พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 890


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๘๙๐

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๑๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๖


    อ.กุลวิไล เป็นการสะสมความเห็นถูก โดยเฉพาะธรรมที่มีจริง และกำลังปรากฏในขณะนี้ เพราะว่าทั้งหมดเป็นธรรม การสนทนาของเรา วันนี้ก็จะขอนำพระสูตรชื่อ ปัญญาสูตร พูดถึงความสุข การอยู่เป็นสุข ทุกๆ ท่านคงปรารถนา แต่ไม่ปรารถนาที่จะอยู่เป็นทุกข์ แต่พระธรรมที่ทรงแสดง แสดงความจริง เหตุ และผลของธรรม มีธรรม และมีเหตุปัจจัย ที่จะนำมาซึ่งการอยู่เป็นทุกข์ แต่การที่อยู่เป็นสุขนั้นด้วยธรรมใด หรือว่าด้วยเหตุผลใด ก็คงจะเป็นเรื่องที่เราจะศึกษาจากพระสูตร ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงนั่นเอง

    ปัญญา ทุกท่านคงเคยได้ยินบ่อยมาก ธรรมที่เป็นปัญญานี้มีจริงแน่นอน ความเห็นถูก การรู้ตามความเป็นจริง ก็ไม่พ้นขณะนี้เอง ปัญญาสามารถจะรู้ธรรมตามความเป็นจริงได้ และที่สำคัญ ปัญญาต้องมีหลายระดับขั้น สำหรับข้อความที่ท่านแสดงเอาไว้ในพระสูตรวันนี้ ดิฉันก็จะได้อ่าน แล้วจะกราบเรียนท่านอาจารย์ ถึงความเข้าใจในข้อความที่เกี่ยวกับธรรม ที่เป็นปัญญา โดยเฉพาะปัญญาที่เป็นอริยปัญญา

    "สัตว์ทั้งหลายผู้เสื่อมจากอริยปัญญา ชื่อว่าเสื่อมที่สุด สัตว์เหล่านั้นย่อมอยู่เป็นทุกข์ มีความเดือดร้อน มีความคับแค้น มีความเร่าร้อนในปัจจุบันทีเดียว เมื่อตายไปแล้วพึงหวังได้ทุคติ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลาย ผู้ไม่เสื่อมจากอริยปัญญา ชื่อว่าไม่เสื่อม สัตว์เหล่านั้นย่อมอยู่เป็นสุข ไม่มีความเดือดร้อน ไม่มีความคับแค้น ไม่มีความเร่าร้อนในปัจจุบันทีเดียวแล เมื่อตายไป พึงหวังได้สุคติ"

    ปัญญาดูเหมือนจะประเสริฐที่สุด แล้วก็นำมาซึ่งความที่จะไม่มีทุกข์ และที่สำคัญเมื่อตายไปก็นำไปสู่สุคติด้วย ก็จะกราบเรียนท่านอาจารย์ถึงคำว่าปัญญาในที่นี้ ตั้งแต่ปัญญาขั้นที่เราเริ่มต้นจากการฟังพระธรรม จนกระทั่งถึงปัญญาที่เป็นอริยปัญญา จะมีคุณอย่างไร แล้วปัญญานั้นเป็นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ขณะนี้มีสภาพธรรมแน่นอน กำลังปรากฏ จะเข้าใจปัญญา รู้อะไร ได้ยินคำว่า ปัญญา แต่ว่าเดี๋ยวนี้มีเห็น แล้วก็มีได้ยิน แล้วก็มีคิดนึก แล้วปัญญาคืออะไร อยู่ไหน ใช่หรือไม่ เพราะว่าเวลาที่ได้ยินคำหนึ่งคำใด หมายความถึง สิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นขณะนี้มีเห็น ทุกคนกำลังเห็น แล้วพระธรรมที่ทรงแสดง ตรัสกับผู้ฟัง ไม่ว่าจะเป็นใคร ในยุคไหนสมัยไหน ขอทบทวนอีกครั้งหนึ่ง ช้าๆ และก็เป็นวรรคๆ ด้วยดีกว่า

