พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 925 -VB


    ตอนที่ ๙๒๕

    ณ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๕๗


    อ.กุลวิไล จิตเป็นสภาพธรรมที่รู้แจ้งอารมณ์เพราะว่าสิ่งที่ปรากฏขณะนี้เป็นอารมณ์ จิตก็สามารถจะรู้ได้หลากหลายของสิ่งที่เป็นอารมณ์ ส่วนสภาพธรรมที่เป็นเจตสิก ท่านอาจารย์ก็ให้ความเข้าใจว่าเป็นรู้โดยอาการต่างๆ เพราะว่าเจตสิกก็มีหลากหลาย ก็เป็นธาตุรู้เช่นกัน ขอเรียนถามว่าโมหะเป็นสภาพธรรมที่ไม่รู้ตามความเป็นจริงอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่เจาะจงชื่อ แต่เดี๋ยวนี้รู้หรือไม่รู้ ไม่ต้องไปหาที่ไหนเลยใช่ไหม โต๊ะไม่รู้ได้ไหม โต๊ะสงสัยได้ไหม

    อ.กุลวิไล ไม่ได้ค่ะ

    ท่านอาจารย์ โต๊ะชอบไม่ชอบได้ไหม

    อ.กุลวิไล ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ แต่ขณะนี้ไม่รู้ ไม่รู้อยู่ที่ใคร ไม่ใช่ต้องเป็นคนนั้นคนนี้เลย เมื่อใดที่ไม่รู้ เมื่อนั้นก็คือไม่รู้จะเป็นอย่างอื่นไม่ได้ เพราะฉะนั้นความไม่รู้มีจริงๆ และความไม่รู้ไม่ใช่ใคร แต่ว่าเป็นสภาพที่มีจริง และไม่รู้อะไร ขณะนั้นก็พอที่จะบอกได้ใช่ไหม ขณะที่ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ เท่านั้นเอง เพียงแต่ไม่รู้มีจริงไหม ไม่รู้เป็นสภาพรู้ใช่ไหม เป็นสภาพรู้ที่ไม่สามารถรู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ เกิดเมื่อใดมีจริงๆ ไม่รู้จริงๆ ขณะนั้นก็คือว่าไม่ต้องเรียกชื่อว่าโมหะ ไม่ต้องเรียกชื่อว่าอวิชชา แต่เป็นธรรมที่เกิดแล้วไม่รู้ เหมือนขณะนี้เห็นมีจริงๆ ใช่ไหม เกิดขึ้นเป็นเห็นแล้วจะอย่างไรอีกใช่ไหม เพราะฉะนั้นเห็นขณะนี้เป็นเห็นก็ยังไม่รู้

    เพราะฉะนั้นไม่รู้ตรงไหน เมื่อใด ขณะนั้นก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริงซึ่งเกิดแล้ว แล้วก็ต้องมีธาตุรู้ซึ่งกำลังมีสิ่งหนึ่งสิ่งใด แล้วก็ไม่รู้คือไม่เข้าใจไม่เห็นถูกตามความเป็นจริงของสิ่งนั้นด้วย

    อ.กุลวิไล ไม่รู้เกิดเมื่อใด อกุศลจิตเกิดขณะนั้นด้วย

    ท่านอาจารย์ ถ้าเรียนตำรา ก็กางออกมาได้เลยใช่ไหม ขณะนั้นมีอะไรเกิดร่วมกัน ทั้งจิตเจตสิกกี่ประเภท แต่ว่าแท้ที่จริงแล้วลักษณะที่ไม่รู้มีแน่นอน เช่นเดียวกับขณะที่เข้าใจใช่ไหม ต้องเรียกว่าปัญญาไหม ต้องเรียกว่าความเห็นถูกไหม แต่เข้าใจเกิดจะเป็นไม่เข้าใจไม่ได้ เพราะฉะนั้นเวลาที่ไม่รู้เกิด ก็จะเป็นความรู้ไม่ได้เท่านั้นเอง

    ผู้ฟัง มีผู้ฝากคำถามว่ากินมังสวิรัติแล้วได้กุศลไหม

    ท่านอาจารย์ ต้องการเพียงคำตอบหรือต้องการเข้าใจ

    ผู้ฟัง ต้องการเข้าใจด้วย

    ท่านอาจารย์ ก็ขอเป็นตัวแทนเพราะว่านำคำถามมา ก่อนอื่นต้องรู้ว่าอะไรก่อน ไม่ใช่ให้คนถามไม่รู้อะไรเลย แล้วก็ตอบไป ก็ไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นจะต้องเป็นความเข้าใจจากคำถาม เพื่อผู้ถามจะได้มีความเข้าใจที่ถูกต้องขึ้น ถามว่าบุญคืออะไร ถ้ารู้ตอบเองได้

