พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 928
ตอนที่ ๙๒๘
ณ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา
วันอาทิตย์ที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๕๗
ท่านอาจารย์ การสะสมปัญญาในอดีตไม่พอ แม้แต่ในขณะที่กำลังฟังเดี๋ยวนี้ ก็ต่างกับคนที่เพียงฟังแล้วสามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมเดี๋ยวนี้ คือประจักษ์อริยสัจ ๔ เดี๋ยวนี้ได้ เพราะเหตุว่าเป็นความจริง เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องของการอบรม เป็นเรื่องของการชำระจิต และต้องเป็นผู้ที่ตรงด้วยว่าแต่ละคนแต่ละหนึ่งจิตไม่สะอาดระดับใด แค่ไหน มีความสำคัญตนไหม แล้วก็มีโลภะติดข้องมากไหม มีโทสะมากไหม ทั้งหมดอยู่ที่จิตซึ่งไม่ใช่ใครเลย แต่เป็นการสะสมของธาตุแต่ละหนึ่งในแสนโกฏิกัปป์นานแสนนานมาแล้ว ที่จะพอกพูนเพิ่มขึ้นจนกว่าจะมีการได้ฟังพระธรรม และค่อยๆ เข้าใจขึ้น
เพราะฉะนั้นจะเปรียบเทียบกับคนที่มีปัญญาน้อย แล้วเพิ่งเริ่มฟัง ยังไม่สามารถที่จะเข้าใจสภาพธรรมที่ต่างกัน ซึ่งเป็นปัญญาต่างระดับ คือปัญญาขั้นฟังกับปัญญาขั้นที่กำลังเข้าใจลักษณะของสภาพธรรม
ผู้ฟัง หมายความว่า ถ้าเป็นปัญญาที่รู้ตรงลักษณะสภาพธรรมจริงๆ ก็จะไม่เข้าใจผิด ถ้าเป็นปัญญาก็จะรู้เช่นนั้น แต่ถ้าไม่ใช่ ถ้าเป็นอย่างอื่นที่เป็นความอยากรู้ หรือเป็นความต้องการที่จะให้ปัญญาขั้นที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น ก็จะเกิดเช่นนั้นได้
ท่านอาจารย์ ถ้าเป็นปัญญารู้ ต้องถามใครไหม
ผู้ฟ้ง ไม่ต้อง
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นขณะที่สงสัยมีจริงๆ แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าขณะนั้นไม่ใช่เรา เห็นไหม มากเรื่องมากขณะที่เต็มไปด้วยความไม่รู้ ไม่ว่าเหตุการณ์นั้นจะเหมือนกับอัศจรรย์สักเท่าใด แต่ปัญญาไม่มีขณะนั้นจึงสงสัย และถาม แต่บางคนพอรู้เช่นนี้ก็ไม่ถามเลย จะได้เป็นความเข้าใจในขณะนั้น ก็มีเรื่องที่ลวงมาก แต่ว่าปกติธรรมดาอย่างนี้ เดี๋ยวนี้ เข้าใจแค่ไหน นี่เป็นเครื่องทดสอบ เพราะฉะนั้นในพระไตรปิฏกจะมีคำว่าเป็นผู้มีปกติ สภาพธรรมเป็นปกติ เพราะฉะนั้นจะเข้าใจธรรมจริงๆ ก็คือธรรมที่เป็นปกติ และเดี๋ยวนี้ก็เป็นปกติ
ผู้ฟัง ขอถามว่า รูปนั้นสำคัญไฉน
ท่านอาจารย์ รูปมีจริงๆ หรือไม่ มีจริงแน่นอน และถ้ามีแต่เพียงรูปเท่านั้น ไม่มีธาตุรู้เลย เดือดร้อนไหม สำคัญอะไรหรือไม่ รูปก็คงเป็นรูป เพราะเหตุว่ารูปไม่ใช่สภาพรู้ แต่ธาตุทั้งหลายไม่ได้มีแต่เฉพาะธาตุไม่รู้ คือรูปธาตุ ยังมีนามธาตุด้วย เพราะฉะนั้นนามธาตุซึ่งเป็นสภาพรู้ก็สามารถที่จะรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีตามเหตุตามปัจจัย ด้วยเหตุนี้เฉพาะรูปเองถ้าไม่มีนามธาตุ ไม่มีการเดือดร้อนใดๆ เลยทั้งสิ้น แต่เมื่อมีธาตุรู้ซึ่งธาตุรู้นั้นรู้รูปที่กำลังปรากฏ เช่น เดี๋ยวนี้ หรือในขณะที่ได้ยินเสียง เสียงก็เป็นรูปธาตุ ขณะที่ได้ยินเสียงถ้าไม่มีการได้ยิน เสียงก็ดับไปโดยไม่มีการที่จะเดือดร้อนอะไรเลยทั้งสิ้น แต่เวลาที่มีการได้ยินเสียง รูปเสียงมีทั้งรูปที่น่าพอใจ และไม่น่าพอใจ เพราะฉะนั้นเวลาที่มีธาตุรู้เกิดขึ้น และก็มีสิ่งที่ปรากฏให้รู้ ด้วยความไม่รู้ความจริงของธาตุนั้น จึงมีความติดข้องในธาตุนั้น และก็แสวงหารูปที่เป็นที่น่าพอใจเป็นสิ่งที่ต้องการ
เพราะฉะนั้นให้ทราบว่าจริงๆ แล้วสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม ซึ่งปรากฏให้รู้ แต่ไม่รู้ความจริงของสิ่งนั้น เพราะฉะนั้นก็มีความติดข้องในสิ่งนั้นด้วยความไม่รู้ จึงคิดว่าสิ่งนั้นสำคัญมาก แต่ถ้าไม่มีธาตุรู้เลยไม่มีอะไรจะสำคัญเลย แต่เพราะมีธาตุรู้ และมีรูป และไม่รู้ความจริงของรูป ไม่รู้ความจริงของทุกสิ่งทุกอย่าง ก็เข้าใจ และยึดถือทุกสิ่งทุกอย่างว่าเป็นสิ่งที่เป็นเราว่าเป็นความสำคัญ เพราะฉะนั้นตามความเป็นจริงก็คือชีวิตประจำวันธรรมดา ไม่ให้รูปเกิดได้ไหม ไม่ได้ ไม่ให้นามธรรมเกิดได้ไหม นามธรรมเกิดแล้วรู้รูปธรรมแน่นอน เพราะว่ารูปธรรมมีจริง ถ้ารูปธรรมไม่มีเลย นามธรรมจะรู้รูปธรรมได้ไหม ก็ไม่ได้ แต่เมื่อรูปเป็นสิ่งที่มี และนามธรรมก็สามารถที่จะรู้สิ่งที่มีตามที่ปรากฏให้รู้ แต่เพราะไม่รู้ความจริงทั้งของนามธรรม และรูปธรรม ก็มีความติดข้องในสภาพธรรมนั้นๆ
ด้วยเหตุนี้ทั้งหมด ถ้าไม่มีการเกิดของนามธรรมเลย มีแต่รูปธรรมก็ไม่เดือดร้อนอะไร สามารถที่จะถึงการไม่เกิดขึ้นของนามธาตุได้ แต่ว่าขณะนี้มีปัจจัยที่นามธาตุจะเกิดแล้วไม่ให้เกิดไม่ได้ จนกว่าจะมีปัญญาที่สามารถที่จะรู้ความจริง จนกระทั่งละการติดข้องการยึดถือสภาพธรรมทั้งหมดได้ ก็จะไม่มีการเกิดของนามธาตุ แต่รูปธาตุก็เกิดเมื่อมีเหตุปัจจัย แต่ก็ไม่มีใครสามารถจะไปเดือดร้อนได้ เมื่อไม่มีธาตุรู้รูปธาตุนั้นๆ
อ.อรรณพ สภาพธรรมที่อาศัยปัจจัยปรุงแต่งเกิดขึ้นแล้วดับ ที่ท่านจำแนกออกเป็นโดยนัยของขันธ์ ขันธ์ก็คือเป็นส่วนๆ ไป เหตุใด ท่านถึงแสดงรูปขันธ์ก่อน จะมีความสำคัญอย่างไร
ท่านอาจารย์ เวลานี้ใครรู้จิต เจตสิก ที่กำลังเกิดดับบ้าง
อ.อรรณพ ละเอียด ยากที่จะรู้
ท่านอาจารย์ กำลังเห็น รู้ว่ามีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นใช่ไหม
อ.อรรณพ สิ่งที่ปรากฏให้เห็น ปรากฏอยู่จริง
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นสามารถที่จะค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่ปรากฏ ซึ่งยังมีรูปให้เห็น แต่นามธาตุไม่มีรูปเลย ไม่มีรูปใดๆ เจือปนเลยทั้งสิ้น คิดอย่างไรก็คิดไม่ออกใช่ไหม ถ้าลักษณะนั้นไม่ได้ปรากฏว่ามีธาตุซึ่งไม่มีรูปใดๆ เจือปนเลยทั้งสิ้น ลองคิดดู เราคิดถึงโลก แล้วบอกว่าโลกว่างเปล่า เมื่อไม่มีรูปใดๆ แต่ที่ไม่มีรูปใดๆ แล้วมีโลกต้องมีธาตุรู้เกิดขึ้น ถ้าไม่เกิดโลกไม่มี เพราะฉะนั้นระหว่างสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ให้ได้ยินได้ กับสภาพธรรมซึ่งไม่มีสิ่งต่างๆ เหล่านี้เจือปนเลยทั้งสิ้น อะไรเป็นสิ่งที่ค่อยๆ รู้ได้มากกว่ากัน
อ.อรรณพ รูปครับ เพราะฉะนั้นพระองค์ท่านทรงมีพระมหากรุณาคุณที่จะแสดงสภาพธรรมที่พอที่จะรู้ได้เป็นเบื้องต้นก่อน แต่ถ้าไม่มีนามธรรม รูปก็เป็นรูปอยู่เช่นนั้น
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นทรงแสดงอุปาทานขันธ์ ทุกคำสามารถที่จะเข้าใจขึ้นโดยที่ไม่ลืม ขันธ์ หมายความถึงสภาพธรรมใดๆ ที่เกิดดับทั้งหมดไม่เว้นเลย เสียงเกิดดับเป็นขันธ์ กลิ่นเกิดดับเป็นขันธ์ รสเป็นขันธ์ ทุกอย่างที่เกิดปรากฏดูเหมือนไม่ดับ เพราะไม่รู้ว่าเกิดแล้วดับ แทบจะกล่าวได้ว่าสั้นมากทันทีที่เกิดปรากฏแล้วดับไปเลย เพราะฉะนั้นจึงยากต่อการที่จะรู้ความจริงว่า ที่เข้าใจว่าโลกยั่งยืน โลกเที่ยงนั้น เป็นไปไม่ได้เลย เพราะว่าแท้ที่จริงแล้วก็เป็นแต่เพียงสิ่งที่มีปัจจัยจึงเกิดแล้วก็ดับ ถ้ายังคงไม่รู้ความจริงอย่างนี้ เป็นอุปาทานขันธ์ เป็นที่ตั้งของความยึดถือ เพราะฉะนั้นอุปาทานหมายความถึงสภาพที่ติดข้องยึดถือ และสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่มีปรากฏเป็นที่ตั้งของความติดข้องยึดถือทั้งหมดขณะที่ปัญญาไม่ได้รู้ตามความเป็นจริง
เพราะฉะนั้นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นทันทีที่ลืมตา มีสิ่งนั้นปรากฏไม่รู้เลยว่าติดข้องแล้วในสิ่งนั้น เสียงที่กำลังปรากฏเช่นนี้ แทบจะไม่รู้เลยว่าติดข้องแล้วในเสียง เพราะว่าเสียงดับเร็วมาก แต่ก่อนที่เสียงจะดับ การสะสมอกุศลทั้งหลายไว้ในจิตมากมาย พร้อมที่จะเกิดในขณะที่เสียงยังไม่ทันดับ แต่เสียงก็เกิดแล้วดับเหมือนทันที แต่ก่อนนั้นที่เสียงจะดับก็มีการติดข้องในเสียงนั้นแล้ว นี่คือการที่เราเริ่มที่จะรู้ว่าขณะใดก็ตามสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ สิ่งนั้นเป็นอุปาทานที่ตั้งของความยึดถือซึ่งไม่ใช่เรา อุปาทานไม่ใช่จิต แต่เป็นเจตสิกซึ่งเป็นโลภเจตสิก ใช้ชื่อว่าโลภะ แต่หมายความถึงสภาพที่ติดข้องต้องการในสิ่งนั้น
เพราะฉะนั้นวันนี้ทั้งวันติดข้องแล้วในรูปที่ปรากฏ ในเสียงที่ปรากฏ ในกลิ่นในรส ในสิ่งที่กระทบกาย และในเรื่องราวต่างๆ ที่คิดนึกด้วย เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่าทั้งวันที่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ สิ่งนั้นเป็นอุปาทานขันธ์ แล้วขันธ์ต่อไปที่มีจริงๆ ก็คือความรู้สึก ยังไม่ต้องเรียกชื่อเลยได้ไหม ความรู้สึกทางกาย สบายก็มี ไม่สบายก็มี สุขทางกายก็มี ทุกข์ทางกายก็มี และความรู้สึกที่ไม่สุขไม่ทุกข์ก็มี เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่มีสภาพรู้คือจิตเกิด จะต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยอย่างน้อยที่สุด ๗ ประเภท และหนึ่งในนั้นก็คือสภาพที่รู้สึก ทุกขณะที่จิตเกิดต้องมีเจตสิกที่รู้สึกเกิดร่วมด้วย ภาษาบาลีก็ใช้คำว่าเวทนาเจตสิก เป็นอุปาทานขันธ์หรือไม่ ทุกอย่างที่มีแล้วไม่รู้เป็นที่ตั้งของความยึดถือ
