พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 927


    ตอนที่ ๙๒๗

    ณ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๕๗


    ท่านอาจารย์ การที่จะค่อยๆ ขจัดอกุศลเพราะเห็นโทษ ก็ต้องตามลำดับขั้น ถ้าไม่มีปัญญาเจริญสมถภาวนาไม่ได้ เจริญสติปัฎฐานหรือวิปัสสนาภาวนาไม่ได้ เพราะว่าภาวนาทุกประเภทต้องมีปัญญา ถ้าไม่มีปัญญาอบรมไม่ได้เลย กุศลเกิดได้ตามการสะสม แต่ละคนก็มีอัธยาศัยแต่ละอย่าง แต่ที่จะให้มากขึ้นจนกระทั่งถึงขั้นภาวนาที่สงบขึ้น จนกระทั่งไม่มีการเห็น ไม่มีการได้ยิน ไม่มีการได้กลิ่น ไม่มีการลิ้มรส ไม่มีการรู้โผฏฐัพพะ ผู้นั้นต้องมีปัญญารู้ว่าอกุศลเกิดเมื่อใด เกิดได้อย่างไร เพราะเห็นใช่ไหม จึงเป็นอกุศล ติดข้องในสิ่งที่เห็น เพราะได้ยิน เพราะได้กลิ่น เพราะลิ้มรส เพราะรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องของปัญญาที่ต้องเห็นโทษจริงๆ จึงอบรมความสงบด้วยปัญญา จนกระทั่งขณะที่เป็นอัปปนาสมาธิเป็นกุศลที่มั่นคงขึ้น ขณะนั้น ไม่มีการรู้อารมณ์ทางตาหูจมูกลิ้นกาย มีแต่การรู้อารมณ์ทางใจเท่านั้น เพราะฉะนั้นจะใช้คำว่าภาวนา ก็ต้องรู้จักว่าภาวนาสุดเอื้อมหรือเปล่า ไม่มีปัญญาแม้สักนิดก็ไปนั่งทำอะไรก็ไม่รู้หรือเปล่า แล้วก็เรียกว่าสมถภาวนา หรือว่าเรียกว่าวิปัสสนาภาวนา

    เพราะฉะนั้นพระธรรมที่ทรงแสดงทุกคำ เป็นเรื่องของปัญญาทั้งหมด เป็นเรื่องของการที่จะให้มีความเห็นถูกมีความเข้าใจถูก เพราะฉะนั้นจึงถามคุณประทีปว่าต้องการเข้าใจคำใด ทีละคำ สมถภาวนาเข้าใจแล้วใช่ไหม

    ผู้ฟัง พอเข้าใจได้

    ท่านอาจารย์ พอเข้าใจว่าสมถภาวนาเป็นกุศลขั้นสูงกว่าทาน และศีลใช่ไหม

    ผู้ฟัง เข้าใจว่าอย่างนั้น

    ท่านอาจารย์ แล้วก็อยู่ดีๆ จะให้สมถภาวนาเกิดได้ไหม

    ผู้ฟัง อยู่ดีๆ ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นต้องมีปัญญาที่รู้ว่า ขณะใดเป็นกุศล ขณะใดเป็นอกุศล นี่คือขั้นต้นที่จะทำให้จิตสงบเป็นกุศลขึ้นเพิ่มขึ้น

    ผู้ฟัง แสดงว่า ขั้นวิปัสสนาภาวนานี้ก็จะต้องเป็นสภาพธรรมที่ละเอียดลึก

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นวิปัสสนาภาวนาคืออะไร

    ผู้ฟัง คือเป็นสภาพธรรมที่รู้ตรงลักษณะของปรมัตถธรรม

    ท่านอาจารย์ เวลานี้มีสภาพธรรมปรากฏ แต่ไม่รู้ตามความเป็นจริงของสภาพธรรมเลยใช่ไหม

    ผู้ฟัง ถูกต้อง

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นปัญญาที่สามารถจะรู้ความจริงสภาพธรรมเดี๋ยวนี้ตรงตามความเป็นจริง มาจากไหน

