พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 944


    ตอนที่ ๙๔๔

    ณ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๗


    ท่านอาจารย์ เห็นก็เกิดแล้ว ไปทำอะไร ได้ยินก็เกิดแล้ว คิดก็เกิดแล้ว ความรู้สึกต่างๆ ก็เกิดแล้ว เกิดแล้วเพราะเหตุปัจจัย ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยก็ไม่เกิด แค่นี้อยู่ตรงนี้ไปกี่ภพกี่ชาติ จนกระทั่งค่อยๆ เข้าใจขึ้น คือละความเป็นเราที่จะทำ แต่ก็มีเจตนาบ้างมีอะไรบ้างที่อยากจะรู้ต้องการจะทำ หรือเกิดแล้วเพราะเหตุปัจจัย เพราะสะสมมาที่จะเป็นความเห็นผิดที่ยังคงยึดถือว่าเป็นเรา เพราะฉะนั้นตัวเรานี้ดิ้นรน เพราะว่าไม่ยอมจากไปง่ายๆ เลย โลภะก็พยายามส่งเสริมความเป็นเราให้ดิ้นรนต่อไปอีกที่จะทำเช่นนั้นเช่นนี้ จนกระทั่งปัญญารู้ว่าไม่ต้องทำ ทำไม่ได้ เกิดแล้ว นั่นคือเป็นการเจริญขึ้นของปัญญา ที่จะค่อยๆ ละความเป็นเราที่ติดข้องอย่างมาก ซึ่งห้ามไม่ได้ด้วย ใครจะไปห้ามธรรม ห้ามไม่ได้ เดี๋ยวนี้เห็นก็เกิดแล้ว ได้ยินก็เกิดแล้ว ทุกอย่างเกิดแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเป็นธรรม

    เพราะฉะนั้นประโยชน์ก็คือว่าฟังแล้วค่อยๆ เข้าใจ ถ้าเข้าใจเห็นจริงๆ เห็นจะอยู่ตรงอื่นได้ไหม แต่ไม่ต้องไปหาที่อยู่ พอหาทันทีนั่นคือไม่ใช่รู้ลักษณะของเห็น แล้วก็จะไปหาตรงไหน จักขุปสาทไหน ถามหน่อย รู้แต่ว่าอยู่กลางตา กลางตาตรงไหนใช่ไหม ใครจะรู้ ก็เป็นการที่ว่าไม่ได้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรม เพราะความเป็นเราอยากจะรู้ ก็เลยไปคิดว่าจะพบเห็นที่ตรงจักขุปสาท แต่เวลานี้เห็นก็เกิดที่นั่น แต่เพราะไม่เข้าใจสภาพรู้หรือธาตุรู้ต่างหาก จึงมัวไปหา ขณะหานั้นไม่ใช่ขณะที่กำลังเข้าใจลักษณะของเห็น ให้ทราบว่าขณะใดก็ตามที่จะหาว่าเห็นอยู่ตรงไหน ขณะนั้นก็คือเป็นเราที่กำลังคิด แต่สภาพนั้นคือเดี๋ยวนี้ปกติธรรมดาจริงๆ ใช้คำว่าปกติต้องปกติจริงๆ อย่างนี้จริงๆ เกิดแล้วดับแล้ว แต่ต้องเป็นปัญญาที่ตามลำดับขั้น

