พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 895
ตอนที่ ๘๙๕
ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา
วันอาทิตย์ที่ ๕ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๗
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นแทนที่จะตอบ ควรที่จะให้คนนั้นเข้าใจด้วยความคิดของตนเอง จนกระทั่งไม่ต้องถามใครอีกแล้ว ว่าธรรมคืออะไร เพราะว่ารู้จักธรรม แต่ถ้าเพียงตอบเอง เขาก็ยังสงสัย เพราะเขายังไม่รู้ว่าทุกขณะ สิ่งใดก็ตามที่มีจริงที่ปรากฏ เป็นธรรม คือสิ่งที่มีจริง ไม่ทราบว่าเมื่อวานนี้ที่พาเพื่อนมา เป็นอย่างไรบ้าง เพื่อนคุณอาชิต้า
ผู้ฟัง เขาก็ยังดูไม่เข้าใจเท่าไร อยู่ หนูได้ให้หนังสือปรมัตถธรรมสังเขปที่เป็นภาษาอังกฤษไป
ท่านอาจารย์ การสนทนาธรรม ไม่ใช่การพูดส่วนตัวเพียงสองคน
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นการสนทนาธรรม ก็จะได้รับฟังความคิดเห็นของคนโน้นบ้าง คนนี้บ้าง โดยเฉพาะคนใหม่ๆ ไม่มีทางที่จะเข้าใจ คำที่กล่าวถึงความจริง ที่เขาไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน เพราะฉะนั้นคำไหนที่ได้ยินบ่อยๆ แล้วคิดว่าเข้าใจ คำนั้นไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอน เพราะว่าคำที่ไม่เคยได้ยินต่างหาก ที่เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เช่น แข็ง เย็น ร้อน เห็น เสียง เป็นสิ่งที่มีจริง เขาจะไม่ได้ยินคำนี้ ใช่หรือไม่ เขาจะได้ยินเรื่องราวต่างๆ มากมายเป็นชื่อต่างๆ แล้วเข้าใจว่ากำลังศึกษาธรรม แต่โดยนัยนั้น เขาจะไม่ได้รู้จักสภาพหรือภาวะ หรือ สิ่งที่มีจริง ซึ่งเป็นตัวธรรมแท้ๆ ที่กำลังมีในขณะนี้
เพราะฉะนั้นประโยชน์สูงสุดของทุกคนในการที่มีชีวิตไม่นาน คือว่าก่อนที่จะจากโลกนี้ไป ซึ่งเกิดมาแล้ว สุขสบายบ้าง ทุกข์บ้าง อะไรบ้าง แต่มีอะไรที่จะติดตามไป สักอย่างเดียวก็ไม่ได้ เส้นผมเส้นเดียวก็เอาไปไม่ได้ สิ่งที่เล็กที่สุด เพราะฉะนั้นไม่ต้องกล่าวถึงทรัพย์สมบัติ เกียรติยศอะไรทั้งสิ้น แต่ว่าสิ่งที่มีค่าที่สุดคือ ได้เข้าใจความจริง ว่าแท้ที่จริงเกิดมาไม่มีสาระ มีแต่สิ่งที่ทำให้ติดข้อง แล้วก็ไม่สามารถที่จะสละ ละความติดข้องนั้นได้เลย ถ้าไม่มีการเริ่มรู้ เริ่มเข้าใจว่า แท้ที่จริงแล้วแต่ละขณะ ไม่ว่าในชาติไหน โลกไหน ที่ไหน ก็คือสิ่งที่มีจริงๆ ที่สามารถจะเข้าใจได้ เมื่อเป็นผู้ที่ได้สะสมบุญไว้แต่ปางก่อน ที่มีโอกาสที่จะได้ฟัง แล้วก็ได้เข้าใจด้วย
อ.วิชัย กราบท่านอาจารย์ครับ ดูเหมือนว่าการกระทบ เช่น จับต้องสิ่งต่างๆ ก็เหมือนเป็นปกติในชีวิตจำวัน แต่ถ้าไม่มีบุคคลใดที่กล่าวถึงว่า นี้คือธรรม บุคคลนั้นไม่สามารถจะรู้ได้เลย ว่าเป็นธรรม