    ผู้ฟัง มาจากความเข้าใจตามลำดับขั้น

    ท่านอาจารย์ มาจากความเข้าใจอะไร เข้าใจสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ตามความเป็นจริงทีละเล็กทีละน้อยจากการฟังว่าเป็นธรรม แม้แต่การที่จะกล่าวว่าทุกอย่างเป็นธรรมจริง หรือยัง

    ผู้ฟัง ถ้ากล่าวเช่นนี้ จริง

    ท่านอาจารย์ แค่พูดใช่ไหม

    ผู้ฟัง แค่พูด

    ท่านอาจารย์ ยังไม่เห็นธรรมแต่ละหนึ่งว่าเป็นธรรม จนกระทั่งตรงกับคำที่ว่าทุกอย่างเป็นธรรม เพราะฉะนั้นคำว่าทุกอย่างเป็นธรรมมาจากไหน จะเกิดขึ้นได้อย่างไร

    ผู้ฟัง มาจากสิ่งที่มีจริง แล้วก็ฟังเรื่องราวที่ได้ฟังมา

    ท่านอาจารย์ ต้องมีความเข้าใจปัญญาต่างขั้นว่าปัญญาขั้นฟังยังไม่สามารถที่จะกล่าวได้ตามความเป็นจริงว่าทุกอย่างเป็นธรรม เพราะว่าถ้าเป็นอย่างนั้นหมายความว่ามีความเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้แต่ละหนึ่งว่าเป็นธรรม จนกว่าจะเป็นทุกอย่าง นั่นคือวิปัสสนาภาวนา ถ้าไม่มีการฟังพระธรรมเลยเป็นไปไม่ได้เลย ผ่านมาแล้วแสนโกฏิกัปป์ แต่ละชาติไม่ได้เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ จนกว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดงความจริง เริ่มเข้าใจขั้นฟังปริยัติ ฟังแล้วต้องตรงด้วย ธรรมไม่ใช่เรา ขณะนี้มีแต่ไม่รู้ จึงฟังเพื่อค่อยๆ รู้ขึ้นว่าแต่ละหนึ่งที่กำลังปรากฏเป็นอย่างนั้นจริงๆ นี่คือการเริ่มต้นของปัญญา กว่าจะถึงวิปัสสนาภาวนา

    ฟังแล้วเห็นประโยชน์ของความเห็นถูกหรือปัญญาไหม มีประโยชน์หรือไม่ ปัญญาสิ่งที่มี และไม่เคยเห็นไม่เคยเข้าใจ แล้วก็รู้ว่าอกุศลเป็นอกุศล กุศลเป็นประโยชน์ อกุศลไม่เป็นประโยชน์เลย ฟังแล้วเห็นประโยชน์หรือยัง เห็นแล้วใช่ไหม "สาตถกสัมปชัญญะ" ไม่ใช่ต้องใช้คำอธิบายตามตัวหนังสือมากมายแล้วก็ไม่รู้เลย แต่ขณะใดที่รู้ว่าอะไรเป็นประโยชน์แท้จริงในชีวิต จากการเกิดมาแล้วก็มีแต่อกุศลทั้งนั้นเลย และตายจากโลกนี้ไป ใครล่ะ อกุศลนั่นเองเต็มตามไปอีกใช่ไหม ก็ไม่ได้เปลี่ยนสภาพจากการที่เคยมีอกุศลมากๆ ให้น้อยลง