    เพราะฉะนั้นสำคัญที่สุดคือให้รู้จักตัวจิตของแต่ละคน สะสมอะไรมา มากน้อยเพียงใด แล้วก็จะให้หมดสิ้นไปเพียงได้ฟังว่าธาตุรู้ไม่ใช่เรา เป็นธาตุที่เกิดขึ้น ไม่ต้องเรียกว่าเห็น ไม่ต้องเรียกว่าจักขุวิญญาณ ไม่ต้องเรียกอะไรเลย แต่ธาตุรู้มีแน่ๆ เพราะกำลังเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วเราก็หลงลืมไป เมื่อวานนี้ก็ได้ฟังเช่นนี้ใช่ไหม แล้วอย่างไร พอออกจากห้องนี้ไปไหนหมด ก็ไม่เคยที่จะระลึกได้ เพราะไม่ใช่เราจะไปทำให้ระลึก แต่จะเห็นความเป็นอนัตตามากขึ้น ไม่ว่าอะไรทั้งนั้นจากการที่ชีวิตประจำวันเป็นอนัตตาทั้งหมด แม้แต่จะเอื้อมมือไป ถ้าไม่มีความต้องการเกิดขึ้น จะเอื้อมมือไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นจะเห็นทุกอย่างไม่ว่าจะนั่ง จะนอน จะยืน จะเดิน จะพูด จะคิด จะรู้สึกทั้งหมด ไม่มีใครไปเปลี่ยนแปลงความเป็นไปของธรรมตามที่ได้สะสมมาที่จะเกิดขึ้นเป็นไป

    เพราะฉะนั้นความละเอียดที่กว่าจะละการยึดถือสภาพธรรม ที่เคยยึดถือมานานแสนนาน ต้องเป็นปัญญาที่รู้แล้วค่อยๆ ละ ไม่ใช่ไปพยายาม มิจฉาสมาธิมีไหม มิจฉาวายามะมีไหม มิจฉาทิฎฐิมีไหม

    ผู้ฟัง ฟังท่านอาจารย์มานาน เฉพาะชาตินี้ยังไม่ต้องชาติก่อนๆ ฟังหลายสิบปี ฟังมานาน ก็ยังเหมือนกับไม่เข้าใจตรงที่ท่านอาจารย์บอกเช่นนี้ว่า จะไปทำอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วตามเหตุตามปัจจัย นอกจากเข้าใจเขา

    ท่านอาจารย์ ขณะใดที่ไม่เข้าใจ หรือเข้าใจน้อยมาก ก็แสดงแล้ว เคยฟังมากี่ชาติ หรือว่ากี่กัป หรือยังไม่ถึงกัป ใช่ไหม ก็รู้ได้ด้วยตัวเอง ทั้งๆ ที่ธรรมความเป็นอนัตตาปรากฏ แต่อวิชชาไม่สามารถจะรู้ได้เลย แค่หลับตา หายไปไหนหมด ดอกไม้ก็ไม่มี คนก็ไม่มี อะไรก็ไม่มี จริงหรือเปล่า เห็นไหม ทุกคนก็ต้องยอมรับ พอลืมตาทำไมมีมากมาย มีคนตั้งหลายคน มีดอกไม้ มีอะไรตั้งหลายอย่าง นี่ก็แสดงให้เห็นว่าความไม่รู้ความจริงว่าแท้ที่จริงแล้ว สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นเพียงสิ่งที่มีจริง แล้วก็สามารถกระทบจักขุปสาท ไปกระทบหูก็ไม่ได้ กระทบกายก็ไม่ปรากฏ ต้องเฉพาะกระทบกับรูปพิเศษที่สามารถจะกระทบ แล้วก็เป็นปัจจัยให้ธาตุรู้เกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับไป ละเอียดยิบทุกขณะ ประมาณไม่ได้เลย

    เพราะว่าแม้แต่จิตที่เกิดดับสืบต่อ ที่ไม่ปรากฏก็มี เช่น จิตเห็นขณะนี้มี ก่อนจิตเห็นมีจิตไหมก็ไม่ได้ปรากฏ และจิตเห็นดับไปแล้ว จิตอื่นมีไหม มี ก็ไม่ได้ปรากฏ เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่า มีมากมายหลายอย่างซึ่งเกิดดับสืบต่อ โดยที่ว่าเมื่อไม่ปรากฏก็รู้ไม่ได้ แต่ทำไมพระผู้มีพระภาคทรงแสดงโดยละเอียด เพื่อให้เห็นความเป็นอนัตตา จากพระปัญญาที่ทรงตรัสรู้ว่าความจริงเป็นเช่นนี้ ทรงอนุเคราะห์ให้เห็นความเป็นอนัตตาโดยการที่ว่า สภาพธรรมต้องเกิดดับสืบต่อเช่นนี้ ให้เกิดความเข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย แต่ไม่ใช่ให้เป็นปัญญาเช่นพระองค์ที่สามารถจะรู้ทุกสิ่งทุกอย่างได้ เห็นโลภะไหมวันนี้ มีโลภะไหม ตอบได้ ว่ามาก เห็นโลภะบ้างไหม ตอบได้ว่า

