พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 946


    ตอนที่ ๙๔๖

    ณ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๗


    ท่านอาจารย์ จิตจะเกิดนอกรูปไม่ได้ ตั้งแต่ขณะแรกที่เกิด และขณะต่อๆ ไป จิตก็จะต้องเกิดที่รูปหนึ่งรูปใดใน ๖ รูป

    อ.อรรณพ พิจารณาก็พอจะเห็นในประโยชน์จริงๆ ว่าที่เรายึดถือว่าเป็นเรา ไม่เคยคิดเลยว่าเป็นธรรม เหมือนกับเป็นเราที่ทั้งเห็นได้ยินรวมๆ กัน แต่จริงๆ แล้วก็น่าสะกิดใจว่า จริงๆ เป็นเพียงจิตที่เกิดขึ้นทำหน้าที่แต่ละอย่าง แล้วก็เกิดตรงนั้นบ้างตรงนี้บ้างใน ๖ ที่ ที่เป็นที่เกิด

    ท่านอาจารย์ เกิดแล้วดับแล้ว แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย นี่คือฟังบ่อยๆ จนกว่าจะเข้าใจว่าไม่มีเรา แต่มีธรรมคือมีจิต เจตสิก รูป ได้ฟังสิ่งใดเข้าใจสิ่งนั้น คงไม่ลืม เพราะฉะนั้นตอนนี้ก็ไม่ลืมว่าจิตทุกประเภทในภูมิที่มีรูป จิตนั้นต้องเกิดที่รูปหนึ่งรูปใดใน ๖ รูป จำกัดไว้เลยว่าใน ๖ รูป รูปอื่นไม่ใช่ที่เกิดของจิต ๖ รูปก็คือ จักขุปสาท ๑ เป็นที่เกิดของจิตเห็นคือ จักขุวิญญาณ ๒ แล้วโสตปสาทเกิดดับเช่นนี้แต่ก็เป็นที่เกิดของจิตได้ยิน กุศลวิบากหรืออกุศลวิบาก ๒ ทางจมูกขณะใดที่ได้กลิ่น จะไม่ให้ได้กลิ่นได้ไหม กรรมทำให้ได้กลิ่น จะไม่ให้เห็นได้ไหม ไม่ได้ กรรมทำให้ต้องเห็น จะไม่ให้ได้ยินได้ไหม ไม่ได้ กรรมทำให้ต้องได้ยิน จะไม่ให้มีการรู้รสได้ไหม ไม่ได้ กรรมทำให้จิตเกิดขึ้น ลิ้นรู้รสที่ชิวหาปสาท ขณะนั้นก็คือจิตที่กำลังลิ้มรส เป็นผลของกุศลกรรมเป็นกุศลวิบาก หรือเป็นผลของอกุศลกรรมจึงเป็นอกุศลวิบาก ๒ แล้วทางกายก็มีการกระทบสัมผัส เย็นบ้าง ร้อนบ้าง อ่อนบ้าง แข็งบ้าง ตึงบ้าง ก็เกิดตรงนั้น ตรงที่รูปนั้นกำลังเป็นที่เกิดของจิตที่กำลังรู้สิ่งที่กระทบ ๑๐ จิต เรียกว่า ทวิปัญจวิญญาณ เกิดที่ตา ๒ หู ๒ จมูก ๒ ลิ้น ๒ กาย ๒ รวมเป็น ๑๐ จิต ส่วนจิตนอกนั้นทั้งหมดเกิดที่หทยวัตถุ ใครจำไม่ได้ ไม่เข้าใจบ้าง ในเมื่อชัดเจนอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นโลภมูลจิตเกิดที่ไหน