    เพราะฉะนั้นถ้ามีความเข้าใจประโยชน์ของการที่ได้ยินได้ฟัง และก็รู้โทษของอกุศล เห็นประโยชน์ของกุศล และเริ่มที่จะรู้ว่าจะอบรมเจริญกุศลอย่างไร ขณะที่รู้เช่นนี้ที่เห็นประโยชน์ของกุศล เห็นโทษของอกุศลนั่นคือ "สาตถกสัมปชัญญะ" การฟังมีประโยชน์ไหม มานั่งกันอยู่ตั้งเกือบสองชั่วโมง มีประโยชน์ไหม มี แล้วประโยชน์อยู่ที่ไหน และประโยชน์คืออะไร ถ้ารู้ว่าประโยชน์คือความเห็นถูกความเข้าใจถูก แล้วเห็นโทษของอกุศล ความไม่รู้นั่นคืออกุศลที่ร้ายแรง เหมือนไม่ปรากฏ แต่ว่าโทษมาก เพราะเหตุว่าตราบใดที่ยังมีความไม่รู้อยู่ อกุศลทั้งหลายก็เจริญขึ้น

    อ.คำปั่น เมื่อสักครู่ได้ฟังท่านอาจารย์ได้อธิบายถึงการรู้ถึงประโยชน์ก็คือที่เป็น "สาตถกสัมปชัญญะ" ได้ฟังในเรื่องของกุศลเรื่องของอกุศล ก็เข้าใจว่ามีความแตกต่างกัน แล้วสิ่งใดคือสิ่งที่ควรสะสม สิ่งใดคือสิ่งที่ควรเว้นควรหลีกออกให้ห่างไกล และท่านอาจารย์ก็ได้กล่าวเมื่อสักครู่นี้ว่า เมื่อมีปัญญาที่รู้ถึงประโยชน์ก็จะเป็นเรื่องอุปการะเกื้อกูลต่อสัมปชัญญะอื่นๆ ประการต่อมา แล้วได้ฟังท่านอาจารย์บอกว่าถ้าหากว่ามีความเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง ความเข้าใจก็จะประทับอยู่ในใจไม่ลืม เป็นความเข้าใจที่จะไม่เปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น ขอความอนุเคราะห์จากท่านอาจารย์ว่า ความเกื้อกูลกันของสัมปชัญญะประการแรกที่จะมีต่อสัมปชัญญะอื่นๆ จะเป็นในลักษณะอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ตอนนี้เข้าใจแล้วเรื่องสาตถกสัมปชัญญะ แล้วมาจากไหน

    อ.คำปั่น มาจากการที่มีโอกาสได้ยินได้ฟังความจริง

    ท่านอาจารย์ ถ้าไปฟังอย่างอื่นจะเข้าใจไหม ฟังผิดๆ อย่างนี้จะเข้าใจไหม

    อ.คำปั่น ฟังผิดๆ ก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจะไม่สงสัยเลย สัปปายสูตร อะไรเป็นสัปปายะ ลักษณะของสภาพธรรมที่เกิดดับ เท่านี้เป็นสัปปายสัมปชัญญะ ที่จะทำให้สามารถที่จะถึงการที่จะรู้ว่าสภาพธรรมจริงๆ เป็นอย่างนี้ได้

    อ.คำปั่น ประการต่อมาก็คือโคจรสัมปชัญญะ ก็คือรู้อารมณ์จะเป็นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ พูดเรื่องอะไรหรือ อะไรเป็นสิ่งที่ควรรู้ โคจรเป็นอีกคำหนึ่งของอารมณ์ ขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏ จิตเป็นธาตุรู้เกิดขึ้นต้องมีสิ่งที่ถูกจิตรู้ สิ่งที่ถูกจิตรู้คืออารมณ์เดี๋ยวนี้ อารมณ์ใดเป็นอารมณ์ที่ควรรู้ ที่เป็นโคจรสัมปชัญญะ ซึ่งปัญญาควรรู้อารมณ์นั้น ไม่ใช่รู้อารมณ์อื่น ควรรู้ว่าสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้เป็นสิ่งที่มีจริงแน่นอน แต่ว่าไม่ใช่สิ่งที่เราเคยยึดถือว่าเป็นคนเป็นสัตว์ เพราะว่าเป็นธาตุชนิดหนึ่งซึ่งกระทบตาได้ คิดดู ทุกอย่างเป็นธาตุหมด สิ่งที่มีจริง แข็งก็มีจริง เป็นธาตุเพราะเหตุว่าใครไม่สามารถที่จะเปลี่ยนลักษณะของสภาพธรรมนั้นให้เป็นอย่างอื่นได้ เกิดเป็นแข็งเป็นอื่นไม่ได้ เกิดเป็นเปรี้ยว หวาน มัน เค็ม เปลี่ยนเป็นอื่นไม่ได้เลย เกิดเป็นเสียงก็เป็นเสียง เพราะฉะนั้น แต่ละธาตุก็ดำรงสภาพความเป็นสิ่งนั้น ไม่สับสนไม่ปะปนกันด้วย

