พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 896


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๘๙๖

    ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๑๙ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๗


    อ.ธิดารัตน์ เมื่อวานนี้ก็ได้มีการสนทนาพระสูตรเรื่องของชิ ชีวิตนี้น้อยนักอาจารย์คฑากล่าวถึงชีวิตนะคะ หรือว่าชีวิตที่เราคิดว่าในชีวิตประจำวันนี้นะคะ เราก็มีชีวิตอยู่ชีวิตจริงๆ นะคะ ที่เป็นชีวิตของธรรมะด้วยนะคะ อาจารย์อาจารย์จะอธิบายชีวิตขณะนี้

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีจิตแล้วคุ้นเคยกับคำนี้แล้วนะคะ สภาพรู้หรือธาตุรู้ขณะนี้กำลังเขตไหมคะคุณจิตขณะนี้กำลังได้ยินก่อนคือจิตขณะที่คิดนึกก็คือจิตทุกขณะในชีวิตประจำวันเป็นจิต เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีจิตกับเจตสินะคะ ก็จะไม่มีชีวิตเลย เพราะฉะนั้น ที่สำคัญที่สุดก็คือว่าใครรู้บ้างว่าจิตแต่ละหนึ่งที่สะสมมาเป็นแต่ละบุคคลนะคะ มีกุศลมากหรือมีอกุศลมากมีความดีมากหรือมีความชั่วมาก ไม่ใช่ว่าเราจะพูดถึงใครคนใดคนหนึ่งนะคะ แต่พูดถึงธรรมะคือสิ่งที่มีจริงจริงซึ่งไม่ใช่ของเลย นี้แต่สิ่งที่คุณต์ ต์ และชีวิตก็แสนแสน เก่งแต่มันขนาดนี้นะคะ ค่ายจิตไม่เกิดก็คือไม่มีชีวิตอีกต่อไป เพราะฉะนั้นขนาดแต่ละหนึ่งขณะที่เป็นชีวิตที่มีอยู่ในค่ะประโยชน์สูงสุดก็คือว่าเป็นจิตที่ดีไม่ใช่จิตที่เป็นอกุศลนะคะ เพราะเหตุว่าถ้าจิตที่เป็นอกุศลที่ไม่ดีเกิดผลก็คืออย่างที่เราเห็น มีตาแบบไหน แบบชานแบบหมดทั้งหมดนี่ค่ะเป็นธรรมะซึ่ง ไม่มีใครสามารถที่จะดลบันดาลได้เลยนะคะ แต่ก็มีแล้วตามที่เห็นทุกวัน รัฐทั้งหมดนี้ค่ะก็เป็นธรรมะที่เลือกไม่ได้เลยล่ะก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเมตตาเพื่อเห็น เร็วว เมตตาแล้วไม่เห็น และจะเมตตาไว้ทำไมใช่ไหมคะแต่เพราะเหตุว่าตาสามารถที่จะกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏเฉพาะขณะนี้ที่ปรากฏได้เมื่อจิตเห็นเกิดขึ้นนี่คือความละเอียดของชีวิตค่ะซึ่งไม่ใช่ของใครแต่ก็เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นอกุศลธรรมนะคะ แม้แต่ตาหูจมูกลิ้นกาย และก็สามารถที่จะเป็นพวกไดเจ็บตาก็ได้เป็นโรคคู่ก็ได้จมูกบางคนก็หายใจไม่ออกนะคะ เราบอกว่าเป็นไซนัทซื้อเป็นไรก็แล้วแต่เล่นก็สามารถที่จะเป็นเม็ด มีหนองไหลก็ได้กายก็ทั้งหมดก็เห็นแล้วว่าแต่ละคนนะคะ บางคนก็น่าแปลกมากเลยค่ะที่ใช้คำว่าเมนส์มาช้าเพราะเห็นว่ามีเนื้อทั้งหมดเลยอันนี้ก็ไม่ใช่ที่ประเทศไทยแต่ว่าคราวหลากหลายของทุกมุมโลกที่สามารถที่จะ ได้ยินได้ฟังก็จะได้เห็นความวิจิตรของทั้งรูปท่านรูปร่างกาย และรามทำยิ่งละเอียดกว่านั้น เพราะฉะนั้นแต่ละหนึ่งขณะใดขณะก็กำลังเป็นไปในขณะนี้นะคะ ซึ่งถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงโดยละเอียดยิ่งไม่มีใครสามารถที่จะรู้ว่าทุกอย่างคลิปปรากฏขณะนี้ เป็นผลซึ่งมาจากเขตตั้งเป็นไปตามเพศไม่ว่าจะสุขทุกข์ใดๆ ก็เป็นเรื่องยาวนะคะ อย่างที่เราก็ฟังกันมามากในเรื่องของสภาพธรรมะที่มีจริงแต่ฟังทั้งหมดเพื่อเข้าใจความจริงว่าสิ่งที่ปรากฏขณะนี้ค่ะ เคยมีใครคิดบ้างไหมว่าปรากฏได้ยังไงอยากเห็น เห็นจนชินไม่รู้น่าอัศจรรย์เมธาเห็นเกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับไป แม้แต่ได้ยินขนาดนี้นะคะ มีเสียงปรากฏก็มีท่าทีกำลังได้ยินเสียงแล้วก็ดับ มีผู้เสียชีวิตทุกคณะเลยไม่ว่าโลกไหน นะคะ เพราะไม่ว่าจะเป็นบุคคลที่เป็นมนุษย์เรียกว่าเป็นสัตว์เดรัจฉานในนรกเป็นเปรตอสูรกายบนสวรรค์ชั้นไหนก็ตามนะคะ สภาพธรรมะก็มีปัจจัยที่จะเป็น แล้วก็ดับไปแล้วก็ไม่กลับมาอีก ก็คงจะทราบนะคะ ว่าที่เราฟังธรรมะเพื่อเข้าใจอะไร ไม่ได้เข้าใจคำ แต่เข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ ตามความเป็นจริงนี่คือลืมไม่ได้เลยคะเพราะเห็นว่าพวกคำที่ได้ยินเนะก็แสดงความจริงของสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ให้เข้าใจว่าสิ่งนั้นเป็น เพราะว่าเราเคยเข้าใจว่ามีเรานะคะ ตั้งแต่เกิดจนตายกี่ภพกี่ชาติแต่เราไม่ได้เข้าใจความจริงคะว่าแท้ที่จริงที่ว่ามีเรา และคืออะไรที่เป็นเรา ถ้าไม่มีการเห็นไม่มีการได้ยินไม่มีการได้คืนไม่มีการคิดนึกไม่มีสุขไม่มีทุกข์ใดๆ เลยทั้งสิ้นทั้งหมดมีเรามั้ย ไม่มีแน่นอน เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีแต่ละหนึ่งในคณะไม่ใช่หรือ แต่เป็นสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งใครก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงลักษณะของสิ่งนั้นได้เลย และสิ่งรีดก็กำลังมีในขณะนี้ด้วย เพราะฉะนั้นการศึกษาก็คือว่าศึกษาให้เข้าใจสิ่งที่เมย์ในขณะ ที่เคยเข้าใจผิดยึดถือว่าเป็นเราเพิ่งที่เมื่อฟังแล้วเนี่ยจะค่อยๆ รู้ว่าไม่ใช่เราเลยนะคะ เป็นแต่เพียงสิ่งที่มีจริงซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ค่อยๆ รู้ไม่ใช่หรอกเพราะเป็นทีมสิ่งที่มีจริงแต่ว่าไม่ได้อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาสต์เพียงเกิดขึ้นตามกฎ และหมด ยิ่งเ๔ยงนะคะ หมดแล้วเกิดแล้วมีแล้วหมดไปแล้ว