    ผู้ฟัง ยัง ก็รู้ชื่อเขา

    ท่านอาจารย์ ไม่เห็น ไม่ถามก็ไม่รู้ ไม่คิดถึงด้วยซ้ำไป ทั้งๆ ที่มีอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่อาศัยการฟังแล้วเข้าใจ ค่อยๆ เข้าใจขึ้นเข้าใจขึ้น ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากความไม่รู้ และความติดข้องทีละเล็กทีละน้อย จึงสามารถเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏตามที่ได้ฟังได้ เพราะฉะนั้นที่สำคัญที่สุดคือการเข้าใจธรรมว่าเป็นอนัตตาไม่ใช่เรา ไม่ใช่เราต้องตั้งแต่ต้น แล้วก็สะสมไป ไม่ใช่ว่าเป็นเราเพื่อที่จะรู้ว่าไม่ใช่เรา ไม่มีทางเป็นไปได้เลย

    เพราะฉะนั้นก็ต้องเป็นผู้ที่รู้ตามความเป็นจริงว่า วันนี้ได้ฟังแค่นี้ ยังไม่ได้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรม เท่าที่อยากจะให้เป็นใช่ไหม แต่ว่าไม่ต้องถึงระดับนั้น เพียงแค่วันนี้เป็นคนดีกว่าเมื่อวานนี้หรือเปล่า กำลังโกรธนึกได้ไหม ถ้ามีโกรธเช่นนี้ไปเรื่อยๆ เป็นคนดีหรือเปล่า ขณะนั้นสามารถที่จะรู้ และไม่ลืมคำที่ได้ยินได้ฟังหรือเปล่าว่า แม้โกรธก็เป็นธรรม เห็นไหม จะเลือกไม่อยากโกรธ แต่โกรธก็เป็นธรรม แล้วถ้าไม่รู้โกรธที่กำลังเกิดขึ้นปรากฏให้รู้ แล้วเมื่อใดจะรู้ทั่วธรรมทั้งหมด จนกว่าจะละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเราได้เป็นสมุจเฉท ไปคิดว่าจะไปละตอนประจักษ์แจ้งการเกิดดับ ไม่มีทาง เพราะเหตุว่าแม้แต่สังขารขันธ์ ซึ่งไม่ใช่เราเลย สภาพธรรมของเจตสิกทั้งหลาย ในชีวิตประจำวันก็สะสมในขณะที่เป็นกุศล และอกุศล เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีการสะสมธรรมฝ่ายดี อกุศลเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นขณะนั้นก็ไม่มีปัจจัยที่จะทำให้เข้าใจสภาพที่เป็นอนัตตาว่า เป็นอนัตตาจริงๆ เพราะมัวหวังว่าจะไม่ให้สภาพธรรมนี้เกิด อยากจะให้สภาพธรรมนัันเกิด นี่เป็นเหตุที่พระธรรมไม่ใช่ลึกซึ้งเพียงเทศนา แต่ว่าลึกซึ้งโดยอรรถ และก็โดยปฏิเวธ ที่จะประจักษ์แจ้งจริงๆ ไม่ใช่เพียงแสดงให้ฟัง และกิเลสก็ไม่ดับสักทีหนึ่ง แต่ปัญญาอบรมคือฟังแล้วเข้าใจขึ้นเข้าใจขึ้น เป็นหนทางเดียว ดีขึ้นไหมวันนี้

