พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 948


    ตอนที่ ๙๔๘

    ณ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๗


    อ.คำปั่น ชีวิตประจำวันคือธรรมคือสิ่งที่มีจริงๆ เวลาที่ศึกษาพระธรรม ได้กราบเรียนท่านอาจารย์ว่าจะเริ่มต้นตรงไหน ซึ่งท่านอาจารย์ก็ได้กล่าวว่าเริ่มต้นตรงไหนก็ได้ เช่นเมื่อวานก็สนทนาเรื่องธาตุ ก็ต้องฟังให้เข้าใจว่าธาตุคืออะไร ก็กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงที่ทรงไว้ซึ่งลักษณะของตนไม่เปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น สูญจากความเป็นตัวตนเป็นสัตว์เป็นบุคคล แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่ได้ทรงแสดงเฉพาะเรื่องธาตุอย่างเดียว แต่ทรงแสดงเรื่องของธรรม เรื่องของขันธ์ เรื่องของอายตนะ เรื่องของปรมัตถธรรม ในเมื่อได้ยินได้ฟังคำเหล่านี้แล้วที่จะเป็นประโยชน์เกื้อกูลตั้งแต่เบื้องต้นนั้นคืออย่างไร

    ท่านอาจารย์ ก็ให้ทราบว่าเป็นสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ซึ่งไม่เคยรู้มาก่อนเลย เพราะฉะนั้นการฟังสิ่งที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง คือได้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีจริงๆ ในขณะนี้ถูกต้อง แล้วก็ไม่ทิ้งความเข้าใจในแต่ละคำที่ต้องประกอบกัน เช่น คำว่าอนัตตา ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ธรรมก็บอกแล้ว ถ้าเข้าใจจริงๆ ก็คือเป็นธรรม เป็นอื่นไม่ได้ แต่ก็เอาอย่างอื่นมาผสมด้วยความคิดด้วยความเป็นตัวตน เติมนั่นเติมนี่จนกว่าจะรู้ว่าฟังพระธรรม ซึ่งใครไม่สามารถที่จะไปเปลี่ยนแปลงความหมาย และความจริงของคำนั้นๆ แต่ละคำได้เลยทั้งสิ้น

    เพราะฉะนั้นธรรมต้องเป็นธรรม ตราบใดที่ยังไม่เป็นธรรม ก็หมายความว่าความเข้าใจของเรายังไม่พอ เพียงแต่ได้ยินเบื้องต้นว่าธรรมเท่านั้นเอง แต่เดี๋ยวนี้ก็เป็นธรรม เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะต้องเข้าใจว่าเป็นธรรมตลอดชีวิตแน่นอน เพราะว่าทุกขณะมีสิ่งที่มีจริง แต่พอมาฟังธรรมก็ธรรมก็เป็นเรื่องสิ่งที่มีจริง แต่แล้วก็เป็นเราไปอีกจนกว่าทั้งหมดในชีวิต ไม่ว่าขณะใดก็ตาม ขณะนั้นก็ต้องไม่ลืมว่าเป็นธรรม แต่ก็ลืมเรื่อยๆ จึงต้องฟังเรื่อยๆ จนกว่าจะมีความเข้าใจขึ้น แล้วอีกอย่างหนึ่งที่ลืม ทำให้หวังผลมากเหลือเกิน แค่ศึกษาธรรมก็จะทำสติ จะเจริญสติ จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ

    นี่คือว่าไม่สนใจจริงๆ ที่จะมีความเข้าใจในสิ่งที่กำลังปรากฏ แต่ไปหวังอื่นไกลมาก ถึงกับการที่จะไม่มีเราที่กำลังรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามที่ได้ฟัง ซึ่งเป็นสิ่งซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย ให้รู้ว่าทุกคนลองคิดด้วยความจริงใจด้วยความตรง แต่ละจิตซึ่งยึดถือว่าเป็นเรามีกิเลสมากไหม ใครว่าน้อยบ้าง มากแล้วจะให้กิเลสนั้นหมดไปได้อย่างไรโดยรวดเร็ว เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย แต่ว่าจากการฟังแล้วเข้าใจ ความเข้าใจนั้นก็เป็นสภาพธรรมอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งต่างกับความไม่รู้หรือความไม่เข้าใจซึ่งสะสมมานานมาก