    ผู้ฟัง บุญก็คือทำแล้วรู้สึกจิตเราสบาย

    ท่านอาจารย์ ถ้าอย่างนั้นเราก็ไม่ได้ฟังพระธรรมแน่ เราคิดเอง

    ผู้ฟัง ค่ะคิดเอง แล้วถ้าไม่คิดเอง คืออย่างไร

    ท่านอาจารย์ ก็ต้องรู้ว่า "ปุญญ" ภาษาบาลี ภาษาไทยเรียกว่า "บุญ" คืออะไร ก่อนอื่นทั้งหมด จะแจ่มแจ้งเมื่อรู้ว่าคืออะไร ขอเชิญคุณคำปั่นกล่าวภาษาบาลี

    อ.คำปั่น คำว่า "บุญ" หรือ "ปุญญ" ในภาษาบาลี ก็แสดงถึงความเป็นจริงของสภาพธรรมที่ดีงาม ที่เป็นไปเพื่อชำระจิตใจให้สะอาดให้ผ่องใสปราศจากอกุศล เพราะฉะนั้นเมื่อกล่าวถึงบุญ ก็ไม่พ้นไปจากความดีที่เกิดขึ้นเป็นไป ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการให้ทาน สละวัตถุสิ่งของเพื่อประโยชน์สุขแก่ผู้อื่น การวิรัติงดเว้นจากทุจริตประการต่างๆ หรือแม้กระทั่งที่สำคัญที่สุดก็คือ การที่มีโอกาสได้ยินได้ฟังพระธรรมเป็นไปเพื่อสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูก นั่นคือความเป็น "บุญ" หรือ "ปุญญ" ในคำสอนทางพระพุทธศาสนา เริ่มตั้งแต่ความดีขั้นต้นในชีวิตประจำวันจนกระทั่งสูงสุด ก็คือถึงการดับกิเลสได้อย่างหมดสิ้น นี่คือความหมายของบุญในพระพุทธศาสนา

    ท่านอาจารย์ ทุกคนรับประทานอาหารใช่ไหม ไม่ว่าจะอาหารอะไร เพราะฉะนั้นขณะที่กำลังรับประทานอาหาร จิตเป็นอะไร ทุกคนรับประทานอาหารกันทุกวัน แล้วก็รู้ว่ามีจิตด้วยใช่ไหม แล้วจิตก็ไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้นการที่จะรู้จักบุญหรือว่ารู้ว่าจิตที่ดีเป็นอย่างไร จิตที่ไม่ดีเป็นอกุศลเป็นอย่างไร ก็คือต้องรู้สภาพธรรม ถามเรื่องขณะที่กำลังรับประทานอาหารเจ แต่พูดถึงการรับประทานอาหารทั่วไปทั้งหมดไม่ว่าเจไม่เจ ขณะที่กำลังรับประทาน จิตเป็นอะไร

    ผู้ฟัง ก็เป็นโลภะ อร่อยค่ะ

    ท่านอาจารย์ ก็บอกเขาว่าโลภะก็เป็นอกุศล ถูกต้องไหม

    ผู้ฟัง จะเข้าใจในความที่เราจะเคารพพระสงฆ์ได้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ ที่จริง "สงฆ์" หมายความถึงส่วนรวม พระภิกษุทั้งหมด แต่ว่าเวลาที่กล่าวถึงแต่ละบุคคลไม่ใช่สงฆ์ เป็นภิกษุบุคคล ถ้าไม่มีธรรมจะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระธรรม มีพระสงฆ์ไหม

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ ไม่มี เพราะฉะนั้นที่ว่าเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นธรรมหรือไม่ เป็นสิ่งที่มีจริงๆ หรือไม่