    อ.ธิดารัตน์ หทยวัตถุ

    ท่านอาจารย์ หทยวัตถุ โทสมูลจิตเกิดที่ไหน

    อ.ธิดารัตน์ หทยวัตถุ

    ท่านอาจารย์ หทยวัตถุ กุศลจิตเกิดที่ไหน

    อ.ธิดารัตน์ หทยวัตถุ

    ท่านอาจารย์ โลกุตตรจิตเกิดที่ไหน

    อ.ธิดารัตน์ หทยวัตถุ

    ท่านอาจารย์ ทั้งหมดเลย ชัดเจนเปลี่ยนไม่ได้ด้วย นี่คือไม่ใช่เรา ทั้งหมดประมวลมาแล้วก็คือว่าให้เห็นตามความเป็นจริงว่า ธรรมเป็นธรรมไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร เกิดแล้วดับจนลวงให้เห็นเหมือนไม่ดับ เข้าใจว่าเที่ยงจึงเข้าใจว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด กว่าสัญญาที่เป็นอัตตสัญญาที่สะสมมานานแสนนาน จะค่อยๆ คลายไปทีละเล็กทีละน้อย ก็ต้องอาศัยปัญญาคือความเข้าใจจากขั้นการฟัง จนกระทั่งสามารถรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ จนกระทั่งสามารถประจักษ์แจ้งในทุกคำที่ทรงแสดงว่าทั้งหมดเป็นวาจาสัจจะ ไม่เป็นอื่นเลย

    อ.วิชัย ท่านอาจารย์กล่าวถึงว่า เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัสเกิดเพราะกรรมเป็นปัจจัย ถ้าเบื้องต้นของบุคคลที่ศึกษาก็เหมือนกับว่า กรรมคือกระทำไปแล้วเมื่อใดอย่างไร หรือว่าการให้ผลของกรรมจะให้ผลอย่างไร ในเมื่อกรรมดี กรรมชั่วแต่ละบุคคลทำ อาจจะทำแล้วหรือว่าขณะที่กำลังทำเช่นนี้

    ท่านอาจารย์ ต้องไม่ลืมว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มีต้องเกิด และก็ต้องมีปัจจัยที่ทำให้เกิดด้วย เช่นเห็น มีเดี๋ยวนี้ อะไรเป็นปัจจัยให้เกิดจิตเห็น ต้องมีจักขุปสาทรูปซึ่งเกิดเพราะกรรมเป็นปัจจัย และสิ่งที่ปรากฏไม่จำเป็นต้องไปคิดว่าเกิดจากอะไร กรรมหรือจิตหรืออุตุหรืออาหาร แต่ว่าเป็นธรรมที่สามารถกระทบจักขุปสาทแล้วปรากฏให้รู้ว่ามีจริงๆ เดี๋ยวนี้เป็นเช่นนี้ สำหรับจิตที่เกิดขึ้นเห็น เลือกได้ไหม เพราะเหตุว่าไม่ใช่เรา เป็นการอุปปัตติ ใช้คำว่าอุปปัตติหมายความว่าเกิดขึ้นโดยการประชุมกัน แล้วถ้ากล่าวถึงเฉพาะจิตเห็นเท่านั้น เกิดขึ้นเห็นหนึ่งขณะ แสดงให้เห็นว่าอะไรทำให้ขณะนั้นรูปนั้นกระทบ และเฉพาะจิตนั้นเกิดขึ้น เราไม่สามารถจะรู้ได้ แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงสภาพธรรมโดยละเอียด ไม่ใช่โดยผิวเผินโดยไม่แสดงเหตุ

    เพราะฉะนั้นแม้แต่ปฏิสนธิจิตก็ต้องเป็นผลของกรรม ที่จำแนกให้เมื่อเกิดมาแล้วก็ต่างกันไปตามกรรม ซึ่งขณะนั้นถ้าเป็นผลของอกุศลกรรม กุศลวิบากเกิดไม่ได้แน่ ต้องเป็นอกุศลวิบากจิตเกิดในนรกบ้าง เป็นเปรต หรือว่าเป็นสัตว์เดรัจฉานบ้าง แต่เป็นผลของกุศลกรรมก็จะให้ไปเกิดเช่นนั้นไม่ได้ เพราะฉะนั้นแสดงให้เห็นว่าแม้แต่จะเกิดที่ใด ก็ยังต้องแล้วแต่กรรมซึ่งเป็นเหตุว่ากรรมนั้นเป็นกรรมดีหรือเป็นกรรมชั่ว ถ้าเป็นกรรมดีก็เป็นปัจจัยให้เกิดในสุคติภูมิภพที่ดี ถ้าเป็นกรรมไม่ดีใครก็ไปบันดาลหรือไปช่วยให้พ้นจากการเกิดในอบายไม่ได้

    เพราะฉะนั้นขณะนั้นก็เกิดเพราะกรรมฉันใด เมื่อเกิดมาแล้ว ไม่เห็นมีไหม ไม่ได้ยินมีไหม เกิดมาเฉยๆ ก็ไม่มีใช่ไหม เพราะฉะนั้นแม้แต่เห็นก็ยังต้องเกิดเพราะกรรม เพราะเลือกไม่ได้ว่าจะเห็นอะไร ได้ยินก็ต้องแล้วแต่กรรมว่า กรรมใดทำให้ได้ยินเสียงอะไร ชอบเสียงฟ้าร้องดังๆ ไหม ห้ามไม่ให้ได้ยินได้ไหม

