พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 894


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๘๙๔

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๕ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๗


    อ.วิชัย จากข้อความในคาถาธรรมบท ได้กล่าวถึงเรื่องของจิต หรือว่าเรื่องของใจ ซึ่งก็เป็นธรรมประการหนึ่ง ซึ่งเคยได้ยินได้ฟังบ่อย แต่ความเข้าใจขึ้นในเรื่องของจิต เรื่องใจ ก็เป็นสิ่งที่เมื่อได้ฟัง ได้พิจารณาไตร่ตรองแล้ว ก็จะเป็นความเข้าใจเพิ่มขึ้นในเรื่องของจิต โดยประการต่างๆ ขออนุญาตอ่านข้อความ ในคาถาธรรมบท ธรรมทั้งหลาย มีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จแล้วด้วยใจ ถ้าบุคคลมีใจร้ายแล้ว พูดอยู่ก็ดี ทำอยู่ก็ดี ทุกข์ย่อมไปตามเขา เพราะเหตุนั้น ดุจล้อหมุนไปตามรอยเท้าโค ผู้นำแอกไปอยู่ ฉะนั้น

    ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จแล้วด้วยใจ ถ้าบุคคลมีใจผ่องใสแล้ว พูดอยู่ก็ดี ทำอยู่ก็ดี ความสุขย่อมไปตามเขา เพราะเหตุนั้น เหมือนเงาไปตามตัว ฉะนั้น คือข้อความในคาถาธรรมบท ซึ่งในเรื่องของจิตหรือใจ ก็เป็นคำที่กล่าวถึงธรรมประการหนึ่ง ซึ่งทุกท่านก็คงเคยได้ยินได้ฟังมา แต่ว่าความเข้าใจในเรื่องของจิตนั้น ก็ต้องค่อยๆ ที่จะพิจารณา แล้วก็เกิดความรู้ความเข้าใจเพิ่มขึ้น

    ขอกราบเรียนถามพระอาจารย์ครับ ถ้าถามบุคคลที่ยังไม่ได้ศึกษา ว่ามีใจหรือไม่ บุคคลนั้นก็ตอบว่ามีแน่ ซึ่งความรู้ที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ธรรมตามความเป็นจริง ในเรื่องของจิตหรือว่าใจ ต่างกับบุคคลที่ไม่ได้ยินได้ฟังพระธรรมหรือไม่ได้ศึกษาอย่างไรบ้าง

    ท่านอาจารย์ คนที่ไม่เคยฟังพระธรรมเลย พูดคำที่ไม่รู้จักตั้งแต่เกิดจนตาย เพราะฉะนั้นก็ยังไม่เคยรู้ตัวเลย ว่าพูดตั้งแต่พูดได้ ก็พูดไปทุกวัน รู้จักอะไร ผู้ที่ได้ศึกษาพระธรรมแล้ว ก็สามารถที่จะเข้าใจคำนี้ได้จริงๆ ว่าพูดคำที่ไม่รู้จัก เช่นใจ พูดแล้ว ใช่ไหม แต่ก็ไม่รู้จักจริงๆ ว่า ใจมีแน่ แต่ว่าอยู่ที่ไหน ขณะนี้ใจกำลังทำอะไร ไม่รู้สักอย่างเดียว ว่า ใจก็คือธาตุรู้ จะใช้คำว่าจิต ในภาษาบาลี หรือจะใช้คำว่าใจ หรือว่าคำอื่นก็ตามแต่ แต่สิ่งที่มีชีวิตทั้งหมด เป็นสิ่งที่มีชีวิตเพราะจิต แต่ถ้าไม่มีชีวิต จะไม่มีจิตเลย

    อ.วิชัย บุคคลที่เข้าใจว่ามี แต่ไม่รู้จักหรือไม่เข้าใจในเรื่องของจิต ขอความกรุณาท่านอาจารย์ ที่กล่าวว่า จิตเป็นธาตุรู้ เป็นสภาพรู้ จะให้เข้าใจละเอียดอย่างนี้ ได้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ ไปงานศพกันบ้างหรือไม่