    ผู้ฟัง เป็นค่ะ

    ท่านอาจารย์ แล้วที่กล่าวว่าพระธรรม เป็นธรรม มีจริงๆ หรือไม่

    ผู้ฟัง มีค่ะ

    ท่านอาจารย์ แล้วที่กล่าวว่าพระสงฆ์ มีจริงๆ หรือไม่ และเป็นธรรมหรือไม่

    ผู้ฟัง เป็นค่ะ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นสังฆรัตนะต้องต่างจากพระสงฆ์ธรรมดา ถูกต้องไหม เพราะฉะนั้นการนับถือ นับถือเคารพบูชาในรัตนะ ๓ คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า๑ พระธรรม ๒ และพระสงฆ์ เป็น ๓ รัตนะ จะตัด ๑ ออกไปไม่ให้เป็นรัตนะไม่ได้ เพราะว่าเป็นสิ่งที่ประเสริฐสุด นำมาซึ่งความสำเร็จยิ่งคือสามารถที่จะถึงการดับกิเลสได้เป็นสมุจเฉท ในเมื่อรัตนะอื่นไม่สามารถเลย หรืออย่างอื่นก็ไม่สามารถ เพราะฉะนั้นก่อนอื่นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นธรรมแน่นอน ถูกต้องไหม แต่ธรรมหลากหลายมาก ธรรมที่เป็นอกุศลก็มี ธรรมที่เป็นกุศลก็มี ถูกต้องไหม และกุศลก็มีหลายระดับ กุศลที่สามารถที่จะทำให้ถึงการดับกิเลสเป็นพระโสดาบันมีหรือไม่

    ผู้ฟัง มีค่ะ

    ท่านอาจารย์ กุศลประเภทที่ทำให้ถึงความเป็นพระสกทาคามี ดับกิเลสมีไหม

    ผู้ฟัง มีค่ะ

    ท่านอาจารย์ กุศลที่ทำให้ถึงความเป็นพระอนาคามี ดับกิเลสได้ ที่เป็นเรื่องของการดับความติดข้องในรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ มีไหม

    ผู้ฟัง มีค่ะ

    ท่านอาจารย์ กุศลที่ทำให้ถึงการดับกิเลสหมดสิ้นไม่เหลือเลย ในสังสารวัฎที่ยาวนานประมาณไม่ได้ กิเลสสะสมมาเท่าใด สามารถที่จะดับไม่เหลือเลยสักนิดเดียวมีหรือไม่ ปัญญาระดับนั้น

    ผู้ฟัง มีค่ะ

    ท่านอาจารย์ ระดับนั้นคือพระอรหันต์ พระอรหันต์ในยุคของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีมากหรือไม่

    ผู้ฟัง มีมากมาย

    ท่านอาจารย์ แต่มีใครที่จะมีปัญญาถึงการดับกิเลส และถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย นอกจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์เดียว ถูกต้องไหม เพราะฉะนั้นแม้ธรรมก็หลากหลายสุดที่จะประมาณได้ทั้งฝ่ายอกุศล และกุศล แต่ทางกุศลนี้สามารถที่จะถึงการดับกิเลสถึงความเป็นพระอรหันต์สาวก หรือพระอรหันต์ที่เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า หรือพระอรหันต์ที่ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้นธรรมก็หลากหลายมาก ด้วยเหตุนี้การเคารพในพระศาสดาซึ่งหมายความถึงพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ในพระคุณที่ได้ทรงบำเพ็ญบารมีที่จะอนุเคราะห์สัตว์โลกให้รู้ตามด้วย สูงสุดไม่มีใครเสมอเหมือน เพราะว่าก่อนการตรัสรู้มีใครรู้หนทางบ้าง มีใครรู้ว่าขณะนี้เป็นธรรมที่เกิดดับบ้าง ก็ไม่มี ต่อเมื่อมีการตรัสรู้แล้ว และทรงพระมหากรุณาแสดงพระธรรม คนเริ่มได้ยินได้ฟังความจริงของสิ่งที่กำลังมีจริงๆ แม้ในขณะนี้หรือสมัยก่อนหรือต่อไปข้างหน้า ความจริงนี้ไม่เปลี่ยนแปลงเลย แต่ยากที่จะรู้ เพราะฉะนั้นเคารพคือเคารพในพระปัญญาซึ่งได้ทรงบำเพ็ญมา ที่จะอนุเคราะห์ให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมี แม้ยากแต่ก็สามารถที่จะรู้ความจริงได้