    อ.กุลวิไล สัตว์ทั้งหลายผู้เสื่อมจากอริยปัญญา

    ท่านอาจารย์ สัตว์ทั้งหลาย อยู่ไหน เดี๋ยวนี้เอง กาลไหนก็เป็นสัตว์ทั้งหลาย ผู้เสื่อม คำนี้ เสื่อม มีใครชอบบ้าง กำลังเสื่อมหรือเปล่า ทุกอย่างต้องพิจารณา แม้แต่คำว่าสัตว์ทั้งหลาย ก็รวมทุกคนที่อยู่ที่นี่ด้วย แล้วก็เสื่อม เรากำลังเสื่อมทุกวันๆ หรือกำลังเจริญขึ้นทุกวันๆ เพราะฉะนั้นแม้แต่คำว่า เสื่อม ก็ต้องรู้ แต่เสื่อมมีหลายอย่าง ใช่หรือไม่ เสื่อมจากทรัพย์ และมิตรสหาย หายไป เสื่อมมิตร ญาติก็หายไปอีก ก็เสื่อมญาติ เกียรติยศชื่อเสียงก็หายไปอีก ก็เสื่อมเกียรติยศชื่อเสียง

    เพราะฉะนั้นความเสื่อม ตรงกันข้ามกับความเจริญ แต่ต้องมีเหตุ เพราะฉะนั้นถ้าจะพิจารณาว่ากำลังฟังพระธรรม ซึ่งกล่าวถึงผู้ที่กำลังฟัง แล้วผู้นั้นกำลังเสื่อมหรือเปล่า ขณะใดที่ไม่เป็นกุศล ยังไม่ได้กล่าวถึงปัญญา ขณะนั้นก็เป็นอกุศล เสื่อม เสื่อมมากอยู่ตลอดเวลา เพราะอกุศล

    เพราะฉะนั้นถ้าจะมีความเข้าใจว่า เพราะมีอกุศลมาก มีความเสื่อมมาก จะพ้นความเสื่อมได้ ก็ด้วยการที่ได้ยินคำว่า ปัญญา หมายความถึง ความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ในสิ่งที่กำลังปรากฏ ในสิ่งที่มีจริงๆ แต่ปัญญาจะเกิดเองไม่ได้เลย ต้องอาศัยการฟังพระพุทธพจน์ ทุกคำมีค่า เพราะเหตุว่าจริงๆ แล้ว คิดถึงจิตของแต่ละคน มีอกุศลมาก ทุกวันในสังสารวัฏฏ์

    ถ้าจะกล่าวซ้ำ ทุกคนก็บอกจำได้แล้ว สกปรก เป็นโรค ไม่สะอาด อะไรทุกสิ่งทุกอย่าง ต้องรักษาหรือไม่ พื้นฐานพระอภิธรรม เราใช้คำนี้ ปัญญาต้องมาก่อนแล้วว่า พระอภิธรรมคืออะไร คือสิ่งที่มีจริงๆ จิตขณะนี้มีจริง เสื่อมระดับนั้น และก็จะหายจากความเสื่อมได้ก็ต่อเมื่อได้รักษาจิต ด้วยการเข้าใจตั้งแต่ต้น นี่คือไม่ว่าจะพูดถึงพระอภิธรรม พื้นฐานก็คือความเข้าใจว่า อภิธรรมคืออะไร คือเดี๋ยวนี้เอง แล้วก็ไม่ใช่ของใครด้วย และขณะนี้กำลังเสื่อม เพราะว่าสะสมความเสื่อมมามาก จะรักษาจิตที่เต็มไปด้วยความเสื่อมทั้งหลาย ให้ค่อยๆ สะอาดขึ้น พ้นจากความเสื่อม ก็โดยการฟัง และเข้าใจแม้แต่คำว่าปัญญา คือความเห็นถูก ความเข้าใจถูก