    อ.วิชัย ไปบ้าง

    ท่านอาจารย์ ไม่ต้องไปถึงวัด เพียงแค่มีใครสักคนหนึ่งตาย รู้ได้เลย ใช่หรือไม่

    อ.วิชัย ก็รู้ว่าบุคคลนั้นไม่มีจิต ไม่มีใจแล้ว แสดงว่าบุคคลที่กำลังเคลื่อนไหวหรือแม้ที่กำลังพูดอยู่ขณะนี้ มีจิต

    ท่านอาจารย์ แน่นอน ทุกคน

    อ.วิชัย แล้วจิตอยู่ที่ไหน อย่างไร

    ท่านอาจารย์ คุณวิชัยเห็นอะไร

    อ.วิชัย ก็เห็นดอกไม้บ้าง ท่านที่มาฟังธรรมบ้าง

    ท่านอาจารย์ หมายความว่าเห็นจริงๆ ใช่หรือไม่

    อ.วิชัย ก็กำลังมีในขณะนี้

    ท่านอาจารย์ มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น

    อ.วิชัย ครับ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นถ้าไม่เห็น จะมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้หรือไม่

    อ.วิชัย มีไม่ได้เลย

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจะเรียกสิ่งนั้นว่าอะไรก็ได้ ไม่เรียกก็ได้ ไม่ต้องไปห่วงชื่อ แต่มีธาตุชนิดหนึ่ง มีจริงๆ จะใช้คำว่าธาตุ หรือจะไม่ใช่คำใดๆ เลยทั้งสิ้น หรือจะใช้คำว่าธรรม จะใช้อีกหลายคำ ก็หมายความถึงขณะนี้ มีธาตุรู้ หรือความรู้ สิ่งที่รู้ สามารถที่จะรู้ว่า ขณะนี้มีสิ่งอะไรที่กำลังปรากฏให้เห็น ก็น่าแปลก เพียงแค่เห็นคำเดียวก็ไม่รู้จัก ก็พูดถึงเห็นกันตลอด แต่ก็ไม่รู้จักเห็น และขณะนี้ก็กำลังเห็น จนกว่าจะรู้ว่า ถ้าจะรู้จักเห็น ก็คือในขณะที่กำลังเห็น

    เพราะฉะนั้นจะได้ยินคำนี้ ทั้งชาตินี้อีกกี่ครั้ง รวมทั้งชาติก่อนๆ และชาติต่อไป ก็รู้ว่าเห็นมีจริงแน่นอน แล้วก็ไม่รู้ความจริงของเห็นด้วย แต่ถ้าสามารถจะรู้ได้ เข้าใจได้ ควรรู้หรือไม่ และก็มีหนทางจริงๆ แต่ต้องเป็นความอดทน และก็เป็นความจริงใจ ที่จะรู้ว่าความรู้กับความไม่รู้ต่างกัน เห็นเมื่อไรไม่รู้ก็อย่างหนึ่ง แต่พอเริ่มมีผู้ที่สามารถที่จะทรงแสดง ให้เข้าใจได้ว่า เห็นมีจริงๆ เกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับ ค่อยๆ พิจารณา ค่อยๆ เข้าใจความจริง ไม่ใช่ว่าให้ไปจำเรื่องไว้มากๆ แต่ขณะนี้เห็นมีจริงๆ กำลังเห็นเพราะเกิดขึ้นเห็นแล้วดับ

    เพราะเหตุว่ามีอย่างอื่นแล้ว เสียงก็มี คิดก็มี เพราะฉะนั้นตั้งแต่เกิดมา ไม่ใช่ผู้ที่มีความละเอียด ที่จะรู้ว่าแท้ที่จริง ที่เรียกว่าเป็นเราเกิด แล้วก็ตาย ตลอดชีวิตนั้น มีอะไรบ้าง นับไม่ถ้วน แต่ไม่เคยรู้สักอย่าง ไม่รู้ว่าแต่ละหนึ่งอย่าง เพียงปรากฏแล้วก็หมดไป แล้วก็ปรากฏแล้วก็หมดไป สืบต่ออย่างรวดเร็ว แล้วก็พูดแต่เรื่องราวต่างๆ แต่ก็ไม่รู้จักสิ่งที่พูด ว่าความจริงนั่นคืออะไร