    เพราะฉะนั้นความเข้าใจที่เพิ่งมีเริ่มเกิด และกว่าจะเจริญต้องอาศัยทุกคำในพระไตรปิฎกเท่าที่สามารถจะเข้าใจได้ โดยที่ว่าไม่ลืมว่าธรรม แล้วก็ไม่ใช่เรา แล้วก็เป็นอนัตตา แล้วก็ต้องเป็นเช่นนี้ทั้งวันด้วย เท่าที่จะเป็นได้ ไม่ได้หมายความว่ามีการบังคับว่าให้เป็นเช่นนี้ไป พยายามให้เป็นเช่นนี้ แต่ให้รู้ตามความเป็นจริงว่าอนัตตาคือไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา แต่เริ่มสะสมความเห็นถูกจริงๆ ไม่มีอะไรมาปะปนเลยว่าไม่ใช่เราที่จะทำ แต่ว่าเมื่อมีการฟังแล้วเข้าใจขึ้น ความเข้าใจจากการฟังเล็กน้อยมากเหมือนเมล็ดพืช ซึ่งรอกาลเวลาต้องมีการที่รดน้ำพรวนดิน หรืออะไรก็แล้วแต่ที่จะทำให้พืชนั้นเจริญเติบโตขึ้น ซึ่งไม่ใช่อย่างอื่นเลย อาศัยแต่ละคำที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีแล้วทั้งหมด

    เพราะฉะนั้นชีวิตจริงๆ เป็นธรรม ซึ่งถ้ามีความเข้าใจถูกต้องคือไม่มีใครทำอะไร แต่ว่าสามารถจะเข้าใจสิ่งซึ่งมีทีละเล็กทีละน้อย และก็เก็บเล็กผสมน้อยจากแต่ละคำในพระไตรปิฎก ซึ่งมีประโยชน์มากหรือถึงแม้ไม่ใช่คำในพระไตรปิฎก แต่เป็นสิ่งที่สะกิดใจเตือนใจ ซึ่งก็ขอเล่าถึงการสนทนาธรรมกับชาวต่างประเทศเมื่อวานนี้ ก็มีท่านผู้หนึ่ง ท่านก็ดูหนังดูภาพยนตร์ ชีวิตประจำวันหรือเปล่า ไม่ได้ฝืนเลยทุกอย่างเกิดแล้วทั้งนั้นตามเหตุตามปัจจัย แล้วท่านก็เล่าเรื่องในภาพยนตร์นั้นย่อๆ ว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งไปตามหาลูกด้วยความลำบาก แล้วก็ได้รับคำพูดร้ายๆ จากคนอื่นในเรื่องต่างๆ แล้วเพื่อนเขาก็บอกว่าทำไมไม่ตอบเขา ทำไมไม่ว่าเขา เขาตอบว่าอย่างไรลองทาย เกินที่จะเดา เขาตอบว่า ฉันไม่อยากเป็นเช่นเขา แค่คำนี้ เก็บเล็กผสมน้อยมาจากไหน เพราะว่าแม้แต่คนที่ฟังธรรมคิดเช่นนี้บ้างหรือเปล่า กำลังถูกกล่าวร้ายต่างๆ สารพัดอย่าง แต่เขาก็ขันติถ้าเราจะใช้คำภาษาบาลี ความอดทน แต่ในใจของแต่ละคนยากที่จะรู้ได้ว่าสะสมอะไรมา พร้อมที่จะคิด พร้อมที่จะเข้าใจ พร้อมที่จะเป็นเช่นนั้นในขณะนั้น โดยที่คนที่อาจจะศึกษาธรรมมามาก แต่ไม่เคยคิดเช่นนี้เลยก็ได้ ต่างคนต่างเป็นหนึ่ง ไม่มีการที่จะซ้ำกันได้เลย แต่ลองคิด จะตอบเช่นนี้ไหม ฉันไม่อยากเป็นเช่นเขา ที่กำลังโกรธ กำลังต้องการที่จะตอบแทนทุกสิ่งทุกอย่าง