    ผู้ฟัง ก็ได้ฟังธรรมทุกวัน

    ท่านอาจารย์ เมื่อวานนี้ผ่านมาแล้ว ดีกว่าวันก่อนนั้นบ้างไหม หรือเหมือนเดิม ชีวิตประจำวันแสดงให้เห็นชัดเจนว่า เช่นนี้ยังไม่มี และก็จะมียิ่งกว่านี้ได้หรือ แค่ความไม่โกรธหรือการให้อภัยก็ไม่มีวันแล้ววันเล่า แล้วก็วันใดจึงจะหมดไปได้ไม่เกิดอีกเลย ไม่เกิดอีกเลยดับเป็นสมุจเฉท สะสมไว้ตั้งมากมาย แล้วจะให้หมดไปเลยเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ฟังมาตั้งนาน อกุศลก็ยังเกิด ทั้งวันด้วย รู้แล้ว ฟังแล้วฟังมาตั้งนานอกุศลก็ยังเกิดต่อไปอีก แล้วอย่างไร นี่ก็แสดงให้เห็นว่าการฟังไม่พอความเข้าใจไม่พอ ถ้าพอจริงๆ ดีกว่าเมื่อวาน ความเข้าใจก็มากกว่าเมื่อวาน ทีละเล็กทีละน้อยด้วย

    เพราะฉะนั้นไม่ใช่เราไปหวังอีกกัปหนึ่งข้างหน้า อีกชาติสองชาติข้างหน้า แต่วันนี้เป็นเครื่องที่แสดงให้รู้ว่าผลจากการฟังพระธรรมเข้าใจ สังขารขันธ์ทำอะไรบ้าง และสังขารขันธ์ฝ่ายใด ชีวิตประจำวันแม้แต่กายวาจาก็เป็นเครื่องที่ส่องถึงกิเลส และสิ่งที่สะสมมาได้ วันนี้พูดกับใครบ้าง พูดเรื่องอะไร พูดดีไหม เห็นไหม เพียงเท่านี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่ากิเลสยังมากอยู่เพียงใด เพราะฉะนั้นเรามักจะหวังผล ไม่มีกิเลสหมดกิเลส แต่ไม่ได้รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วกิเลสมีกำลังเพียงใด เกิดอยู่เป็นประจำในชีวิตประจำวัน โอกาสที่จะไม่มีกิเลสคือขณะที่เข้าใจธรรม และขณะนั้นเป็นกุศลที่มีปัจจัยจากการเข้าใจธรรมเพิ่มขึ้น

    อ.ธิดารัตน์ กล่าวถึงพื้นฐานหรือว่าความเข้าใจพระอภิธรรม ท่านก็จำแนกออกเป็นมากมายหลายหมวด แล้วเมื่อวานนี้ก็สนทนาเรื่องของอายตนะ แล้วท่านผู้ร่วมสนทนาหลายท่านก็รู้สึกว่ายังไม่ค่อยเข้าใจมากพอ ก็มีข้อความในวิภังค์ที่อธิบายลักษณะของอายตนะ ชื่ออายตนะเพราะเป็นเครื่องต่อ ซึ่งท่านก็อธิบายว่า จริงอยู่ในบรรดาอายตนะทั้งหลายมีจักษุ และรูปเป็นต้น มีอธิบายไว้ว่าธรรมทั้งหลายคือจิต และเจตสิก มีอารมณ์ตามทวารนั้นๆ ย่อมเกิดขึ้น ตั้งขึ้น ย่อมสืบต่อ ย่อมขยายด้วยกิจ เครื่องต่อ ท่านก็ยกตัวอย่าง จักขุ และรูปเป็นเครื่องต่อ อย่างไร

