พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 899


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๘๙๙

    ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๗


    ผู้ฟัง ขอเรียนสนทนากันว่าการที่จะเป็นอินทรีย์เพื่อเป็นพูตื้นหรือในพระสูตรก็จะอธิบายต่อว่านอกจากมีวรเป็นผู้หลัก และก็เป็นธุลีสกปรกเป็นกิเลสแต่ถ้าจะให้จิตบริสุทธิ์เนี่ยก็ต้องอบรมอินทรีย์๕อยากจะศึกษารายละเอียดว่าเป็นอย่างไร เมื่อวานนี้ฟังเรื่องแบบ ค่ะแล้วก็หลังจากฝันแล้วตื่นแบ่งแยก หรือว่ายังคงหลับต่อไปไม่ว่าจะอยู่ในห้องที่กำลังได้ยินได้ฟังธรรมะหรือว่าจะไปที่ไหนก็ตามแต่นะคะ ยังคงหลับอยู่เรียกว่าเส้นขึ้นบ้างมิฉะนั้นธรรมะที่เราได้ยินได้ฟังนะคะ ก็เป็นแต่เพียงชื่อซึ่งยังไม่ได้เข้าถึงความเข้าใจจริงๆ ในแต่ละคำ ที่เราได้ยินซ้ำไปซ้ำมาบ่อยๆ เช่นคำว่าธรรมะคือสิ่งที่มีจริงตอบได้ทุกคนเดี๋ยวนี้อะไรจริงเห็นจริงได้ยินจริงเลยค่ะตอบได้แต่ว่ายังไม่ตื่นที่จะรู้ว่าแท้ที่จริงสิ่งที่เราใช้ เห็นบ้างได้ยินบ้างนะคะ ทุกอย่างที่เรากล่าวว่าเป็นธรรมะ และข่าวจริงสภาพของความเป็นธรรมะสื่อ ไม่ใช่ไม่ใช่ของใคร และไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลย เพราะฉะนั้นการฟังธรรมะได้ค่ะได้ยินคำว่าหลับ ก็ต้องรู้ว่าต้องต่างกับเซตนะคะ ขณะที่ตื่นรู้สีที่กำลังมีจริงๆ ในขณะนั้นตรงตามความเป็นจริงซึ่งก็คือสิ่งที่แกร่งปรากฏในขณะนี้แต่ตราบใดที่ยังไม่ได้เข้าถึงสภาพที่ ขณะนี้ ด้วยความเข้าใจถูกไม่ใช่ไปทำอะไร ฟังเพื่อให้เห็นถูกให้เข้าใจถูกในสิ่งที่มีจริงๆ ตามความเป็นจริงของสิ่งนั้น และเป็นสิ่งที่มีจริงซึ่ง ไม่ใช่สิ่งที่กำลังเห็นขนาดนี้นะคะ ก็เป็นสิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นในขณะที่เห็นแล้วกระดับ นี้คาดว่าจะเป็นอย่างนี้แต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่งนะคะ จะได้รู้ว่าฟังแล้วตื่นหรือเปล่า และจะตื่นด้วยอะไรอะไรตื่น ไม่ใช่เราแน่ใช่ไหมคะแต่มันต้องเป็นสภาพธรรมะที่เป็นฝ่ายดีที่สามารถที่จะเข้าใจความจริงจากการความเป็นปัจจัยให้รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ ได้ยิน พูดตรงๆ นะคะ ฟังเรื่องหลัก เข้าใจเรื่องยาก แม้จะฟังเรื่องสิ่งที่กำลังปรากฏแต่ตราบใดที่ยังไม่ถึงความเข้าใจในความเป็นธรรมดานั้นก็ยังไม่ตื่นหลักจริงๆ ที่ผู้หญิงเป็นให้กระแดะหมายความถึงอะไรหมายความถึงขนาดนั้นที่ปัญญาไม่ได้เกิดขึ้นมีปัญญาขั้นฟังเรื่องราว