    เพราะฉะนั้นเคารพสูงสุดคือ พระบรมศาสดาพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีบุคคลใดเลย ที่จะมีคุณเสมอด้วยพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จริงหรือไม่ เพราะฉะนั้นเคารพสูงสุดเหนือธรรมอื่นใดใช่ไหม แต่ว่าถ้าไม่มีธรรมที่จะนำไปสู่การรู้แจ้งอริยสัจธรรม มีแต่อกุศลทั้งวันทั้งคืน ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ในสังสารวัฏฏ์นานมาแล้ว และก็มีโอกาสที่จะให้ธรรมฝ่ายที่จะนำไปสู่การรู้แจ้งเกิดขึ้นได้ เมื่อมีโอกาสได้ฟังพระธรรมที่ทรงแสดงไว้ดีแล้ว สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม เป็นสิ่งที่ควรเคารพไหม ในธรรมนั้น เป็นธรรมด้วย แต่เป็นธรรมฝ่ายที่จะนำไปสู่การรู้แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริง

    เพราะฉะนั้นจะเคารพอะไรอื่นนอกจากธรรมที่สามารถที่จะทำให้รู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ เพราะเหตุว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงรู้หนทาง ทรงรู้สภาพธรรมเหล่านี้ ทรงแสดงธรรมเหล่านี้ เปิดเผยให้รู้ว่าอบรมได้ มีได้ เกิดได้ รู้แจ้งสภาพธรรมได้ เพราะฉะนั้นธรรมฝ่ายที่นำไปสู่การรู้แจ้งรู้อริยสัจธรรมจึงเป็นธรรมรัตนะ เหนือธรรมอื่นใด เพราะว่ากุศลอื่นใดก็ไม่เสมอเท่ากับกุศลที่สามารถที่จะทำให้นำไปสู่การดับกิเลสได้ เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีธรรมนี้ จะมีการรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่มีค่ะ

    ท่านอาจารย์ ก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นธรรมนี้นำไปสู่โลกุตรธรรมคือการรู้แจ้งอริยสัจธรรม ดับกิเลสตามลำดับขั้น เป็นพระโสดาบัน เป็นพระสกทาคามี เป็นพระอนาคามีเป็นพระอรหันต์ รวมนิพพานด้วย ก็เป็นโลกุตรธรรม ๙ เป็นรัตนะที่เคารพหรือไม่

    ผู้ฟัง เคารพค่ะ

    ท่านอาจารย์ เคารพ ก็เหลืออีกหนึ่งใช่ไหม คือบุคคลใดที่มีโอกาสได้ฟังพระธรรมได้เข้าใจพระธรรม ได้อบรมเจริญปัญญา รู้แจ้งอริยสัจธรรม ดับกิเลสตามที่ได้ฟังที่ได้อบรมแล้ว ควรแก่การเคารพนับถือ นี่คือสังฆรัตนะ ไม่ใช่บุคคลทั่วไป แต่ต้องเป็นพระอริยสงฆ์ ทั้งคฤหัสถ์ และบรรพชิตเป็นหมู่สงฆ์ คือหมู่ของพระอริยบุคคล ๘ บุคคล ควรแก่การเคารพ

    ผู้ฟัง แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าคนใดเป็นอริยสงฆ์

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่ศึกษาพระธรรมมีโอกาสจะรู้ได้หรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่ได้ค่ะ

    ท่านอาจารย์ เคยได้ยินชื่อท่านพระสารีบุตรหรือไม่

    ผู้ฟัง เคยค่ะ

    ท่านอาจารย์ เป็นใคร

    ผู้ฟัง ก็เป็นอริยสงฆ์ เป็นพระอรหันต์

    ท่านอาจารย์ เคารพไหม

    ผู้ฟัง เคารพค่ะ

    ท่านอาจารย์ เคารพในอะไร ปัญญาในระดับที่สามารถจะอบรมถึงความเป็นพระอัครสาวก เพราะฉะนั้นใครก็ตามที่ได้อบรมเจริญปัญญา จนกระทั่งสามารถที่จะดับกิเลสได้ ก็เป็นรัตนะ เป็นสังฆรัตนะ ควรที่จะได้เคารพด้วย ตอนนี้เคารพได้ไหม

