พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 897
ตอนที่ ๘๙๗
ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา
วันอาทิตย์ที่ ๑๙ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๗
ฟังธรรมะเพื่อเข้าใจว่าเป็นธรรมะแล้วก็ไม่ใช่เรา แต่ว่าเป็นสิ่งที่มีจริง เมื่อสักครู่ท่านอาจารย์ก็กล่าวถึงสิ่งที่ปรากฏก็ยกตัวอย่างก็คือดอกกุหลาบซึ่งวางไว้บนโต๊ะ อาจารย์กล่าวถึงความหลากหลายของสิ่งที่ปรากฏว่ามีความหลากหลายต่างๆ กันจึงให้รู้ว่า มีความต่างกันระหว่างดอกกุหลาบกับโต๊ะอาจารย์ขาดความหลากหลายกับการเห็นสิ่งที่เที่ยงปรากฏให้เห็นกับการรู้ว่าเป็นดอกกุหลาบกับโต๊ะต่างๆ เนี่ยจะมีความเกี่ยวเนื่องหรือว่าความรวดเร็วของความเป็นไปของจิตต่างๆ นะครับ ถ้าเห็นไม่เกิดเลย ไม่มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น แน่นอนครับ และจิตสั้นมาก เกิดระดับ แทบจะกล่าวได้เลยนะคะ ถึงแม้รูปนะคะ รูปใดก็ตามที่ปรากฏเช่นแข่ง เพียงแค่ปรากฏจับแล้ว นี่คือความจริง แต่รักมากจริงๆ นี่กว่าจะปรากฏนะคะ ว่าไม่ว่าอะไรก็ตามเมื่อปรากฏระดับไปเร็วคือเหมือนกับทัลจีทีปรากฏก็ดับแล้ว เพราะฉะนั้นแสดงความไม่เที่ยงแสดงความไม่รู้จึงติดข้องในสิ่งซึ่งดับ และก็มีสภาพธรรมะอื่นในคณะก็มีปัจจัยเกิดไม่ขาดสาย ยิ่งแข็งนะคะ เกิดระดับ แต่ว่าใครจะรู้กันลาปะโรคที่เล็กที่สุดนะคะ มองไม่เห็นประกอบด้วยรูป๘รูปธาตุดินธาตุน้ำธาตุไฟธาตุลมสีกลิ่นรสโอชาพูดเป็นชื่อไปก่อนนะคะ ไม่ใช่ว่าเราจะรู้จักแม้กระทั่ง๘ แต่ว่ารู้ว่าส่วนที่ย่อยจนกระทั่งละเอียดที่สุดเล็กที่สุดก็ยังมีรูปแบ เพราะฉะนั้นที่เป็นดอกกุหลาบด้วยกี่รูป ตรงนั้นก็ต้องมี๘รูปแต่ที่ปรากฏเฉพาะรูปไหนแต่กี่รูป และกี้กะละกี่กะลาปะ ก็กลุ้มก็มากมายนะครับ จะรับไหวมั้ยก็ไม่ได้ครับนับไม่ถ้วนนับไม่ได้เลยนะคะ แล้วก็จิตเกิดขึ้นรู้ทีละหนึ่ง ที่กระทบจักขุประสาทค่ะ แล้วก็ดับไปหมดแล้วก็ปรากฏอีกซ้ำกันจนกระทั่งปรากฏเป็นสีสิ่งใดที่เหมือน ความไม่รู้จริงอย่างนั้น และก็มากกว่านั้นด้วยเพราะว่าไม่ใช่แค่ดอกกุหลาบทุกอย่างหมดเลยค่ะไม่รู้ทั้งนั้นในการเกิดขึ้น และดับไปทีละหนึ่งอย่างเร็ว จนกระทั่งร่วมกันนะคะ อย่างคุณวิชัยก็มีอากาศสภาพแทรกคั่น แต่ละจะ แต่ว่ากุหลาบก็เหมือนแผนเฮ้ยทำไมเป็นดอกกุหลาบจากคุณวิชัย ใช่ไหมคะ อยู่ที่ไหน คุณวิชัยอยู่ที่ไหนดอกกุหลาบอยู่ที่ไหน จริงจริงแล้วก็คือว่าอยู่ที่มาหากูแต่ลูก คือธาตุดิน ใช้แท่งว่าถ้าติดนะคะ ภาษาบาลีชาติว่าปฐวีธาตุธาตุที่แข็งแกร่งไม่ใช่สิ่งที่เราปลูกต้นไม้อย่างเดียวนะคะ ข้าวที่เรารับประทานก็ต้องมีธาตุแข็ง เพราะฉะนั้นถ้าเป็น๔คือธาตุดินธาตุน้ำธาตุไฟธาตุลม ไม่ได้แยกจากกันเลยแยกจากกันไม่ได้เพราะอะไรคะเพราะอาศัยกัน และกันเกิดขึ้น ใครเป็นสั่งใครไปบอกให้เป็นอย่างนี้ก็ไม่ได้แต่เป็นธรรมะคือความจริงเป็นอย่างนี้เองนะคะ เผชิญที่ใดที่มีธาตุเป็นธาตุน้ำธาตุไฟธาตุลม๔ลูกยังมีรูปอื่นๆ ที่เกิดร่วมด้วยคือหนึ่งรูปสามารถกระทบจักขุประสาท ปรากฏเป็นสีสันวรรณะต่างๆ นะคะ นับไม่ถ้วนจนปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐาน เกษมกลับไม่สงสัยแล้วใช่ไหมคะว่าความไม่รู้มากแค่ไหนสภาพทำไม เช่น แต่ก็พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดง ให้เข้าใจนะคะ จริงมั้ย ตามกันได้ยินได้ฟังครับนัยสำคัญของการได้ยินได้ฟังก็เป็นจริงตามนั้นจะมีความรู้อย่างอื่นยิ่งกว่านี้ อ่านอบรมมากขึ้นก็เจริญมากขึ้นได้ แต่ยังไงก็รู้ตามนี้แหละ ตามที่ได้ฟังตั้งแต่ต้นแม้แต่คำเดียวนะคะ ทุกอย่างเป็นธรรมะ ธรรมะคือสิ่งที่มีจริงสิ่งที่มีจริงทั้งหมดเปลี่ยนเป็นไม่จริงไม่ได้ไม่มีไม่ได้เพราะมีจริงๆ เพราะฉะนั้นคุณเข้าใจความหมายของคำว่าธรรมะ สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ด้วย ศึกษาจนกว่าจะเข้าใจขึ้นเรื่อยๆ เพราะชีวิตไม่นานจะ แสงหรือยาวไม่รู้ จะได้สั่งอีกรึเปล่า ก็ไม่แน่ใช่ไหมคะแต่ว่าจะการที่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนทำให้มีโอกาสได้ยินได้ฟังอีก เพราะฉะนั้นการเข้าใจธรรมะที่ได้ยินได้ฝากนะคะ ก็ไม่สูญหายเวลาที่มีโอกาสที่จะได้ยินได้ฟังก็เข้าใจ อาจารย์ได้ยกตัวอย่างว่าดอกไม้กับโต๊ะนี้นะคะ คือที่เรา เห็นว่าเป็นดอกไม้อย่างเป็นตัวอย่างนึงถ้าฉันกำลังจะอธิบายให้เห็นว่าแบต๔ที่ เพียงกระทบตาเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตาแต่สีก็ยังมีความต่างกันนเรศว่ากล่าวแล้วนะคะ สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้อยู่ที่ ไม่มีทั้งดินธาตุน้ำธาตุใส่ภาพรวม ๔ไม่มีสิ่งที่ปรากฏขึ้น พระเราเห็นสีที่แข็งไม่ได้ เข้มแข็งไม่ได้นะคะ เพราะฉะนั้นต้องมีอีกรูปหนึ่งซึ่งไม่ใช่แข่งแต่อยู่ที่ไหนก็อยู่ที่แข็งเงิน และด้วยเหตุนี้นะคะ ภาพที่เป็นยาการใช้คำว่ามาหาภูตะรูป ขอเชิญคุณคำปั่นให้ความหมาย ครับก็โดยความหมายนะครับ มาหาพุทธรูปมหาพุทธะหมายถึงเป็นใหญ่นะครับ แล้วก็ ร่วมกับคำว่าลูกนะครับ ก็หมายถึงลูกที่เป็นใหญ่เป็นประธานของรูปทั้งหมด ซึ่งรวมที่เป็นใหญ่เป็นมหาโพธิ์สะด้วยนะครับ ก็มีสู่รูปนะคะ ก็คือถ้ากินอาบน้ำธาตุไฟแล้วก็อาจล้มเท่านั้นนะครับ ที่เป็น ภูฏาน ส่วนรวมอื่นก็อาศัยมหาภูติรูปเกิดขึ้นเป็นไปครับอันนี้คือในเรื่องของ ใช่ครับอาจารย์ครับ ที่ใดที่มีมหาภูติรูปอย่างเดียวญนะคะ ธาตุเด่นอ่อนหรือแข็งพาธไฟเย็นหรือร้อนพลาดล้มตึงหรือไหว และธาตุน้ำก็เป็นทาสที่ซึมซาบเกาะกลุ่มลูกค้า แยกกันไม่ได้เลยทั้ง๔รูปนะคะ แต่ว่าเวลาที่กระทบสัมผัสธาตุน้ำไม่ปรากฏเพราะเป็นสภาพที่ซึมซ่าก็กก