    อ.วิชัย ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ นอนหลับได้ยินไหม

    อ.วิชัย ถ้าหลับสนิทไม่ได้ยิน

    ท่านอาจารย์ แล้วทำไมหลับ เห็นไหมทั้งหมด เพราะฉะนั้นส่วนหนึ่งที่เกิดมาก็เป็นผลของกรรม และอีกส่วนหนึ่งคือ วัฏฏะ ต้องไม่ลืม สังสารวัฎ กิเลส กรรม วิบาก เมื่อมีวิบาก แล้วกิเลสยังไม่หมดกิเลสก็เกิดต่อ เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องรู้เรื่องชาติ หรือ ชา-ติ ของจิตแต่ละหนึ่งขณะว่า จิตนั้นเป็นกรรม หรือว่าจิตนั้นเป็นผลของกรรมหรือว่าจิตนั้นเป็นกิเลสไม่ใช่กรรม

    อ.วิชัย พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมทั้งปวงโดยละเอียดทีละหนึ่งด้วย

    ท่านอาจารย์ อย่างละเอียดยิ่ง ไม่ได้ให้เราต้องไปคิดเอง เพราะคิดอย่างไร ก็ต้องผิด เดี๋ยวนี้เห็นเป็นกุศลวิบากหรืออกุศลวิบาก เห็นไหม เรียนได้เข้าใจได้ แต่ปัญญาไม่ถึงที่จะบอกได้ว่าเป็นอะไร เพราะฉะนั้นการเรียนก็คือว่าเพื่อให้เข้าใจตามกำลังของปัญญาตั้งแต่ต้นว่า แม้แต่สภาพธรรมใดๆ ทั้งหมดก็ไม่ใช่เรา มีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย แม้แต่จิตเมื่อสักครู่นี้ เห็นเมื่อสักครู่นี้ก็ไม่ใช่จิตเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นแต่ละหนึ่งขณะ ใหม่จากการปรุงแต่งของจิตก่อนๆ ซึ่งเกิด

    อ.ธิดารัตน์ ถึงแม้เราจะศึกษาแล้วก็ทราบว่า จิตเห็นมี ๒ ประเภทคือเป็นผลของกุศลอย่างหนึ่ง เป็นผลของอกุศลอย่างหนึ่ง ก็คือเป็นกุศลวิบากกับอกุศลวิบาก แต่จริงๆ แล้วปัญญาที่จะรู้ถึงความเป็นกุศลวิบากอกุศลวิบาก ก็ไม่ได้ง่าย

    ท่านอาจารย์ เพียงแค่จะรู้จิตก็ยังไม่รู้เลย บอกได้ จิต ๘๙ จิตเป็นธาตุรู้เป็นสภาพรู้ เดี๋ยวนี้ที่เห็นไม่ใช่เรา แต่เป็นจิต แต่ก็ยังไม่รู้จักจิต เพราะฉะนั้นจะไปรู้ถึงกุศลวิบากอกุศลวิบากได้ไหม ในเมื่อจิตก็ยังไม่รู้เลย

    อ.ธิดารัตน์ ก็เริ่มต้นรู้ลักษณะของจิตโดยความเป็นธาตุรู้ก่อน

    พระภิกษุ อาตมาอยากถามว่าการอุทิศ ให้ใครเป็นผู้ได้รับบ้าง

    ท่านอาจารย์ ถ้าเข้าใจเรื่องกรรม และผลของกรรม นี่ก็คือคำตอบ เพราะเหตุว่าถ้ากุศลจิตเกิดก็เป็นเหตุปัจจัยที่จะให้กุศลวิบากคือผลของกุศลกรรมนั้นเกิด ไม่มีใครเลย ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตน แต่มีธรรม เพราะฉะนั้นก่อนอื่นที่จะรู้จักพระพุทธเจ้า และคำสอนของพระองค์ ก็คือว่าต้องฟัง และเข้าใจคำที่ทรงแสดงจริงๆ และก็โดยละเอียดด้วย เพราะฉะนั้นขณะนี้ได้ยินคำว่าธรรมบ่อยๆ แต่ไม่รู้ว่าขณะนี้เป็นธรรมทั้งหมด เพราะเหตุว่าธรรมหมายความถึงสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร

    เพราะฉะนั้นถ้ากล่าวถึงกรรม ก็คือการกระทำมี ๒ อย่างคือดี และชั่ว ไม่มีใครเลย แต่สภาพธรรมที่ดีเกิดขึ้นทำให้กายดี วาจาดี เพราะใจดี ถ้าขณะใดก็ตามซึ่งธาตุที่ไม่ดีเป็นอกุศลเกิดขึ้น ขณะนั้นก็เป็นเหตุให้กายไม่ดีตามใจ วาจาก็ไม่ดีตามใจด้วย เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจธรรมก็คือว่าไม่มีเรา เพราะฉะนั้นกรรมก็ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา แต่กรรมเป็นเหตุที่จะให้เกิดผล ที่ถามว่าใครจะได้รับ ไม่มีใครเลย แต่ว่าจิตที่เกิดดับที่เป็นเหตุ สามารถที่จะเป็นปัจจัยให้จิตประเภทที่เป็นผลของกรรมนั้นเกิดขึ้น เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง ได้กลิ่นบ้าง ลิ้มรสบ้าง รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสบ้าง ขณะนี้เป็นผลของกรรม

    เพราะฉะนั้นกรรมเมื่อทำแล้ว ใครได้รับก็ชัดเจน ไม่ใช่ว่าคนนี้ทำกรรมแล้วคนอื่นไปได้รับ เพราะฉะนั้นกุศลจิตเกิดแล้วดับแล้ว เป็นปัจจัยให้จิตที่เห็นเกิดขึ้น ไม่มีใครสามารถทำให้จิตเห็นเกิดได้เลย แต่เป็นธรรมซึ่งต้องอาศัยกรรมที่ได้กระทำแล้ว พร้อมทั้งปัจจัยอีกมากที่ทรงแสดงไว้โดยละเอียดว่า ไม่มีใครสามารถที่จะทำให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิด ขณะนี้เป็นสิ่งที่เกิดแล้วทั้งนั้น เป็นธาตุแต่ละธาตุที่สะสมมา แล้วแต่ว่าขณะนี้จะเป็นกุศล หรือเป็นอกุศล หรือเป็นผลของกรรม หรืออะไรก็ตามแต่

    เพราะฉะนั้นต้องไม่ลืมว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ด้วยพระปัญญาที่ยิ่งใหญ่ ไม่มีใครสามารถที่จะประมาณได้ ด้วยเหตุนี้ทรงแสดงความจริงของสภาพธรรมทั้งหมด แล้วก็แต่ละคำต้องเข้าใจ ไม่ใช่เพียงแต่คิด เช่น คำว่ากรรมทำแล้วใครได้รับผล กรรมคือกุศลหรืออกุศลที่เกิดแล้ว เป็นปัจจัยให้จิตเกิดขึ้นเป็นผลของกรรม ตั้งแต่ขณะแรกที่เกิด และทุกขณะในชีวิต ซึ่งมีการเห็นบ้าง การได้ยินบ้าง การได้กลิ่นบ้าง การลิ้มรส การรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสบ้าง

    เพราะฉะนั้นถ้าเห็นความละเอียดของพระปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มีอยู่ในขณะนี้โดยละเอียดยิ่ง จะตอบปัญหาด้วยความเข้าใจของตนเอง เช่น ถ้าเข้าใจว่าขณะนี้ไม่มีใคร แต่มีกุศล และอกุศลซึ่งเป็นเหตุที่จะให้เกิดผล เช่นที่ชาวพุทธเราได้ยินได้ฟังบ่อยๆ "ใครทำกรรมใดย่อมได้รับผลของกรรมนั้น" ไม่ใช่ว่าใครทำกรรมใด แล้วคนอื่นได้รับผลของกรรมนั้น เป็นไปไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้นก็เป็นคำตอบที่ว่ากุศลจิตเกิด คิดถึงผู้ที่เคยมีอุปการคุณ เพื่อนฝูงมิตรสหาย แม้ว่าเขาจากไปแล้ว แต่การทำดีของแต่ละคนแต่ละครั้ง เป็นปัจจัยให้คนอื่นเกิดความยินดีด้วยในกุศลนั้นๆ ที่ได้กระทำ ไม่มีใครจะไปยินดีกับอกุศลของใครเลยทั้งสิ้น แต่กุศลของใครก็ตามที่เกิดแล้ว เป็นปัจจัยให้คนอื่นที่รู้ และเห็นประโยชน์ของกุศล อนุโมทนายิ่งแม้ในกุศลเพียงเล็กๆ น้อยๆ เช่นที่มีคนเก็บเงินได้คืนเจ้าของ ดูเหมือนเป็นกุศลที่เล็กน้อยมาก แต่เป็นความดีซึ่งบางคนทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่าสามารถที่จะเป็นที่ชื่นชมอนุโมทนา แม้ว่าคนนั้นจะไม่ได้บอกว่าดีใจด้วยนะที่เขาทำความดี แต่ผู้ที่ได้ทราบก็ยินดีด้วยในการกระทำความดีนั้นฉันใด