    เพราะฉะนั้นในขณะนี้ธาตุที่สามารถกระทบตา มีหรือไม่ กำลังปรากฏให้เห็นชัดๆ ว่ามีแน่นอน กระทบหูไม่ปรากฏ กระทบจมูกไม่ปรากฏ ต่อเมื่อบุคคลใดกรรมทำให้ปสาทรูปเกิดขึ้น เป็นรูปพิเศษที่สามารถจะกระทบเฉพาะสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะกระทบแล้ว และจิตเห็นเกิดขึ้น สิ่งนี้จึงปรากฏว่ามีจริงๆ เพราะฉะนั้นนี่เป็นโคจรสัมปชัญญะหรือไม่ เป็นอารมณ์ที่ควรเข้าใจ ควรอบรมให้เข้าใจขึ้นหรือไม่ เป็นปัญญาที่สามารถที่จะรู้ว่าอะไรเป็นสิ่งที่ควรรู้ ไปศึกษาวิชาการต่างๆ มากมาย แต่สิ่งต่างๆ เหล่านั้นไม่ใช่อารมณ์ของบิดา บิดาคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นอารมณ์ของพระองค์ต้องเป็นอารมณ์ที่เป็นปรมัตถะ เป็นสิ่งที่จริงแท้ คือสิ่งที่มีจะเป็นลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นธาตุรู้ หรือว่าสภาพธรรมแต่ละหนึ่งซึ่งกำลังปรากฏ ไม่มีอะไรที่ไม่ได้ทรงตรัสรู้เลย ก็ทรงแสดงความจริงให้คนอื่นรู้ว่า สิ่งที่ควรรู้ "โคจรสัมปชัญญะ" ที่จะทำให้เกิดปัญญารู้จริงๆ ก็คือสิ่งที่มี แล้วก็ตรงว่าสิ่งนี้เพียงปรากฏให้เห็นได้ ทุกคนหลับตา ไม่ได้ปรากฏอย่างที่ลืมตาเลย

    เพราะฉะนั้นต่างกันแม้ในฝัน เหมือนฝันเห็น แต่ก็ไม่เหมือนสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาให้เห็นเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นนี่แสดงความต่างกัน ที่จะต้องเข้าใจจริงๆ ว่าฝันมีจริงไหม ฝันจริง แต่สิ่งที่มีในฝันมีจริงๆ หรือไม่ หรือเพียงในความคิด เพราะฉะนั้นสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ก็มีความคิดว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้เพียงเมื่อคิดว่าเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ แต่ถ้าไม่คิดก็ไม่เป็นอะไรเลย นอกจากเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ แล้วเมื่อใดจะรู้อย่างนี้จริงๆ ก็ต้องเริ่มจากรู้ว่าอะไรเป็น "โคจรสัมปชัญญะ" เป็นอารมณ์เป็นสิ่งที่ควรรู้

    อ.คำปั่น ทำให้เห็นถึงพระธรรมแต่ละคำจริงๆ ว่าเป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกโดยตลอด มีแต่เพิ่มพูนให้ได้มีความเข้าใจในสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริงทั้งหมด

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นภาวนาอีกนานไหม "จิรกาลภาวนา นิรันตรภาวนา"