    อ.วิชัย เมื่อสักครู่ท่านอาจารย์กล่าวถึงความรู้ และความไม่รู้ ซึ่งความรู้ และความไม่รู้ กับจิตที่เป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้ จะเป็นธรรมอย่างไรบ้าง

    ท่านอาจารย์ คุณวิชัยเห็นดอกกุหลาบ ชอบหรือไม่

    อ.วิชัย ชอบ

    ท่านอาจารย์ ชอบกับเห็น เป็นสิ่งเดียวกันหรือเปล่า เห็นเพียงเห็น ไม่ได้ชอบ ใช่หรือไม่ แต่บางครั้งพอเห็นแล้ว ชอบเป็นอย่างหนึ่ง ไม่ชอบเป็นอีกอย่าง เพราะฉะนั้นชอบหรือไม่ชอบ ไม่ใช่เห็น ด้วยเหตุนี้ถ้าไม่มีการเห็น ไม่มีเลย จะติดข้องพอใจในสิ่งที่เห็นได้หรือไม่

    อ.วิชัย ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเห็นเป็นใหญ่ เป็นประธาน ในขณะที่กำลังรู้ว่า สิ่งที่กำลังปรากฏเป็นอย่างนี้ ไม่ต้องมีใครบอกเลย ไปบอกให้เห็นอย่างนี้ ให้เห็นเป็นดอกไม้สีขาว กลีบใหญ่ก็มี กลีบเล็กก็มี ไม่ต้องไปบอกเห็น เห็นเกิดขึ้นเห็นแล้ว เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่า ธาตุที่กำลังรู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏ เป็นใหญ่เฉพาะในการรู้ว่า สิ่งนี้ปรากฏ เพราะมีธาตุที่กำลังรู้สิ่งนั้นๆ ละเอียดมาก เร็วมากเลย ก่อนที่จะรู้ว่าเป็นดอกกุหลาบ เห็นกี่ขณะแล้ว ก่อนที่จะรู้ว่าไม่ใช่ดอก แต่เป็นใบ กี่ขณะแล้ว เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่ปรากฏได้ว่ามี เพราะว่าขณะนั้น มีธรรมหรือสิ่งที่มีจริงอย่างหนึ่ง ซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้นทำกิจนั้น คือเห็นแล้วก็ดับไป

    อ.วิชัย ท่านจารย์กล่าวถึงว่า เห็นกับชอบในสิ่งที่เห็น ถ้าไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน ก็ไม่สามารถจะรู้ถึงความต่างได้เลยว่า เห็นขณะหนึ่งกับความพอใจ ชอบใจ เป็นอีกขณะหนึ่ง แต่แม้เคยได้ยินได้ฟัง ก็ยากที่จะรู้ว่า จิตขณะนั้น เป็นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ แล้วใครบอกให้รู้อย่างนี้ คิดเองได้หรือไม่

    อ.วิชัย คิดเอง ไม่สามารถจะรู้ได้

    ท่านอาจารย์ ใครหนอก็ได้ ที่บอกให้เข้าใจขึ้น ว่าขณะนี้มีเห็น เกิดขึ้นเห็น และก็มีชอบ แต่ชอบไม่ใช่เห็น และสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ก็ไม่ใช่เห็น ไม่ใช่ชอบ นี่คือความละเอียดของทุกอย่างที่ปรากฏ เหมือนเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ตามเหตุการณ์ใหญ่ๆ แต่ลืมว่า ก่อนที่จะมีอะไรที่รวมกันเป็นเรื่องราวใหญ่โต ก็จะต้องมีสภาพที่มีจริงๆ แต่ละหนึ่ง ซึ่งปรากฏ