    เพราะฉะนั้นชีวิตจริงๆ ทั้งหมด แม้แต่การได้ฟังธรรมก็เป็นชีวิตจริง แต่ว่าชีวิตจริงของการฟังธรรม เทียบกับเวลาที่ไม่ได้ฟังธรรมก็น้อยมาก แต่ยังดีที่มีโอกาสได้ฟัง แล้วก็ได้สะสมด้วยการละตั้งแต่ต้น คือไม่ใช่หวังว่าเราจะมาละกิเลสได้ทั้งหมด เราจะหมดความเห็นผิดว่า ขณะนี้เห็นเกิดขึ้นแล้วดับไปไม่ใช่เรา ประจักษ์แจ้งความจริงจนกระทั่งสามารถเข้าถึงแต่ละคำที่ได้ฟังมา ด้วยตนเองโดยการประจักษ์แจ้งโดยปัญญาที่ได้อบรมแล้ว เพราะฉะนั้นทุกอย่างเป็นเหตุเป็นผล ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไปตามควร แต่ให้รู้ว่าที่สำคัญที่สุดคือจิต ซึ่งแต่ละคนหมักหมมธุลีโรคร้ายต่างๆ เน่าเหม็นสารพัดอย่าง เวลานอนหลับไม่ปรากฏเลย ตื่นขึ้นมายังไม่ร้ายก็เหมือนไม่มีโรค แต่ความจริงมี พร้อมที่จะไหลไปไม่ว่าจะกระทบกับอะไร ทางตากำลังเห็นไม่รู้สึกเลย ขณะนี้มีความไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมเป็นปกติ

    เพราะฉะนั้นกว่าจะได้ฟังพระธรรมด้วยความละเอียดจริงๆ เพื่อเข้าใจเพื่อละ เพราะเหตุว่าปัญญาก็ไม่ใช่เรา ใครจะไปทำกิจของปัญญาก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นเมื่อมีปัญญา แล้วปัญญาก็ทำหน้าที่ของปัญญา คือมีความเห็นถูกมีความเข้าใจถูก แล้วก็เจริญขึ้นจนกระทั่งสามารถที่จะกระทำกิจของปัญญาในชีวิตประจำวัน ธรรมทั้งหมดเกื้อกูล ทุกคนได้ยินคำว่ามงคล ถามคุณคำปั่นว่า คืออะไร มาจากภาษาใด

    อ.คำปั่น จากคำบาลีก็คือ มังคะละ ก็หมายถึงว่าเหตุที่จะนำไปสู่ความเจริญทั้งหลายทั้งปวง

    ท่านอาจารย์ มงคลมีเท่าใด

    อ.คำปั่น ทั้งหมด ๓๘ ประการ

    ท่านอาจารย์ มงคล สิ่งที่นำความเจริญในทางกุศลในทางที่ดีงามมาให้ แล้วเราก็ได้ยินคำนี้บ่อยๆ แล้วก็จำจำนวนไว้ทุกคน พอเอ่ยก็มงคล ๓๘ แต่ว่าแต่ละหนึ่งพระธรรมที่ทรงแสดงไว้ แต่ละคำจะมีประโยชน์มากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับความเข้าใจของแต่ละคน เพราะฉะนั้นธรรมไม่ใช่สำหรับอ่านแล้วก็จบ แล้วก็ไม่ได้รู้เรื่อง แต่ว่าแต่ละคำมีความหมายที่ลึกซึ้งจริงๆ เพราะฉะนั้นแทนที่จะกล่าวถึงทั้ง ๓๘ แม้แต่ประการที่ ๑ ไม่คบคนพาล เป็นธรรมหรือเปล่า คนพาลเห็นถูกหรือเปล่า คนพาลเห็นผิดไหม เข้าใจผิดไหม ถ้าคบกับความเห็นผิดความเข้าใจผิดไปเรื่อยๆ มีโอกาสที่จะเข้าใจถูกเห็นถูกได้ไหม ก็ไม่ได้ใช่ไหม แล้วพาลจริงๆ ก็คืออกุศลธรรมทั้งหมด

    เพราะฉะนั้นผู้ที่เป็นบัณฑิตที่แท้จริงคือผู้ที่ไม่มีกิเลสอกุศลเลย ได้แก่ พระอรหันต์ ส่วนสำหรับปุถุชน พาลปุถุชน เราใช้คำนี้ ปุถุชนที่หนาแน่นด้วยอกุศล ไม่ได้ฟังธรรมเลย แล้วก็ยังคบพาลต่อไปอีก เพราะฉะนั้นจะเป็นอย่างไร ก็เห็นโทษเลยใช่ไหม แม้แต่คำเตือนของมงคลว่าเริ่มจากไหน ต้องมีการเริ่มถึงจะเจริญขึ้น คือไม่คบพาล เพราะฉะนั้นตราบใดที่ยังไม่ได้เป็นพระอริยบุคคล ก็เป็นพาล เพราะฉะนั้นพวกพระอริยบุคคลเป็นใคร ท่านกล่าวว่าไม่ใช่ทั้งพาล และไม่ใช่ทั้งบัณฑิต เพราะเหตุว่าแล้วแต่กุศล และอกุศลที่เกิดในขณะนั้นยังมีอยู่ ก็ยังไม่ใช่ทั้งพาลจริงๆ เพราะว่ายังมีกุศลที่สามารถจะเข้าใจธรรม แต่ก็ยังไม่ถึงความเป็นบัณฑิตผู้ที่หมดจดจากกิเลส แต่ละคำปัญญาทั้งหมด ทุกคำเพื่อปัญญา ไม่ใช่เพียงแต่เห็นโทษ เขาไม่ดีเช่นนั้น เราไปคบกับเขา เราก็พลอยเสื่อมเสียไปด้วย แต่โทษที่มากกว่านั้นมี เพราะว่าตราบใดที่เป็นพาล ขณะนั้นก็ไม่ใช่เป็นผู้ที่สามารถที่จะเกื้อกูลให้มีความเข้าใจธรรมได้ ข้อสำคัญคือไม่รู้ว่าเขาเป็นพาล คิดว่าเขาเป็นบัณฑิต แต่ก็หลงคบ

    เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีพระธรรม ไม่มีใครสามารถที่จะพ้นจากอกุศลได้ ด้วยเหตุนี้พระธรรมทั้งหมดแต่ละคำ แสดงให้เห็นว่าเป็นเบื้องต้นของการที่จะได้เข้าถึงความจริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏโดยไม่เว้น เพราะเหตุว่าบางคนอาจจะประมาท ฟังพระธรรมแล้ว แต่ว่าชีวิตจริงๆ เป็นอย่างไร มงคล ๓๘ ไม่รู้เลยว่าข้อไหนจะเกื้อกูลบ้าง แต่ว่าตามความเป็นจริง ส่องไปถึงอกุศลที่มีอยู่ในใจทั้งหมด ถ้าเราจะศึกษาจริงๆ แล้วก็ได้ประโยชน์จริงๆ เพราะฉะนั้นก็คือว่า ไม่ประมาทในพระธรรมแม้แต่คำเดียว ที่จะเข้าใจให้ถูกต้องเพราะว่าเป็นประโยชน์ทั้งสิ้น

    อ.คำปั่น ก็เห็นถึงพระมหากรุณาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงแสดงพระธรรมโดยละเอียดโดยประการทั้งปวง ก็เพื่ออุปการะเกื้อกูลแก่ผู้ฟังผู้ศึกษาอย่างแท้จริง ขออนุญาตต่อเนื่องในเรื่องของการขัดเกลากิเลส เพราะว่าเมื่อวานก็ได้ฟังที่ท่านอาจารย์ได้สนทนา แล้วก็สืบเนื่องมาถึงวันนี้ ก็กล่าวถึงว่าถ้าพูดถึงสิ่งสกปรกในภายนอก ก็สามารถที่จะชำระล้างขัดให้สะอาดได้ แต่ลืมไปหรือเปล่าว่าสิ่งที่สกปรกยิ่งกว่านั้นคืออะไร