    เพราะฉะนั้นเมื่อบุคคลหนึ่งบุคคลใดได้กระทำความดีแล้ว แม้ไม่ใช่ผู้ที่จากไป แต่เป็นผู้ที่ยังอยู่ในโลกนี้ร่วมกัน ก็สามารถที่จะเกิดกุศลจิตจึงอนุโมทนา เพราะฉะนั้นเมื่อกุศลจิตนั้นเกิดแล้วใครได้รับ ผู้ที่กุศลจิตเกิดนั่นเองจะเป็นผู้ที่ได้รับผล เพราะเหตุว่าไม่มีสัตว์ไม่มีบุคคล แต่มีสภาพธรรมซึ่งเป็นเหตุ และเป็นผลตลอดชีวิต เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่ละเอียดทุกคำที่จะต้องเข้าใจ เมื่อเข้าใจแล้วก็ตอบปัญหาได้หมดว่าใครได้รับ ทำบุญแล้วอุทิศไป แต่ถ้าคนนั้นไม่เกิดกุศลจิตอนุโมทนา ไม่ว่าจะยังมีชีวิตอยู่หรือจากไปแล้ว จะให้ใครเอาบุญใดไปให้เขาได้ ในเมื่อยังไม่รู้เลยว่าบุญคืออะไร แล้วก็เป็นเหตุที่จะให้เกิดผลอะไร

    เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่จะต้องเข้าใจโดยละเอียด พระธรรมไม่ใช่สิ่งที่ใครจะเข้าใจได้โดยการฟังเพียงครั้งเดียว และเผินๆ แต่เมื่อฟังแล้วทุกคำจะค่อยๆ เก็บไว้ แล้วก็ไตร่ตรอง และก็เพิ่มขึ้น และก็ทำให้ประมวลมาซึ่งความเข้าใจละเอียดยิ่งขึ้นด้วย

    อ.กุลวิไล พระธรรมลึกซึ้งโดยอรรถคือเนื้อความที่ส่องถึงตัวธรรมด้วย ซึ่งก็เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ยาก ซึ่งแม้แต่ที่ท่านอาจารย์ให้ความเข้าใจว่าไม่มีเรา มีแต่ธรรมเพราะว่าเจตนาที่ดีก็มี ไม่ดีก็มี แต่ไม่เป็นเราอย่างไร

    ท่านอาจารย์ เจตนาเกิดแล้วทำอะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร ดับไปหรือไม่ คือทั้งหมด ไม่ใช่ฟังคำหนึ่งแล้วเรามาคิดเอง คิดเองผิดแน่นอน ไม่ละเอียดพอ เพราะฉะนั้นฟังแล้วแม้แต่คำว่าขณะนี้ไม่มีใครเลยสักคนเดียว แล้วสิ่งที่มีขณะนี้เป็นอะไร ก็เป็นธรรม เพราะฉะนั้นไม่ใช่กล่าวลอยๆ ว่าไม่มีใคร ถ้าจะกล่าวว่าไม่มีใครแล้วเป็นอะไรใช่ไหม เพราะฉะนั้นไม่ใช่ให้เราไปนั่งคิด แต่ให้รู้ว่าแม้แต่ว่าเดี๋ยวนี้อะไรมีจริง คนที่ยังไม่เคยฟังธรรมเลยตอบไม่ได้ ไม่รู้จะตอบอย่างไร อะไรมีจริงๆ ใช่ไหม แต่เมื่อได้เริ่มฟังก็รู้ว่าสิ่งที่มีจริงเปลี่ยนไม่ได้ แล้วก็ค่อยๆ คิด แต่ถ้าไม่บอกก็คิดไม่ออก เห็นมีจริงไหม ใครจะคิดบ้าง เวลาถามไม่ได้คิดถึงเห็นเลย แต่ถ้าถามว่าเห็นมีจริงไหม กำลังเห็นจะบอกว่าอย่างไร กำลังเห็นแล้วก็ถามว่าเห็นมีจริงไหม แล้วจะตอบว่าอย่างไร มีแน่นอนใช่ไหม เห็นมีจริง นั่นคือธรรม