เพราะฉะนั้นแม้ความรู้สึกก็เป็นที่ตั้งของความยึดถือว่าเป็นเรา ทุกข์กายเมื่อใด น้่น ไม่ใช่คนอื่นเลย เราจริงๆ เลยในขณะนั้น เพราะไม่รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วไม่มีใครสามารถที่จะบันดาลให้ความรู้สึกเป็นทุกข์เกิดได้ แต่มีเหตุปัจจัยที่จะให้ทุกขเวทนาเกิดเมื่อใด ยับยั้งไม่ให้เกิดไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นจึงเริ่มเข้าใจความหมายของธรรม สิ่งที่มีจริง เกิดเมื่อมีเหตุปัจจัย แล้วก็เป็นอนัตตา เพราะเหตุว่าไม่มีใครสามารถที่จะบังคับบัญชา หรือเปลี่ยนแปลงลักษณะของสภาพธรรมนั้นให้เป็นอย่างอื่นเลย ฟังเหมือนเข้าใจ และก็เข้าใจด้วย แต่น้อยมาก ไม่ได้ละการยึดถือเลย เพราะไม่พอ
ด้วยเหตุนี้จึงทรงแสดงสภาพธรรมที่มีจริง โดยนัยต่างๆ ตลอด ๔๕ พรรษา โดยประการทั้งปวง เพื่อที่จะให้ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ขณะที่เข้าใจขึ้นจากการฟัง ขณะนั้นไม่มีใครทำอะไรเลย จิต เจตสิก เกิดดับสืบต่อ และเจตสิกซึ่งไม่ใช่ความรู้สึกไม่ใช่ความจำ นอกจากนั้นเป็นสภาพที่ปรุงแต่งจิต เดี๋ยวโลภ เดี๋ยวโกรธ เดี๋ยวเมตตา ก็แล้วแต่สภาพธรรมนั้นจะเป็นไป แล้วก็สะสมอยู่ในจิตซึ่งเกิดดับ แต่ว่าสืบต่อแต่ละขณะ เช่น ถ้าจิตหนึ่งไม่ดับ จิตอื่นเกิดสืบต่อไม่ได้ ต้องจิตนั้นดับไปก่อน จึงจะเป็นปัจจัยสามารถที่จะทำให้จิตอื่นเกิดสืบต่อได้ทันที ขณะนี้จิตกำลังเกิดดับสืบต่อ ถอยไปนานเท่าใดก็คือว่าสืบต่อกันมาจนกระทั่งถึงขณะนี้
เพราะฉะนั้นจะเห็นได้เพราะไม่รู้อย่างนี้ ก็ติดข้องในความรู้สึก ในความจำ จึงเป็นภาษาบาลีที่ว่า รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ เจตสิกอื่น ๕๐ เพราะว่าเจตสิกทั้งหมดมี ๕๒ เวทนาเจตสิกเป็นเวทนาขันธ์ สำคัญไหม สำคัญมากจนเป็นอันดับ๒ จากรูปขันธ์ เพราะว่าต้องการรูปขันธ์เพื่ออะไร สำหรับความรู้สึกที่พอใจสบาย โสมนัสยินดีใช่ไหม เพราะฉะนั้นในบรรดาจิตเจตสิก เวทนาเป็นสภาพที่สำคัญมาก เพราะว่าเป็นสภาพที่รู้สึก เกิดมาแล้วต้องการสุข เห็นไหมว่าสำคัญแค่ไหน เป็นที่ตั้งของความยึดถือแค่ไหน แล้วความสุขจะมาจากไหน มาจากรูปดีๆ ที่ต้องการ เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีสภาพที่จำรูปที่ดี และความรู้สึกเป็นสุขจากรูปที่ดี ก็คงไม่ต้องติดข้องในรูปนั้น แต่ว่าขณะใดก็ตามที่จิตเกิดจะต้องมีสภาพธรรมที่รู้สึกเป็นเวทนาเจตสิกเกิดร่วมด้วย พร้อมกับสภาพที่จำสิ่งที่กำลังปรากฏทุกขณะจิต เป็นสัญญาเจตสิก
เพราะฉะนั้นก็จำไว้เลย ชอบรูปเช่นนี้ใช่ไหม ไปหารูปเช่นนี้ไม่ไปหารูปอื่น ชอบรสอย่างนี้ จำได้รสนี้เป็นอย่างนั้นก็ไปแสวงหารสนั้น เพราะฉะนั้นสภาพที่จำก็สำคัญมาก และก็เป็นที่ตั้งของความยึดถือว่าเป็นเราด้วย ด้วยเหตุนี้รูปขันธ์ก็เป็นรูปของเรา เวทนาขันธ์ความรู้สึกก็เป็นเรา สัญญาขันธ์ก็เราจำ ดีชั่วก็เราอีก ก็เป็นสังขารขันธ์ แต่ทั้งหมดถ้าไม่มีธาตุรู้คือวิญญาณขันธ์ ก็จะไม่มีอะไรปรากฏเลย