    ท่านอาจารย์ แล้วอยู่ไหน ล้างยาก ไม่มีทางที่จะเอาอะไรไปชำระสิ่งที่อยู่ในจิต เพราะว่าจิตก็อยู่ภายในที่สุด สิ่งที่ปรากฏก็เป็นภายนอก แม้แต่โลภะ โทสะ โมหะ ถ้าเทียบกับจิตก็ยังเป็นภายนอก เพราะเหตุว่ามาสู่จิตในกาลบางคราว เพราะฉะนั้นสภาพที่ภายในที่สุดก็คือจิตซึ่งยากที่จะรู้ได้ แต่ก็มีอยู่ไม่เคยขาดเลย เพราะฉะนั้นพระธรรมเท่านั้นที่จะทำให้เรารู้ว่าที่สำคัญที่สุดไม่พ้นจิต จะสุขจะทุกข์อยู่ที่ใด มีเงินทองมากมาย มีทรัพย์สมบัติ หรือว่าจะมีคำสรรเสริญชื่นชมอะไรก็แล้วแต่ทั้งหมด แต่จิตเป็นทุกข์ได้ไหม ก็ได้ ตราบใดที่ยังมีกิเลส จะไม่รู้เลยว่าที่ทุกข์เพราะกิเลส แต่พอได้เริ่มเข้าใจ แล้วก็ค่อยๆ มีกิเลสที่เบาบางลง จะค่อยๆ พ้นจากความทุกข์จริงๆ แต่ก็ต้องเป็นปัญญาเท่านั้นที่สามารถที่จะชำระจิตได้

    ด้วยเหตุนี้แม้แต่ไม่ทำชั่ว ละชั่ว ทำความดี ก็ยังไม่พอ ต้องชำระจิตให้บริสุทธิ์ด้วยปัญญา ซึ่งไม่เลือกด้วย เช่น เมื่อสักครู่ที่กล่าวถึงภาพยนตร์ที่ผู้นั้นเล่าให้ฟัง ก็เห็นได้ว่าเพียงเท่านั้น เป็นประโยชน์ไหม เป็นประโยชน์ไหม แต่พระธรรมยังมีประโยชน์มากมายกว่านั้นมาก เพราะว่าทำให้เข้าใจความจริงด้วย คำพูดนั้นเพียงแต่เตือนให้คิด แต่ว่าพระธรรมแสดงความจริงของสิ่งที่มีโดยประการทั้งปวง จนกว่าจะรู้จริงๆ ว่า การที่เกิดมามีชีวิตอยู่จนถึงเดี๋ยวนี้ แล้วก็มีสิ่งที่ปรากฏ แท้ที่จริงเพื่อความไม่รู้ และความติดข้อง จนกว่าจะรู้ความจริง กว่าจะคลายเพราะเหตุว่าจากไม่มี แล้วเกิดมี แล้วก็ดับไป แล้วไม่กลับมาอีก

    เพราะฉะนั้นตลอดชีวิตทุกชาติติดข้องในสิ่งที่ไม่มี เพราะเหตุว่ามีเพียงชั่วคราว แล้วก็ไม่มีอีก เพราะฉะนั้นพระธรรมก็เป็นสิ่งซึ่งกว่าจะถึงความจริงนั้นได้ ไม่ใช่เรามานั่งคิดถึงข้อความว่า พระสูตรนี้ คำนี้กล่าวว่าเช่นนี้ หรือพระอภิธรรมทำไมเป็นเช่นนี้ ตทาลัมพนะมี๑ ขณะหรือ ๒ ขณะ แล้วประโยชน์อะไรกับการที่เราก็ยังไม่รู้เลย ทั้งๆ ที่ได้ฟังว่า เดี๋ยวนี้ไม่ใช่เรา แต่ละอย่างที่มีจริงๆ เกิดจริงๆ แต่ก็ดับจริงๆ แล้วก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครด้วย เพราะฉะนั้นไม่ลืม ศึกษาธรรมเพื่อละ แต่ต้องด้วยความเข้าใจ ถ้าไม่มีความเข้าใจก็ละไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นเราละไม่ได้ จึงต้องมีการฟังให้เข้าใจจริงๆ แล้วปัญญาคือความเห็นถูกความเข้าใจถูกก็ทำกิจของปัญญา ซึ่งอย่างอื่นจะทำกิจของปัญญาไม่ได้