อาจารย์ตรวจรูปที่ถูกซึมซาบเกาะกลุ่มด้วยนะคะ ก็ปรากฏแต่ธาตุน้ำซึ่งเป็นธาตุที่ซึมซาบเกาะกุมรูปนั้นไว้ไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้นสำหรับมหาภูติรูปมี๔แต่ที่สามารถปรากฏเมื่อกระทบมีสั ใช้คำว่าโกรธขับร่วมเลยแล้วแต่ว่าจะกระทบเย็นร้อนอ่อนหรือแข็งตึงหรือไหวนะคะ ก็รวมเรียกว่ากดทับอัด และก็รู้เองในขณะที่กำลังจะเข้าก็เย็นหรือร้อนอ่อนหรือแข็งตึงด้วยวัยเมื่อมี๔รูปที่เป็นใหญ่เป็นประธานในค่ะก็จะต้องมีรูปอื่น เช่นสิ่งที่สามารถกระทบตาจะใช้คำว่าสีหรืออะไรก็ตามแต่นะคะ มีจริงๆ หรือเปล่าคะ อยู่ไหน ค่ะเวลาเห็นเนี่ยไม่รู้เลยว่าอยู่ในใช่มั้ยคะเพราะว่ากระทบตาได้เลยเมื่อโรคอื่นกระทบไม่ได้เพราะฉันแม้ว่าจะมีมหาพูดกับรูปด้วยเกิดที่มหาภูมิแต่รูปแต่มหาภูติรูปกระทบตาไม่ได้เฉพาะสิ่งที่รวมอยู่มีอยู่เป็นอีกรูปหนึ่งที่มหาพุทธรูปซึ่งใช้คำว่า กันนะหรือว่าโนนิภาษาด้วยสิ่งที่ปรากฏทางตาสิ่งที่ปรากฏให้เห็นใดก็แล้วแต่หมายความถึงเดี๋ยวนี้สีนี้ที่มีจริงที่กำลังปรากฏ รวมอยู่นะคะ กับมหาพุทธาโรอีกนัยหนึ่งถ้าไม่มีมหาภูตะรูปจะมีสิ่งที่ปรากฏ ไม่เคยคิดเลยใช่ไหมคะแต่ใครเดินมามองเห็นเป็นคนแต่ความจริงก็ต้องมีมหาปูจากลูกด้วยนะคะ เพราะฉะนั้นนอกจากสิ่งที่สามารถกระทบตาอีกรูปหนึ่ง รูปเพิ่มขึ้นแล้วใช่ไหมคะสิ่งที่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ที่เป็นใหญ่เป็นประธาน๔โลกฮอบินธาตุน้ำธาตุไฟธาตุลมยังเพิ่มสิ่งที่มีที่มหาภูติรูปอีกรูปหนึ่งที่สามารถกระทบต่อ เออไปรูปจะเพิ่มขึ้นอีกนะคะ เพราะเหตุลาดกล่าวถึงสิ่งที่มีจริง ดอกกุหลาบมีกลิ่นไหมคะ มีดอกมะลิมีเกรด ไม่เหมือนกันเพราะ คือถ้าพูดตามการศึกษาหมายถึงว่าคือการที่๔นั้นเนี่ยนะคะ หรือว่ากลิ่นนั้นเนี่ยอาศัยมหาพุทธรูปความต่างๆ กันของมหาพุทธรูปหรือรูปอื่นที่ประชุมกันก็จะทำให้สีทำให้เก่งเนี่ยต่างด้วย ส่วนผสมของมหาภูติรูปที่ต่างกัน และหลากหลายมากแล้วเราไปเรียกเองว่ามันเลยเราไปเลขเองว่าดอกกุหลาบแต่ความจริงก็คือส่วนผสมของมหาภูติรูปที่ต่างกันนั่นแหละแค่อ่อนแข็งยันร้อนนะคะ เต็งไว้ซึมเศร้าก็กลุ้ม อันนี้ค่ะก็ยังหลากหลายจนกระทั่งทำให้สิ่งที่สามารถกระท ความต่างของ แซมสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามนะคะ ที่ปรากฏให้รู้ว่า แม้แต่เดากุหลาบดอกเดียวก็ยังต่างกันแต่ละกลี ก็ตามความหลากหลายของมหาคุณจะรูปนะคะ ซึ่งมีสิ่งที่สามารถกระทบตาได้หรือวรรณะหรือสีสันวรรณะต่างๆ ที่ปรากฏนะคะ รวมอยู่ด้วยแล้วกลิ่นก็ยังตาม รถก็ยิ่งตัด มันหนาวกับทุเรียน ต้องมีมหาผลกระทบแน่นอน ตฤณก็ตัดรสจิโร่กลับเพิ่มขึ้นมาอีกหน่อยก็รู้ว่าทั้งหมดโรคมีทั้ง แต่ที่ปรากฏในชีวิตประจำวันเท่า นี่คือการเข้าใจธรรมะค่ะค่อยๆ เริ่มเข้าใจความจริงละเอียดขึ้นละเอียดขึ้น จนกระทั่งสามารถเป็นปัจจัยให้เข้าใจถูกในสิ่งที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริงที่กล่าวแล้วเป็นอีกโรคหนึ่งซึ่งต่างจากโรค ที่ปรากฏกับอวิชา และความคิด เพื่อรอวันเจอกัน ถ้าใช่ครับในการศึกษาเนี่ยเมื่อรู้ว่าความจริงเป็นอย่างที่เนี่ยเรียนกันว่าเป็นรูปเป็นนามนามก็คือสภาพของลูกไม่ใช่สภาพคล่อง แล้วก็จะมีบอกว่าต้องอบรมเพื่อให้รู้ความจริงเช่นนั้นเนี่ยในการอบรมชี้แจงก็จะย้ำว่าต้องสัญญามั่นคงว่าเป็นธรรมะแต่ละซึ่งความไม่รู้เนี่ยที่สะสมไว้มากนี่ก็จะเป็นจำไปแล้วว่าเห็น ก็เป็นอาจารย์ และท่านเวียร์ก่อนก็ดอกกุหลาบหรือว่าเคาน์เตอร์ได้จริงๆ เนี่ย ในเมื่อสัญญามั่นคงตรงเนี้ยว่าเห็นเพราะเป็นสิ่ง ในขณะที่สัญญาที่จำว่าเป็นธรรมะแต่ละลักษณะเนี่ยยังไม่ไปแทนที่ตรงนั้นก็ดูเหมือนว่าเค้าก็ค่อยๆ ฟังไปจนกว่าจะย้ำย้ำซ้ำซ้ำตรงนี้ไม่ใช่ว่าไปทำสติพิจารณาสิว่าเป็นอย่างที่ฝังอยู่ในตรงนี้ก็จะขอความกรุณาอาจารย์ว่าเพื่อให้ศึกษาให้ถูก ไม่ใช่ไปผิดๆ เนี่ยค่ะถ้าไม่เข้าใจลักษณะของสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏทีละ แรงจะรู้เออ และสติคืออะไร เกือบไม่ได้เป็นไปไม่ได้เลยคะเพราะเห็นว่าทั้งหมดมาจากความเข้าใจถูกความเห็นถูกความรู้ถูกในสิ่งที่มีจริงๆ โดยไม่ต้องไปทำในว่าแล้วอะไรในเมื่อขณะนี้ยังไม่เข้าใจ พระจันทร์อบรมก็คือวันเกิดขึ้นบ่อยๆ ฟังบ่อยๆ ขณะที่ฟังก็เข้าใจขึ้นบ่อยๆ ทีละเล็กทีละน้อยภาวนาอบรมให้มีจากสิ่งที่ไม่เคยมีจากสิ่งที่มีหน่อยเป็นมีเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นขณะใดก็ตามที่มีความเข้าใจนะคะ เพียงเล็กน้อย ที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังรัก และรู้ว่ารู้ได้แน่ถ้ามีความเข้าใจคือเพราะว่าผู้ที่รู้แล้วนะคะ มีมากในสมัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ถ้าสายการเรียนหมายความว่าถ้าฟังเข้าใจ ก็จะไม่ไปเจริญสติ ความเข้าใจเนี่ยเค้าก็จะคอยรู้ว่าเป็นธรรมะแต่ละลักษณะสติไม่เกิดจะชื่อว่าเจริญได้ไหมคะไม่ใช่มีใครคนใดคนหนึ่งไปเจริญสติแต่สติที่เกิดบ่อยๆ ก็ค่อยๆ เจริญขึ้นเพิ่มขึ้น ในทางการ คนที่เข้าใจ มีสติ เราไม่รู้ไม่เคยเรียกชื่อไม่เคยรู้ว่าเพียงขนาดที่เข้าใจนั่นแหละมีสภาพทำอะไรที่เกิดร่วมกัน เพราะขณะนั้นปรากฏแต่เพียง เหม็นขนาดนี้นะคะ มีเฮ แต่ไม่รู้มีผัสสเจตสิกมีเวทนาเจตสิกมีสัญญาเจตสิกไม่สามารถจะรู้ได้เลยจนกว่าจะได้ฟังพระธรรม เพราะฉะนั้นแม้แต่ในขณะที่สิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏนะคะ และก็มีความเข้าใจขั้นฟังฟังอีกเข้าใจอีกเพิ่มขึ้นอีกทีละเล็กทีละน้อยจนกระทั่งสามารถที่จะ เริ่มรู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏทรงใช้คำต่างกันจากสติขั้นฟังสติคันอื่นนะคะ โดยใช้คำว่าสติปัฎฐานแต่ถ้าไม่มีความเข้าใจไม่มีทางเลยค่ะที่สติสัมปชัญญะหรือสติปัฐานจะเกิดรู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏได้ ไม่ใช่สติปัฎฐานไปทำอะไร ไม่ใช่สติปัญหาไปรู้อะไร แต่สติประธานก็คือว่า เข้าใจจ ว่าขณะนี้มีธรรมะเช่น สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ไม่ใช่ใครเลยทั้งสิ้น เห็นไหมคะไม่ดีคุณอรวรรณไม่มีอาจารย์อันคไม่มีใคร ขณะใดก็ตามที่เห็นขณะนั้นมีสิ่งที่สามารถกระทบ ปรากฏให้เห็นว่าสิ่งนี้มีจริง หลังจากนั้นแล้วนะคะ เพราะจำรูปร่างสัณฐานซึ่งเกิด ไม่ถ้วน ก็สามารถที่จะเริ่มรู้ว่าสิ่งนั้นเป็น ถ้าใช่ค่ะ เพราะฉะนั้นที่ท่านอาจารย์กล่าวว่า ไม่ต้องทำอะไรนอกจากฟังให้เข้าใจเนี่ยก็หมายถึงว่าความเข้าใจในความเป็นธรรมะ และเป็นอนัตตาเนี่ยจากการฟังคำซ้ำย้ำย้ำบ่อยๆ หนึ่งเดือนเนี่ย ก็จะเข้าใจเพิ่มขึ้นจริงๆ ว่าเป็นธรรมะซึ่งเมื่อไหร่ทำเนี่ยก็ไม่ใช่แล้วไม่ใช่ไม่เข้าใจใหม่ตามที่ท่านอาจารย์สว ให้ฟังให้เข้าใจ ถ้าไม่มีจิตไม่มีเจตสิกเลยจะมีอะไรเห็นได้ยิน และเข้าใจได้ไม่ได้ได้ เพราะฉะนั้นที่เข้าใจก็เป็นสภาพธรรมะที่มีจริงซึ่งไม่ใช่จิตกันแต่เป็นเจตสิกสภาพธรรมะที่เกิดกับจิตฝ่ายดี อาจารย์คะที่ได้อาจารย์ได้กล่าวถึงว่าแม้กระทั่ง๔นะคะ ยังต้องอาศัยรูปอื่นๆ อีกมากอย่างนี้ก็เหมือนกับให้เข้าใจว่าไม่ได้มีแค่เพียงดอกไม้ไม่ได้มีแค่สีอย่างเดียว แต่สีที่เราเห็นเนี่ยนะคะ ก็ยังมาจากรูปอื่นๆ ที่เป็นที่อาศัยซึ่งจะได้เข้าใจว่าแม้กระทั่งการเห็นนะคะ หรือว่ารูปภายนอกเนี่ยก็ยังมีต้องอาศัยรูปอื่นๆ ที่ทำให้สิ่งที่ปรากฏทางตานั้นเข้าไปบ้างไปเกิดดับสืบต่อค่ะจนกระทั่งปรากฏรูปร่างสัณฐาน นะจำไว้ว่าเป็นสิริสิ เชิญพิสูจน์ปัญญา อาจารย์คะ ความแตกต่าง ท่านอาจารย์กล่าว โดยเรื่องดอกกุหลาบที่แตกต่างกันในแต่ละดอกนี้ก็กราบเรียนถามพระอาจารย์ถึง ในสภาพของนามธรรมที่แตกต่างกัน ถึงแม้จะไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนแต่ในสภาพความเป็นจริงก็ยังมีสัตว์บุคคลตัวตนอยู่ยังมีคนดีกับคนไม่ดีก็เลยจะกราบเรียนถามท่านอาจารย์ ค่ะถ้าไม่มี๗จะเสร็จ ไม่มีดีไม่ดีจะมีคนดีคนไม่ดี ไม่มี เพราะฉะนั้นเราสมมติเป็นบุคคล จากสิ่งที่ดีคือจิตเจตสิก บัญญัติสิ่งที่มีในว่าเป็นคนไหน เพราะว่ายังกุศลธรรมนะคะ เมื่อไหร่เกิดก็คือเป็นกุศลระดับ ไม่ได้จำกัดเลยว่าเฉพาะตรงนี้หรือตรงนั้นแหละจะรู้ว่าหมายความถึงเมื่อไหร่ที่ไหนอย่างไรจึงต้องใช้คำบัญญัตินะคะ เป็นบุคคลเป็นสัตว์แตกต่าง ให้รู้ความต่างของสภาพธรรมะที่เกิดขึ้น กราบท่านอาจารย์ค่ะท่านเราเนี่ยไม่ได้เข้าใจสภาพที่แท้จริงของลักษณะที่เป็นกุศลหรืออกุศล เราก็จะไม่รู้จัก ว่าคนดีหรือคนไม่ดี แน่นอนค่ะ อะไรจะทำให้เรารู้ว่าดีหรือไม่ดี ค่ะกำลังจะกราบเรียนถามนะจะเบียดเบียนคนอื่นให้เดือดร้อนนะคะ ประทุษร้ายคนอื่น กายวาจาที่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนดีไหม ไม่ดีค่ะก็เหมือนข้ามนะคะ ถ้าเป็นการช่วยเหลือ การที่จะหวังดี แล้วก็ทำทุกสิ่งทุกอย่างที่ดีที่เป็นประโยชน์ไม่ใช่เป็นโทษอย่างนั้นดีไหมคะดี อิเน่ในส่วนละเอียดนะคะ ทั้งในส่วนละเอียดก็คือดีได้แก่อะไร พูดว่าดีแนะแล้วดีจริงๆ สภาพที่ดีเนี่ยได้แก่อะไรเมื่อกี้นี้ส่วนเพียงว่าไม่เบียดเบียนไม่ประทุษร้ายกับการช่วยเหลือซึ่งปาก อะไรเป็นประโยชน์อะไรไม่เป็นฟรี ซูจีนของแถมเงินขนาดนั้นมาที่ กุศลเป็นกุศล จริงมั้ยไม่เห็นลงได้มาแทบทรุดตัวจริง ถ้าโกรธกับไม่โกรธเนี่ยมีสภาพธรรมะสองอย่างสภาพธรรมะอย่างหนึ่งเกิดขึ้นแล้วประทุษร้ายจิต จะสามารถที่จะเบียดเบียนด้วยกายวาจาใจให้คนอื่นเดือดร้อน หน่วยคอร์ดสภาพที่ หยาบกระด้างคุณเขื่อนประทุษร้ายนั่นคือใช้คำบัญญัติทรัพย์สภาพมันว่าโหสะเจตสิกมีจริงๆ กรธ เคยมีใครไม่โกรธบ้างไหมคะหรือว่า ไม่เคยโสดบ้างไหมคะ ทุกคนรู้จักโกรธดีไหมใช่ไหมคะแต่ไม่รู้ว่าไม่ใช่เรา แต่เป็นทำหน้าที่อย่างหนึ่งเมื่อเกิดแล้วเป็นอย่างนั้นไม่เป็นอย่างอื่น เพราะฉะนั้นก็ ใช้คำว่าคนนั้นโกรธคนนี้โกรธความจริงก็คือว่าพลาดหรือสภาพธรรมะนั่นแหละเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น นี่ก็เป็นสิ่งที่ไม่ดีใช่ไหมฮะ เพราะฉะนั้นไม่ถูกต้องมีจริงๆ ค่ะเป็นสภาพธรรมะอีกอย่างนึ ถ้าจะใช้คำบัญญัติให้เข้าใจก็คือว่าเอ๊ะโทสะแม่กอด เก่งนะคะ เก่งมากๆ เลยพี่จะไม่โกรธแต่สภาพธรรมะนั้นยังเกิดเป็นไปได้ เพราะฉะนั้นอาศัยการอบรมวิวัฒน์การความหรือเรารู้ว่าอะไรมีประโยชน์ พี่โย แต่เพียงครึ่งไฟในสังกัดสิ่งที่ไม่ดีที่เป็นอกุศลไม่ได้ เพราะว่าสะสมมานาน หิวแค่ระลึกได้นิดหน่อยไม่มีประโยชน์เลยที่จะโกรธ ไม่มีประโยชน์กับใครทั้งสิ้นแม้แต่กับตัวเองถ้าระลึกอย่างนี้เนี่ยยังจะโกรธสะสมต่อไปอีก ขึ้นอยู่กับสะสมมามากน้อยแค่ไหน ถ้าสะสมมานับหนึ่งถึง๑๐ถึงร้อยถึงพันก็ไม่ได้บอกเท่าไรก็ไม่ได้ใช่ไหมคะพระเอกว่าใครจะยับยั้งธรรมะเส้นเป็นอัน เมื่อมีเหตุปัจจัยสะสมมาก็เกิดเมื่อเกิด อาจารย์ปากจนได้ลูกคนมากมายเป็นสายดี และธรรมะอะไรที่ไม่ดี เพราะฉะนั้น ราพณ์มูลที่จะทำให้ความไม่ดีเพื่อนคุณมาก คนขอบคุณน่าโมโหนะก็มีสั คือสภาพธรรมะที่ติดคลองเราภาระ คราวเป็นประการแรกเพราะเห็นพระบ่อยมาก ในชีวิตประจำวัน เปรียบหนีไม่พ้นเลยนะคะ แล้วก็โทรศัพท์เมื่อไม่ได้สีที่พอใจของคุณคือ แล้วก็โมฆะ ไม่มีใครเห็นไม่มีใครรู้ไม่มีใครคิดเพราะไม่รู้ความจริง เพราะฉะนั้นกราฟแต่ที่ยังไม่รู้ความจริงนะคะ จะพ้นจากโรภาสโทสะไม่ได้ นี้ค่ะก็คือมูลร่างที่จะทำให้อกุศล