสดงโดยละเอียดว่า ไปวันไหน ฟังวันไหน ฟังเรื่องอะไร เข้าใจอะไรบ้าง ก็จะกล่าวถึงเพียงว่า ได้ฟังแล้วก็บรรลุมรรคผล เหมือนกับไม่ได้มีความเข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น แต่ว่าเป็นไปไม่ได้เลย ปัญญาตลอดชีวิต เกิดมามีปัญญา รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏหรือเปล่า ถ้าไม่มีจะบรรลุมรรคผลเมื่อไร
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 841
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 842
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 843
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 844
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 845
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 846
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 847
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 848
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 849
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 850
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 851
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 852
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 853
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 854
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 855
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 856
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 857
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 858
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 859
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 860
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 861
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 862
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 863
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 864
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 865
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 866
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 867
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 868
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 869
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 870
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 871
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 872
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 873
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 874
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 875
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 876
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 877
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 878
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 879
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 880
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 881
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 882
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 883
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 884
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 885
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 886
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 887
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 888
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 889
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 890
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 891
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 892
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 893
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 894
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 895
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 896
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 897
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 898
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 899
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 900