ท่านอาจารย์ ได้ยินคำว่า สังสารวัฏฏ์ หมายความถึงการท่องเที่ยว วนเวียน ไม่รู้จักจบ เดี๋ยวนี้หนึ่งขณะ ถ้าไม่มี จะมีวัฏฏะ สังสาระได้หรือไม่ ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เพราะเหตุว่าไม่ได้หยุดเลย ตั้งแต่เกิดทุกๆ ขณะ มีสภาพธรรมที่เกิด ทำกิจการงานของสภาพธรรมนั้นไป จากโลกนี้ไปขณะสุดท้ายที่จิตเกิด ทำให้พ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้ และดับ คือตายทันที ก็เป็นปัจจัยให้ขณะต่อไปเกิดอีกแล้ว ไม่รู้จบ ก็จะฟังอย่างนี้ไปอีก จนกว่าจะเข้าใจขึ้น
เพราะฉะนั้นเรื่องเห็น เป็นเรื่องธรรมดา ทิ้งได้หรือไม่ ไม่เข้าใจได้ไหม มีหรือไม่ ในสังสารวัฏฏ์ หมายความถึงสภาพธรรม ซึ่งเกิดดับสืบต่อไม่ขาดสาย แล้วมีอะไรบ้าง ในการที่จะต้องวนเวียนไป มีสิ่งที่เกิดดับสืบต่อไม่ขาดสาย สิ่งนั้นก็คือเห็นบ้าง ได้ยินบ้าง ได้กลิ่นบ้าง รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก และก็เรื่องราวต่างๆ มากมาย ซึ่งทำให้ติดข้อง และทำให้ไม่รู้ความจริงยิ่งขึ้น
เพราะฉะนั้นหนทางเดียวก็คือว่า มีโอกาสเห็นประโยชน์ของการได้เข้าใจสิ่งที่มี เป็นหนทางเดียวที่จะสิ้นสุดการที่ไม่มีเรา แต่มีธาตุ ซึ่งใครก็บังคับบัญชาไม่ได้เลย แต่ละธาตุ เป็นแต่ละหนึ่ง มีเหตุปัจจัยเกิดขึ้น ดับ และก็เป็นไป ธาตุที่สำคัญที่สุด ที่ปกปิดความจริงก็คือ ไม่รู้ สภาพของธาตุชนิดหนึ่ง ซึ่งกำลังไม่รู้ ไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ และมากด้วย นานแล้วด้วย แต่สามารถจะค่อยๆ ลดน้อยลงไปได้ เมื่อมีการได้ยิน ได้ฟัง ได้เข้าใจ ตั้งแต่รู้ว่าขณะนี้เห็น เป็นสิ่งที่ควรรู้ยิ่ง และทุกอย่างที่มี ก็ควรจะรู้ยิ่งตามความเป็นจริงว่า เป็นเพียงสิ่งที่มีปัจจัยเกิดแล้วดับไป
อ.วิชัย อ.ธิดารัตน์ครับ เมื่อสักครู่ในช่วงต้นรายการได้กล่าวถึงว่า ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า ซึ่งข้อความในอรรถถา ก็ได้กล่าวถึงเรื่องของนามขันธ์ ๔ คือเวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์ ซึ่งถ้ากล่าวถึงนามขันธ์ ๔ ใจหรือวิญญาณขันธ์ เป็นหัวหน้าของอรูปขันธ์ ๓ ประการนั้น ซึ่งมีคำเยอะแยะเลย แต่การที่จะเข้าใจว่า ขณะนี้เห็นมี ย่อมมีจิตแน่ๆ การที่จิตขณะที่เกิด และก็เห็นสิ่งที่ปรากฏ เป็นหัวหน้าของนามขันธ์อื่นที่เกิดร่วมด้วย จะให้เข้าใจอย่างไรบ้าง
อ.ธิดารัตน์ ถ้ากล่าวถึงจิต ไม่ว่าจะเป็นจิตประเภทใด หรือดวงใดก็ตาม มีความเป็นใหญ่ เป็นอินทรีย์ด้วย จิตเป็นมนินทรีย์ เป็นใหญ่ในกิจหน้าที่ และก็เป็นประธานของนามธรรมทั้งหลาย โดยความเป็นธาตุรู้ และจิตเกิดขึ้นแต่ละขณะ ก็มีเจตสิก คำว่าเจตสิก เป็นนามธรรมที่อาศัยจิตเกิด เจตสิกอาศัยจิต เพราะฉะนั้นจิตก็เป็นใหญ่เป็นหัวหน้าอยู่แล้ว โดยเจตสิกมาอาศัยจิตเกิด ถ้าไม่มีจิต เจตสิกก็เกิดไม่ได้ หรือโดยนัยกลับกัน จิตก็อาศัยเจตสิกเหมือนกัน แต่จิตเป็นใหญ่ในนามธาตุทั้งหลาย โดยความเป็นธาตุรู้ อย่างจิตเห็น จิตเห็นทำกิจเห็น คือ ทัศนกิจ เพราะฉะนั้นก็เป็นใหญ่ในการเห็น เป็นอินทรีย์