    ท่านอาจารย์ ฟังธรรมเพื่อเข้าใจธรรม ต้องไม่ลืม ไม่ว่าจะโดยชื่ออายตนะ หรือชื่อว่าธาตุ ชื่ออริยสัจจะ หรืออะไรก็ตาม ทั้งหมดเพื่อเข้าใจธรรม เพราะฉะนั้นก่อนอื่นต้องทราบที่ว่า ขณะนี้มีธรรมยังไม่ต้องพูดถึงอายตนะเลย เพราะฉะนั้นไม่ว่าขณะใดก็ตาม ไม่เคยขาดธรรมคือสิ่งที่มีจริงตั้งแต่เกิดจนตาย แต่การที่เราไม่รู้ และไม่สามารถที่จะเข้าใจพระธรรมที่ทรงแสดงได้โดยละเอียด เช่น คำว่าอายตนะ ก็เพราะเหตุว่าเรายังไม่เข้าใจธรรมจริงๆ ว่า ขณะนี้เป็นธรรม เพราะฉะนั้นสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นเป็นธรรมหรือเปล่า เป็นสิ่งที่มีจริงก็ต้องเป็นธรรม พระธรรมที่ทรงแสดง ทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มีจริง ให้ในขณะที่กำลังฟังสามารถพิจารณาเข้าใจได้ว่า ขณะนี้สิ่งที่มีจริงเรากำลังพูดให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นขณะนี้มีเห็น เห็นมีจริงๆ แล้วก็มีสิ่งที่ถูกเห็นด้วย เพราะฉะนั้นถ้าเราพบคำว่า เห็นเป็นอายตนะ สิ่งที่ปรากฏทางตาให้เห็นก็เป็นอายตนะ เราก็สามารถที่จะเข้าใจได้ว่าถ้าไม่มีสิ่งที่กระทบตา และสามารถที่จะเห็นได้ จิตเห็นก็เกิดไม่ได้เลย แต่เดี๋ยวนี้มีจิตเห็นแล้ว เพราะฉะนั้นจิตเห็นขณะนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร

    เพราะฉะนั้นในขณะที่เห็นนี้เอง ต้องมีสิ่งซึ่งมีจริงคือสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นกับจักขุปสาท ถ้าไม่มี ๒ อย่าง จิตเห็นก็เกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราจะเข้าใจธรรมที่กำลังมีเดี๋ยวนี้คือเห็นว่า เห็นต้องอาศัยตาคือจักขุปสาท รูปที่สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏ ให้เห็นในขณะนี้ทั้ง ๒ อย่างเป็นอายตนะ เพราะเหตุว่าจักขุปสาทก็เกิดดับ สิ่งที่ปรากฏทางตาก็เกิดดับ แต่ถ้าไม่มีการกระทบกัน ก็ไม่สามารถที่จะเป็นปัจจัยให้จิตเกิดขึ้นเห็นในขณะนี้ได้

    เพราะฉะนั้นในขณะนี้เองที่กำลังเห็น มีเห็น จักขุวิญญาณเป็นอายตนะหรือเปล่า เป็น สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นอายตนะหรือเปล่า เป็น จักขุปสาทเป็นอายตนะหรือเปล่า ก็เป็น ก็ธรรมดาใช่ไหม แต่ถ้าเราไม่เข้าใจธรรม แล้วเราก็ไปคิดถึงคำว่าอายตนะ เราก็ไม่รู้ว่าแท้ที่จริงพระผู้มีพระภาคตรัสถึงสิ่งที่มีจริงทุกขณะว่า แม้ขณะที่เห็นนั่นเองจะปราศจากจักขุปสาท และสิ่งที่กระทบจักขุปสาทไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นจักขุปสาท สิ่งที่กระทบจักขุปสาท และจักขุวิญญาณคือจิตเห็น ต้องมีพร้อมกันในขณะนั้นจะปราศจากกันไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้นขณะนั้นที่จิตเห็นเกิดขึ้น เป็นที่ประชุมรวมกันของธรรม คือต้องมีทั้งจิตที่เห็น ต้องมีทั้งจักขุปสาทที่ยังไม่ดับ แล้วก็ต้องมีทั้งสิ่งที่ปรากฏให้เห็นในขณะนี้ที่ยังไม่ดับด้วย ทั้งหมดเป็นอายตนะ แล้วในขณะที่จิตเกิดขึ้น เกิดตามลำพัง โดยจิตไม่มีเจตสิกเกิดได้ไหม ก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นในขณะนั้นให้มีแต่จิตเห็น ไม่ให้มีเจตสิกเกิดร่วมด้วยได้ไหม ไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ขณะหนึ่งที่เห็นมีอายตนะ ต้องประชุม ต้องปรากฏต้องมีอยู่ที่นั่น ขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ได้เลย คือต้องมีจิต และเจตสิก จักขายตนะ ธรรมายตนะ เพราะว่าเจตสิกไม่ใช่จิต เมื่อเจตสิกไม่ใช่จิต ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏให้เห็น และก็ไม่ใช่จักขุปสาท เจตสิกก็เป็นธรรมที่มีจริงอย่างหนึ่ง จึงเป็นธรรมายตนะ

    เพราะฉะนั้นในแต่ละหนึ่งขณะจิตที่มีสภาพธรรมปรากฏ เพราะจิตเกิดขึ้นรู้สภาพธรรมนั้น จะขาดธรรมที่ประชุมรวมกันซึ่งเป็นปัจจัยให้เห็นในขณะนี้เกิดขึ้นไม่ได้เลย นี่คือ ทางตาดับแล้วหมด ทางหูขณะที่มีการได้ยินเสียง ก็ต้องมีเสียง และต้องมีโสตปสาทเป็นปัจจัยให้เกิดจิตได้ยินพร้อมกับเจตสิก ก็ครบที่นั่น ขณะนั้นตรงนั้น จะต้องมีธรรมซึ่งเป็นที่ประชุมเป็นที่เกิด ปราศจากกันไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นก็มีเสียงภาษาบาลีก็ใช้คำว่าสัททะ เมื่อเป็นอายตนะคือไม่ใช่เสียงอื่นซึ่งไม่อยู่ตรงนั้น แต่ต้องเป็นเสียงที่จิตกำลังได้ยินจริงๆ ในขณะนั้น แล้วก็ต้องเป็นโสตปสาทรูปซึ่งมีจริงๆ ซึ่งกำลังกระทบกับเสียง และก็มีจิตที่ได้ยินจริงๆ ในขณะนี้ที่กำลังได้ยินพร้อมเจตสิก

    เพราะฉะนั้นทั้งหมดธรรมที่มีอยู่ในที่นั้นก็เป็นอายตนะ ก็ครบไม่ว่าจะเป็นทางตาทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ยากไหม หรือต้องไปท่องหรือว่าต้องไปจำ แต่ว่าขณะนี้พระผู้มีพระภาคทรงแสดงความจริง ซึ่งเป็นธรรมทั้งหมดทุกขณะ ไม่ว่าในขณะที่เห็น ได้ยิน คิดนึก เป็นต้น เพื่อให้เห็นว่าไม่ใช่เรา ไม่มีเรา แต่เป็นธรรมแต่ละหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป จนกว่าปัญญาสามารถที่จะรู้จริงๆ ค่อยๆ ละคลายความไม่รู้ ซึ่งกำลังปิดบังในขณะนี้ ทำให้ไม่สามารถจะเห็นการเกิดดับของสภาพธรรม ทั้งจิตที่กำลังเห็น และสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น และจักขุปสาทแม้เกิดดับไม่ปรากฏ ต้องไปนั่งหาไหม สิ่งใดที่ไม่ปรากฏสิ่งนั้นเกิดแล้วดับแล้วด้วย

    เพราะฉะนั้นในขณะนี้ซึ่งเสียงดับ โสตปสาทดับ โสตวิญญาณคือจิตได้ยินดับพร้อมเจตสิก ขณะนั้นก็คือว่าเดี๋ยวนี้เอง อะไรปรากฎ เสียงปรากฏ สัททายตนะ จิตที่ได้ยินเป็นอายตนะ แต่เจตสิกปรากฏไหม ปสาทปรากฏไหม เมื่อไม่ปรากฏ จะไปรู้ไหม หรือใครอยากจะไปรู้ ก็ไปหาจนรู้ เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ขอให้รู้เฉพาะสิ่งที่ปรากฏเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นธรรมที่ทรงแสดงลึกซึ้ง เพื่อให้เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงว่าไม่มีเรา จักขุปสาทเป็นรูปพิเศษเกิดขึ้นเพราะกรรมเป็นปัจจัย พิเศษต่างกับรูปอื่น เพราะเหตุว่าสามารถกระทบเฉพาะเสียง กระทบกลิ่น กระทบอะไรไม่ได้เลย รูปนี้เกิดเมื่อใด เสียงกระทบรูปนี้ จิตได้ยินจึงเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นขณะนี้ก็คืออายตนะ