แต่ทั้งๆ ที่เรื่องราวกำลังปรากฏนะคะ แล้วก็ฟังเรื่องราวของสิ่งที่กำลังปรากฏยังไม่ตื่นรู้ความจริงว่าสิ่งที่ปรากฏจริงเป็นอยู่ที่ได้เห็นได้ฟังนั่นเอง เพราะฉะนั้นขนาดหลับจะขนาดอื่นก็ตาม ขณะหลับเดี๋ยวนี้นะคะ เหมือนซื้อเพราะว่ามีสิ่งที่ปรากฏจริงๆ เหมือนตื่น แต่จะตื่นได้อย่างไรในเมื่อไม่รู้ความจริงของสิ่งที่ เพราะฉะนั้นก็เป็นการลับหรือความลับอีกระยะหนึ่งซึ่งแม้ว่ามีสิ่งที่มีจริงๆ ตั้งแต่เกิดจนตาย ขณะใดที่ไม่รู้ความจริงไม่ใช่ เมื่อก่อนที่ไม่ได้ยินด้วยแสงเลยพอได้ฟังพระพุทธพจน์ตอนนี้ก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้แต่พูดให้ฟังหนูเลยค่ะตื่นในความหมายของรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังเกราร์ดกดรู้เองไม่ได้แน่ๆ นะคะ แต่ต้องฟังจนกระทั่งเข้าใจจนกว่าจะถึงการละขณะที่สามารถเข้าจริง ความจริงแล้วเพราะว่าด้วยฟังจนกระทั่งมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น และรู้ว่าสิ่งที่ได้ยินได้ฟังก็คือเดี๋ยวนี้ทั้งหมด เพราะฉะนั้นก็แล้วแต่ว่าถึงเวลาที่สภาพธรรมะที่เป็นฝ่ายดีงามนะคะ เศร้าขณะเนี้ยจะเกิดขึ้นทำกิจหน้าที่พร้อมด้วยปัญญาที่สามารถข่าวจริงลักษณะของความเป็นธรรมมา ประสบผลพูดกลับเป็น น่าจะทีนี้ในการเข้าถึงความเป็นธรรมมะ ก็ไปทำให้เข้าถึงไม่ได้ต้องฟังเข้าใจ และก็ปรุงแต่งให้ปัญญาขั้นนั้นเกิดนี่คือความเข้าใจถูก ว่าเป็นอนัตตาไม่มีใครหรือเราที่จะทำอะไรได้เลย เรียนถามถ้าจะยังวันนี้ก็อยากรู้ว่าแล้วอินทรีย์๕ที่ว่าศรัทธาวิริยะสติสมาธิปัญญาเนี่ยในรายละเอียดที่ทำให้เข้าใจตรงนี้เป็น ว่าจะสับสนตัวเองว่าเอ๊ะแล้วถ้าอาจารย์ก็จะเน้นว่าฟังอะไรก็ให้เข้าใจความเป็นธรรมะค่ะ ไม่ใช่ปิดในชื่อในเรื่องเลยพยัญชนะ แต่ก็มีความรู้สึกว่าถ้าสามารถอธิบายให้เข้าใจได้ว่าศรัทธาวิริยะสติสมาธิปัญญา ในรายละเอียดเป็นอย่างไรก็สามารถเข้าใจได้ว่าว่าจะอบรมให้รู้แบบกิดขึ้นมีขึ้นแล้วก็สามารถค่อยๆ เข้าใจความเป็นจริงคณะ สภาพภาวะนะคะ ที่พระผู้มีพลาดละเรียกว่าศรัทธามีจริงจริงแต่ว่าเมื่อไหร่ใครรู้เพราะว่าได้ยินเพียงแต่ชื่อแต่วันนึงวันนึงเนี่ยต้องรู้ก่อนนะคะ เต็มไปด้วยนี้วอนนี่แหละค่ะไม่ใช่ศรัทธา เพราะฉะนั้นในขณะใดก็ตามที่ไม่มีนี้ว่ จิตจะผ่องใสไม่มีการมาฉันทะ ความยินดีพอใจในสิ่งที่ปรากฏ พรุ่งนี้ทำงานต์ พี่รู้สึก