    ผู้ฟัง เคารพอยู่แล้วค่ะ

    ท่านอาจารย์ เคารพอยู่แล้วต้องเข้าใจ ไม่ใช่อยู่ดีๆ เคารพ

    ผู้ฟัง กรณีเราไปใส่บาตร บางครั้งมองไปแล้วรู้สึกอกุศลเกิดแล้ว

    ท่านอาจารย์ เคารพในสิกขาหรือไม่ เพราะฉะนั้นเคารพในสิกขา สิกขาคือจากการที่ไม่เคยรู้อะไรเลยทั้งสิ้น ไม่เคยได้ยินได้ฟังอะไรเลยทั้งสิ้น แต่เมื่อมีโอกาสที่ได้ฟังได้เข้าใจ ไม่ใช่เพียงเพื่อเข้าใจ แต่เพื่อสิกขาต่อไป เพราะฉะนั้นการศึกษามีตั้งแต่การฟังให้เข้าใจ และก็ประพฤติปฏิบัติตามก็เป็นสิกขาด้วย ถ้าเพียงฟังแล้วไม่ประพฤติปฏิบัติตามจะมีประโยชน์ไหม เพราะฉะนั้นที่สำคัญที่สุด สิกขาเพื่ออบรมเจริญกุศลยิ่งขึ้น จนกระทั่งสามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ เพราะฉะนั้นขณะที่กำลังไม่เคารพเป็นสิกขาหรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่เป็นค่ะ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจะศึกษาธรรมไหม

    ผู้ฟัง ศึกษาค่ะ

    ท่านอาจารย์ ธรรมอะไรที่จะศึกษา

    ผู้ฟัง ก็ธรรมของพระพุทธองค์

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้กำลังศึกษาใช่ไหม เริ่มเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย แต่ต้องประพฤติปฏิบัติตามด้วย ไม่มีคุณปราณี แต่มีจิตเจตสิกรูป เพราะฉะนั้นก็แล้วแต่ว่าจิตขณะนั้นเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล

    ผู้ฟัง ทั้งกุศล และอกุศลสลับกันไปหมดเลยค่ะ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นสิกขาคืออะไร เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมในขณะนั้น นั่นจึงจะชื่อว่าเป็นผู้เคารพในสิกขา ไม่ใช่ไปทำอย่างอื่นเลย แต่ได้ยินได้ฟังเรื่องของธรรม เพื่อที่จะอบรมเจริญปัญญา เพราะฉะนั้นเคารพในสิกขาคือ แม้ในขณะนั้นก็สามารถที่จะเข้าใจความจริง ว่าแท้ที่จริงแล้วจิตขณะนั้นกำลังคิดด้วยจิตอะไร แต่ไม่ใช่เรา อกุศลก็เป็นธรรม ไม่ใช่คุณปราณี จนกว่าจะไม่ใช่คุณปราณีเลย ไม่ว่าจะเป็นกุศล และอกุศล ว่าง่ายหรือไม่

    ผู้ฟัง ว่าง่ายค่ะ

    ท่านอาจารย์ ว่าง่ายคือรู้ว่าธรรมยาก ละเอียด ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา หนทางเดียวจริงๆ ก็คือว่าฟังพระธรรมให้เข้าใจ ไม่ใช่ฟังเฉยๆ แล้วฟังแล้วก็ไม่ได้หวังอะไร ถ้าหวังเมื่อใดก็ผิดอีก มีความเป็นตัวตนมากมาย ไม่หมดหวังเลย แต่ปัญญาสามารถจะเข้าใจถูกในสภาพธรรมตามความเป็นจริง แต่ละหนึ่งแม้เดี๋ยวนี้ จนกระทั่งสามารถที่จะรู้จริงๆ ว่าตรงตามที่ได้ทรงแสดงทุกอย่าง เพราะฉะนั้นว่าง่ายคือรู้ว่าธรรมยาก ว่าง่ายคือไม่คิดเอง แต่ว่าฟังจนกระทั่งมีความเข้าใจขึ้น และปัญญาที่เข้าใจก็จะทำกิจของปัญญา ปัญญานำไปในกิจทั้งปวง แม้ในขณะที่ใส่บาตร

    เพราะฉะนั้นที่สำคัญที่สุดคือขอให้รู้ว่าเข้าใจ นั่นคือประโยชน์ที่สุดของการฟัง เพราะมีกัลยาณมิตรด้วย คือบุคคลซึ่งทำให้ไม่เห็นผิด ไม่เข้าใจผิด และกัลยาณมิตรสูงสุดก็คือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งตรัสกับท่านพระอานนท์ว่าพระองค์เป็นกัลยาณมิตรสูงสุด เพราะฉะนั้นเชื่อใคร