    อ.คำปั่น ในเรื่องของภาวนา ท่านอาจารย์ได้ปรารภถึงการอบรมที่ต้องอาศัยกาลเวลาที่ยาวนานเป็น "จิรกาลภาวนา" และก็ยังต้องมีการอบรมสะสมต่อเนื่องที่เป็น "นิรันตรภาวนา"

    ท่านอาจารย์ แต่ว่าต้องเข้าใจความหมายของต่อเนื่องด้วย ม้ากัณฐกะสะสมกุศลมามาก และปัญญามามาก แต่ในชาติที่เป็นม้ากัณฐกะ "นิรันตระ" หรือไม่ เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจความหมายของ "นิรันตระ" ด้วย หมายความว่าเป็นการสืบต่อเมื่อมีปัจจัย ถ้าเกิดเป็นม้ากัณฐกะชาตินั้นไม่ได้มีการอบรมเจริญปัญญาเลย แต่เมื่อสิ้นชีวิตแล้ว เกิดเป็นเทพเทวดาแล้วก็ได้มาเฝ้าพระพุทธเจ้า และก็ได้รู้แจ้งอริยสัจธรรม เป็น "นิรันตรภาวนา" หมายความว่ามีการสืบต่อไปไม่หยุด ไม่ใช่ว่าเพียงแค่นี้แล้วหายไปเลยใช่ไหม

    เพราะฉะนั้นแต่ละคนที่ได้ฟังธรรม ชาติก่อนเป็นใคร เคยฟังมากี่ครั้งในแสนโกฏิกัปป์ ฟังมามากน้อยเพียงใด เพราะฉะนั้นเมื่อมีโอกาสที่จะเกิดเป็นมนุษย์ ชาติก่อนเป็นอะไรไม่รู้ แต่ว่า "นิรันตระ" คือสิ่งที่ได้เคยมีแล้ว สืบต่อมาจนกระทั่งถึงชาติที่สามารถจะเข้าใจได้ ไม่ขาดไม่สูญไป

    อ.คำปั่น เพราะฉะนั้นก็เป็นเครื่องเตือนว่าทุกโอกาสจริงๆ ที่จะมีโอกาสได้สะสมปัญญา ก็ไม่ควรที่จะผ่านเลยไป

    ท่านอาจารย์ "สักกัจจภาวนา" ทุกคำมีความหมาย ได้ยินชื่อเป็นภาษาบาลีแต่ภาษาไทยก็คือว่า ภาวนาอบรมเจริญศึกษาธรรมให้เข้าใจด้วยความเคารพในความจริง ในความตรงที่เป็นธรรม ไม่คลาดเคลื่อนไปทางอื่นเลย เพราะฉะนั้นศึกษาธรรมด้วยความเคารพคือไม่คิดเอง พระธรรมที่ทรงแสดง ทรงแสดงไว้ละเอียดยิ่ง ทุกคำถ้าสามารถที่จะเข้าใจได้ เป็นเรื่องของสภาพธรรมเดี๋ยวนี้ทั้งหมด "วิเวกทัสสี ผัสเสสุ" ภาษาบาลี คุณคำปั่นเคยให้ความหมายไว้แล้วครั้งหนึ่ง ทบทวนอีกครั้งหนึ่ง

    อ.คำปั่น โดยความหมาย "วิเวกทัสสี" ก็คือเป็นผู้ที่มีปกติเห็นซึ่งความวิเวกคือความสงัด "ผัสเสสุ" ก็คือในผัสสะทั้งหลาย ซึ่งในความละเอียดก็กราบเรียนอาจารย์ได้อธิบายอีกครั้งหนึ่ง