เพราะฉะนั้น จิต หรือมโน หรือมนัส เรียกได้หลายชื่อ ก็หมายความถึงสภาพเดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็น กำลังได้ยิน กำลังเป็นใหญ่ ในการที่รู้เฉพาะอารมณ์ของสิ่งที่ปรากฏ เพราะฉะนั้นจึงแยกจิต และเจตสิก ปนกันไม่ได้เลย ถ้าเป็นปัญญาที่รู้แจ้งจริงๆ จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ไม่มีเจตสิกใดๆ ในบรรพนั้นเลย เพราะเหตุว่ากำลังเป็นสภาพของจิตนานาขณะที่สามารถที่จะรู้ว่าเป็นธาตุรู้ ไม่ว่าจะรู้อะไรทั้งสิ้น
ด้วยเหตุนี้ความรู้จริงๆ ต้องชัด ไม่ใช่เพียงแต่ฟัง แต่ต้องสามารถประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรม จากปัญญาที่เริ่มเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งสามารถที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมแต่ละหนึ่งในขณะนั้นด้วยความไม่ใช่เรา แต่โดยความเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นขณะนั้นถ้าไม่ใช่ปัญญาที่ค่อยๆ รู้ขึ้น จะไม่รู้เลยว่าขณะนั้นสภาพธรรมนั้นเป็นอะไรตามความเป็นจริง แม้ในขณะนี้ รูปสำคัญไหม
อ.อรรณพ สำคัญ แต่ว่าไม่ใช่รูปสำคัญอย่างเดียว นามก็ยิ่งสำคัญ ยิ่งเป็นที่ยึดมั่นถือมั่น
ท่านอาจารย์ เพราะมีจริง บังคับไม่ให้เกิดไม่ได้ทั้งหมด ใครจะให้รูปหยุดไม่เกิดไม่ได้ เมื่อมีปัจจัยที่จะให้รูปเกิด รูปก็ต้องเกิด จิตไม่เกิดไม่ได้ตราบใดที่ยังมีปัจจัยให้จิตเกิดจิตต้องเกิด เจตสิกไม่เกิดไม่ได้ เมื่อมีปัจจัยที่จะให้เจตสิกประเภทใดเกิดเจตสิกประเภทนั้นก็เกิด แต่ว่าถ้าไม่มีธาตุรู้ รูปก็เพียงแต่เกิดดับ
อ.อรรณพ เพราะฉะนั้นรูปสำคัญก็เพราะว่ามีธาตุูรู้ และที่พระองค์ท่านทรงแสดงรูปเป็นเบื้องต้น ก็เพราะว่าปรากฏให้รู้ เช่น สี เสียง กลิ่น รส เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ก็จะเรียกว่าก็ชัด ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ซึ่งจะเป็นที่ยึดมั่นถือมั่น ท่านอาจารย์ก็ยังแสดงถึงนามธรรมก็สำคัญยิ่งกว่า เพราะว่าถ้าไม่มีนาม ก็ไม่มีความติดข้องในรูป
ท่านอาจารย์ มีใครพ้นจากรูปได้ไหม เกิดมาแล้วก็ต้องมีทั้งนามธรรม และรูปธรรม เมื่อมีแล้วไม่รู้ ก็เป็นที่ตั้งที่ยึดถือทั้งหมด เพราะฉะนั้นไม่มีสักสิ่งหนึ่งซึ่งปรากฏแล้วไม่ติดข้อง เพราะเหตุว่าไม่รู้ความจริง เพราะฉะนั้นสิ่งที่สำคัญก็คือว่าจะหลงติดข้องยึดถือในสิ่งที่มีปรากฏตั้งแต่เกิดจนตายไปทุกชาติ ซึ่งเป็นทุกข์จริงๆ เพราะอะไร ทุกข์ที่แท้จริงหมายความว่าสิ่งนั้นไม่เที่ยงเกิดขึ้นแล้วดับไป ฟังแค่นี้ยังไม่เห็นความไม่เที่ยงของสิ่งที่เกิดดับ แต่ถ้ารู้จริงๆ ว่าความเกิดขึ้น และดับไปเป็นจริงในขณะนี้แน่นอน เมื่อนั้นจึงสามารถที่จะละความยินดีติดข้องในรูปได้