    ผู้ฟัง เชื่อพระพุทธองค์ค่ะ

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง

    ผู้ฟัง ขอคำชี้แนะเกี่ยวกับการศึกษาธรรม เมื่อถึงจุดหนึ่ง เราก็จะรู้สึกว่าเดิมเราจะเข้าใจว่าเราจะไม่ชอบความทุกข์ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ทั้งหมด คือคุณกนกวรรณศึกษาธรรม ไม่ใช่ศึกษาว่าเป็นธรรมไม่ใช่คุณกนกวรรณ แต่ศึกษาไปเท่าใดก็เป็นคุณกนกวรรณไปเท่านั้น เพราะฉะนั้นตัวตนมีมาก ขณะใดที่มีความเข้าใจถูก ขณะนั้นไม่ใช่ตัวตน แต่ว่าเทียบกันแล้วตัวตนยังมากมายเพราะว่าความรู้น้อยมาก แต่ไม่ใช่หมายความว่ายิ่งฟังไปยิ่งเพิ่มความเป็นตัวตน ฟังแล้วเข้าใจ ขณะที่เข้าใจไม่ได้ไปเพิ่มความเป็นตัวตน แต่ตัวตนมีแล้วมาก เพราะฉะนั้นธรรมที่ได้ฟังเพียงเล็กน้อย เริ่มเห็นความเป็นตัวตนว่ามาก ซึ่งแต่ก่อนนี้อาจจะคิดว่าน้อย แต่ว่าถ้าศึกษาว่าธรรมเป็นธรรม ไม่ใช่เราสักอย่างเดียว เริ่มค่อยๆ เข้าใจขึ้น เมื่อใดที่ได้ยินได้ฟังก็เข้าใจขึ้นๆ ความเป็นตัวตนความเป็นเราถึงจะค่อยๆ ลดน้อยลงไปได้ แต่ก็ไม่สามารถที่จะดับได้เป็นสมุจเฉท ไม่เกิดอีกด้วยเพียงการฟัง เพราะฉะนั้นบางคน ฟังแล้วหวังที่จะไม่เป็นเรา แต่ว่าปัญญาไม่พอที่จะเป็นเช่นนั้นได้

    ผู้ฟัง การตั้งจิตที่ชอบที่หนูฟัง

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่มีตัวตนไปตั้งเลย เพราะฉะนั้นถามว่าฟังธรรมเพื่ออะไร ตั้งจิตไว้ชอบหรือไม่ชอบโดยไม่ใช่เรา แต่ว่าความเข้าใจขณะนั้นมีไหมว่าฟังธรรมเพื่ออะไร

    ผู้ฟัง เพื่อความเข้าใจ

    ท่านอาจารย์ ถ้าอย่างนั้นก็คือว่าตั้งแล้วโดยชอบเพื่อเข้าใจ ไม่ต้องไปตั้งอะไรอีก

    ผู้ฟัง แต่เหมือนเราพูดตาม

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจนกว่าจะไม่ใช่เรา เป็นธรรมในขณะนั้นที่คิด คิดแล้วก็หมดไป ตลอดตั้งแต่เกิดจนตายเป็นธรรมทั้งหมด แล้วปัญญาระดับใดที่สามารถที่จะรู้ได้ว่า ทันทีที่สภาพธรรมใดปรากฏ ก็สามารถที่จะมีความเข้าใจถูกต้องในความเกิดขึ้นของธรรมนั้น จนกระทั่งประจักษ์ในความดับไป

    ผู้ฟัง การทำหน้าที่ทางโลกที่เราต้องพบกับอกุศลจิต ซึ่งมีตลอดเวลาตั้งแต่เช้าถึงเย็น

    ท่านอาจารย์ เรานั่นเอง เราพบกับอกุศล เมื่อใดจะเป็นธรรม

    ผู้ฟัง ถ้าเมื่อเป็นธรรมก็เหมือนเราต้องนั่งคิดว่านี่เป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ ฟังขณะนี้ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น เพราะฉะนั้นกว่าที่จะมียาวิเศษไปค่อยๆ ล้างชำระสนิมแน่นหนามากออกไปทีละเล็กทีละน้อย ก็ต้องอาศัยความเข้าใจจากการฟัง มีพระธรรมเป็นที่พึ่ง มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ถ้ามีความมั่นคงเช่นนี้ ฟังแล้วก็เข้าใจขึ้น ก็รู้ว่าได้ที่พึ่งคือความเข้าใจ

    ผู้ฟัง ได้ฟังได้ยินในซีดีที่ว่าถ้าเกิดความเข้าใจแล้ว อยู่ที่ไหน ก็หลีกด้วยใจใช่ไหมค่ะ