    เพราะฉะนั้นการที่จะเข้าใจธรรมก็หมายความว่า มีสิ่งที่มีจริงในโลกนี้ทั้งหมด แม้นอกโลกโลกอื่นๆ ทั้งจักรวาล แต่ผู้ที่จะทรงตรัสรู้ความจริง ตรัสรู้ทุกอย่างตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นขณะใดก็ตามที่เกิดเห็นต้องมีปัจจัยที่ทำให้เห็นเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นคำว่าธรรมก็คือสิ่งที่มีจริง ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร เกิดแล้วด้วยตามเหตุตามปัจจัย เปลี่ยนให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้ กำลังเห็นเปลี่ยนเห็นให้เป็นได้ยินไม่ได้ เปลี่ยนเห็นให้เป็นคิดไม่ได้ เพราะฉะนั้นความจริงของแต่ละหนึ่งก็คือว่า มีปัจจัยเกิดแล้วดับ แล้วจะเป็นใครหรือจะเป็นของใคร ถ้าบอกว่ามีเราหรือว่ามีตัวตน ก็ลองบอกไหนตรงไหน ที่เป็นเราหรือว่าเป็นตัวตน คิดเองอีกใช่ไหม

    เพราะฉะนั้นไม่ใช่พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง เพราะฉะนั้นการที่จะมีโอกาสได้ฟังพระธรรมเห็นประโยชน์จริงๆ ว่า จากการที่ไม่รู้อะไรเลยตั้งแต่เกิดจนตาย ตายไปก็ไม่รู้ เกิดมาอีกก็ไม่รู้อีก เพราะไม่เคยสะสมมาที่จะมีโอกาสได้ยินได้ฟังพระธรรม เพราะฉะนั้นเมื่อได้ยินได้ฟังแล้ว สิ่งที่ได้ยินลึกซึ้งเกินกว่าที่ใครจะคิดได้ แม้แต่เพียงสิ่งเดียวคือเห็น ธรรมดาสามัญทรงแสดงโดยละเอียดอย่างยิ่ง ที่จะให้มีความเข้าใจถูกต้องว่าไม่ใช่เราที่กำลังเห็นเหมือนเดิม แล้วก็ไม่มีการที่จะบังคับสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้เลย แต่ก็มีสิ่งที่เกิดโดยที่ว่าไม่ได้บังคับก็เกิด

    อ.กุลวิไล เพราะฉะนั้นพระธรรมลึกซึ้ง และเห็นได้ยาก เพราะว่าที่ว่าไม่มีเรามีแต่ธรรม ถ้าเขาไม่รู้จักธรรมตามความเป็นจริง ก็ยังเป็นเราอยู่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก่อนอื่น ไม่ใช่ว่าไปตอบปัญหาของใคร แล้วก็คิดว่านี่เป็นพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ว่าแทนการจะตอบ ก็ชวนเขาให้ฟังพระธรรม ให้ศึกษาให้เข้าใจ และเมื่อเข้าใจแล้วก็จะไม่มีปัญหา ทุกอย่างก็ทรงแสดงไว้โดยละเอียดยิ่ง ๔๕ พรรษา ทุกคำมีประโยชน์ ตั้งแต่คำแรกคือธรรม

    ผู้ฟัง เมื่อศึกษาเรื่องอรรถของจิต ก็มีการถามกันว่าขณะที่ปัญญาเกิดรู้ความจริง เช่น ที่รู้ว่ายกตัวอย่างว่าจิตได้ยินขณะนี้ ก็เกิดดับเร็วมาก แล้วเสียงซึ่งเป็นอารมณ์ของจิตได้ยิน หรือว่าตลอดวิถีจิตของจิตได้ยิน ก็เกิดดับเร็วมาก เหมือนกับไม่สามารถรู้ตัวปรมัตถ์ทีละหนึ่ง แต่ที่ปรากฏให้รู้ได้ก็เป็นนิมิต ไม่ว่าจะจิตได้ยิน หรือเสียงที่เกิดดับเร็วมาก ในตรงนี้ก็ยังไม่กระจ่างชัดว่าจริงๆ แล้วสิ่งที่ปรากฏสามารถรู้นิมิตของปรมัตถ์ หรือรู้ปรมัตถ์ทีละปรมัตถ์