เพราะเพียงแต่ฟังว่ารูปมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ สาระอยู่ที่ไหน เพียงแต่เกิดแล้วต้องดับ แต่ดับช้ากว่าจิต เพราะเหตุว่าจิตเกิดดับเร็วมาก เพราะฉะนั้นรูปแต่ละรูปอายุแสนสั้น เพราะฉะนั้นขณะใดก็ตามที่มีการเข้าใจอย่างถูกต้องในความไม่เที่ยงของรูป ซึ่งปรากฏเพียงชั่วคราว ก็เริ่มจะรู้สึกถึงความที่ไม่มีสาระเลย เป็นความไม่รู้เป็นความเขลาขนาดไหน ที่ไปยึดติดในสิ่งที่ปรากฏเพียงชั่วคราวแล้วไม่เหลือเลย ดับไปแล้วไม่กลับมาอีกเลย
เพราะฉะนั้นการฟังธรรมแม้แต่จะฟังเรื่องอายุของรูป แม้ว่ายังไม่ประจักษ์การเกิดดับของรูป แต่ตามที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ และทรงแสดงเพื่อให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องว่า สิ่งซึ่งเป็นที่ยึดถืออย่างยิ่งไม่ว่าจะเป็นรูปใดๆ ก็ตาม แท้ที่จริงรูปนั้นสั้นมาก ปรากฏให้ยึดติดแล้วดับไป มีประโยชน์ไหม แล้วก็ปรากฏอีก หลับแล้วไม่มีอะไรปรากฏ แต่เมื่อตื่นก็มีอีกแล้ว ปรากฏอีกแล้ว และอายุของสิ่งที่ปรากฏไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น หรือเสียงที่กำลังปรากฏให้ได้ยิน หรือกลิ่น หรือรสที่ลิ้มแล้วปรากฏรสที่อร่อยมาก ก็มีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ ซึ่งแสนสั้น แต่ก็เป็นที่ตั้งของความไม่รู้ และความติดข้อง ซึ่งยากที่จะละได้เพราะว่าได้ติดข้องมานาน เพราะความไม่รู้
ด้วยเหตุนี้การฟังแม้เพียงเข้าใจขั้นต้น แต่ก็ยังเห็นความไม่รู้ของตนเอง ว่าสมควรอย่างยิ่งที่จะค่อยๆ ละคลายทุกข์จากการติดข้องในสิ่งที่ไม่มี ไม่มีจริงๆ คือเกิดปรากฏแล้วไม่มี จากไม่มีแล้วมี แล้วหามีไม่ตลอดเวลา จะเอารูปสักรูปเดียวกลับมาสู่ความพอใจเป็นไปไม่ได้เลย สิ่งที่ปรากฏแล้วดับ แล้วก็มีรูปใหม่เกิดขึ้นสืบต่อเร็วสุดที่จะประมาณได้ เหมือนเป็นรูปเก่าแต่ความจริงไม่มีอะไรที่เก่าที่จะกลับมา มีปัจจัยที่จะให้เกิดแล้วดับ เกิดแล้วก็ดับ ตลอดเวลา
เพราะฉะนั้นถ้ามีความเข้าใจที่มั่นคง เริ่มรู้ว่าไม่ว่าจะเป็นรสที่อร่อยชั่วคราว ไม่ว่าเป็นสิ่งที่ปรากฏเดี๋ยวนี้ ที่เป็นที่พอใจก็ชั่วคราว ไม่ว่าจะเป็นเสียงที่ไพเราะ เสียงดนตรีเสียงอะไรต่างๆ ก็ตาม ชั่วคราว ดูละครโทรทัศน์สนุก ดูกันได้ ดูกันดี แต่ที่น่าดูกว่าคือสัจธรรมความจริง ไม่ต้องไปสร้างไม่ต้องไปแต่ง เกิดแล้ววิจิตรพิศดารมาก แต่ละชีวิตถ้าจะมาเล่าสู่กันฟัง ยิ่งกว่าใครจะไปแต่งได้ เขาแต่งได้แค่คำสองคำ ปรากฏให้เห็นได้นิดๆ หน่อยๆ แต่ว่าสิ่งที่ปรากฏไม่ขาดสาย ตั้งแต่เกิดจนตาย สืบเนื่องต่อมาจนเป็นเรื่องที่เหมือนว่าไม่ได้หายไปเลย ยังคงมีอยู่ในโลกนี้ แต่ความจริงก็คือว่าไม่มีอะไรสักอย่างเดียว ที่ยังคงเหลือหลังจากที่ปรากฏเพียงสั้นมากแล้วก็ดับไป แล้วก็สืบต่อ