    อ.คำปั่น เป็นประโยชน์เกื้อกูลอย่างยิ่งเลย ชีวิตประจำวันเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะฉะนั้นก็เป็นสิ่งที่น่าพิจารณาว่า ผลจากการที่มีโอกาสได้ยินได้ฟังพระธรรม ไม่ใช่ไปหวังรอว่าเมื่อใดสติปัฏฐานจะเกิด แต่ว่าใจที่สะสมด้วยอกุศลมามาก ได้เริ่มถูกชำระขัดเกลาบ้างหรือยัง

    ท่านอาจารย์ ขอยกตัวอย่างง่ายๆ เห็นกระดาษตก เก็บไหม เอาไปทิ้งหรือไม่ หรือผ่านไปเลย พฤติกรรมของแต่ละคนมาจากใจ แค่นี้เหมือนไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่ข้อนี้การงานอันไม่อากูล แสดงให้เห็นถึงว่ายังมีกิเลสใช่ไหม คิดว่าไม่ใช่หน้าที่ของเราใช่ไหม คิดว่าเป็นเรื่องเล็กๆ ใช่ไหม แต่ว่าจิตในขณะนั้นเต็มไปด้วยเรา ความเป็นเรา ความเป็นเขา หน้าที่เขาไม่ใช่หน้าที่เรา มาแล้วใช่ไหม แล้วอย่างไรจิตอะไรที่ทำให้คิดเช่นนี้ ไม่ได้สำนึกหรือเข้าใจเลยว่าแท้ที่จริงจิตปกติเป็นอกุศล ใช้คำว่าชั่วได้ แล้วก็เพียงเล็กๆ น้อยๆ ที่จะทำสิ่งซึ่งขณะนั้นเพราะอะไรจึงทำ เห็นไหม ถ้าไม่มีปัญญาเห็นว่าจิตเราเต็มไปด้วยอกุศล เต็มไปด้วยความเป็นเรา คอยให้คนอื่นเขาทำเพื่อตัวเองก็ไม่ต้องทำ หรืออาจจะไปคิดว่าเดี๋ยวเขาก็เลยเคยตัว หลายคนคิดเช่นนี้ ก็แปลกมากเลย คือว่าเรื่องของใครก็เรื่องของคนนั้น เราจะไปทำอะไรให้เขาไม่เคยตัวได้ เพราะเหตุว่าไม่ใช่เฉพาะเรื่องนี้เรื่องเดียว เรื่องอื่นก็มี แต่ที่สำคัญที่สุดคือจิตของแต่ละคน

    เพราะฉะนั้นเพียงเท่านี้ ถ้าผ่านเลยไปคนไม่มีปัญญาก็เห็นว่าเล็กน้อย แต่คนมีปัญญาเห็นว่ามีกิเลสมาก แม้ในขณะนั้นก็เป็นกิเลสที่ไม่รู้สึกตัวว่าเกิดแล้ว

    อ.คำปั่น พระธรรมก็เตือนทุกแง่มุมของชีวิตจริงๆ เพื่ออุปการะเกื้อกูล แม้อกุศลเพียงเล็กน้อยก็ไม่ควรเกิดขึ้นจริงๆ