    ท่านอาจารย์ เข้าใจจากการฟังว่าขณะนี้เป็นธรรมใช่ไหม เป็นสิ่งที่มีจริงๆ เข้าใจอย่างนี้ แล้วเวลาโกรธ เข้าใจอย่างไร

    ผู้ฟัง เวลาโกรธก็เข้าใจว่าเป็นสภาพที่เป็นอกุศล

    ท่านอาจารย์ ดีมากเลย ไม่ใช่เราใช่ไหม

    ผู้ฟัง บางขณะก็เป็นเรา

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเป็นผู้ตรง ว่าปัญญาเกิดหรือไม่ สติเกิดหรือไม่ ระลึกได้หรือไม่ รู้แค่ไหน สิ่งนั้นดับแล้วมานั่งคิดว่าเราจะไม่ทำเช่นนี้ ดับไปแล้ว หมดแล้ว แทนที่จะเข้าใจ ก็ไปนั่งเป็นตัวตนว่าเราจะไม่ทำเช่นนี้ ฟังเพื่อเข้าใจเท่านั้น ปลอดภัย ไม่เดือดร้อน อกุศลเกิดก็เข้าใจ

    ผู้ฟัง ก็จะโกรธตัวเองอีกว่าเป็นเรา

    ท่านอาจารย์ ก็เรา

    ผู้ฟัง ตั้งไม่ถูกเลยค่ะ

    ท่านอาจารย์ จะตั้งเมื่อใด ผิดทันที เพราะไม่เข้าใจ จึงเป็นเราตั้ง แต่ขณะนี้จิตเกิดดับนับไม่ถ้วน เป็นสังขารขันธ์ปรุงแต่ง แม้แต่จะพูดอย่างนี้วันนี้ก็มาจากแสนโกฏิกัปป์ที่สะสมมาทีละเล็กทีละน้อย เพราะฉะนั้นฟังธรรมเพื่อเข้าใจ ประการนี้สำคัญที่สุด

    ผู้ฟัง เพื่อเข้าใจแต่ว่ามันต้านทานในชีวิตประจำวัน

    ท่านอาจารย์ ก็เราจะไปต้านทานนะ เราไม่ได้เข้าใจ เราจะไปต้านทาน จะไปทำอย่างนั้น จะไปทำอย่างนี้ แต่ฟังเพื่อเข้าใจว่าต้านทานได้หรือ เพราะฉะนั้นความเข้าใจไม่เคยทำให้เดือดร้อนเลย จะฟังหรือไม่ฟัง แต่เข้าใจความจริง และรู้ว่าฟังก็มีเหตุปัจจัยที่ได้ฟัง ไม่ฟังก็มีเหตุปัจจัยที่จะไม่ได้ฟัง นี่คือความเข้าใจจริงๆ เพราะฉะนั้นความเข้าใจสำคัญ ไม่ใช่ตัวเราสำคัญว่าจะต้องฟังมากๆ จะต้องเป็นเช่นนั้น จะต้องเป็นเช่นนี้ นั่นคือไม่เข้าใจธรรมว่าธรรมคือธรรมดา เกิดขึ้นแล้วเป็นอย่างนั้นแล้ว ให้รู้ตามความเป็นจริงว่าบังคับบัญชาไม่ได้

    ผู้ฟัง แต่ก็จะมามองตัวเองว่าที่เราขาดการฟัง

    ท่านอาจารย์ มองตัวเองคือมีตัวเองตลอด ฟังธรรมเพื่อตัวเอง เพราะฉะนั้นกล่าวได้เลย ใครยังเป็นเช่นนี้ คือฟังธรรมเพื่อตัวเอง

    ผู้ฟัง ความไม่ประมาทจะหมายถึงอะไร

    ท่านอาจารย์ ขณะใดก็ตามที่ไม่ใช่ตามพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีแล้ว คิดอย่างอื่นว่าดีกว่า ทำอย่างนี้ง่ายกว่า ควรจะเป็นเช่นนี้ ควรจะเป็นเช่นนั้น คือเป็นผู้ประมาท ไม่เห็นความลึกซึ้งของธรรม ว่าธรรมเป็นธรรมจริงๆ เกิดแล้วเดี๋ยวนี้ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา ไม่ว่าอะไร คิดก็เกิดแล้ว เห็นก็เกิดแล้ว ได้ยินก็เกิดแล้ว จำก็เกิดแล้ว ทั้งหมดเป็นธรรม