    ท่านอาจารย์ เห็นมีผัสสะใช่ไหม เพราะฉะนั้นก็ขณะนี้วิเวกหรือไม่ ตรง ยังไม่ถึง แต่ถ้าถึงการสละการละความสงัดจากการยึดถือว่าเป็นตัวตน ละสละการยึดถืออะไรว่าเป็นตัวตน เห็นที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้นั่นเอง ปัญญาสามารถที่จะอบรมจนกระทั่งถึงขณะที่ "วิเวกทัสสี" ต้องเห็นในขณะนั้น เป็นปัญญาที่รู้ขณะนั้นว่าสงัดจากการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องของการอบรมเจริญปัญญาตามลำดับขั้นจริงๆ ขณะนี้เห็นไม่เคยเป็น "วิเวกทัสสี" เพราะว่าเหตุไม่พอใช่ไหม ที่จะให้สละการยึดถือเห็นขณะนี้ว่าเป็นแต่เพียงธาตุหรือธรรม สั้นมาก สั้นมากคือทันทีที่รู้ก็ดับแล้ว จึงสามารถสละได้

    เพราะฉะนั้นปัญญาจริงๆ เป็นเรื่องเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง จึงสามารถที่จะเข้าใจสัมปชัญญะทั้ง ๔ ได้ ตั้งแต่เห็นประโยชน์จริงๆ ของการฟังว่าสิ่งที่มีจริงไม่เคยรู้ แล้วสามารถที่จะรู้ ทำไมไม่รู้ ทำไมไม่สะสมความเข้าใจ เพราะว่าอีกนานมาก แต่ก็รู้ได้ ถึงจะนานสักเพียงใด ก็ยังมีหนทางคือมีพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ ซึ่งใครก็ไม่สามารถที่จะคิดเองได้เลย เพราะฉะนั้นเมื่อเห็นประโยชน์อย่างนี้ ก็รู้ว่าจะได้ประโยชน์อย่างนี้จากที่ใด จากคำจริง วาจาสัจจะทุกคำ ซึ่งจะไปสู่ฌานสัจจะ จากมรรคสัจจะ นี่ก็แสดงให้เห็นว่าทุกอย่างเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ แต่ต้องเป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง แล้วก็เข้าใจจริงๆ ไม่ใช่เพียงคำแปลหรือว่าจำนวน หรือว่าโดยชื่อเท่านั้น

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ได้กล่าวว่าเวลาไม่ใช่ปัญญา ไม่ต้องสนใจ เครื่องลวงมีมาก ในตรงนี้จะไม่เข้าใจสิ่งที่ท่านอาจารย์กล่าวแต่ละคำว่าหมายถึงอะไร

    ท่านอาจารย์ ลวงให้คิดว่านั่นอะไร ทำไมต้องคิดเรื่องนั้นด้วย เพราะอยากรู้ ซึ่งขณะนั้นไม่รู้ ส่วนใหญ่เพียงได้ฟังว่าขณะนี้เห็นอะไร จริงๆ แล้วก็คือเห็นสิ่งที่สามารถปรากฏให้เห็นได้ว่ามีจริงๆ เมื่อได้ฟังเช่นนี้แล้ว ก็ทำให้อยากเห็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ แทนที่จะเห็นว่าเป็นคนนั้นคนนี้ เป็นดอกไม้เ ป็นโต๊ะ เหมือนเคยใช่ไหม เพราะฉะนั้นความเป็นตัวตน และความหวัง และความต้องการ ที่คิดว่าเมื่อใดที่เห็นว่าเป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ นั่นคือถูกต้องตามที่ได้ฟัง แต่ไม่เข้าใจเลยว่าแท้ที่จริงแล้วการฟังเพื่อให้รู้ว่ามีความไม่รู้ความจริงมากเพียงใด ที่สำคัญที่สุดเลยที่จะเป็นผู้ตรงที่จะรู้ว่า ความไม่รู้มีมาก ความติดข้องมากเพียงใด การยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดมากเพียงใด

    เพราะฉะนั้นเพียงได้ฟังอย่างนี้ไม่มีทางที่สามารถที่จะรู้ และเข้าใจทันทีว่า ขณะนี้มีสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นได้ เพราะการที่เคยยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เคยเข้าใจว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด อัตตสัญญามีมานานมาก เพราะฉะนั้นเพียงได้ฟังเท่านี้ไม่มีทางเลยที่จะหมดความสงสัยในสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นได้ แม้แต่จะจำคำที่ได้ยินก็ไม่มีเพราะว่าจำเรื่องอื่นตลอดเวลา ตั้งแต่เช้ามาจำเรื่องอื่นทั้งนั้น มีใครขณะที่กำลังเห็นแล้วก็มีการจำ และเริ่มเข้าใจว่าเป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้บ้าง ทั้งๆ ที่ได้ยินแล้วก็เข้าใจด้วย แต่ความเข้าใจนั้นไม่พอ เพราะฉะนั้นแทนที่จะหวังว่าจะรู้แจ้งสภาพธรรมตรงตามที่ได้ยินได้ฟังอย่างเร็ว หรือว่าจะแล้วแต่จะพยายามสักเท่าใด หวังที่จะให้เป็นการรู้แจ้ง ซึ่งจะคุ้นกับคำว่าวิปัสสนาหรือวิปัสสนาญาณ แต่ไม่เข้าใจจริงๆ วิปัสสนาญาณเป็นปัญญา ไม่ใช่เป็นการไปเห็นแล้วไม่รู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร

    เพราะฉะนั้นขณะนี้ก็มีสิ่งที่ปรากฏจริงๆ เห็นจริงๆ แต่ปัญญาที่เริ่มเข้าใจว่าไม่มีใครเลย ไม่มีสิ่งใดเลยทั้งสิ้นในสิ่งที่ปรากฏ สิ่งที่ปรากฏที่สามารถกระทบตาได้ ก็เป็นเพียงแต่สิ่งที่ปรากฏขณะนี้ เหมือนสว่างแล้วก็มีสีสันวรรณะต่างๆ เท่านั้นเอง แต่ถ้าไม่มีการจำ ไม่มีการคิดถึงรูปร่างสัณฐาน จะไม่มีความคิดว่าเป็นอะไร เหมือนเช่นเมื่อวานนี้ที่เปรียบเทียบเรื่องฟ้าแลบ เป็นอะไรหรือไม่ มีอะไรปรากฏหรือไม่ เพียงเท่านั้นกับก้อนเมฆ เห็นไหม ก้อนเมฆรวมกันทีละเล็กทีละน้อยจึงได้สามารถปรากฏเป็นก้อนเมฆใหญ่ได้

    เพราะฉะนั้นสิ่งต่างๆ ขณะนี้ก็เป็นแต่เพียงสิ่งที่มีปัจจัยเกิดขึ้น เล็กน้อยมากแต่รวมกัน แล้วก็เพราะไม่รู้การเกิดดับสืบต่ออย่างเร็ว ก็ทำให้เข้าใจว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่ใช่ว่าเราจะพยายามไปเห็นว่า ไม่มีอะไรตรงนั้นใช่ไหม ไม่ใช่คนอีกต่อไป ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดอีกต่อไป ไม่ใช่พยายามไปให้เห็น แต่กว่าจะละคลายการที่จิตสะสมความไม่รู้มามาก ความติดข้องมาก ไม่สะอาดเลย เข้าใจคำนี้ได้เลย ไม่สะอาดเหมือนร่างกายเราเต็มไปด้วยโคลนตม แต่ว่าจิตใจเอาโคลนตมอะไรมาสะสมก็คือว่าอกุศลทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นความไม่รู้ หรือโลภะ หรือโทสะ ประมาณไม่ได้เลยสำหรับจิตของปุถุชน ผู้ที่หนาแน่นมากด้วยอกุศล ว่าเป็นอย่างนี้สะสมมานานเท่าใด