    อ.วิชัย พระผู้มีพระภาคทรงแสดงอภิธรรม คือแสดงธรรมโดยละเอียด ท่านอาจารย์กล่าวถึงการศึกษาหรือการฟังพระธรรมเพื่อเข้าใจสิ่งที่ปรากฏ เหตุใดพระผู้มีพระภาคจึงทรงแสดงธรรมโดยประการทั้งปวงว่า แม้หทยวัตถุซึ่งก็ไม่ปรากฏในขณะนี้ แต่ก็ยังทรงแสดงว่าเป็นที่เกิดของจิต

    ท่านอาจารย์ แล้วหทยวัตถุมีไหม

    อ.วิชัย ก็มี

    ท่านอาจารย์ แสดงให้รู้ว่ามี

    อ.วิชัย ด้วยพระสัพพัญญุตญาณทรงสามารถจะรู้ธรรมทั้งปวง

    ท่านอาจารย์ ไม่ต้องสงสัยอะไรเลยสักอย่างเดียวในความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

    อ.วิชัย ในการที่จะศึกษาหรือว่าการฟังอภิธรรมปิฏก ควรที่จะศึกษา แล้วเข้าใจอย่างไร ในเมื่อท่านอาจารย์กล่าวถึงว่าให้เข้าใจสิ่งที่ปรากฏ แต่ว่าธรรมในส่วนอื่นก็มีด้วย

    ท่านอาจารย์ คุณวิชัยลองยกธรรมในอภิธรรมปิฏกขึ้นมา

    อ.วิชัย เช่น กุสลา ธัมมา ธรรมที่เป็นกุศล

    ท่านอาจารย์ ใครรู้จักถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมมาก่อน ไม่รู้แม้แต่ว่าธรรมคืออะไร ไม่รู้ว่าขณะนี้เป็นธรรมคือสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นคนที่ไม่รู้เช่นนี้ ได้ฟังคำว่ากุสลา ธัมมา อกุสลา ธัมมา อัพยากตา ธัมมา เข้าใจไหม

    อ.วิชัย ถ้าไม่ได้ยินได้ฟัง ไม่เข้าใจเลย

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจะศึกษาพระไตรปิฎก โดยที่ไม่มีพื้นความเข้าใจมาก่อนเลย เป็นไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นเราสมัยนี้ ไม่ใช่ผู้ที่ได้บำเพ็ญบุญมาแล้ว จึงสามารถที่จะเกิดในสถานที่ที่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม แต่ว่าถ้าเราสะสมบุญมาพอ เพราะฉะนั้นเวลาที่ได้ยินแล้ว เราเข้าใจได้ เพราะเหตุว่าถ้าแปลเป็นภาษาไทย ก็สิ่งที่มีจริงที่ดีงาม กุศลธรรม สิ่งที่มีจริงซึ่งไม่ดีงาม และสิ่งที่มีจริงซึ่งทั้งไม่ดีงาม และดีงาม ก็มี นี่คือพระปัญญาคุณ เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่าเราสามารถที่จะฟังทันทีเข้าใจทันทีได้ เพราะฉะนั้นแม้แต่คำว่าธรรม สิ่งที่มีจริง ฟังแล้วเข้าใจ มั่นคงหรือว่าเปลี่ยนแปลง เช่น พอฟังว่าสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ สงสัยไหม ไม่ต้องเรียกธรรมก็ได้ ไม่ต้องเรียกอะไรก็ได้ แต่สิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ มีหรือเปล่า เห็นไหม ถ้าบอกว่ามี เพราะฉะนั้นสิ่งนั้นเป็นธรรมคือสิ่งที่มีจริง