อ.วิชัย ท่านอาจารย์ครับ การฟังพระธรรมหรือว่าการศึกษาธรรม ก็ต้องมีคำอื่นๆ ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงหรือตรัสเอาไว้ อย่างเช่น เรื่องของขันธ์ และอรูปขันธ์ และก็กล่าวถึงเรื่องของจิต ซึ่งเป็นใหญ่กว่าอรูปขันธ์ ซึ่งคำต่างๆ เหล่านี้ การที่จะเข้าใจว่า ขันธ์คืออรูปขันธ์ คือเวทนา สัญญา สังขาร คืออย่างไร การอาศัยคำเหล่านี้ เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจ คืออย่างไร
ท่านอาจารย์ เราเข้าใจตั้งแต่ต้นแล้วใช่ไหมว่า ธรรมหลากหลาย ไม่ใช่มีเพียงหนึ่ง คือจิต แม้แต่การที่จิตหนึ่งจะเกิดขึ้น ก็จะต้องมีสภาพธรรมที่อาศัย เป็นปัจจัยให้จิตนั้นเกิดขึ้น ซึ่งเมื่อสักครู่นี้ คุณธิดารัตน์ก็กล่าวถึงสภาพธรรมนั้น ซึ่งเกิดกับจิต เป็นสภาพรู้ แต่ไม่ใช่เป็นใหญ่ในการรู้อย่างจิต ว่าสภาพธรรมนั้นคือเจตสิก
เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่า เมื่อสภาพธรรมมีมาก จะให้พูดคำเดียว ได้หรือ ก็ไม่ได้ ใช่ไหม แล้วแต่ละคำที่พูด ไม่ได้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมนั้น โดยประการทั้งปวงยิ่งขึ้น เช่น จิตมีลักษณะ มีกิจ มีอาการปรากฏ มีเหตุใกล้ให้เกิด ไม่ใช่ลอยๆ เลย แม้แต่เพียงคำเดียวหรือสภาพธรรมอย่างเดียว เพื่อแสดงเห็นความเป็นจริงว่า ไม่ใช่เราเลย เป็นแต่ละสิ่ง ซึ่งมีจริง แล้วก็ต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย เป็นอื่นไม่ได้เลย คือลักษณะนั้น ไม่เปลี่ยนแปลง เป็นต้น แล้วก็แต่ละสภาพธรรม ก็ยังต้องมีกิจเฉพาะของแต่ละอย่างด้วย
เพราะฉะนั้นการฟังเพื่อให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ขณะนี้เอง แต่กว่าจะเข้าใจได้ก็ต้องรู้ว่า เคยไม่เข้าใจมานานแล้วเท่าไร แล้วจะเข้าใจวันนี้หมดเลย เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่ละคำที่ได้ฟังแล้ว ให้พิจารณาว่า เข้าใจจริงๆ หรือเปล่า เช่น ขณะนี้พูดถึงจิต มีจิตเป็นสภาพรู้ ธาตุรู้ ซึ่งไม่มีรูปร่างใดๆ เลยทั้งสิ้น แต่มี เพราะทำหน้าที่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏ ขณะนี้จิตทั้งนั้นเลย ไม่มีจิตก็ไม่เห็น ไม่มีอะไรปรากฏ ไม่มีจิตเสียงก็ปรากฏไม่ได้ อะไรก็ปรากฏไม่ได้ เพราะฉะนั้นใครเกิด
อ.วิชัย จิตเกิดขึ้น
ท่านอาจารย์ บางทีคุณพ่อคุณแม่อาจจะเตรียมตั้งชื่อไว้ให้ก่อนเกิดด้วยซ้ำไป แต่ความจริงไม่ใช่เลย ธาตุหรือธรรมเท่านั้นที่เกิด ถ้าไม่มีธาตุรู้เกิดขึ้น จะไม่มีการเป็นสัตว์ บุคคลใดๆ ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นที่ว่าเกิด ไม่ใช่เรา แต่มีธาตุรู้เกิดขึ้น คือจิตพร้อมเจตสิก และรูป คือสภาพที่ไม่รู้อะไรเลย ขณะนี้มีธรรมประเภทใหญ่ ๒ อย่าง คือสภาพธรรมที่มีจริง แต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย เราเรียกว่าดอกกุหลาบ เราเรียก แล้วสภาพนั้นรู้อะไรหรือเปล่า มองเห็นคุณวิชัยหรือเปล่า
อ.วิชัย ไม่เห็น
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่เลย เพราะไม่ใช่เห็น ไม่ใช่สภาพรู้หรือธาตุรู้ เพราะฉะนั้นสภาพธรรม ไม่ว่าจะที่ไหนก็ตาม ก็จะมีลักษณะที่ต่างกันเป็นประเภทใหญ่ๆ ก่อน คือสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย เป็นเราหรือเปล่า เห็นไหม เมื่อไม่รู้ แม้สภาพธรรมที่ไม่ใช่สภาพรู้ ก็ยังว่าเป็นเรา เป็นของเรา ตาเรา เสียงเรา หูเรา จมูกเราหรือเปล่า ต้องตอบตามความเป็นจริง เป็นรูปธรรม ซึ่งไม่ใช่สภาพรู้ เขาไม่รู้เลยว่ารวมกันแล้ว จะไปยึดถือเขาว่าเป็นเรา แต่สภาพนั้นๆ ก็เป็นลักษณะนั้นๆ ซึ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย และสภาพของธรรมซึ่งเกิด แต่ไม่ใช่สภาพรู้ เดือดร้อนอะไรหรือไม่ ใครจะทุบ จะตี จะว่าอะไรต่างๆ นานา เดือดร้อนหรือไม่ ไม่รู้อะไรเลย ไม่ได้ยิน ไม่เห็น
เพราะฉะนั้นสภาพธรรมนี้ เป็นรูปธาตุ ซึ่งหมายความถึงธาตุที่ไม่รู้ ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลยทั้งสิ้น เดี๋ยวนี้ก็มี ใช่ไหม เพราะฉะนั้นก็แยกโลกออกเป็น ๒ อย่างคือธาตุรู้ ไม่มีรูปร่างเลย ไปหาที่ไหนก็ไม่ได้ สูง ต่ำ ดำ ขาว อะไรก็ไม่มี หวาน เค็มอะไรก็ไม่มีทั้งนั้น เกิดขึ้นรู้แล้วก็ดับ แล้วใครไปยับยั้งไม่ให้ธาตุนี้เกิดขึ้นบ้าง ใครไปยับยั้งให้รูปธาตุ คือธาตุที่เกิดแล้วไม่รู้อะไร ไม่ให้เกิดได้ไหม ไม่ได้ แม้แต่ธาตุรู้ ซึ่งต้องรู้ทันทีที่เกิด ก็ต้องรู้ บังคับไม่ให้มีไม่ได้ เพราะเหตุว่าทุกอย่างเป็นธรรม หมายความถึงเป็นอนัตตา ไม่ใช่ของใคร ไม่ใช่ใคร และก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครด้วย ต้องฟังอีกนานไหม นี่คือบารมี ผู้ที่จะทรงบำเพ็ญพระบารมีตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง อบรมบารมีนานกว่าบุคคลอื่น
เพราะฉะนั้นขณะนี้ ผู้ฟังคือสาวก ได้ยิน ได้ฟัง สิ่งซึ่งผู้ที่ได้อบรมบารมีมานานมาก กว่าจะรู้ความจริง ทำให้เราได้มีโอกาส ได้รู้ว่าขณะนี้มีธรรม ๒ อย่าง ไม่ใช่เรา และก็แต่ละอย่าง ก็คือไม่เหมือนที่เราเข้าใจว่า เป็นคนนั้นคนนี้ แต่จำเป็นต้องใช้คำ เพื่อแสดงความต่างของธรรมแต่ละอย่าง ให้รู้ว่าสภาพที่มีจริง แต่ไม่ใช่สภาพรู้ ก็เรียกว่า รูปธรรม ส่วนสภาพใดๆ ก็ตามหิว โกรธ เมื่อย ทั้งหมดไม่ใช่รูป สภาพนั้นๆ มีจริงๆ ไม่อยากให้เกิดก็เกิด อยากให้เกิดก็ไม่เกิด บังคับบัญชาไม่ได้เลย ต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย นั่นคือนามธรรม
เพราะฉะนั้นที่ว่าเป็นเราเกิด ก็คือนามธรรม และรูปธรรม จิต และเจตสิก ซึ่งเป็นนามธรรม และรูปเกิดขึ้น โดยมีกรรมที่ได้ทำแล้วเป็นปัจจัย เลือกไม่ได้ รูปร่าง หน้าตา ผิวพรรณ ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตนี้เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย
อ.วิชัย การศึกษา สามารถที่จะศึกษาไปได้เรื่อยๆ กล่าวถึงจิต กล่าวถึงเจตสิก กล่าวถึงรูป และก็กล่าวถึงเหตุ สมุฏฐานให้เกิดรูปต่างๆ รู้สึกว่าจะกว้างขวางขึ้นเรื่อยๆ
ท่านอาจารย์ นับประมาณไม่ได้ แต่ละหนึ่งเกิด และดับไป และไม่กลับไปอีก มีปัจจัยที่จะให้สภาพนามธรรมใด รูปธรรมใดเกิดขึ้น ก็ไม่ใช่นามธรรม และรูปธรรมเก่าที่กลับมา เพราะฉะนั้นจะประมาณธาตุ ได้หรือไม่ นานาธาตุไม่ซ้ำเลย เกิดแล้วก็ดับ แล้วก็เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ
อ.วิชัย ถ้ากล่าวถึงจิต ที่กล่าวในพระสูตรข้างต้น ที่กล่าวว่าบุคคลมีใจร้าย หรือบุคคลมีใจดี ขณะที่ความร้ายหรือว่าความเป็นอกุศล กับความดีซึ่งเป็นฝ่ายที่ดีงาม ก็น่าคิดว่าบุคคลที่ไม่ได้ยินได้ฟังว่า ทำไมบางบุคคลในโลกนี้ใจดีก็มี หรือว่าใจร้ายก็มี ความดีหรือว่าความร้ายนี้ มีได้อย่างไร หรือว่าเกิดขึ้นเพราะเหตุใด
ท่านอาจารย์ โลภะไม่ดี แล้วถ้าโลภะไม่เกิดกับจิต จิตจะไม่ดีได้หรือไม่ เมื่อโลภะไม่เกิดด้วย
อ.วิชัย ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ไม่ได้ แล้วก็ไม่ให้โลภะเกิดได้ไหม หรือไปหาว่าโลภะเกิดมาได้อย่างไร เหมือนกับจิต ผัสสะ เวทนาเกิดมาได้อย่างไร
อ.วิชัย ต้องมีปัจจัยให้เกิด
ท่านอาจารย์ ต้องมีปัจจัยให้เกิด แล้วก็เดี๋ยวนี้ขณะนี้ที่จิตเกิดมาจากไหน มาจากจิตขณะก่อนหรือเปล่า
อ.วิชัย ประการหนึ่งด้วย ต้องอาศัยจิตขณะก่อน
ท่านอาจารย์ ถ้าจิตขณะก่อนไม่มี จิตขณะนี้มีได้หรือไม่
อ.วิชัย ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ถอยไปแสนโกฏกัปป์ แล้วจะรู้อะไร ถ้าไม่รู้ขณะนี้ เราไปคิดเรื่องราวมาก แล้วก็เต็มไปด้วยความสงสัยว่า มีได้อย่างไร มาจากไหน แต่ว่าเดี๋ยวนี้มีแล้ว เพราะเหตุว่ามีปัจจัย แม้แต่จิตขณะนี้ก็มีแล้ว เพราะว่ามีจิตขณะก่อน เพราะฉะนั้นธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก แล้วแต่ว่าเราสามารถที่จะเข้าใจได้ระดับไหน ถ้าเราจะคิดถอยไปๆ ก็แค่คิด แต่ก็ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นจะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วจึงจะสามารถรู้ได้ว่า เมื่อสักครู่หมดแล้ว เป็นปัจจัยให้ขณะนี้เกิดขึ้น เหมือนเดี๋ยวนี้หมดแล้ว เป็นปัจจัยให้ขณะต่อไปเกิดได้ ถ้ายังไม่เกิดก็เป็นไปไม่ได้
เพราะฉะนั้นการที่จะศึกษาธรรมให้เข้าใจทั้งหมด อย่าลืมว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม เพียงสิ่งที่เราสามารถจะเข้าใจได้ แต่พระปัญญาของพระองค์มากมายกว่านี้ แต่ว่าไม่มีประโยชน์ที่จะกล่าวถึง ที่จะทำให้คนอื่นซึ่งไม่สามารถที่จะรู้ได้เท่าพระองค์ ได้รู้ตาม เพราะฉะนั้นก็เป็นสิ่งซึ่งแม้ได้ยินได้ฟังเพียงเล็กน้อย ก็ยังยากแสนยากที่จะเข้าใจได้ และต้องเป็นผู้ที่ละเอียดด้วยว่า กำลังพูดถึงอะไรในส่วนไหน เพราะจิตหลากหลายมาก ไม่เหมือนกันเลย แต่ละหนึ่งขณะนี้ต่างกันไปโดยหลายนัย ต่างกันโดยสภาพธรรมที่จิตกำลังรู้ เช่น จิตเห็นไม่ใช่จิตได้ยิน จะเป็นจิตได้ยินไม่ได้ เพราะว่าจิตเห็นต้องมีจักขุปสาท ซึ่งสามารถกระทบกับสิ่งที่ปรากฏเดี๋ยวนี้ เป็นปัจจัยให้เกิดจิตที่รู้เฉพาะสิ่งที่กระทบจักขุปสาท จะไปรู้อื่นไม่ได้เลย ก็เพียงใช้ชื่อเพื่อให้รู้ความจริงว่า แท้ที่จริงแต่ละหนึ่งขณะมีปัจจัยเกิดขึ้น และดับไป แต่ไม่สามารถที่จะเข้าใจโดยละเอียด โดยถ่องแท้อย่างพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ แต่รู้ว่าขณะนี้ เป็นอย่างนี้ เคยเห็นไฟป่าหรือไม่ ก็ออกมาจากป่า แต่มีไฟเกิดขึ้น ไฟนั้นมาจากไหน มองเห็นหรือไม่ ก่อนที่จะเป็นไฟ ไฟอยู่ไหน แต่ถ้าไม่มีปัจจัยที่จะให้เกิดไฟ เกิดไม่ได้เลย เราจะรู้หรือไม่รู้ก็ตามแต่
เพราะฉะนั้นปัญญาของเราเพียงแค่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ ว่ามีปัจจัยเกิดขึ้นเห็นแล้วดับ ไม่ใช่เรา เพียงหนึ่งเท่านี้เองในสังสารวัฏฏ์ ก็ยังไม่สามารถที่จะเข้าใจ จน กระทั่งหมดความสงสัย ละคลายการยึดถือว่าเป็นเรา จนกระทั่งสามารถประจักษ์ความจริงว่า สภาพนั้นเกิดแล้วดับ นี้ทุกข์ ไม่สมควรหรือไม่น่าเลย ที่จะต้องเป็นสิ่งที่ควรยินดี ในสภาพธรรมที่เหมือนลวง จากไม่มี เกิดขึ้นมี แล้วก็หมดไป แล้วก็ไม่กลับมาอีก แต่ยังจำไว้ แล้วก็ยังติดข้องอยู่
เพราะฉะนั้นการฟังธรรม เพื่อประโยชน์ที่ว่า เข้าใจสิ่งที่กำลังจะปรากฏเดี๋ยวนี้ เท่าที่สามารถจะค่อยๆ เข้าใจได้ รู้ว่าอีกนานมาก กว่าจะรู้ว่าไม่ใช่เราที่กำลังเห็น แต่ก็ยังมีเห็นให้ได้ฟังเรื่องของเห็น ในขณะที่กำลังเห็น เป็นปัจจัยที่สามารถจะทำให้รู้ว่า ทุกคำที่ได้ยิน เป็นคำจริง แล้วความเข้าใจของเราก็จะเพิ่มขึ้้นตามลำดับ จนกระทั่งรู้ชัด และก็ละคลายการติดข้อง เข้าใจทุกคำ เท่าที่จะเข้าใจได้ ที่เป็นประโยชน์ต่อการที่จะรู้ว่าไม่ใช่เรา เช่น สักแต่ว่าเห็น แค่นี้ เพิ่มมาอีกหน่อยแล้ว จากเห็นมาเป็นสักแต่ว่าเห็น เราสักแต่ว่าเห็น หรือว่าเราไม่รู้อะไร ก็สักแต่ว่าเห็น หรือว่าจะเป็นสักว่าเห็น เพราะเห็นเกิดแล้วดับ
เพราะฉะนั้นแม้แต่ แต่ละคำจะเป็นคำว่าอธิบดี หรือจะเป็นคำว่าอะไรอีกมากมายในพระไตรปิฎก ก็เป็นการกล่าวถึงเพื่อเข้าใจสิ่งที่มีจริงให้ละเอียดขึ้น จนกระทั่งสามารถที่จะเริ่มรู้ลักษณะที่เป็นจริงของสภาพธรรม
อ.วิชัย จากข้อความในอังคุตตรนิกาย เอกนิบาต ซึ่งมีข้อความว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายเปรียบเหมือนหางแหลมของเมล็ดข้าวสาลี หรือหางแหลมของเมล็ดข้าวเหนียว ที่บุคคลตั้งไว้ผิด มือหรือเท้าเหยียบย่ำแล้ว จักทำลายมือหรือเท้า หรือจักให้ห้อเลือด ข้อนี้มิใช่ฐานะที่จะมีได้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะหางแหลมของเมล็ดข้าว อันบุคคลตั้งไว้ผิด ฉันใด ภิกษุนั้นก็ฉันนั้นเหมือนกัน จะทำลายอวิชชา จักยังวิชชาให้เกิด จักทำนิพพานให้แจ้ง ด้วยจิตที่ตั้งไว้ผิด ข้อนี้มิใช่ฐานะที่จะมีได้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะจิตตั้งไว้ผิด ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนหางแหลมของเมล็ดข้าวสาลี หรือหางแหลมของเมล็ดข้าวเหนียว ที่บุคคลตั้งไว้ถูก มือหรือเท้าเหยียบย่ำแล้ว จักทำลายมือหรือเท้าหรือจักให้ห้อเลือด ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเดือยข้าว อันบุคคลตั้งไว้ถูก ฉันใด ภิกษุนั้นก็ฉันนั้นเหมือนกัน จักทำลายอวิชชา จักยังวิชชาให้เกิดขึ้น จักทำนิพพานให้แจ้ง ด้วยจิตที่ตั้งไว้ถูก ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะจิตตั้งไว้ถูก กราบเรียนถามท่านอาจารย์ครับ ถ้ากล่าวถึงเรื่องของจิต จากข้อความนี้ก็มีการที่จะยังจิตให้ถูกหรือให้ผิด