    ท่านอาจารย์ มิฉะนั้นดับอกุศลไม่ได้ ไม่มีทางเลยที่จะละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เพราะต้องละเอียดจนถึงทุกอย่างในชีวิต ต้องไม่มีความสงสัยในความเป็นธรรมในขณะนั้นตามความเป็นจริง ซึ่งไม่ใช่เรา มิฉะนั้นจะไม่มีคำว่าพร้อมเพรียงกัน เช่น พระภิกษุที่ท่านอยู่ในป่า รูปนี้ทำกิจนี้ รูปนั้นทำกิจที่ภิกษุรูปนั้นยังไม่ได้ทำ ไม่มีการเกี่ยงเลยว่าหน้าที่ของคนนี้ไม่ใช่หน้าที่ของท่าน แต่อะไรก็ตามที่อยู่เฉพาะหน้า ขณะนั้นความละเอียดของความเข้าใจสภาพจิต ก็ทำให้สามารถที่จะไม่ต้องไปคิดถึงคนอื่น แต่ว่าขณะนั้นจิตที่ทำ และไม่ทำเป็นจิตประเภทใด เพราะฉะนั้นบางคนอาจจะคิดถึงการงานไม่อากูล อย่าไปทำงานให้คั่งค้าง ทำให้จบๆ ในวันนี้ คิดถึงแต่งานใหญ่ที่เป็นหน้าที่ที่จะทำให้เสร็จ แล้วเล็กๆ น้อยๆ ขณะนั้นเป็นจิตอะไร เพราะฉะนั้นการงานไม่อากูลต้องไม่อากูลอย่างละเอียดด้วย

    อ.คำปั่น ก็เป็นสิ่งที่น่าพิจารณา แม้ในมงคลข้อนี้ก็แสดงถึงความละเอียดไว้ว่า การกระทำในสิ่งที่ไม่เหมาะควร ไม่เหมาะสม นี่คือการงานที่อากูล แต่ถ้าได้กระทำในสิ่งที่เหมาะสม ทำรู้จักกาลรู้จักประโยชน์จริงๆ ก็เป็นการงานที่ไม่อากูล

    ท่านอาจารย์ แล้วชีวิตประจำวันสำคัญที่สุด แสดงให้เห็นว่าความเข้าใจธรรมเพียงใด

    อ.วิชัย สัปดาห์ก่อนท่านอาจารย์กล่าวถึงอารมณ์ของบิดา ซึ่งในพระไตรปิฎกกล่าวถึงสติปัฏฐาน ๔ ถ้ากล่าวถึงอารมณ์ โดยความรู้ตามที่ศึกษา และเป็นความจริงก็คือเป็นสิ่งที่จิตรู้ ฉะนั้นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงรู้แล้วก็มีอารมณ์แน่ เพราะเหตุว่ามีจิต และเจตสิก ฉะนั้นที่มุ่งหมายอารมณ์ของบิดา นี่คืออารมณ์นั้นเป็นอย่างไร และอะไรที่รู้อารมณ์นั้น

    ท่านอาจารย์ เวลานี้คุณวิชัยเห็นอะไร เดี๋ยวนี้เลย ธรรมดาเช่นนี้ ไม่ผิดปกติ

    อ.วิชัย เห็นดอกไม้บ้าง

    ท่านอาจารย์ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นอะไร เห็นสิ่งที่กำลังปรากฎ และอารมณ์ใดๆ ทั้งหมดโดยประการทั้งปวงตามความเป็นจริง นั่นคืออารมณ์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีอะไรกั้น ไม่มีอะไรขวาง ไม่มีอวิชชา ไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น แต่เห็นสภาพธรรมแต่ละหนึ่งด้วยตามความเป็นจริง สิ่งที่ปรากฏทางตาไม่ใช่คิด ไม่ใช่รู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร เพราะฉะนั้นสิ่งที่ปรากฏทางตาจริงๆ ก็คือปรากฏทางอื่นไม่ได้ และก็เพียงแค่หลับตา ความคิดถึงสิ่งที่ปรากฏทางตาว่าเป็นคนเป็นสัตว์อยู่ที่ใดเพียงแค่หลับตา เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีอารมณ์ที่คนอื่นไม่มี เพราะเหตุว่าคนอื่นเห็นดอกไม้ แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเห็นตามความเป็นจริงว่า เห็นสิ่งที่ปรากฏในขณะนั้น และหลังจากนั้นไม่ว่าอะไรจะปรากฏ สภาพธรรมทุกอย่างพระองค์ทรงรู้แจ้งตามความเป็นจริง