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีชื่อเลยเข้าใจง่ายไหม แต่พอมีชื่อเริ่มงง นิมิตของอะไรกันแน่ใช่ไหม แต่ถ้าไม่มีชื่อเลยง่ายกว่าไหม เวลานี้เห็นอะไร

    ผู้ฟัง จริงๆ เห็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ แต่ยังเห็นเป็นอะไรเพราะว่ายังไม่รู้ตัวปรมัตถ์

    ท่านอาจารย์ แล้วจิตอะไรทำทัศนกิจ

    ผู้ฟัง จิตเห็น

    ท่านอาจารย์ ปัญจทวาราวัชชนจิต เห็นไหม

    ผู้ฟัง ไม่เห็น

    ท่านอาจารย์ ปัญจทวาราวัชชนจิต ซึ่งเป็นจิตที่รู้แจ้งอารมณ์ในฐานะของปัญจทวาราวัชชนะ ไม่ใช่จิตที่รู้แจ้งอารมณ์โดยฐานะของทัศนกิจ ถูกต้องไหม แล้วสัมปฏิจฉันนะทำทัศนกิจหรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นที่กำลังเห็น เห็นอะไร และจิตเห็นเป็นอะไร เป็นจิตเห็นแน่ แต่สามารถที่จะรู้ถึงขณะจิตที่เกิดขึ้นทำทัศนกิจไหม หนึ่งขณะ ถ้าไม่ใช่หนึ่งขณะก็เป็นนิมิตแล้ว

    ผู้ฟัง ซึ่งจริงๆ ไม่สามารถรู้หนึ่งขณะเนื่องจากเร็วมาก ก็เป็นนิมิต

    ท่านอาจารย์ ก็คิดดู จิตหนึ่งขณะใครรู้ ถ้าไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงตรัสรู้โดยละเอียดอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นเราไม่ต้องคิดถึงปัญญาของบุคคลอื่น ปัญญาของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ปัญญาของท่านพระสารีบุตร ปัญญาของท่านมหาโมคคัลลานะ ปัญญาของท่านพระกัสสปะ เหลือที่จะคิดถึงได้ เพราะเหตุว่าท่านเหล่านั้นรู้มากกว่าสาวกธรรมดา ซึ่งเป็นสาวกปกติธรรมดาที่รู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ เพราะฉะนั้นแล้วเราก็ไปนั่งคิดนั่งสงสัยโดยคำ แต่โดยที่ไม่รู้ลักษณะของธรรมในขณะนี้ว่าเป็นธรรม แล้วก็ประโยชน์คืออะไร คิดทั้งวันเรื่องนิมิต คิดทั้งวันเรื่องตทาลัมพนะเกิดหนึ่งขณะหรือสองขณะ คิดทั้งวันเรื่องนั้นเรื่องนี้ แต่ว่าไม่รู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เสียไปแล้วกี่วันกี่เดือน

    ผู้ฟัง ในเรื่องนี้ที่มาสนทนาเพราะเหมือนกับว่า ขณะนี้ปัญญาที่จะรู้ตรงลักษณะสภาพธรรมยังไม่เกิด แต่สิ่งที่เรากำลังอบรมก็คืออบรมว่าพระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ว่าความจริงเป็นอย่างไร แล้วเราก็ศึกษาเป็นปริยัติให้รู้ว่าความจริงที่เป็นนี้ เป็นอย่างไร แล้วก็เมื่อเข้าใจได้ว่าถ้าปัญญาตรงที่สามารถรู้ตรงลักษณะได้เกิด ก็รู้อย่างที่เราศึกษามาไม่ให้เข้าใจผิด