    ถ้าพูดถึงอย่างนี้บางคนอาจจะนึกไม่ออกอีก แล้วปัญญารู้อะไร ปัญญาเห็นถูก ความเข้าใจถูก ก็ขณะนี้มีอะไร เห็นถูก เข้าใจถูก ในสิ่งที่กำลังมีจริงๆ ในขณะนี้นั่นเอง ไม่ใช่ขณะอื่นเลย เป็นพื้นฐาน แต่ละคำที่ได้ฟัง เพื่อที่จะได้เข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ ที่ทรงแสดงไว้ว่าเป็นสิ่งที่มีจริง เพราะเกิดปรากฏแล้วหมดไป แต่ถ้าไม่มีปัญญาตามลำดับขั้น ที่จะเข้าใจจริงๆ ไม่มีทางเลย ที่จะได้รู้ความจริงว่า ขณะนี้สภาพธรรมเป็นอย่างนั้น

    เพราะฉะนั้นบางคนที่ฟัง และก็ไม่ได้เข้าใจธรรม ว่าเป็นอนัตตา และไม่ได้เข้าใจว่าสะสมความไม่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้มามากเท่าไร ก็ไม่คิดเลยว่า การที่จะรู้แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริง ต้องให้จิตซึ่งสกปรก เน่า เป็นโรค ค่อยๆ ดีขึ้น สะอาดขึ้น พอที่เป็นพื้น ที่จะทำให้สามารถเข้าใจสิ่งที่กำลังได้ยินได้ฟัง ถ้าไม่ได้เข้าใจก่อน ปัญญาขั้นต่อไปเกิดไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้นให้รู้ตามความเป็นจริง ว่าสัตว์โลกเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรม ก็เหมือนยารักษาโรค เหมือนสิ่งที่ทำให้ความไม่สะอาดค่อยๆ จางไป จนกระทั่งสามารถที่จะเข้าใจ สิ่งที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริงได้ จึงมีคำว่า อริยปัญญา

    อ.กุลวิไล ท่านอาจารย์ให้ความเข้าใจว่า ปัญญาเป็นความเห็นถูก เข้าใจถูก แล้วก็รู้ในสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ ซึ่งท่านก็ให้ความหมายของอริยปัญญาว่า อริยปัญญา เป็นความรู้ ความเกิด และความเสื่อมของขันธ์ ๕ และด้วยการแทงตลอดอริยสัจ ๔

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่เข้าใจมาก่อน ฟังข้อความตอนนี้เข้าใจหรือไม่ แต่พอเข้าใจแล้ว ฟังข้อความนี้ด้วยความเข้าใจ อริยปัญญา ปัญญาที่ประเสริฐ เพราะได้อบรมแล้ว เพราะฉะนั้นตอนที่ยังไม่มีเลย อาศัยการฟังเป็นพื้นฐาน ยังไม่ถึงความเป็นอริยะ แต่จะนำไปสู่อริยะ ปัญญาที่ประเสริฐ เพราะเข้าใจขึ้้น

    อ.กุลวิไล แล้วก็เป็นความจริงที่ว่า รู้สิ่งที่มีจริงในขณะนี้ เพราะว่าเป็นธรรมทั้งหมด

    ท่านอาจารย์ ฟังบ่อยๆ ในขณะนี้ เพื่อให้รู้ความจริงที่กำลังมีในขณะนี้

    อ.กุลวิไล แล้วก็ความจริงแท้ ก็ไม่พ้นปรมัตถธรรมนั่นเอง จิต เจตสิก รูป และนิพพาน สัตว์ทั้งหลายผู้เสื่อมจากอริยปัญญา ชื่อว่าเสื่อมที่สุด