เพิ่มเจริญขึ้นเติบโตขึ้นซึ่งตรงกันข้ามกับทางฝ่ายดีนะคะ อโลภาอโรซักอะ อลบไม่ติดของนิอยาก ไม่โกรธยากมั้ยอ่ะโทสะเพราะต้องเข้าใจถูกตามความเป็นจริงอ่ะโมหะเป็นอีกชื่อหนึ่งของปัญญาที่สามารถที่จะเข้าใจจริงๆ ว่าไม่มี แต่ว่ามีธรรมะทั้งนั้นเลยนะคะ ชื่อรับรู้เป็นธรรมะประเภทที่มีปัจจัยจะเกิดขึ้นเป็นอย่างนี้ชาติหน้าต่อไปอีกก็ยังมีเหตุปัจจัยที่จะให้เกิดเป็นอย่างนั้นอย่างนั้น ลืมชาตรีหมดเลยพอถึงชาติโน้นก็เป็นไปอีกไม่รู้จบจึงเป็นสังสารวัฏฏ์ กราบท่านอาจารย์ ถ้าเป็นเช่นนี้นี่ก็คือ สมมติเป็นสัตว์บุคคลตัวตนแม้ตัวเราก็ขณะนี้เป็นคนดีอีกขณะก็คือคนไม่ดี แล้วแต่ว่าสภาพจิตใจในขณะนั้นจะอุดมไปด้วยกิเลสประเภทไหนไม่มีเราจริงๆ นะคะ เหลือแต่ชื่อใช่ไหมคะคุณอนุ ชาติก่อนชื่อร้ายชาตินี้ชื่ออะไรชาติน่าเชื่อ วิธีการแบ่งแยกว่าเป็นคนดีหรือไม่ดีก็คือไม่ได้แบ่งแยกเป็นบุคคลไม่ใช่ตามใจชอบเพราะสภาพที่ไม่ดีเกิดขึ้นจะบอกว่าดีได้ไหมคะ คนนั้นดีแต่ไม่สภาพที่ไม่ดีเต็มทั้งวันเงี้ยบอกว่าเขาดีนี้ได้ไหมคะ กอดชีวิตนะคะ น้อยอย่างที่แท้อาจารย์ได้กล่าวแล้วนะคะ จิตแต่ละขณะเกิดแล้วดับอย่างรวดเร็ว แล้วจีบขนาดนั้นนะคะ จะเป็นกุศลจิตหรืออกุศลจิตนะครับ ใช้ชีวิตตั้งอยู่ในแต่ละคณะได้นะคะ ที่ท่านใช้คำว่าชีวิตนี้น้อยนัก
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 841
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 842
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 843
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 844
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 845
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 846
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 847
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 848
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 849
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 850
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 851
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 852
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 853
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 854
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 855
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 856
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 857
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 858
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 859
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 860
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 861
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 862
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 863
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 864
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 865
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 866
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 867
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 868
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 869
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 870
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 871
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 872
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 873
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 874
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 875
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 876
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 877
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 878
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 879
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 880
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 881
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 882
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 883
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 884
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 885
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 886
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 887
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 888
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 889
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 890
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 891
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 892
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 893
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 894
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 895
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 896
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 897
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 898
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 899
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 900