ท่านอาจารย์ คุณวิชัยฟังธรรมทำไม เพื่ออะไร
อ.วิชัย เพื่อเข้าใจ
ท่านอาจารย์ ตั้งจิตไว้ชอบหรือไม่ เพื่อเข้าใจสิ่งที่มี ไม่ใช่หวังว่าจะประจักษ์การเกิดดับ จะรู้แจ้งอริยสัจธรรม จะหมดกิเลส โดยที่ไม่เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นยังมีอวิชชา ถ้ายังหวัง ความหวังก็เกิดขึ้น เพราะไม่รู้ความจริง เพราะฉะนั้นก็ไม่สามารถทำให้เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏได้
ด้วยเหตุนี้การฟัง เพื่อละความไม่รู้ ซึ่งเป็นอวิชชาที่ใหญ่มาก และจะค่อยๆ ลดน้อยลงไปได้ คือเมื่อมีความเข้าใจขึ้น เพราะฉะนั้นฟังธรรมเพื่อเข้าใจ และก็ทุกคนก็รู้ว่า เมื่อเข้าใจแล้ว ฟังต่อไปอีกก็เข้าใจเพิ่มขึ้นอีก เป็นการสะสมความเข้าใจ ซึ่งความเข้าใจหรือปัญญาเท่านั้น ที่สามารถที่จะละความไม่รู้ได้ ที่จะทำลายความไม่รู้ได้ เพราะฉะนั้นก็ไม่ใช่ฟังด้วยความหวังใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากรู้ว่าขณะที่ฟังเข้าใจดับแล้วก็ธรรมดา แล้วก็เป็นอกุศลอีกก็ธรรมดา และก็ฟังอีกก็เข้าใจขึ้นก็ธรรมดา จะต้องการอะไรยิ่งกว่านี้ นั่นคือผิด ใช่ไหม ไม่เป็นปกติที่จะรู้ว่า ทุกอย่างเกิดแล้วเป็นสิ่งที่เป็นไปตามเหตุตามปัจจัยที่สะสมมา เมื่อความเข้าใจน้อย อวิชชามีมาก ก็มีหน้าที่เดียว ตั้งจิตไว้ชอบ คือไม่ใช่เราตั้ง แต่ว่าสะสมความเห็นถูกว่า อวิชชาจะหมดไปไม่ได้ด้วยความหวัง ด้วยความไม่รู้ แต่ต้องด้วยความเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ
อ.วิชัย ทั้งหมดต้องเริ่มต้นด้วยความเข้าใจ
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 841
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 842
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 843
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 844
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 845
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 846
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 847
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 848
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 849
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 850
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 851
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 852
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 853
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 854
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 855
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 856
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 857
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 858
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 859
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 860
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 861
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 862
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 863
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 864
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 865
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 866
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 867
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 868
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 869
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 870
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 871
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 872
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 873
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 874
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 875
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 876
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 877
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 878
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 879
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 880
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 881
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 882
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 883
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 884
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 885
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 886
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 887
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 888
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 889
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 890
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 891
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 892
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 893
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 894
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 895
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 896
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 897
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 898
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 899
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 900