    ท่านอาจารย์ ตอนนี้เข้าใจชัดขึ้นแล้ว ใช่หรือไม่

    อ.กุลวิไล สัตว์เหล่านั้นย่อมอยู่เป็นทุกข์

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีอริยปัญญา มีแต่อกุศลเพิ่มขึ้นๆ ๆ และก็ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงได้ เพราะความเข้าใจธรรมยังน้อยมาก เพราะฉะนั้นก็ต้องไปสู่ความเสื่อม แต่ถ้ามีความเข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย ก็จะพ้นจากความเสื่อมได้ นี่คือพื้นฐานจริงๆ อย่าไปหวังอะไร ว่าฟังแล้วเมื่อไรจะประจักษ์การเกิดดับ หมายความว่าไม่ได้เข้าใจสิ่งที่ฟัง เพราะเหตุว่าสิ่งนี้ไม่ใช่ว่าจะประจักษ์ได้ โดยการไม่เริ่มเข้าใจสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ จนกระทั่งเป็นความเข้าใจที่มั่นคง ไม่เปลี่ยนแปลง

    อ.กุลวิไล มีความเดือดร้อน มีความคับแค้น มีความเร่าร้อน ในปัจจุบันทีเดียว

    ท่านอาจารย์ รู้ตัวหรือไม่ ฟังแล้วเหมือนไม่มี แต่ว่าทุกขณะที่ไม่รู้ความจริง และโดยเฉพาะทุกขณะที่หลงผิด เข้าใจผิด เพราะเหตุว่าบางคน ฟังเรื่องสิ่งที่มีจริงขณะนี้ แล้วก็อยากจะประจักษ์ความจริงของสิ่งที่มีในขณะนี้ โดยไม่มีความเข้าใจเป็นพื้นฐาน เพราะฉะนั้นก็เลยคิดว่า สามารถที่จะทำให้รู้ความจริงได้ โดยวิธีต่างๆ เพียงแต่จะไปนั่งที่หนึ่งที่ใด แล้วหวังว่าจะดูสิ่งที่มี เพื่อที่จะได้ประจักษ์แจ้งการเกิดดับ เป็นไปได้หรือไม่ เป็นไปไม่ได้ คุณกุลวิไลอ่านอีกครั้งหนึ่ง

    อ.กุลวิไล สัตว์ทั้งหลายผู้เสื่อมจากอริยปัญญา ชื่อว่าเสื่อมที่สุด สัตว์เหล่านั้นย่อมอยู่เป็นทุกข์

    ท่านอาจารย์ อยู่เป็นทุกข์ เพราะอยาก ใช่หรือไม่ อยู่ดีๆ ก็ไปเป็นทุกข์ เพราะอยาก

    อ.กุลวิไล มีความเดือดร้อน

    ท่านอาจารย์ มีความเดือดร้อนที่อยากจะรู้เหลือเกิน เดือดร้อนหรือไม่ ขณะนั้นไม่รู้สึกตัวเลย คิดว่าดี คิดว่าขวนขวาย คิดว่ามีความเพียร คิดว่าได้ฟังพุทธพจน์ คิดว่าเข้าใจที่จะต้องทำตาม แต่พระธรรมลึกซึ้งมากแต่ละคำ ต้องรู้ว่าเป็นความจริง ซึ่งขณะนี้ปัญญารู้หรือเปล่า ถ้าไม่รู้ก็มีความเป็นตัวตน และก็มีความเป็นทุกข์ เพราะความต้องการ เพราะฉะนั้นในขณะนั้น ต้องเป็นทุกข์แน่ ที่หวังจะได้รู้สภาพธรรม แต่ความจริงขณะนั้นกำลังเป็นทุกข์ เพราะต้องการรู้ ซึ่งไม่ใช่เหตุที่จะทำให้รู้

    อ.กุลวิไล เพราะไม่มีปัญญาที่รู้ธรรมตามความเป็นจริงนั่นเอง มีความคับแค้น มีความเร่าร้อน ในปัจจุบันทีเดียว