    อ.วิชัย เมื่อสักครู่ย้อนไปก่อนหน้านี้ ท่านอาจารย์กล่าวถึงว่า ความรู้ และความไม่รู้ หมายถึงว่า ความรู้ คือการที่จะเข้าใจว่า เห็นขณะนี้ต่างกับการพอใจในสิ่งที่เห็นหรือ

    ท่านอาจารย์ ธรรมเป็นเรื่องที่มีจริง สนทนากันเรื่องอื่น ก็เป็นเรื่องอื่นไป แต่ว่าถ้าสนทนาถึงสิ่งที่มีจริงๆ ให้เข้าใจ สามารถที่จะเข้าใจได้ทุกเรื่อง แต่ต้องมาจากการเข้าใจสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งก่อน เพราะฉะนั้นแทนที่จะไปคิดถึงเรื่องราวมากมายใหญ่โต เพียงแค่ให้รู้ว่าขณะนี้ หนึ่งขณะคือเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้จะไม่ใช่ขณะอื่นที่ผ่านไปแล้ว หรือขณะที่ยังไม่เกิดขึ้น เดี๋ยวนี้มีอะไร แล้วก็สามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งนั้น

    เพราะตลอดชีวิตที่เกิดมา ก็มีสิ่งที่มีจริงๆ ทั้งนั้น ที่ปรากฏแล้วก็หมดไปเท่านั้นเอง ไม่เหลืออะไรเลย เช่นเดี๋ยวนี้ เป็นต้น สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น ใครจะรู้บ้างว่า เพียงเกิดขึ้นเห็นทั้งสิ่งที่ปรากฏให้เห็น และสภาพที่เห็นก็ไม่เหลือแล้ว ถ้าจะรู้ความจริง ดีกว่าไม่รู้ หรือว่าชอบไม่รู้

    อ.วิชัย ความรู้ย่อมดีกว่าไม่รู้

    ท่านอาจารย์ จึงฟัง ใช่หรือไม่ และก็รู้ว่า ถ้าปัญญาด้วยความเข้าใจถูก เห็นถูก ต้องเห็นถูกในสิ่งที่กำลังปรากฏ ถ้าไม่รู้ก็ต้องไม่รู้ในสิ่งที่กำลังปรากฏนั่นเอง เพราะฉะนั้นแต่ละขณะ เป็นสิ่งที่มีจริง ที่สามารถเข้าใจจริงๆ ได้ แต่ว่าไม่ใช่ด้วยความคิดของเราเอง เพราะเราแต่ละคน ไม่ใช่ผู้ที่ได้ทรงบำเพ็ญบารมี ที่จะตรัสรู้ความจริงถึงที่สุดของทุกสิ่งทุกอย่าง

    อ.วิชัย ถ้ากล่าวถึงความรู้ ความเข้าใจ จากการสนทนาเมื่อสักครู่นี้ หมายถึงว่าการที่กล่าวว่า เห็นมี กับความพอใจในสิ่งที่เห็นมี ก็ดูเหมือนว่าเคยได้ฟังมามากบ้างแล้ว แต่ก็คือเข้าใจอย่างนี้

    ท่านอาจารย์ เข้าใจเรื่อง ใช่หรือไม่ ทั้งๆ ที่ในขณะที่เห็นหนึ่งขณะ แล้วก็มีความชอบ ไม่ชอบในสิ่งที่เห็นสืบต่อ ก็ไม่รู้ว่าต่างขณะกันแล้ว ความจริงยังละเอียดไม่พอ ถ้าละเอียดจริงๆ ทรงแสดงความละเอียดยิ่งของหนึ่งขณะ ซึ่งธาตุรู้เกิดขึ้น ขณะนั้นมีสภาพธรรมที่อาศัยกัน และกัน เป็นปัจจัยให้เกิดขึ้น มิฉะนั้นก็เกิดไม่ได้ แล้วก็ดับไป นี่คือชีวิตตามความเป็นจริงในสังสารวัฏฏ์ และก็จะเป็นอย่างนี้ต่อไป

    เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรมแต่ละครั้ง ให้ทราบว่าฟังคำ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงพระมหากรุณา แสดงให้เราได้ยินได้ฟัง เดี๋ยวนี้เรื่องเห็น ทำไมจึงทรงแสดงเรื่องเห็น ในชีวิตนี้ไม่เห็นหรือ แต่เห็นจนไม่รู้ว่าเห็นอะไรบ้าง ตั้งแต่เกิดจนตาย แล้วไม่รู้เลย เพราะฉะนั้นการที่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่ปรากฏตามความเป็นจริง บังคับไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ บังคับไม่ให้เป็นอย่างนี้ก็ไม่ได้ เป็นต้นตอของความคิดนึกเรื่องราวต่างๆ จากสิ่งที่เพียงปรากฏ สั้นมากแล้วก็ดับไป แต่ว่าเกิดดับสืบต่อ จนเหมือนว่ามีจริงๆ ที่เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง เป็นสิ่งของ หรือว่าเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นต้นไม้ต่างๆ

    แต่ความจริงต้องเป็นผู้ที่ตรงอย่างยิ่ง ขณะนี้มีเห็น เริ่มตรงแล้ว แล้วก็มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ก็ตรงอีก แต่ไม่ได้เข้าใจเลยว่า เห็นไม่ใช่เรา แต่เกิดขึ้นเห็นแล้วดับ เพราะฉะนั้นกว่าจะรู้ความจริงถึงที่สุดอย่างนี้ได้ ต้องมีความอดทน และรู้ว่าประโยชน์อย่างยิ่ง คือมีความเข้าใจถูกในสิ่งที่ปรากฏ และก็ไม่ใช่แต่เฉพาะเห็นเท่านั้น แต่เมื่อกำลังเห็นขณะนี้ ก็พูดเรื่องเห็น ให้รู้ว่าความไม่รู้เรื่องเห็น ไม่รู้จริงๆ เป็นเราเห็นบ้าง เป็นเห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้บ้าง แต่ไม่รู้ว่าถ้าไม่มีสภาพที่เกิดขึ้นเห็น สิ่งที่ปรากฏให้เห็นไม่มี ทั้งวันมีแต่สิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ลืมว่าเพราะมีธาตุรู้ ที่กำลังรู้สิ่งนั้น

    เพราะฉะนั้นควรรู้จักสภาพรู้หรือธาตุรู้ ซึ่งไม่เคยรู้มาก่อน แล้วก็หาว่าจิตเป็นอย่างไร ใจเป็นอย่างไร อยู่ที่ไหน เดี๋ยวนี้ทำอะไร ขณะใดที่เห็น ธาตุรู้ต้องเกิดขึ้นเห็น ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏให้เห็น เรียกธาตุรู้นั้นว่าอะไรก็ได้ ในภาษาไหนก็ได้ แต่ทรงแสดงพระธรรมในภาษามคธี ก็ใช้คำว่า จิต วิญญาณ มโน มนัส แล้วแต่ ก็หมายความถึงขณะนี้ ถ้าไม่มีธาตุรู้เลย ไม่มีอะไรปรากฏได้เลย

    อ.วิชัย ถ้ากล่าวถึงธาตุรู้ สภาพรู้ พอจะสามารถเข้าใจได้ แต่ธาตุรู้ที่เกิดดับอย่างรวดเร็ว จะปรากฏได้หรือ