เพราะฉะนั้นในขณะที่เสียงปรากฏมีสภาพที่กำลังได้ยินด้วยไม่ใช่มีแต่เฉพาะเสียงถ้าไม่มีเรายินนะคะ เสียงปรากฏไม่ได้เลยแต่เสียงไม่ใช่ได้ยิน สิ่งที่เราเคยได้ยินได้ฟังมาหมดตั้งแต่เกิดจนถึงวันนี้นะคะ แล้วไม่รู้เลยว่าไม่ใช่เราแต่ความจริงก็คือสภาพธรรมะที่มีจริงนะคะ เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัยหลากหลายมากแล้วก็แต่ละหนึ่งซึ่งเกิดแรกไปไม่เก็บมาอีก เพราะฉะนั้นการฟังธรรมะก็คือเพื่อเข้าใจสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้นะคะ ซึ่งขณะนี้สิ่งนั้นเกิดแล้วดับด้วย แต่ไม่ปรากฏการเกิดแบบเลยแต่ให้ทราบว่าตั้งแต่เกิดจนถึงขณะนี้ค่ะไม่ได้ใช้ขนาดเดียว มายหลายขนาดทั้งเห็นบ้างได้ยินบ้างคิดนึกบ้างนะคะ ล้วนโหมดไปทั้งสิ้นไม่เหลือ วันนี้ก็เป็นอย่างนี้พรุ่งนี้ก็ไม่มีวันนี้แล้วไม่เหลือเลยนะคะ เพราะฉะนั้นแทนที่จะถึงพรุ่งนี้นะคะ ชั่วขณะเมื่อกี้นี้ก็เป็นธรรมะที่มีจริงเกิดระดับ โดยไม่รู้ เพราะฉะนั้นการฟังธรรมะนะคะ ก็คือให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องจริงๆ ในสิ่งที่กำลังปรากฏ คือใจละเอียดค่ะเพลงสามารถจะรู้ได้ว่าที่กล่าวว่าอนัตตาใครเป็นผู้กล่าวคำนี้ พระอรหันตสัมมาสัมเร็จเจ้า เพราะฉะนั้นการที่จะได้ฟังธรรมะแล้วก็เข้าใจต้องเข้าใจด้วย ดูจากการพูดบำเพ็ญผู้แปลมีส่ง วันนี้ไทยทำเนียบ เหมือนจริงสิ่งที่มีจริงทั้งหมดบริเวณอยู่ไม่ว่าที่ไหนนอกไหนเวลาไหนขนาดไหนสิ่งที่มีขนาดนั้นนะคะ เป็นอนัตตาหมายความว่าไม่ใช่เรา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา แล้วก็เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ใครจะให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นตามใจชอบไม่ได้เลย แล้วเราเคยมีความเข้าใจอย่างนี้ในชีวิตมาก่อนรึเปล่า ก่อนที่จะได้ฟังพระครับ เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรมนะคะ ก็คือให้รู้ว่าไม่ว่าจะเป็นคำใดก็ตาม กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงทั้งหมด แต่ละคำนี้ก็มีความหมายที่ละเอียดนะคะ แล้วก็สามารถจะค่อยๆ พิจารณา หลายๆ คำแนะเราก็ลืมคำแรกละอานัดดา กำลังฟังเนี่ยเล่นคำนี้หรือเปล่าคะ ไม่ใช่เรานะคะ ขณะนี้เห็นเป็นเห็นเกิดแล้วดับ ขณะที่เห็นกำลังเห็นจะไม่มีสภาพธรรมะอื่นใดทั้งสิ้น นอกจากสิ่งที่ปรากฏ และจิตเห็น สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น และจิตเห็นนะคะ ชั่วขณะหนึ่งชนะจิตขณะนั้นไม่มีคลิปไม่มีได้ยินไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้นเราเข้าใจอย่างนี้หรือเปล่าทั้งๆ ที่เราก็เห็นมามาก และก็กำลังได้ฟังเรื่องเห็น แต่ก็ยังไม่ได้เข้าใจเห็นอย่างนี้เลยใช่ไหมคะแต่ความจริงของเห็นก็คืออย่างนี้นี่แบ่งเลยนะคะ กำลังได้ยินขณะที่ได้ยินมีเห็นได้ไหม ไม่ได้ตอบได้เลย เพราะทุกคนฟังธรรมะก็รู้ว่านะคะ สภาพธรรมะปรากฏทีละหนึ่งเพราะเห็นว่าจิตเกิดขึ้นทีละหนึ่ง และจิตหนึ่งก็รู้เฉพาะสิ่งที่ปรากฏให้จิตรู้เพียงหนึ่งไม่ปะปนกันเลย เพราะฉะนั้นในขณะนี้ค่ะเป็นราวแล้วก็มีสิ่งต่างๆ มากมายเนี่ย เพื่อเร็วขนาดไหนนะคะ และก็ร่วมกันจนกระทั่งไม่รู้อะไรเลยสักอย่างที่เป็นแฟนกันเด็กแต่ว่าตามความเป็นจริงค่ะขณะที่กำลังได้ยินจริงๆ ไม่มีเหตุ ไม่มีด้วยกลิ่นไม่มีแข็งไม่มีอะไรเลยสักอย่างเนื่องจากขณะนั้นนะคะ เสียงมีแน่นอน เพราะเหตุแต่จิตพาตรูเกิดขึ้นจึงรู้เสียงที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นในขณะนั้นจะมีอะไรเกินกว่านี้ไม่ได้ที่ปรากฏคือมีเสียงแน่ล่ะเวลานี้ทุกคนได้ยินเสียงแต่ลืมนะคะ มีได้ยินเสียง ถ้าไม่มีได้ยินเสียงก็ปรากฏไม่ได้นี่แหละค่ะคือสิ่งที่มีจริงนะคะ ทุกชาติ และก็จะปรากฏอย่างนี้จะบังคับบัญชาอะไรไม่ได้เลยไม่ให้ได้ยินได้ไหมคะ ไม่เห็นได้ไหม แล้วเห็นแบบไปแล้วเป็นราวหรือเปล่า ได้ยินแบบนี้แล้วเป็นเราหรือเปล่าแค่นี้ก็ยังไม่ทิ้งความหมายของคำว่าอนัตตา เพราะเพียงแต่ฝันเล็กๆ น้อยๆ นิดๆ หน่อยๆ แต่ว่าอนัตตานิดทางหมดเลยในชีวิตค่ะสุขก็เป็น ถูกก็เป็นอัน จึงเกิดขึ้นปรากฏแล้วก็หมดไปไม่เหลืออะไรเลย จะรู้ความจริงต่อแม่จากโลกนี้ไปนะคะ ไม่เหลืออะไรในโลกนี้ที่จะตามไปได้เลย โลกกอดมีเยอะใช่ไหมคะ มีอะไรบ้างคะโลกกอดมีพ่อมีแม่มีเพื่อนมีทุกสิ่งทุกอย่างมีสับสน แล้วพ่อแม่เพื่อนฝูงพี่น้องทรัพย์สมบัติของโลกก่อนชาติก่อนอยู่ใน ตามมาชาตินี้ได้หรือเปล่า เพราะฉะนั้นการฟังธรรมะนะคะ คือให้ฟังความจริง และเข้าใจไหมคำเดียวก็ลืมไม่ได้เช่นอนัตตาแต่ก็๕มไม่ได้นะค่ะได้ฟังแล้วก็ลืม เป็นอัตราเป็นราวไปเสียทุกครั้งเพราะเห็นว่ายังไม่ได้เข้าใจจริงๆ ในลักษณะของสภาพสามารถไปละหนึ่งซึ่งด้วยการประจักษ์แจ้ซึ่งใช้คำว่าตรัสรู้ขอโทษมาซับโดยแจ้งส่งให้ประจักษ์ความจริงว่าขณะนี้เมสิ่งที่ปรากฏนะคะ เกิดขึ้น และดับไปแต่ละหนึ่งไม่ได้ปะปนกันไป เห็นขณะนี้ไม่รู้จักได้ยิน ใช่ไหมคะเห็นเกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับไป ได้ยินเกิดขึ้นได้ยินไม่รู้จะคิดนะ ไม่มีใครรู้จักใครไม่มีอะไรเลยที่จะไปดูกันได้เพราะว่าแต่ละหนึ่งเกิดขึ้นแล้วขณะไปนะคะ เพราะฉะนั้นสภาพธรรมะหลากหลายมากยิ่งฟังยิ่งรู้ว่าไม่มีเราเพราะว่าทุกอย่างที่ปรากฏแนะสามารถที่จะแยกออกเป็นธรรมะแต่ละหนึ่งซึ่งไม่ร่วมกัน