    ท่านอาจารย์ เห็นได้ใช่หรือไม่ สำหรับผู้ที่มีปัญญาว่า หนทางที่ไม่ถูก ก็เป็นอย่างนี้

    อ.กุลวิไล เมื่อตายไปแล้ว พึงหวังได้ทุคติ

    ท่านอาจารย์ ขณะใดก็ตามที่กำลังเข้าใจผิด ขณะนั้นถ้าตายเป็นอย่างไร ไปไหน ก็ต้องเป็นไปตามปัจจัย เพียงแค่ขณะนั้นเห็นผิด และก็ทำสิ่งที่เข้าใจว่าจะรู้แจ้งสภาพธรรม ด้วยความเข้าใจผิด ขณะนั้นเป็นอกุศลที่ประกอบด้วยความเห็นผิด ขณะนั้นเร่าร้อน เพราะความต้องการ ก็มีโลภะอยู่แล้ว กระสับกระส่ายเดือดร้อน ไม่เป็นปกติสุขเลย เพราะไปสู่หนทางที่ไม่ถูกต้อง

    อ.กุลวิไล มีข้อความในอรรถกถา ท่านก็กล่าวถึงว่า สัตว์เหล่าใดประกอบด้วยเครื่องกั้นคือกรรม สัตว์เหล่านั้นเสื่อมคือข้อง คือเสื่อมมากโดยส่วนเดียว โดยความเป็นผู้แน่นอนต่อความเห็นผิด

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่ฟังธรรม ไม่มีทางที่จะเข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ

    อ.กุลวิไล อย่างที่ท่านอาจารย์กล่าวว่า แล้วจะไปทำกันด้วยความไม่รู้ ไม่เข้าใจความจริง ด้วยความเป็นตัวตน ก็คือทำด้วยความเห็นผิดนั่นเอง

    ท่านอาจารย์ แน่นอน จิตขณะนี้เป็นอะไร ไม่ได้รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ แม้ในขั้นการฟัง ด้วยการไตร่ตรอง จนกระทั่งสามารถที่จะไม่ลืมว่า ขณะนี้มีจริงๆ แต่ไม่ใช่เรา มีจริงชั่วขณะที่เกิดขึ้น แล้วก็ดับไป แล้วแต่ละจิต เกิดขึ้นทำกิจที่ไม่สับสน เช่นธาตุรู้ที่กำลังเห็นขณะนี้ เกิดเพราะเหตุปัจจัย คือมีสิ่งที่สามารถกระทบกับจักขุปสาท และมีกรรมที่ได้กระทำแล้ว ที่เป็นปัจจัยให้ต้องเห็นสิ่งนี้ที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นสิ่งนี้เกิดขึ้นเห็น ไม่มีใครต้องไปบังคับ ว่าให้เกิด และให้เห็น แต่ว่าสภาพนี้มีจริงโดยกรรมเป็นปัจจัย ที่จะทำให้มีธาตุที่ต้องเห็น คือเกิดขึ้นแล้วทำอื่นไม่ได้เลย มีหน้าที่เดียวคือเห็น

    เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า สภาพธรรมละเอียดระดับไหน เพียงแค่กำลังเห็น แล้วก็ขณะเดียวด้วย แต่ดูเสมือนว่าเห็นตลอดเวลา และก็ยังรู้ด้วยว่า สิ่งที่เห็นเป็นอะไร เพราะฉะนั้นก็ไม่ใช่การเข้าใจถูก ในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังเห็น เพียงชั่วขณะที่เห็นตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นก็ไม่มีทางที่จะมีใคร สามารถประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรม ถ้าไม่มีการเข้าใจ โดยการฟังพระธรรมที่ทรงแสดง ซึ่งจะค่อยๆ ลงไปถึงอนุสัยกิเลสได้