เมื่อเข้าใจความจริงเช่นนี้ หนทางที่จะอบรมปัญญาที่จะรู้ความจริงไม่ใช่เฉพาะรูป สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่ปรากฏว่ามีจริงๆ แล้วไม่รู้ นำมาซึ่งความติดข้อง ซึ่งเป็นโทษภัยเพราะว่าติดข้องในสิ่งที่ไม่มีอยู่นั่นเอง ดับแล้วก็ยังจำว่ามีแล้วก็ไปติดข้อง ทั้งๆ ที่ความจริงไม่เหลือ และไม่มีเลย เพราะฉะนั้นถ้ารู้ความจริงเช่นนี้บ่อยๆ แล้วก็สะสมความเข้าใจในสิ่งที่มีแต่ละหนึ่ง เช่น สิ่งที่ปรากฏตามีจริงเป็นรูปหนึ่ง ไม่ปะปนกับรูปอื่นเลย แล้วก็ยังต้องมีจักขุปสาทอีกรูปหนึ่งซึ่งไม่ใช่สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ทั้งหมดไม่มีใครไปทำขึ้นมาได้เลย แต่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เป็นรูปก็จะมีสมุฏฐานเฉพาะสิ่งนั้นที่จะเกิดเป็นเช่นนั้น เช่น ตาที่เรียกว่าจักขุปสาท เราใช้คำว่าตา ภาษาไทยด้วย เกิดเพราะกรรมเห็นไหม เท่านี้ก็รู้แล้วว่าทั้งหมดกรรมเป็นใหญ่ ที่สามารถจะทำให้สิ่งซึ่งใครก็ทำไม่ได้ จ้กขุปสาทที่สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ เกิดขึ้นเพราะกรรม ยังทำให้รูปนี้เกิดดับ เกิดดับ สามารถที่จะกระทบกับสิ่งที่ปรากฏทางตาในขณะใดก็ได้ ที่เป็นปัจจัยที่จะทำให้จิตเห็นที่เกิดเพราะกรรมนั่นเอง เป็นปัจจัยให้ต้องเห็นสิ่งนั้น ก็เป็นสิ่งซึ่งไม่มีสาระเลย แต่เพราะความไม่รู้จึงยึดถือในทุกอย่าง
เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงทั้งหมดควรรู้เพื่อที่จะละความไม่รู้ และละความติดข้อง ใครอยากติดข้องบ้าง แต่ก็ช่วยไม่ได้ ยังติดข้องเมื่อมีเหตุจะให้ติดข้อง จนกว่าเหตุที่จะให้ติดข้องนั้นค่อยๆ หมดไป
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 901
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 902
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 903
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 904
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 905
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 906
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 907
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 908
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 909
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 910
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 911
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 912
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 913
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 914
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 915
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 916
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 917
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 918
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 919
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 920
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 921
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 922
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 923
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 924
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 925 -VB
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 926 -VB
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 927
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 928
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 929
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 930
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 931
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 932
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 933
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 934
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 935
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 936
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 937
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 938
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 939
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 940
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 941
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 942
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 943
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 944
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 945
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 946
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 947
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 948
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 949
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 950
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 951
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 952
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 953
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 954
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 955
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 956
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 957
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 958
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 959
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 960