    เพราะฉะนั้นที่จะให้มีความเข้าใจถูกจนกระทั่งสามารถรู้ความจริงของสภาพธรรมตามปกติ ตามปกติคือเดี๋ยวนี้ก็ด้วยปัญญาที่ค่อยๆ เข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย และก็เป็นผู้ที่ตรงด้วยว่าการที่สามารถที่จะ "วิเวกทัสสี ผัสเสสุ" เห็นความวิเวกเพราะเข้าใจตามความเป็นจริงว่าสิ่งที่ปรากฏขณะนี้ ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดอย่างที่เคยคิดเคยเข้าใจ ไม่ว่าจะเป็นทางตาที่กำลังปรากฏ เพราะผัสสะสภาพธรรมที่กระทบกับสิ่งนั้นทำให้จิตเห็นสิ่งนั้น ทุกขณะจิตตั้งแต่เกิดจนตายต้องมีผัสสเจตสิกเกิดร่วมด้วย แล้วกว่าจะเห็นความวิเวกสงัดจากการที่เคยยึดถือสภาพธรรมด้วยความไม่รู้มาโดยตลอด ในทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่เช้าจนถึงเดี๋ยวนี้ไม่มีความสงสัย ต้องเป็นเรื่องที่ค่อยๆ ชำระล้างความไม่รู้ด้วยความเข้าใจขึ้น โดยไม่ต้องไปหวังว่าเมื่อใดสภาพธรรมที่เป็นจริงเช่นนี้จะปรากฏ เพราะว่าจะปรากฏกับปัญญาแน่นอน แต่ไม่ปรากฏกับความไม่รู้หรือว่าเพียงแต่เริ่มฟังแล้วจะให้ปรากฏก็เป็นไปไม่ได้

    เพราะฉะนั้นแทนที่จะไปคิดว่าเมื่อใดจะได้เห็นว่าสิ่งที่ปรากฏไม่มีอะไรว่างเปล่า ไม่ใช่คนไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่อย่างนั้น แต่ว่าให้รู้ความจริงว่าใจขณะนี้ของแต่ละคนสะอาดเพียงใด พอหรือยังกับการที่ได้ฟังธรรมเล็กๆ น้อยๆ แต่ละภพแต่ละชาติก็เริ่มเข้าใจขึ้น เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจจริงๆ ก็คือว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริงที่ปรากฏ ขณะนี้ไม่รู้ไม่เข้าใจจึงต้องฟังจนกว่าจะรู้ขึ้นเข้าใจขึ้น และปัญญาที่เข้าใจจะค่อยๆ ละคลายความไม่รู้ความติดข้อง และความหวัง เพราะเหตุว่าสภาพธรรมทั้งหมดเป็นอนัตตา ถ้าเหตุไม่พอที่ผลจะเกิดขึ้น ไม่มีทางที่ผลจะเกิดขึ้น

    เพราะฉะนั้นบางคนได้ฟังข้อความว่าให้เพียรใช่ไหม มากๆ คิดว่าอย่างนั้น ก็ไปสู่ที่หนึ่งที่ใด พยายามนั่งทั้งคืนบ้าง หรือจะเพียรอะไรก็ตาม แต่ข้อความในพระไตรปิฎกก็มีว่า "ความเพียรทั้งหลายไม่สำเร็จ เมื่อบุญที่ได้กระทำแล้วแต่ปางก่อนยังน้อยมาก" เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าจะฟังธรรมสักเท่าใดก็ตาม เพราะรู้ว่าไม่เข้าใจ เพราะเหตุว่าการสะสมปัญญาในอดีตไม่พอ แม้แต่ในขณะนี้ที่กำลังฟังเดี๋ยวนี้ ก็ต่างกับคนที่เพียงฟังแล้วสามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมเดี๋ยวนี้ คือประจักษ์อริยสัจ ๔ เดี๋ยวนี้ได้ เพราะเหตุว่าเป็นความจริง เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องของการอบรม เป็นเรื่องของการชำระจิต และต้องเป็นผู้ที่ตรงด้วยว่าแต่ละคน แต่ละหนึ่งจิต ไม่สะอาดระดับใด แค่ไหน


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 194
    21 ก.พ. 2567

    ซีดีแนะนำ