    อ.วิชัย หมายความว่า จิตก็เกิดโดยปกติ แต่ว่าด้วยความไม่รู้ในสิ่งที่ปรากฏตามปกติเช่นนี้ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่เคยฟังธรรมเลย เห็นดอกไม้ เป็นปกติเลย ฟังแล้วก็ยังเห็นดอกไม้ แต่เริ่มมีความเข้าใจถูกว่าแท้ที่จริงแล้วที่เคยเข้าใจว่าเป็นดอกไม้ เพราะมีการเห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ แล้วก็เพราะมีสัญญาความจำในรูปร่างสัณฐาน จึงเป็นดอกไม้บ้าง เป็นใบไม้บ้าง ซึ่งขณะนี้ดอกไม้ก็ไม่ใช่ใบไม้ใช่ไหม เพราะสิ่งที่ปรากฏทางตาหลากหลายมาก ทำให้สภาพที่จำ จำไว้หมด จนกระทั่งทันทีที่เห็นก็รู้เลย เพราะฉะนั้นกว่าทันทีที่เห็นก็เข้าใจเลยว่าเป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ จากอัตตสัญญาเริ่มที่จะเป็นอนัตตสัญญา แต่ว่าถ้าปัญญายังไม่เกิดที่จะประจักษ์แจ้ง ขณะนั้นก็เป็นเพียงขั้นคิดว่าไม่ใช่ดอกไม้

    อ.วิชัย คิดด้วยความเข้าใจถูกจากการได้ยินได้ฟัง

    ท่านอาจารย์ ทีละเล็กทีละน้อย เพราะฉะนั้นอารมณ์ของบิดาต่างแล้วใช่ไหม เห็นเหมือนกันแต่ความเข้าใจสิ่งที่ปรากฏต่างกัน

    อ.วิชัย แสดงว่าความรวดเร็วของปัญญาที่จะรู้ความเป็นไปของจิต

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นถ้าไม่ได้ฟังธรรมเลย อยู่ในโลกของนิมิต และอนุพยัญชนะตลอดวัน ถ้าไม่มีการฟังธรรมเลย เราก็เห็นเป็นดอกไม้ เป็นคนไปตลอดชีวิต แต่ถ้ามีการฟัง และมีการเริ่มเข้าใจ ชัดเจนมากแค่หลับตาเปลี่ยนสภาพธรรมไม่ได้ ไม่มีอะไรเหลือเลย คนก็ไม่มีสักคน แต่พอลืมตา ก็เพราะจำไว้มั่นคงมานานแสนนานในรูปร่างสัณฐานของสิ่งที่ปรากฏ ซึ่งเป็นการเกิดดับสืบต่อของสิ่งที่ปรากฏทางตาโดยที่ไม่ปรากฏการเกิดดับเลย ก็ทำให้ติดข้องในสภาพที่เหมือนเที่ยง ไม่ดับไปเลย ดอกไม้ก็อยู่เช่นนี้ โต๊ะก็อยู่เช่นนี้ คนก็อยู่เช่นนี้ แต่ว่าถ้ามีความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อยเพิ่มขึ้น ลองคิดดู ทีละเล็กทีละน้อยเพิ่มขึ้น ไม่ใช่ไม่ได้ฟัง ฟัง ฟังแล้วไม่ใช่ไม่เข้าใจ ก็เข้าใจ แต่ว่าไม่สามารถที่จะไปละความเห็นซึ่งสะสมมานานมากว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มั่นคง ไม่ได้แตกสลาย หรือว่าไม่ได้ดับไปเลย จนกว่าสภาพธรรมนั้นจะปรากฏความจริงเมื่อมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นกว่าการที่เราได้เข้าใจแล้วไม่เผิน วันนี้เข้าใจเพียงแค่เป็นสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นได้ อีกหลายๆ วันก็เข้าใจเพิ่มขึ้น ชินหู แต่ยังไม่ชินกับลักษณะที่เป็นเช่นนั้น


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 194
    23 เม.ย. 2567

    ซีดีแนะนำ