    ผู้ฟัง ถ้าปล่อยให้ตัวเองไปจมอยู่กับงาน

    ท่านอาจารย์ ปล่อยก็คือว่าเป็นเรา

    ผู้ฟัง แล้วสังวร เราก็จะไม่มี

    ท่านอาจารย์ สังวรไม่ใช่เรา สังวรเป็นธรรมหรือไม่

    ผู้ฟัง เป็นค่ะ

    ท่านอาจารย์ สังวรเป็นธรรมอะไร

    ผู้ฟัง เป็นธรรมที่ดี

    ท่านอาจารย์ สติ เราใช้คำนี้ แต่เราไม่รู้จักลักษณะ ได้แต่จำชื่อ เพราะฉะนั้นสัญญาจำ รู้โดยจำ วิญญาณรู้ทางหูที่ได้ยิน แต่ปัญญาต้องเกิดจากการไตร่ตรองเข้าใจ เพราะฉะนั้นใช้คำว่าเข้าใจให้ตรง และมั่นคงขึ้น

    อ.อรรณพ ท่านอาจารย์กล่าวว่าฟังธรรมเพื่ออะไร ความรักตัว เราก็ฟัง ส่วนใหญ่ก็ฟังเพื่อตัวเอง อยากให้ตัวเองดี อยากจะรักษาจิต

    ท่านอาจารย์ จนกว่าจะเข้าใจว่าไม่มีเรา

    อ.อรรณพ จะเข้าใจว่าไม่มีเราได้ต้องเป็นการศึกษาพระธรรมโดยเคารพจริงๆ

    ท่านอาจารย์ ได้ฟังแล้วไม่ลืม ธรรมสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นทุกคำต้องเข้าใจ ไม่ใช่ฟังเผินเหมือนกับว่าเข้าใจแล้ว แต่ว่าตามความเป็นจริงเข้าใจทุกคำ ธรรมคือสิ่งที่มีจริง แค่นี้ ตัดความเป็นเรา ถูกต้องไหม ถ้าเข้าใจจริงๆ ว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริง เกิดแล้วหมดไป จริงไหม นี่คือความเข้าใจจริงๆ ทีละเล็กทีละน้อย ไม่ใช่เอาความเป็นเราฟัง เพื่อเราจะได้เข้าใจ แต่ฟังให้เข้าใจจริงๆ แม้แต่คำว่าธรรมคำเดียว กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงซึ่งไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร เกิดแล้ว ใครทำให้เกิด ทุกคนกำลังเห็นทั้งนั้นเลย ใครไปทำให้เห็น พอได้ยินเกิด ใครไปทำให้ได้ยิน ทั้งหมดก็เป็นแต่สิ่งที่มีจริงที่เกิดตามเหตุตามปัจจัย ค่อยๆ ฟัง และเข้าใจสิ่งที่อาจจะได้ฟังมาสักร้อยครั้งพันครั้งกี่ชาติก็ตามแต่ แต่ความเข้าใจแม้คำเดียวต้องมั่นคงขึ้น

    อ.อรรณพ เมื่อสนทนาในพระสูตร ก็ใคร่ครวญถึงข้อความหนึ่ง ซึ่งแสดงถึงสภาพของการเป็นผู้ว่าง่าย ซึ่งก็จะเป็นประโยชน์ที่จะเป็นไปเพื่อความเจริญในทางธรรมในทางปัญญา ก็จะมีความเข้าใจกันคลาดเคลื่อน พอได้ยินว่าเป็นผู้ว่าง่าย ก็เหมือนก็ให้เชื่อง่ายเชื่อตามไปเลย กราบเรียนท่านอาจารย์ว่า ถ้าไม่มีปัญญาจะว่าง่ายไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ว่าง่ายไม่ใช่ขณะอื่นเลย เดี๋ยวนี้ ธรรมเป็นธรรมแค่นี้ ว่าง่ายพอที่จะเห็นจริงๆ ว่าไม่มีเรา แต่ขณะนี้ทั้งหมดเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ว่าง่ายคือฟังต่อไปอีกจนกระทั่งมีความเข้าใจขึ้น ไม่ใช่ให้ไปทำตามอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ว่าเป็นการที่ฟังแล้วมีความเข้าใจ รู้ว่าธรรมลึกซึ้ง และกำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นว่าง่ายก็คือว่าหนทางเดียวคือฟังแล้วเข้าใจขึ้น ถ้าเป็นอย่างอื่นก็ไม่ใช่ว่าง่าย


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 194
    21 ก.พ. 2567

    ซีดีแนะนำ