เมื่อไม่รู้ความจริงอย่างนี้นะคะ ก็ต้องฟังเรื่องของสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ค่ะให้ละเอียดขึ้นให้เข้าใจขึ้น โดยที่ว่าขณะที่กำลังได้ยินได้ฟังอะไรนะคะ จริงอย่างที่ได้ยินหรือเปล่าเช่นเสียง หมดแล้วค่ะ เกิดแล้วหนักแล้ว ไม่ได้รู้เลยนะคะ ว่าขณะที่เสียงปรากฏ เป็นโลกของ โลกเน็กซ์คือเสียงกับได้ยิน เพราะฉะนั้นโลกที่ปรากฏ ขณะที่ปัญญาไม่ได้รู้ความจริงนะคะ เป็นอย่างนึงแน่นอนคือเป็นสิ่งที่เกิดดับสืบต่อเร็วสุดที่จะประมาณได้จนกระทั่งรวมกันหมดเลยค่ะเป็นคนเป็นสัตว์เป็นวัตถุสิ่งต่างๆ เพื่อแสดงให้เห็นว่าจิตเกิดดับเร็วขนาดไหน เห็นไหมคะขณะที่รู้เฉพาะเสียงมีแต่เสียงกับได้ยินเห็นไม่มีคิดนึกไม่มีแต่ยังไม่เป็นอย่างนี้เลยนะคะ เพราะฉะนั้นโลกที่ปรากฏกับอวิชา และความที่ติดของนะคะ ปิดบังไม่ให้รู้ความจริงว่าแท้ที่จริงแล้วโลกของปัญญาเนี่ยต่างกับโลกนี้อย่างสิ้นเชิง เพราะเหตุว่าเมื่อเป็นความจริงอย่างนี้นะคะ โลกจริงๆ ต้องเป็นใหญ่ คือไม่มีหรอกใหญ่ๆ มีคนเยอะๆ มีแผ่นดินมีภูเขามีแม่น้ำมีอะไรเลยนะคะ แต่ว่ามีสิ่งที่เพียงปรากฏเพราะมีธาตุรู้เกิดขึ้นรู้แล้วก็ดับ เร็วสุดที่จะประมาณได้เพราะอะไรคะเพราะขณะนี้ถามว่าเห็นไหมเห็น เห็นอะไรคะ มากมายไม่มีใครเก่าก็เห็นอย่างเดียวเลยใช่ไหมคะค่ะคนกี่คนในห้องนี้เห็น ดอกไม้ขี่ดับในท้องไม่เห็นไม่กี่ใบเห็นหมด๙อี้ข้างฝามีอะไรเห็นหมด นี่เหรอคะคืนโลกที่เป็นโรคจริงๆ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพราะฉะนั้นโลกที่ปรากฏนะคะ เป็นอัตราเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดร่วมกันเป็นแต่ละหนึ่งที่นั่นบ้างที่นี่บ้างเนี่ยก็เพราะการเกิดดับสืบต่ออย่างเร็วที่สุดของ แต่ความจริงคือธรรมะคือสิ่งที่มีจริงนะคะ ก็ได้ฟังกันบ่อยๆ นะคะ ว่ามีสองอย่าง สภาพหนึ่งเกิดขึ้นไม่รู้อะไรทั้งสิ้น ถ้าจะกล่าวว่าโลก ดอกกุหลาบเนี่ยมืดไม่ตรวจดอกกุหลาบหน้ามืดไม้ดอกกุหลาบก็ไม่รู้อะไรมีคนเรียกว่าดอกกุหลาบดอกกุหลาบก็ไม่รู้ค่ะเพราะไม่ใช่ว่ามีดอกกุหลาบจริงๆ นะคะ แต่ว่ามีธรรมะซึ่งเกิดขึ้น ซึ่งเร็วขนาดนี้ไม่รู้เลยว่าที่เราเห็นดอกกุหลาบเนี่ยความจริงดอกกุหลาบอยู่ที่ไหน ภาพเราก็บอกว่าอยู่บนโต๊ะใช่เลยค่ะดอกกุหลาบอยู่ที่ไหนอยู่บนโต๊ะแต่ความจริงนะคะ ที่เป็นดอกกุหลาบ และแสดงว่าไม่ใช่โต๊ะใช่ไหม ดอกกุหลาบอยู่บนโต๊ะแสดงว่าดอกกุหลาบไม่ใช่โต๊ะ แรกๆ ก็เห็นตอนแรกก็เห็นดอกกุหลาบ ทำไมรู้ว่าเป็นดอกกุหลาบทำไมรู้ว่าเป็นโต๊ะพาร์สิ่งที่ปรากฏทางตาด้วยค่ะไม่หลากหลายด้วยสีสันวรรณะต่างๆ ก็ไม่สามารถจะรู้ได้เลยว่านี่เป็นดอกกุหลาบนี้เป็นต้นนะคะ ไม่หมดไม่รู้ว่าเป็นอะไร สีขาวสีเดียวโหมดไม่รู้ว่าเป็น แต่พระเอกว่าหลากหลายมากนะคะ สีต่างๆ รูปร่างสันด้านต่างๆ ทำให้เห็นสิ่งที่ปรากฏต่างๆ ทำให้เกิดความจำว่าเป็นสิ่งนั้นไปสิ่งดีดี แต่ว่าตามความเป็นจริงนะคะ ขณะใดก็ตาม ที่มีการเห็น ถ้าเป็นโรคแท้จริงของเห็น ขนาดนั้นจะมีอย่างอื่นปะปนรวมกันไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นเวลาที่เห็นเป็นแบบกุหลาบเห็นเป็นคนเห็นเป็นต้นเนี่ยเหมือนพร้อมกันรึเปล่าคะ พร้อมกันไม่ได้ เพื่อจะได้ความไม่รู้มากแค่ไหนคะนานแค่ไหน และต่อไปอีกแค่ไหน เพราะฉะนั้นกว่าจะค่อยๆ รู้ค่อยๆ เข้าใจก็จะรู้ได้เลยว่า ไม่สามารถที่จะฟังครั้งเดียว และก็เข้าใจพระธรรม ที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ และทรงแสดงแต่ละคำใด เช่นคำว่าอนัตตา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ยั่งยืนแค่นี้ก็ เป็นดอกกุหลาบตั้งนานละเป็นเจ้าตั้งนานแล้วไม่ยั่งยืนได้ยังไงแต่ถ้ามีความเข้าใจเพิ่มขึ้นเมื่อไหร่นะคะ ก็จะเห็นพระปัญญาคุณ และรู้ว่าจริงจนกระทั่งบุคคลนั้นนะคะ สามารถที่จะอบรมเจริญปัญญาเพราะมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง มีพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงพระมหากรุณาแสดง ให้ได้ยินได้ฟังนะคะ แม้แต่คำว่าอนัตตาแล้วก็ยังมีธรรมะ ซึ่งสามารถที่จะค่อยๆ จนถึงสามารถเข้าใจตามที่ได้ฟังค่ะเพราะเหตุว่าเพียงฟังเข้าใจหนะ ไม่พอต่อการที่จะนับถือพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าว่าทรงเป็นพระสัมมาสัมพุทธ อ้าวไม่ได้ฟังเข้าใจขึ้นเข้าใจขึ้นเพราะเป็นความจริงนะคะ ถ้าถามที่ทรงแสดงเป็นความจริงทุกอย่างปัญญาที่สามารถที่จะเข้าใจธรรมะได้ค่ะก็อบรมเข้าใจขึ้นไม่ได้ฟังพระธรรมนะคะ อบรมไปจนกระทั่งถึงการดับกิเลสความไม่รู้ซึ่งเคยไม่รู้เดี๋ยวนี้สภาพธรรมะปรากฏเพียงที่ละหนึ่ง ไม่ได้ปรากฏร่วมกันอย่างนี้เลย เพราะฉะนั้นโลกของความจริงกับโลกของความไม่จริงเนี่ยต่างกัน ถ้าโลกของความจริงนะคะ ก็ต้องมีแต่เพียงหนึ่ง ทีละหนึ่งใช่ไหมคะนั่นคือโลกของความจริงยังไม่ถึงพระเอกว่าเกิดดับสืบต่อเร็วสุดที่จะประมาณได้ให้รู้ว่าเร็วแค่ไหนก็คือว่าทันทีที่เห็นก็เหมือนกับมีทุกอย่างกว่าจะค่อยๆ ฟังค่อยๆ เข้าใจจีละหนึ่ง ก็จะตอบคำถาม ซึ่งถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมเนี่ยตอบไม่ได้เลยว่าเรากุหลาบอยู่ที่ไหน เหมือนรู้ใช่ไหมคะ แล้วมีดอกกุหลาบจริงๆ รึเปล่าเห็น ความไม่รู้เต็มไปหมด เพราะฉะนั้นการฟังธรรมะก็คือว่า คือเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ค่ะ ทีละเล็กทีละน้อย ให้มั่นคงจริงๆ นะคะ ว่าเป็นอย่างนั้นปัญญาจึงสามารถที่จะเจริญขึ้นอีกตามลำดับขั้น ที่ใช้คำว่า ปฏิปัตติ ที่ฟังนะคะ ไม่ใช่ฟังภาษาบาลีรู้คำแปลแต่ว่าฟังเข้าใจสิ่งที่มีจริง ผู้ส่งแสดงผลได้ประสานเคที

    พัฒนะนี้ที่สองนะคะ ไม่ใช่สองศึกษาอะไรเลยรู้จัก ศาลเธอใจสิ่งที่ มีจริง ศาลไหนก็ได้น้อยแต่ว่า มุ้งทรงแสดงธัมมในประ๓ัคคีนะคะ ใช้คำว่าป๋าหรือพระเอก และดำรงผู้สนับสนุนสืบต่อมา ถ้าไม่ดำรงประสานกันไว้ ความหมายก็คลาดเคลื่อนไปเพราะว่าไม่มีคำไหนที่พูดแล้วเข้าใจได้ทั้งหมดต้องใช้คำอธิบายมากแม้แต่สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นได้ตั้งยาวเชิญค่ะแต่ ไม่ต้องพูดเลยก็มีสิ่งที่กำลังปรากฏ ใครเห็น ไม่ใช่ได้ยินไม่ใช่กลิ่นแต่เห็น เพราะฉะนั้นสิ่งนี้ก็เป็นสิ่งที่มีจริงอย่างหนึ่งซึ่งไม่เคยเข้าใจ แม้ในภัทรไตรปิฏกนะคะ จะมีข้อความนะคะ จักขุวิญญาณน้าหมายความถึงจิตเหตุ เป็นอะไรคะรูปารัมมณะหรือรูปารู ไม่เห็นเสียงไม่เห็นกริ๊ด สิ่งเดียวที่เห็นได้ไม่ว่าจะในชาติในโลกในก็คือสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น เพียบเลยกับคนตาบอด ไม่เห็นไม่รู้ว่าสิ่งที่กำลังปรากฏเซลต้าเนี่ยเป็นอย่างนี้ฮะ เพราะฉะนั้นต้องมีปัจจัยที่จะทำให้สิ่งนี้ปรากฏคือต้องมีธาตุรู้ที่กำลังเห็น ไม่ใช่เราเลยค่ะ เป็นสิ่งที่มีจริงไม่ให้เกิดก็ไม่ได้เฮ้อรู้เกิดขึ้นต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดตั้งแต่เกิดจนตายในขณะที่เป็นคนเป็นสัตว์เป็นสิ่งที่มีชีวิตเพื่อเฮทเมทาโร่ สิ่งที่เกิด และไม่ใช่ธาตุรู้มีไหมคะ มีนี้คือฟังสิ่งที่มีจริงให้เข้าใจความจริงนะคะ ว่าความจริงไม่ได้มีแต่เฉพาะสิ่งที่รู้เธอ มีสิ่งซึ่งเกิดแล้วก็ไม่รู้ด้วย หากจะใช้คำร่วมเพราะเหตุว่าถ้าตรูก็มีหลายอย่าง โกรธก็เป็นธาตุรู้เมตตากรุณาริษยา เห็นได้ยินหิวเมื่อเหนื่อยพวกนี้ก็เป็นสภาพที่ครูสึกอย่างนั้นค่ะจะไม่ให้เป็นอีกนั้นก็ไม่ได้เวลามืดก็รู้สึกเมื่อยจริงๆ จะบอกว่าไม่ให้มีก็ไม่รู้แต่มองไม่เห็นเลยนะ ถามกันว่าเมื่อยตรงไหน ตรงไหนแต่ตรงนั้นไม่ใช่เมื่อยเพราะเมื่อยบอกไม่เห็น เลขาก็เป็นชีวิตประจำวันจริงๆ นะคะ ซึ่งทั้งหมดเป็นธรรมะเพื่อให้เข้าใจถูกต้องว่าฟังธรรมะเพื่อเข้าใจว่าเป็นธรรมะแล้วก็ไม่ใช่เรา แต่ว่าเป็นสิ่งที่มีจริง


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 193
    30 ม.ค. 2567

    ซีดีแนะนำ