    ท่านอาจารย์ ต้องรู้ก่อน ว่าธาตุรู้เกิดหรือไม่

    อ.วิชัย ขณะนี้มีปรากฏย่อมเกิด

    ท่านอาจารย์ เกิดขึ้นเห็น ใช่หรือไม่

    อ.วิชัย เห็น

    ท่านอาจารย์ แล้วขณะที่ได้ยิน เห็นอยู่ไหน หายไปไหน เห็น หายไปไหน ไปหาเห็นมาให้เจอ ขณะที่กำลังได้ยิน ไม่มีเห็นเลย แล้วจะบอกว่าไม่ดับได้อย่างไร ดับ หมายความว่าไม่กลับมาอีก เพราะฉะนั้นความจริงนี้ ต้องอาศัยกำลังเห็น และรู้ว่าเดี๋ยวนี้มีเห็นแล้วไม่รู้ กว่าจะรู้เห็นจริงๆ ได้ ตามความเป็นจริง ต้องฟังอีก เข้าใจอีก และก็ขณะที่กำลังมีเห็น ไม่ได้สนใจคิดเรื่องอื่นเลย แล้ววันหนึ่งก็ทนต่อการพิสูจน์ว่า เห็นก็คือสภาพที่ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏให้เห็น ตอนนี้ไม่สงสัยเรื่องดับแล้ว ใช่หรือไม่ ไปหาเห็นเมื่อสักครู่ มีให้ (นาทีที่ ๑๕.๓๐ มีไหม) ถ้าหาได้ก็ไม่ดับ แต่ไม่มีเลย

    อ.วิชัย ถ้ากล่าวว่าเห็นกับได้ยินต่างกัน เมื่อได้คิดพิจารณาตาม แต่ก็ยังไม่รู้ลักษณะของเขา

    ท่านอาจารย์ ต้องเข้าใจในขั้นการคิดก่อน ถ้าไม่คิดก็ไม่มีการเข้าใจ ใช่หรือไม่ แต่ฟังแล้ว เห็นกำลังเห็น และได้ยินไม่ใช่เห็น และเห็นที่กำลังเห็นก่อนได้ยินอยู่ไหน

    อ.วิชัย เห็นต้องดับไปก่อน ได้ยินจึงมี

    ท่านอาจารย์ ไม่กลับมาอีกเลย

    อ.วิชัย แต่เห็นก็มีอีก

    ท่านอาจารย์ เมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ รู้ได้ แต่ไม่ใช่เพราะความไม่รู้ ไม่เข้าใจ และก็อยากรู้ อยากเข้าใจเดี๋ยวนี้ แต่สิ่งที่ปรากฏ เป็นสิ่งที่รู้ยาก ใครบอกว่าง่าย ผิด ใช่ไหม แต่ละคำที่ได้ยิน เป็นความจริง ซึ่งยากที่จะรู้ได้ แต่เพราะมีผู้ที่ทรงบำเพ็ญพระบารมี ทรงตรัสรู้ แล้วทรงแสดงให้คนอื่นมีโอกาสได้ยินได้ฟังด้วย มีท่านผู้หนึ่งได้ฟังมา บางคนก็อาจจะคิดว่า เป็นเรื่องกระทบกระเทียบเปรียบเปรยบุคคลอื่น แต่ตามความจริง ประโยชน์ของการฟัง ก็เพื่อให้ไตร่ตรองได้รู้ว่า อะไรจริง อะไรไม่จริง ถ้าไม่พูด ไม่มีการที่จะคิดว่า แล้วไม่จริงอย่างไร จริงอย่างไร ใช่ไหม ก็ได้ยินคำที่บอกว่า การที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรม ยาก ไม่ผิดเลย ใช่ไหม แต่ผู้นั้นมีหนทางลัด ที่จะทำให้รู้ได้ เริ่มแล้วใช่หรือไม่ ที่จะต้องไตร่ตรอง หนทางลัดเป็นหนทางของใคร หนทางที่จะฟังจนกระทั่งค่อยๆ เข้าใจขึ้น และตรงต่อสภาพธรรมที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ คือเกิดขึ้น และดับไป ลัดได้อย่างไร ใช่ไหม

    เพราะฉะนั้นหนทางลัดเป็นของใคร หนทางตรงที่จะรู้ว่าสิ่งนี้กำลังปรากฏ กว่าจะค่อยๆ เข้าใจขึ้น จนกระทั่งประจักษ์การเกิดขึ้น และดับไป ต้องละคลายความไม่รู้ เพราะความเข้าใจเพิ่มขึ้นระดับไหน เพราะขณะนี้ทั้งๆ ที่สภาพธรรมผู้ที่ประจักษ์แล้ว ได้ประจักษ์ความจริง ว่าเกิด และดับ เร็วสุดที่จะประมาณได้ คนอื่นฟัง หาทางลัด จะได้รู้เร็วๆ ทางลัดไม่ใช่ทางของสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอน เพราะฉะนั้นทางลัดเป็นของใคร ของคนคิด ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    อ.วิชัย เชิญคุณอรวรรณครับ