    เพราะเหตุว่าทุกสิ่งทุกอย่าง เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ถ้ายังมีการหลงลืม และไม่ฟังบ่อยๆ และไม่ได้เข้าใจจนกระทั่งมั่นคงจริงๆ การที่จะให้เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏเพียงหนึ่ง แต่ละหนึ่งที่กำลังปรากฏ ก่อนที่จะประจักษ์การเกิดขึ้น และดับไป เป็นไปไม่ได้

    เพราะฉะนั้นการฟังธรรม เพื่อเหตุเดียว เพื่อความเข้าใจที่จะสะสม เพื่อจะให้มีพื้นฐานของจิตที่มั่นคง และก็สะอาดขึ้น แล้วก็เป็นโรคที่ค่อยๆ บรรเทาลงไปได้ เพราะยา คือความเข้าใจ ที่เกิดจากการฟังพระธรรม จนกว่าจะได้รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ เพราะฉะนั้นไม่ต้องหวังเลย ที่จะเข้าใจการเกิดดับของสิ่งที่กำลังปรากฏ เพียงแต่ฟังให้เข้าใจจริงๆ ในสภาพธรรมแต่ละหนึ่งว่า เห็นเกิดขึ้นเห็นแล้วดับแล้ว ทำอื่นไม่ได้เลย แล้วรู้หรือยัง แต่ฟังเพื่อที่จะรู้ได้ แต่ถ้าไม่ฟังเลย ก็ยังคิดว่าเห็นนาน แต่ว่าความจริงหนึ่งขณะ ซึ่งดับแล้วมีจิตอื่นเกิดสืบต่อทันทีไม่มีระหว่างคั่น เหมือนขณะนี้ ก็ประกอบด้วยสภาพธรรมมากมายหลายอย่าง ตั้งแต่เช้ามาก็จิตทั้งนั้น ที่ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างปรากฏ เหมือนมีที่ยั่งยืน เพราะการที่จิตแต่ละหนึ่ง เกิดขึ้น และดับไป เพราะฉะนั้นการที่จะรู้ความจริงอย่างนี้ ไม่ใช่อย่างอื่น ต้องอาศัยความเข้าใจจากการฟัง แล้วก็ไม่ลืม

    อ.กุลวิไล ท่านอาจารย์กล่าวถึงว่า ขณะนี้ก็มีเห็น มีได้ยิน และที่สำคัญก็คือถามหาปัญญา แต่ทั้งๆ ที่ปัญญาเป็นความเห็นถูกในสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ ดังนั้นถ้ามีความเห็นถูกในเห็น ในได้ยิน แล้วรู้ธรรมตามความเป็นจริง นั่นก็คือปัญญานั่นเอง ซึ่งปัญญา ที่ท่านกล่าวถึงอริยปัญญา ท่านก็กล่าวถึง วิปัสสนาปัญญา และมัคคปัญญา นั่นเอง เพราะว่าปัญญาเหล่านี้ รู้ความเกิด และดับของขันธ์ ๕ แล้วก็แทงตลอดในอริยสัจ ๔

    ท่านอาจารย์ ฟังอย่างนี้ก็ทราบว่า ปัญญามีหลายขั้น ใช่หรือไม่ ปัญญาที่กำลังฟังเรื่องการเกิดดับของสภาพธรรม ในขณะนี้ ซึ่งเกิดดับสืบต่อไม่ขาดเลย นี่คือขั้นฟัง แต่ถ้าไม่มีการเข้าใจอย่างนี้ จะรู้ไหม อย่างที่กล่าวเมื่อสักครู่นี้ ที่จะเป็นวิปัสสนา ที่จะถึงความเป็นอริยะ คือปัญญาที่ได้อบรมแล้ว ต้องเข้าใจสภาพธรรมทีละหนึ่ง วิปัสสนา ถ้าจะกล่าวว่าปัญญาที่รู้แจ้ง ไม่ใช่รู้อย่างขั้นฟัง เพราะขั้นฟัง จิตเห็นขณะนี้เป็นวิญญาณนิมิต ถ้าจะใช้คำภาษาบาลี นิมิต หมายความว่าสิ่งที่เกิดดับสืบต่อจนปรากฏ เป็นสิ่งนั้น