เพราะฉะนั้นขนาดนั้นก็ไม่ผ่องใสใช่ค่ะคาดว่าเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองใจ เพราะฉะนั้นไม่ว่านี้วอนใดๆ ทั้งสิ้นที่มีเมื่อใดที่ปราศจากนี้วอด เมื่อนั้นแหละค่ะสภาพของจิตไม่มีคลื่นแต่ไม่มีคลื่นทำให้เศร้าหมองใช่ไหม เพราะฉะนั้นขณะนั้นมีศรัทธาคือสภาพของธรรมะซึ่งอ่องใส่ เพราะปราศจากริ้ว แล้วก็ประกอบด้วยสภาพธรรมะฝ่ายดีงามด้วย เพราะฉะนั้นการฟังธรรมะจึงตั้งอยู่ว่าขณะที่เป็น วิบากคือผลของกรรมนะคะ ซึ่งอุบัติกิดขึ้นรอบผลของการเดินทางเห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กำลังปรากฏขณะนั้นนะคะ ไม่มีโสภณเจตสิกสภาพธรรมะที่ดีงามเกิดขึ้นร่วมด้วยเพราะเห็นว่าเป็นการปลุกปั่นtเกิดขึ้นเมื่อมีวาระของกรรมที่จะให้ผล แล้วแต่ว่าจะเป็นเห็นหรือเป็นได้ยินแต่ว่าหลังจากนั้นแล้วนะคะ มีความติดคลองหรือเปล่ามีความไม่รู้หรือเปล่า แม้มีขนาดนั้นไม่ผ่องใสเป็นนิ่วเช่นที่เชื่อ ขณะใดก็ตามที่ไม่มีในว นี่คือหนังมึงเป็นศัตรูของจิตซึ่ง ทานเป็นไปในศีลหรือเป็นไปในการอบรมความสงบของจิตให้พ้นจากอีวอนต่างๆ และกำลังเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏจากแม้ขั้นการฟังเข้าใจขณะนั้นจิตก็ผ่องใสเพราะความเข้าใจเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นจะมีความเข้าใจโดยไม่มีศรัทธาสภาพธรรมะที่ผ่องแสง แต่ว่ายังสามารถที่จะรู้ว่าขณะใดเข้าใจแต่ที่จะสามารถรู้ว่าขณะนั้นผ่องใสแยก เพราะฉะนั้นไม่มีเจ๊งก็ไม่ใช่ว่าจะปรากฏเหมือนกันขนาดนี้ขณะที่กำลังเห็น และมีผัสสเจตสิกไม่รู้เวทนาเจตสิกก็ไม่รู้สัญญาเจตสิกก็มีเจตนาเจตสิกรูหรือร่องค่ะ ยังไม่ทราบ เอกกะตาเจตสิทธิ์ก็ไม่รู้ ชีวิตอยู่ระยะเจตสิกก็ไม่รู้มานะสิการะก็ไม่รู้แล้วก็จะไปรู้ศรัทธา ซึ่งจะเกิดกับขณะที่ไม่มีวอน และคณะนั้นก็มีสนะถามอื่นๆ เกิดร่วมด้วยที่พอจะดูได้ไปสู่ความเข้าใจสิ่งที่กำลังได้ยินได้ฟังขณะนั้นนะคะ มีสภาพธรรมะที่ผ่องใสว่าขณะที่กำลังมีนิวรต่างๆ และไม่สามารถจะเข้าใจได้แต่เวลาที่สามารถที่จะเข้าใจได้ ขณะนั้นสภาพของจิตพ้นจากเคราะห์มีสอนนะเจตสิกเกิดร่วมด้วย ๑๙ประเภทเนี่ยค่ะคือการฟังธรรมะได้ยินได้ฟังเสียงซึ่งไม่ แล้วก็ญาติต่อการที่จะเข้าใจ และก็ยากต่อการที่จะรู้จริงๆ ว่าเป็นธรรมะแต่ไม่มีความอดทนนะคะ และก็รู้ความต่างกันซึ่งเป็นชีวิตประจำวันจริงๆ ขณะนี้ที่ฟังเนี่ยเข้าใจมั้ยคะ เข้าใจค่าจ่ายขนาดนั้นนะคะ มีสัทธาเจตสิกเกิดร่วมด้วยถ้าสามารถจะรู้ได้ก็เพียงเท่านี้ โดยไม่ต้องมีใครไปพยายามจงใจที่จะแยกลักษณะของศรัทธามารู้ว่าศรัทธามีลักษณะอย่างนี้น่ะ เพราะเห็นว่าสภาพธรรมะที่เป็นฝ่ายดีโสภณเจตสิกทั้ง๑๙เกิดพร้อมจิตแบบพร้อมจิตแม้จิตที่กำลังเป็นสภาพธรรมะที่มีปัญญาเกิดร่วมด้วยนะคะ ก็ยังไม่สามารถจะรู้ว่าจิตต่างกัน ทั้งหมดนี้ค่ะก็เป็นความสุขคุ้มนะคะ ลึกซึ้งของธรรมะซึ่งใช้คำว่าอ่ะ แต่ถ้าไม่จริงจริงเป็นอย่างนี้ อาจารย์ครับ เพราะฉะนั้นในการศึกษาในขันธ์ที่ยังไม่เข้าถึงตัวธรรมะ ก็ฟัง ฟังเรื่องราวของสิ่งที่ฟังเนี่ยเพื่อให้เป็นสังขารขันธ์ปรุงแต่งว่าธรรมะยังขนาดนี้เช่นเห็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ถ้าปัญญาท่านรู้ตรงยังไม่เกิดแต่ก็จะฟังความเป็นธรรมมะความเป็นทาสมากขึ้นเดี๋ยวก็จะสามารถปรุงให้สติระลึกได้ ทั้งหมดเป็นธรรมะอยู่แล้วซังคาราคัลก็เป็นสังขารขันธ์อยู่ ฟรีทนายคันก็เป็นเวทนาฉัน สัญญาฉันก็เป็นสัญญาณคำอยู่แล้วไม่มีใครอื่น รู้จิตสภาธรรมะเท่านั้น เพราะฉะนั้นกว่าจะตื่น ค่อยๆ เข้าใจถูกรู้ลักษณะของสภาพธรรมะซึ่งไม่ใช่เราก็ต้องอาศัยการฟังโดยไม่หวัง ที่แบบเมื่อไหร่จะรู้อย่างนี้แต่จากการที่เริ่มเข้าใจ จึงจะเป็นหน ที่จะทำให้เข้าใจขึ้น จนถึงสามารถที่จะถึงการรู้ลักษณะของสภาพธรรมะที่กำหนดตรงตามที่ได้ฟัง เข้าใจค่ะทีนี้จะศึกษาอินทรีย์๕ให้เข้าใจความเป็นธรรมะขนาดนี้ดูเหมือนว่าจะต้องมีพื้นฐานที่ในขณะนี้ก็ทราบขณะใดที่ไม่มีในว่อน ใช่ไหมคะได้ขณะใดที่เข้าใจก็มีปัญญาไม่ใช่เราที่เข้าใจค่ะ และขนาดใหญ่ที่มีปัญญาก็มีศรัทธามีวิริยะมีสติมีสมาธิเกิดร่วมด้วยจึงเป็นสิ้น๔ ๕ เมื่อขณะที่กำลังรู้ลักษณะของสภาพธรรมะที่ จะขาดสาย สติสมาธิมั้ย ไม่ใช่มีแต่ปัญญาพอ ลึกรู้เจตอัสสะเวทนาสัญญาเจตนาได้ไหมคะ ไม่ได้ก็ไม่ได้นึกถึงความเข้าใจขึ้นความเข้าใจขึ้นแวะเป็นธรรมะทั้งหมดชื่อต่างๆ หลากหลายแต่ไม่ใช่เป็นเฉพาะชื่อค่ะชื่อนักแสดงถึงสภาพธรรมะที่มีจริงที่ละเอียดที่รวดเร็วเกิดดับสืบต่อไปตามเหตุตามปัจจัย เพราะฉะนั้นฟังเพื่อที่จะซื้อ ที่เล็กๆ ถ้าขนาดใหญ่ที่สั่งไม่ใช่เพียงเข้าใจเรื่องของสิ่งที่มีจริงเช่นขณะนี้กำลังเห็นนะคะ สั่งเรื่องเห็น สุดราชบุรี ใช่ค่ะถ้ายังไม่รู้ก็แยกไม่ได้แวะเห็นไม่ใช่คิด จนเป็นกว่าจะเห็นเป็นเพียงเห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นเท่านั้นค่ะเกิดมาเห็นแล้วก็ดับไป จริงเหนื่อยแต่ว่าเห็นบริษัทแต่ว่าเห็นได้ด้วยปัญญาที่เข้าใจความจริงเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นทำไมเป็นเรื่องละเอียดนะคะ ที่เพื่อเข้าใจถูกเท่านั้นเองค่ะแล้วเราก็สามารถจะพิสูจน์ได้ว่าพี่ฟัง ความเข้าใจมากน้อยแค่ไหนรู้ได้ด้วยตนเอง แล้วพอหรือยัง ยิ่งสงสัยอยู่ใช่ไหมคะยังไม่รู้สิ่งนั้นสิ่งนี้ที่ได้ยินชื่อใหม่ให้ปัญญาแม้แต่สติแม้แต่วิริยะก็มีได้ยินชื่อครบ แต่ว่าขณะนี้แม้เกิดขึ้นจริง และก็ดับไปจริงๆ ก็ไม่รู้จริง เพราะว่ามีทั้งความจริงของสิ่งที่แปลก เธอจะหัก เพราะฉะนั้นอยากศึกษาพระสูตรใหม่ปิดมีคำก็รั่วรู้ตัวว่ายังหลับอยู่ ก็จะต้องฟังอบรมปัญญา และเวลาตื่นก็รู้ด้วยว่าไม่ใช่ละ ถ้าเป็นปัญญา เพราะฉะนั้นทั้งหมดเป็นเรื่องของความเห็นถูกความเข้าใจถูกค่ะไม่ต้องกังวลนะคะ ว่าน้อยเหลือเกินฟังแล้วเข้าใจลิปเดียวแต่ถ้าไม่ฟังเลยจะเป็นยังไง แล้วถ้าไม่ฟังต่อไปจะเป็นอย่างงั้นคำพูดที่แวะอริยสัจ๔ก็ไม่มีความหมายคำพูดที่ว่าอินทรีย์๕ก็ไม่มีความหมายพระเอก และไม่ได้มีการเข้าใจจากการฟังด้วยความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย ไม่มีหนทางอื่นนี้แน่นอนค่ะทราบว่าเป็นเรื่องของความเข้าใจซึ่งคิดเองไม่ได้ ฟังเพื่อน และความไม่รู้ฟังเพื่อละความติดข้องต้องการ ฟังเพื่อเข้าใจถูกนะคะ ในสิ่งที่กำลังปรากฏ กราบเรียนท่านอาจารย์เกี่ยวกับเรื่องของอินทรีย์ถ้ากล่าวถึงชื่อของอินทรีนะครับ ได้ยินไหมไม่ว่าจะตื่นเต้นว่าจะหมายถึงอะไรนะครับ อาจจะคิดไปเรื่องของจำนวนมากมายแต่เมื่อได้ยินได้ฟังธรรมะในวันนี้ก็ดูเหมือนว่าถ้าจะก็กำลังจะกล่าวให้เข้าใจตั้งแต่เบื้องต้นว่า ถ้าหากว่าไม่มีศรัทธาที่จะเริ่มฟังพระธรรมให้แข้าใจในขณะนี้การที่จะมีธรรมะที่เจริญขึ้นถึงความเป็นอินทรีย์ก็จะมีไม่ได้ที่นี่เวลาที่ได้ฟังได้สื่อสารในเรื่องของอินทรีย์แต่ละประการจะมีความเกื้อกูลจะเป็นประโยชน์อย่างไรกับผู้ที่เริ่มฟังเริ่มศึกษา ธรรมะในขณะนี้ครับ ก็คือได้เข้าใจว่าธรรมะหลากหลายแล้วก็ได้ยินชื่อ แต่ว่าตัวจริงๆ ก็มีแต่ว่าไม่ใช่สามารถที่จะรู้ได้นะ ต้องเป็นผู้ที่ตรงขณะนี้มีศรัทธาอยู่ไหน ค่ะ ดับแล้ว ใช่ค่ะแนวทางก็คือฟันจนเธอรู้ และไม่มีเราเป็นธรรมะ จนกระทั่งไม่เหลือความเป็นเรา ไม่ว่าจะเป็นในขณะไหนทั้งสิ้น ครับก็เป็นพุทธประสงค์เลยครับอาจารย์ครับที่พระผู้มีพระภาคพระองค์ทรงแสดงกลับมาโดยละเอียดโดย ก็เพื่อที่จะ ให้ผู้ฟังผู้ศึกษาได้เข้าใจในความเป็นจริงของธรรมะจริงๆ ครับก็รู้ว่าสัตว์โลกที่เป็นปุถุชนหนาแน่นด้วยความไม่รู้เนี่ยถ้าแสดงธรรมะเพียงเล็กน้อยไม่มีทางที่จะทำให้เข้าใจได้ เพราะฉันก็ทรงแสดงโดยละเอียดโดยประกาศรัฐทั้งปวงโดยนัยต่างๆ เพื่อเกื้อกูลให้ผู้ที่ได้ฟังค่ะพิจารณาเข้าใจขึ้นเข้าใจขึ้น จนกระทั่งสามารถที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรมะที่ก ครับอาจารย์ครับจริงๆ เวลาที่ได้ยินได้ฟังว่าทำมากคือสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ ฟังไม่ปืนดูเหมือนว่าไม่มีอะไรเลยครับท่านอาจารย์ครับแต่ก็เป็นสิ่งที่ ละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่งเลยครับฟังแล้วก็ยังมืด ใช่ค่ะธรรมะที่มีจริงในขณะนี้ยังไม่ชัดเจนยังไม่สว่างยังไม่แจ้งในสภาพของ เราจะได้ยินคำว่าธรรมะเข้าใจความหมายของธรรมะรู้ว่าขณะนี้มีธรรมะแต่ก็ยังไม่ถึงการณ์เข้าใจจริงๆ ว่าธรรมะไม่ใช่ และก็ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดด้วยนะคะ เป็นแต่เพียงแต่ละหนึ่งซึ่งมีลักษณะเฉพาะของตนของ มีฝันใจจึงเกิดเกิดแล้วดับเร็วมาก กระเส็นก็ยากที่จะรู้ได้ ครับเป็นสิ่งที่ยากที่จะรู้ได้แม้มีพม่าอยู่ตลอดมีธรรมะเกิดขึ้นเป็นไปอยู่ตลอด น่าจะกลับก็น่าพิจารณาอย่างนี้ครับก็สำหรับผู้ที่ได้ฟังได้ศึกษาพระธรรมก็จะต้องมีการพิจารณาไตร่ตรองในความเป็นจริงในสิ่งที่ได้ยินได้ฟังนะครับ ว่าเป็นจริงอย่างนั้นหรือไม่แต่ถ้าเป็นผู้ที่ไม่สนใจไม่ได้ศึกษาไม่ได้เห็นประโยชน์เลยก็คงไม่พูดถึงบุคคลเหล่านั้นใช่ไหมครับท่านจะครับเพราะว่า อย่างไรก็ไม่มีทางที่จะเข้าใจความจริง แต่สำหรับผู้ที่เห็นประโยชน์ของพระธรรมเห็นประโยชน์ของการที่จะได้เข้าใจความจริง ก็จะต้องมีศรัทธาเห็นประโยชน์ที่จะต้องฟังต้องศึกษาต่อไปเพราะว่าพระธรรมเนี่ยเป็นสิ่งที่อยู่ละเอียดจริงๆ ซึ่งยากที่จะเข้าใจถูกเห็นถูกตามความจริง ได้ยินคำว่าพระอรหันต์ก็สัมมาสัมพุทธเจ้า ยาได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหมคะ จึงได้สั่งมากฝั่งนะคะ ฝั่ง และยากมาก ละเอียดมาก เหล็กเส้นมากเพราะเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วก็จะฟังต่อไปมั้งบริษัทท่าหมาแล้ว ถ้าไม่มีศรัทธาที่จะฟังต่อไป ชื่อว่า รู้จักก็สัมมาสาวเจ้า ได้ยินแต่เพียงสู้แต่แม่ว่าเสียงที่ได้ยินได้ฟัง และยา อยากให้ต้องศึกษานะคะ เป็นกับกับ เป็นไงคะเริ่มรู้สึกยังไง ยังมีศรัทธาที่จะฟังต่อไปอีกหรือเปล่า หรือว่าหมดศรัทธาเสียแล้วเพราะยากเหลือเกิน ชาตินี้แค่ชาติเดียวแต่กลับมีเงินเท่าไหร่ใช่ไหมคะแต่ถ้ามันก็เป็นจริงพูดดีจริงๆ ที่จะรู้ว่า อยู่จริงสำหรับจะไม่รู้ตลอด ว่ามีจริงที่จะทำให้สามารถเข้าใจขึ้นในความจริงของผู้ตื่นผู้ได้ทรงตรัสรู้ความจริงแล้วไม่ส่งพระมหากรุณาแสดงให้คนอื่น และได้มีโอกาสที่จะเกิดปัญญาของตนเองได้ เพราะฉะนั้นไม่ประมาทพระธรรมไม่ประมาทพระปัญญาคุณของสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงต์เป็นจริงจะเปลี่ยนใจความเป็นจริงไม่ได้ เป็นจริงเป็นสิ่งที่ละเอียดลึกซื้อแยกยื่นก็แสดงให้มีความสามารถค่อยๆ เห็นถูกเข้าใจถูกทีละเล็กทีละน้อยจนกระทั่งสามารถที่จะประจักษ์ความจริงนั้นได้นี่คือศรัทธาที่ค่อยๆ เจริญขึ้นก็จะเห็นได้นะครับ ว่าถ้าไม่เป็นอย่างนี้ จะเป็นศาสนาได้ยังไงถ้าไม่มีการไปไม่มีการเห็นประโยชน์จริงๆ เพราะฉะนั้นยิ่งแหย่ยิ่งมีศรัทธา ที่จะรู้ว่าสิ่งที่แยกแต่รู้ได้ ไม่เห็นจะต้องเดือดร้อนเป็นแค่ฟัง ใช่ไหมคะลำบากอะไรค่ะแค่ฝันไม่ต้องไปทำอะไรเลยทั้งสิ้นอย่างเองสิคะเต่าขวนขวายเต่าพยายามทุกอย่างแต่นี่เพียงแค่ฟัง ฟังด้วยความเคารพ เพราะเหตุว่าเป็นวาจาสัจจะ คำนั้นไม่หลอกลวงนะคะ ไม่ทำให้เข้าใจผิด ไม่ทำให้เห็นผิดแต่ทำให้เข้าใจความจริงที่มีอยู่ทุกขณะในชีวิตที่เข้าใจว่าเป็น แต่ความจริงก็คือเป็นธรรมะแต่มันเร็วจริงๆ ซึ่งปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปแล้วก็จะผลจากการที่ไม่รู้หลงยึดถือสิ่งที่ไม่มีนะคะ ซึ่งดับไปแล้วว่ายังมี เพราะฉะนั้นปัญญาก็เป็นแสงสว่างที่จะทำให้เห็นถูกพี่จะทำให้ละความติดข้อง และคลายความทุกข์ความเดือดร้อนกัน ไม่ได้ทำอันตรายเลยนะคะ แค่ฟัง และก็เข้าใจขึ้นขณะที่เข้าใจก็ละความไม่รู้ และความไม่เข้าใจทีละเล็กทีละน้อยเดือดร้อนมั้ยค่ะ ถ้าแดดร้อนขนาดนั้นเพราะไม่เข้าใจคำว่า เข้าใจแค่ฝันนิดเดียวค่ะแล้วก็เป็นไม่เข้าใจอีก เข้าใจเหล่านี้ และก็เปลี่ยนเป็นไม่เข้าใจ จนกว่าความเข้าใจจะมั่นคงว่าไม่เน้นไม่ว่าอะไรทั้งนั้นที่กำลังปรากฏก็เป็นสิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นแล้วตามเหตุตาม คณาจารย์ค่ะเวลาเราศึกษาธรรมะจริงๆ เนี่ยมันมีอรรถ และพยัญชนะเนี่ย มากมายอ่ะ ที่เราได้ยิน ค่ะ เพราะฉะนั้นขณะที่เห็นไม่ใช่ขณะที่คิดเรื่องต่างๆ ค่ะ แล้วสิ่งที่ควรศึกษาจริงๆ ก็เข้าใจให้ถูกต้องว่าเห็นไหมคิคิ ส่วนใหญ่ไม่ได้ใส่ใจในเห็นด้วยซ้ำแต่ว่าคิดนึกเรื่องราวมากกว่าค่ะก็ถูกต้อง อะไรที่เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้นก็เป็นอย่างนั้นนะคะ บางคนก็บอกว่าพูดแต่เรื่องตาหูจมูกลิ้นกายใจเรื่องเห็นเรื่องได้ยินนะคะ ก็ดีสิคะที่ได้ฟังพีนี้แทนที่จะฟัง จริงไหมคะต่อให้จะพูดซ้ำๆ ยังไงเรื่องเห็นก็กำลังเห็นก็ดูกับพูดเรื่องอื่นใช่ไหมคะขณะที่กำลังได้ยินก็มีได้ยินจะพูดเรื่องเห็นเรื่องได้ยินก็คือสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นฟังเรื่องสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ให้เข้าใจขึ้นย่อมดีกว่าฟังเรื่องอื่น จะซ้ำสักเท่าไหร่ก็คือก็ยังมีเห็นให้เริ่มเข้าใจขึ้นทีละเล็กที่ละน้อยแต่ว่าตามความเป็นจริงของผู้ที่ยังไม่ได้อบรมเจริญปัญญามั่นคงพอที่จะเข้าถึงลักษณะของสภาพธรรมะไม่ว่าพูดเรื่องเห็น เรื่องได้ยินก็คิดเรื่องอื่นใช่ไหม เห็นมั้ยคะเนี่ยค่ะแล้วเมื่อไหร่จะรู้เห็น ที่กำลังเห็น พูดไว้เห็นก็คิดเรื่องอื่นพูดเลยเห็นได้ยินขนาดนี้นะคะ ไม่ใช่เราเป็นสิ่งที่มีจริง สิ่งที่เกิดขึ้นจีนเห็นแล้วก็ดับไปเกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับไปพูดอย่างนี้ค่ะ บ้านคนก็คิดเรื่องอีกก็ได้ เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าจะฟังซ้ำอีกสักเท่าไหร่ก็ตามนะคะ ก็ยังไม่ใช่ขณะที่กำลังเริ่มเข้าใจเห็นที่กำลังเหตุจนกว่าเมื่อไรที่วัดซ้ำทุกวันขอให้คิดดูนะคะ ดีกว่าฟังเรื่องอื่น ใช่ไหมคะเพื่อที่จะได้เข้าใจเห็นที่กำลังเหตุจนกว่าจะเข้าใจได้ไม่รู้ว่าจะต้องสร้างอีกมากเท่าไหร่ ไม่ว่าคุณฟังเรื่องเห็นก็คิดว่าอื่น และ ไม่ได้เข้าใจเห็นที่กำลังเห็นจนกว่าฝั่งเร่งเห็นแล้วก็ไม่ได้คิดเรื่องอื่นแต่ว่ากำลังเข้าใจเห็นที่กำลังเห็นพิธีระลึกที่ละน้อยจนกว่าจะสามารถรู้ความจริงนะ ทั้งหมดคิดก็ไม่ใช่เราแค่นี้ค่ะจนกว่าจะเป็นอย่างนี้จริงจริง แม่เห็นมีในขณะนั้นหรือว่าได้ยินมีขนาดนั้นเราก็ไม่ได้รู้สภาพตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นฟังยังไม่พอค่ะ เราฟังแล้วก็คิดเรื่องอื่นไงคะ ไม่ได้รู้เห็นที่กำลังเห็น ถ้าเราไปจีนก็หมายถึงว่าว่ามันคนละเรื่องแล้วใช่ ค่ะเราพยายามจะทำอะไรที่ไม่ใช่การฟังให้เข้าใจสิ่งที่กำลังฟัง และชื่อกำลังดี ใช่ไหมคะ ครับอาจารย์ครับจริงๆ เวลาที่ได้ยินได้ฟังคำว่าก็จะต้องมีคำมีชื่อแต่ก็ได้ฟังท่านอาจารย์ได้กล่าวอยู่เสมอว่าคำที่ได้ยินนั้นชื่อที่ได้ยินนั้น สองถึงตัวจริงของธรรมะหรือเปล่า


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 193
    30 ม.ค. 2567

    ซีดีแนะนำ