    ผู้ฟัง อ.วิชัยกล่าวเริ่มเรื่องจิต แล้วท่านอาจารย์ก็ยกตัวอย่างเห็น มีอยู่ตอนหนึ่งท่านอาจารย์กล่าวว่า การที่จะเข้าใจความจริงของเห็น จะต้องมีความอดทนที่จะรู้ตรงนี้ ทุกคนรู้ว่าจิตมี แต่ไม่เข้าใจความจริงของจิต ก็จะขอความกรุณาท่านอาจารย์ว่า เป็นอย่างไรที่จะอดทน และเข้าใจว่า จิตหรือเห็นเป็นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ เหมือนแต่ละคำเป็นคำใหม่ แต่สิ่งที่มีจริงๆ ใหม่หรือเปล่า

    ผู้ฟัง สิ่งที่มีจริงๆ ไม่ใหม่ แต่ไม่เคยรู้มาก่อน

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเมื่อได้ยินคำ ก็ไม่รู้ว่า หมายความถึงสภาพธรรมที่มีจริง ที่เพราะอะไรจึงไม่รู้ ทั้งๆ ที่มี

    ผู้ฟัง เพราะมีความไม่รู้ มีอวิชชา

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นกว่าจะรู้ ใช่ไหม ก็ต้องฟังจนกระทั่งเข้าใจขึ้น เมื่อวานนี้ก็ต้องขออนุโมทนาคุณฟองจันทร์ เพราะเหตุว่ามีชาวต่างประเทศที่มาสนทนาเป็นปกติในวันเสาร์ ก็มีผู้ที่ใหม่ท่านหนึ่ง ท่านก็สนทนาด้วย แล้วคุณฟองจันทร์ก็พูดถึงประสบการณ์ของตนเอง ตั้งแต่ครั้งแรกที่ฟังธรรม โดยสามีเป็นผู้ที่ชักชวนให้มาฟัง คำถามของคุณฟองจันทร์ก็ถามว่า ธรรมคืออะไร และดิฉันก็บอกคุณฟองจันทร์ว่า คุณฟองจันทร์ลองจับหรือสัมผัส กระทบอะไรสักอย่าง คุณฟองจันทร์ก็เริ่มไม่พอใจ ถามว่า ธรรมคืออะไร และบอกให้จับอะไรสักอย่างหนึ่ง คุณฟองจันทร์เล่าเองดีไหม

    ผู้ฟัง อยากจะเล่าให้ฟังนิดหนึ่งว่า เมื่อตอนที่ไปฟังธรรมกับท่านอาจารย์ใหม่ๆ ที่วัดบวร เมื่อก่อนท่านอาจารย์จะสนทนาธรรมกับฝรั่ง ช่วงวันพุธ ประมาณบ่ายสองโมง หรือสี่โมงเย็น แล้วก็คุณไอแว่นจะไปสนทนาธรรมที่วัดบวรประจำ ตอนนั้นดิฉันเองก็ยังไม่รู้เรื่องอะไรมากมายเลยเกี่ยวกับธรรม คุณไอแว่น ก็กลับมาบอกดิฉันว่า ไปเจอผู้หญิงคนหนึ่งพูดธรรมไม่เหมือนใครเลย ก็ถามคุณไอแว่นว่า แล้วเขาพูดว่าอย่างไร เขาบอกว่าต้องไปฟังเอง เขาบอกเขาพูดแทนไไม่ได้หรอก แล้วก็ตั้งใจมากจะไปฟัง แต่ก็กลัวจะตกหล่น จึงเอาเครื่องอัดเทปไปด้วย เสร็จแล้วพอไปถึงก็เรียนถามท่านอาจารย์ว่า ธรรมคืออะไร นั่นคือคำถามแรก