    เพราะฉะนั้นเห็นขณะนี้ กี่ขณะ ใครนับ ใครรู้ ไม่มีทางที่จะรู้ได้เลย เพราะฉะนั้นเรารู้ว่ามีจิตเห็นขณะนี้ โดยวิญญาณนิมิต เพราะว่าจิตเห็นไม่ได้ทำหน้าที่ได้ยิน และก็จิตเกิดดับสืบต่ออย่างเร็วมาก คั่นจิตเห็นกับจิตได้ยิน เพราะฉะนั้นที่ปรากฏว่าเหมือนมีจิตได้ยินนานขณะนี้ ก็เพราะเหตุว่าจิตได้ยิน เกิดดับๆ โดยที่ไม่รู้เลยว่ามีจิตอื่นเกิดคั่น

    เพราะฉะนั้นจิตที่เห็นในขณะนี้ ก็คือว่า เพราะจิตเห็นเกิดดับมากพอ ที่จะให้รู้ว่าขณะนี้มีธาตุที่กำลังเห็น ถ้าเพียงขณะเดียวที่เกิด และดับ ไม่มีทางเลย เพราะว่าจิตเกิดดับเร็วกว่ารูป เพราะฉะนั้นเพียงเกิดขึ้นเห็นแล้วดับ หนึ่งขณะไม่พอที่ปัญญาจะรู้ได้ ไม่ว่าปัญญาระดับไหน แม้แต่วิปัสสนาปัญญา ปัญญาระดับนั้น ก็คือรู้วิญญาณนิมิต นิมิตของจิตเห็น จิตเห็นคือจักขุวิญญาณ รู้นิมิตของจิตได้ยิน จิตได้ยินคือโสตวิญญาณ

    เพราะฉะนั้น ในขณะนี้อยู่ในโลกของนิมิต จนกว่าจะได้ฟัง แล้วก็รู้ว่า แท้ที่จริงพูดถึงเห็นก็เป็นนิมิตของเห็น เพราะไม่ปรากฏการเกิดดับของเห็น พูดถึงแข็งก็เป็นนิมิต รูปร่างสัณฐาน จะใช้คำว่าสัณฐานรูปร่างของทุกอย่างได้ หมายความถึงความหลากหลายของความเป็นสิ่งนั้น อย่างทางตา เราพูดได้ รูปร่างสัณฐานต่างๆ กว้าง ยาว เขียว เหลือง ทำให้มีขอบเขตต่างๆ สำหรับทางตา ทางหูคือเสียงก็ฉันนั้น เสียงก็มีเสียงหลากหลายมาก

    เพราะฉะนั้นสิ่งที่ปรากฏทางหูขณะนี้ ก็เป็นนิมิตของเสียง ทุกอย่างเป็นนิมิตของการเกิดดับสืบต่ออย่างเร็วมาก มิฉะนั้นก็จะไม่ปรากฏเหมือนกับว่า ไม่มีอะไรสักอย่าง ที่ดับไป ถ้าไม่มีพื้นฐานความเข้าใจอย่างนี้ แล้วจะถึงอริยปัญญาได้ไหม

    อ.กุลวิไล เชิญคุณวิชัย

    อ.วิชัย กราบท่านอาจารย์ครับ กล่าวถึงเรื่องของปัญญา ซึ่งท่านอาจารย์ก็ได้กล่าวถึงว่า ความรู้ ความเข้าใจ หรือว่าปัญญานั้นคือ ต้องเข้าใจขณะนี้ เดี๋ยวนี้ คือขณะที่ฟังท่านอาจารย์ ก็คิดถึงสิ่งที่กำลังมีขณะนี้ แต่ลักษณะของปัญญาจริงๆ คงไม่ใช่เพียงคิด แต่ว่าเป็นความเข้าใจ ซึ่งก็เป็นการยากที่จะรู้ลักษณะของปัญญาว่า ขณะเพียงคิด หรือว่าความเข้าใจขึ้นเล็กๆ น้อยๆ คือเป็นปัญญา ลักษณะของเขาอย่างไร เพราะว่าแม้ปัญญาก็เป็นธรรม แล้วก็เกิดดับอย่างรวดเร็ว