    ท่านอาจารย์ ใครรู้ ที่พูดมาทั้งหมดใครรู้

    ผู้ฟัง ปัญญา

    ท่านอาจารย์ ปัญญาของใครรู้

    ผู้ฟัง ถ้าระดับที่ยากมากๆ ก็ต้องเป็นของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ท่านอาจารย์ แล้วเราไปคิดถึงปัญญาของใคร แล้วไปคาดคะเนปัญญาของใคร ใครสามารถที่จะคาดคะเนปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้บ้าง แล้วเราก็มานั่งคิดจะรู้ได้ไหมหนึ่งขณะ หรือว่านิมิตเท่านั้นที่ปรากฏให้รู้ได้ แต่ว่าตามกำลังของปัญญาคือขณะนี้นิมิตทั้งนั้นใช่ไหม และนิมิตทั้งนั้นแปลว่าเราอยู่ในโลกของอะไร อยู่ในโลกของนิมิตโดยความไม่รู้เลย และก็หลงอยู่ในโลกของนิมิต ในเรื่องราวต่างๆ มากมายทั้งตาหูจมูกลิ้นกายใจ แล้วก็ยังไม่สามารถที่จะเข้าใจแม้แต่เพียงว่าขณะนี้ก็คือนิมิต แต่ต้องมีตัวปรมัตถธรรมแน่ๆ มีสภาพปรมัตถธรรมแน่นอน แต่รู้ในลักษณะของธรรมที่เป็นปรมัตถธรรมหรือยัง

    ผู้ฟัง แน่นอนในปัญญาที่น้อยๆ อย่างพวกเราไม่สามารถไปรู้ปัญญาของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือว่าท่านพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ แต่ในการศึกษาดูเหมือนว่าในเมื่อจะอบรมปัญญาเพื่อให้รู้ตรงความจริง ก็ต้องเข้าใจว่าสามารถรู้จริงที่หนึ่งหรือว่าเป็นนิมิต

    ท่านอาจารย์ ถ้าอย่างนั้นไม่มีโอกาสจะรู้เลย

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์หมายความว่าอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ก็ไปนั่งคิดถึงปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านจะรู้ขณะใด รู้เช่นนี้หรือไม่ นิมิตหรือไม่ ไม่ใช่นิมิตหรือเปล่า แล้วเราก็ไม่ได้อบรมเจริญปัญญาเลย แล้วเราจะสามารถเข้าใจได้อย่างไร แทนที่จะคิดถึงเช่นนั้นขณะนี้ไม่รู้อะไร เริ่มฟังเข้าใจขึ้นในความไม่ใช่ตัวตน แต่ถึงอย่างนั้นแต่ละบุคคลก็รู้ตามความเป็นจริงว่า ปัญญาตั้งแต่ฟังมา บางคนก็บอก ๕๐ ปี ๔๐ ปี ๓๐ ปี ๓ ปี ๒ เดือนพวกนี้ รู้ได้เพียงใด นี่ก็คือความน้อยนิดของการที่จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรม ซึ่งทรงแสดงไว้โดยกว้างขวางโดยละเอียดอย่างยิ่ง ๔๕ พรรษา แต่เราก็จะไปพยายามรู้สิ่งที่เรารู้ได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้ เราก็ต้องทราบว่าอะไรที่เรารู้ได้ กับอะไรที่เป็นปัญญา

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นรู้อะไรได้ขณะนี้

    ผู้ฟัง ก็รู้สิ่งที่ปรากฏทางตา รู้เสียง รู้ได้ยิน

    ท่านอาจารย์ รู้หรือยัง

    ผู้ฟัง ยัง

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเป็นสิ่งที่รู้ได้ไหม

    ผู้ฟัง รู้ได้ แต่ยังไม่รู้

    ท่านอาจารย์ แต่ก็ยังไม่รู้ เพราะฉะนั้นควรจะรู้ไหม

    ผู้ฟัง ควรรู้ ก็ด้วยการอบรมปัญญา

    ท่านอาจารย์ หรือว่าควรจะต้องไปคิดเช่นนั้นก่อน ให้ไปรู้ แล้วถึงจะมาอบรมเจริญ ปัญญา

    ผู้ฟัง ในการรู้เช่นนี้ เมื่อปัญญาไม่เกิดเราก็ต้องรู้ก่อนว่า ถ้าปัญญาเกิดรู้นิมิตของสิ่งที่ปรากฏ หรือว่ารู้เพียงหนึ่งปรมัตถ์นั้นเลย

    ท่านอาจารย์ ไม่มีทางเลยที่คุณอรวรรณจะรู้ได้ แต่สามารถที่จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมเดี๋ยวนี้ก่อนทีละเล็กทีละน้อย


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 194
    19 เม.ย. 2567

    ซีดีแนะนำ