    เพราะฉะนั้นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงทั้งหมด แล้วก็ทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มีจริงว่า สิ่งที่มีจริงนั้นแน่นอนต้องเกิด ไม่เกิดจะมีปรากฏได้อย่างไร แต่อะไรเป็นปัจจัยให้เกิด เช่น ทุกคนเห็น ที่เมืองสาวัตถีในอดีต ที่พาราณสีในอดีต ที่คยาในอดีต ที่ใดก็ตามในอดีตก็มีเห็น เพราะฉะนั้นกำลังพูดถึงเห็นซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะเข้าใจได้ถูกต้องว่า เห็นเกิดขึ้นเห็นแล้วดับไป เพราะฉะนั้นจะเป็นใครได้ที่ไหน ดับไปแล้วไม่กลับมาอีก เพราะฉะนั้นไม่ว่าอะไรก็ตาม ซึ่งขณะนี้ปรากฏให้ทราบว่ามีเหตุปัจจัยทำให้เกิดปรากฏแล้วดับไป แต่การดับไปของธาตุรู้ซึ่งเกิดขึ้นเห็นเป็นปัจจัยให้ธาตุรู้อื่นเกิดสืบต่อ ที่มีชีวิตอยู่ตั้งแต่เกิดจนตาย ก็คือมีธาตุรู้ซึ่งเกิดดับสืบต่อ ตั้งแต่ขณะแรกที่เกิดจนถึงขณะนี้ จนกระทั่งถึงขณะสุดท้ายของชาตินี้ที่เรียกว่าตาย

    เพราะฉะนั้น การฟังธรรม ก็คือฟังให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ตามความเป็นจริง เพื่อที่จะได้เข้าใจถูกว่าที่หลงยึดถือว่าเป็นเรา ก็เพราะเหตุว่ามีสภาพธรรมที่เกิดดับสืบต่อเร็วสุดที่จะประมาณได้ ไม่ประจักษ์แจ้งในการเกิดดับของสภาพธรรม จึงยึดถือว่าเป็นเรา เพราะฉะนั้น กุสลา ธัมมา อกุสลา ธัมมา อัพยากตา ธัมมา ถ้าไม่เคยฟังธรรมมาก่อนเลย ไม่สามารถจะเข้าใจได้ เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ต้องอาศัยคำบอกเล่าต่อๆ กันมา คำอธิบายสืบต่อกันมาจนกระทั่งเดี๋ยวนี้ พอได้ยินคำว่า กุสลา ธัมมา อกุสลา ธัมมา อัพยากตา ธัมมา ก็เข้าใจได้ เพราะว่ามีพื้นอยู่แล้ว

    ผู้ฟัง อาจารย์ธิดารัตน์เปิดมาเรื่องพื้นฐานพระอภิธรรม ก็ให้ตรึกไปถึงที่เคยฟังท่านอาจารย์บอกว่า มีผู้ถามว่าพื้นฐานพระอภิธรรมอยู่ที่ใด ท่านอาจารย์บอกว่าพื้นฐานพระอภิธรรมอยู่ที่จิต ขอความกรุณาท่านอาจารย์ว่าอย่างไร

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นธรรมคืออะไร

    ผู้ฟัง ธรรมคืออะไร คือสิ่งที่มีจริง

    ท่านอาจารย์ อภิคืออะไร

    ผู้ฟัง สิ่งที่มีจริงที่ละเอียด แล้วก็ควรรู้ยิ่ง

    ท่านอาจารย์ ถ้าเป็นสิ่งที่มีจริง เดี๋ยวนี้มีธรรมไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ มีอภิธรรมไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีจิต จะมีอะไรๆ ปรากฏไหม


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 194
    4 เม.ย. 2567

    ซีดีแนะนำ