    ท่านอาจารย์ก็บอกว่าคุณแอ๊วลองจับเครื่องอัดเทปดู ว่าเจออะไร ในใจก็เถียงท่านอาจารย์ เพราะถามว่า ธรรมคืออะไร แต่มาบอกให้จับเครื่องเทป ก็ไม่เข้าใจ คือเป็นคนที่ต่อต้าน และไม่เชื่ออะไรง่ายๆ ให้จับเครื่องเทป จะไปเจออะไร ก็จับอย่างเสียไม่ได้ ต้องยอมรับ และต้องกราบขอโทษท่านอาจารย์ แล้วท่านอาจารย์ก็ถามว่า เจออะไร คิดอยู่ตั้งนานก็บอก ไม่เห็นเจออะไรเลย ท่านบอกว่าจับดูอีกที เจอแน่ๆ เลย จับอย่างเสียไม่ได้ พอจับเสร็จ ท่านอาจารย์ก็ถามว่า ตกลงว่าเจออะไรหรือไม่ ก็ไม่เห็นมีอะไรนอกจากแข็งกับเย็น

    ท่านอาจารย์ก็บอก นั่นแหละคือธรรม เราก็แข็งกับเย็น มันเป็นธรรมได้อย่างไร จะเป็นธรรมได้อย่างไร ก็ฉุนในใจ ไม่พอใจท่านอาจารย์มาก ทำไมตอบอย่างนี้ ไม่เคยได้ยินมาก่อน ท่านอาจารย์ก็อธิบายให้ฟังแล้วว่า แข็ง เย็น เป็นรูปธรรม เป็นรูปธรรมอย่างไร แล้วก็ไปจนถึงนามธรรม แล้วก็แยกแยะ พอฟังเสร็จแล้วรู้สึกว่า ขนลุกซู่เลยว่า นี่คือความจริงที่เราไม่เคยรู้มาก่อน และไม่เคยได้ยินใครพูดแบบนี้มาก่อน แล้วมันเป็นอะไรที่เราไม่สามารถจะปฏิเสธได้ว่า มันไม่ใช่ความจริง เพราะจับแล้วมันก็มีแค่แข็งกับเย็น ไม่มีอะไรอย่างอื่น แล้วมันก็ไม่รู้อะไร ก็เลยประทับใจท่านอาจารย์ ตั้งแต่บัดนั้นจนบัดนี้ ๓๐ กว่าปีแล้ว ก็ต้องกราบอนุโมทนาคุณไอแว่น ผู้เป็นสามี ที่เป็นคนพามาพบท่านอาจารย์ คือในชีวิตคิดว่าเป็นคนที่มีบุญมากเลย ที่จะมาเจอ ได้มาฟังธรรมที่ตรง มันชัดที่สุด มันปฏิเสธไม่ได้ ว่ามันคือธรรมอย่างนี้ๆ แต่ละอย่างๆ ลงลึกไปจริงๆ

    เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรม เผินไม่ได้เลย ต้องศึกษา โดยเฉพาะในขั้นต้น จะต้องศึกษาให้เข้าใจจริงๆ ว่านามรูปเป็นอย่างไร จิต เจตสิกเป็นอย่างไร แล้วค่อยๆ ไปทีละนิด แล้วก็จะผลีผลาม ต้องการที่จะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ มันเป็นไปไม่ได้ กราบขอบพระคุณค่ะ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น แทนที่จะตอบ ควรที่จะให้คนนั้นเข้าใจด้วยความคิดของตนเอง จนกระทั่งไม่ต้องถามใครอีกแล้ว ว่าธรรมคืออะไร เพราะว่ารู้จักธรรม แต่ถ้าเพียงตอบเอง เขาก็ยังสงสัย เพราะเขาก็ยังไม่รู้ว่า ทุกขณะนี้ สิ่งใดก็ตามที่มีจริงที่ปรากฏ


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 193
    8 ม.ค. 2568

    ซีดีแนะนำ