    ท่านอาจารย์ ไม่ต้องเรียกว่าปัญญา ได้หรือไม่

    อ.วิชัย ก็ได้

    ท่านอาจารย์ เมื่อเข้าใจ แม้แต่ฟัง ขณะใดที่ฟังไม่เข้าใจ ขณะนั้นก็ไม่ใช่ปัญญา ถูกต้องหรือไม่ แต่กำลังฟังแล้วเข้าใจ ขณะนั้นไม่ต้องเรียกว่าปัญญา แต่ก็เป็นปัญญา เพราะปัญญาคือความเข้าใจ เข้าใจอะไร ก็เข้าใจสิ่งที่ปรากฏถูกต้อง ในขั้นของการฟัง เช่นขณะนี้ ถ้าพูดคำว่า สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ คำนี้ทุกคนเข้าใจ แต่ว่าธาตุที่ปรากฏให้เห็นได้ เห็นไหม แทนที่จะบอกว่า สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ เพราะสิ่งนั้นมีจริงๆ เมื่อมี จริงๆ แล้วเป็นอะไร ก็เป็นแค่สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ เป็นอื่นจากนี้ได้ไหม

    เพราะฉะนั้นแม้แต่ แต่ละคำที่ได้ยิน เข้าถึงความเป็นธรรม คือไม่มีใครเลย แล้วก็ไม่มีอะไรด้วย แต่ขณะใดก็ตาม มีเห็น ต้องมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น และขณะนั้นสิ่งที่ปรากฏสั้นมาก เร็วมาก จิตเห็นก็ดับ และสิ่งที่ปรากฏให้เห็นก็ดับ จริงหรือเปล่า ถ้าเข้าใจต้องเรียกว่าปัญญาไหม

    อ.วิชัย ไม่ต้องเรียก ก็เป็นความเข้าใจ

    ท่านอาจารย์ ไม่ต้องเรียก ก็เป็นความเข้าใจ แต่เป็นความเข้าใจเพียงขั้นต้น ซึ่งถ้าไม่มีความเข้าใจจากการฟัง ที่จะให้ประจักษ์แจ้งจริงๆ เกิดไม่ได้เลย ก็ยังเป็นคุณวิชัย ก็ยังเป็นโต๊ะ ก็ยังเป็นดอกไม้ แต่ได้ฟังแล้ว ได้ฟังแล้วหลายครั้ง เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ กว่าที่จะย้ำจนกระทั่งเป็นความเข้าใจ โดยการฟังแล้วฟังอีก ก็จะรู้ได้เองด้วยตัวเอง ว่าเมื่อไรเกิด แม้เพียงเริ่มระลึกได้ โดยไม่ต้องฟัง

    เพราะเหตุว่าได้ฟังจนกระทั่งความเข้าใจนั้น มีกำลังพอที่แม้ได้ยินก็ยังระลึกได้ นี่อีกขั้นหนึ่งแล้ว จากการที่ฟังมานาน และก็ได้ยินบ่อยๆ แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งถึงแม้ไม่ได้ยิน ก็มีการระลึกได้ แต่ชั่วคราว ระลึกได้ไม่นานเลย เพราะเหตุว่าปัญญาต้องอบรมต่อไปอีกมาก จนกระทั่งสามารถที่จะเข้าใจทุกอย่าง ไม่เว้น ที่กำลังปรากฏ


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 193
    17 ม.ค. 2568

    ซีดีแนะนำ