พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 905


    ตอนที่ ๙๐๕

    ณ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๙ มีนาคม ๒๕๕๗


    อ.วิชัย ปัญญาเป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่เป็นความเห็นถูกเข้าใจถูก รู้ตามความเป็นจริง เรื่องของปัญญาก็จะมีคำซึ่งก็เป็นคำที่เคยได้ยินได้ฟังบ่อย เช่น การอบรมเจริญปัญญาหรือเจริญวิปัสสนา ซึ่งจากคราวที่แล้วเป็นพื้นฐานที่เป็นการเริ่มเข้าใจเรื่องของปัญญา แต่ว่าการที่จะอบรมหรือเจริญปัญญาให้มีความรู้ถูกยิ่งขึ้นคืออย่างไร

    ท่านอาจารย์ ยิ่งขึ้นนี่คงไม่มากทันทีทีเดียว แต่หมายความว่าให้รู้ความจริงว่า ความจริงก่อนที่จะได้ฟังพระธรรม เรารู้อะไรที่เกี่ยวกับสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ แม้แต่เพียงคำว่าสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏก็ไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้เมื่อมีการได้ยินได้ฟังพระธรรมแล้ว ก็เป็นผู้ที่ไม่ประมาทที่จะเข้าใจว่าเราไม่รู้เราจึงฟัง เพราะฉะนั้นการที่จะให้รู้เข้าใจยิ่งขึ้นก็มีทางเดียวคือคิดเองก็ไม่ได้ แต่ว่ามีผู้ที่ได้ตรัสรู้ และทรงแสดงความจริงของพระธรรมไว้แล้ว เพราะฉะนั้นหนทางเดียวก็คือว่าฟังคำซึ่งเป็นวาจาจริงของผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้แล้วเท่านั้น ก็รู้ตามความเป็นจริงว่าความรู้ของเรากับความรู้ของผู้ที่ได้ทรงแสดงพระธรรมต่างกันมากมาย เพราะฉะนั้นคำนั้นๆ เราสามารถจะเข้าใจโดยเร็วทันทีทั้งหมดหรือเปล่า นี่ก็เป็นสิ่งที่จะต้องรู้ตามความเป็นจริงว่าความไม่รู้มีมาก เพื่อมีความเคารพในคำที่เราได้ยินว่า เป็นคำจริงที่ทำให้เราเกิดความเห็นที่ถูกต้องในสิ่งซึ่งมีแต่ไม่เคยเข้าใจมาก่อนเลย

    เพราะฉะนั้นตลอดชีวิตที่ยังไม่ได้ฟังพระธรรม ก็มีสิ่งที่มีจริง แต่ไม่รู้เลยว่าความจริงของแต่ละอย่างคืออย่างไร มีความเป็นเราที่เกิดมาโดยไม่รู้เลยว่า เราอยู่ที่ไหน แต่สิ่งที่มีทั้งหมดเป็นเรา หรือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดมานานแสนนาน เป็นเราเห็น เป็นเราคิด เป็นเราชอบ เป็นเราโกรธ ชอบอะไร ชอบดอกไม้ ชอบอาหาร ชอบสารพัดอย่างที่ปรากฏ ทางตาบ้าง ทางหูบ้าง ทางจมูกบ้าง ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ชีวิตเป็นมาอย่างนี้โดยไม่รู้ความจริง ไม่รู้จักพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจนกระทั่งได้ยินได้ฟัง ได้เริ่มรู้ว่าพระผู้มีพระภาคทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นก็ยังไม่ต้องไปเจริญมากๆ หรือรู้มากๆ แต่ว่าคำหนึ่งคำใดที่ได้ฟังขอให้ไตร่ตรองแล้วก็เข้าใจความจริง จนกระทั่งความเข้าใจนั้นมั่นคง เช่น ขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏ แต่ถ้าไม่มีเราใช้คำว่าจิตที่กำลังรู้คือเห็น หรือว่ารู้คือได้ยิน หรือว่ารู้คือคิดก็แล้วแต่ จะไม่มีสิ่งใดๆ ปรากฏเลยทั้งสิ้น แล้วเรารู้จักจิตหรือยัง

    แม้แต่เพียงได้ยินคำว่าจิตรู้ว่ามี แต่ไม่รู้ว่าอยู่ไหน แล้วเดี๋ยวนี้จิตทำอะไร แต่ว่าจากการที่ได้ทรงแสดงพระธรรมโดยละเอียด ก็เริ่มทำให้เข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้นยังไม่ใช่ว่าเจริญมากมาย หรือว่าไปสามารถที่จะแทงตลอดได้ แต่ต้องเป็นผู้ที่ตรงว่าฟังมากี่ปีแล้ว หรือว่าฟังมากี่ชาติแล้ว และจิตเดี๋ยวนี้ก็มี แต่ก็ลืม ลืมจึงไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่าไม่ใช่เราที่กำลังเห็น ไม่ใช่เราที่กำลังได้ยิน ไม่ใช่เราที่กำลังคิดนึก แต่เป็นธาตุซึ่งมีจริงซึ่งไม่มีรูปร่างใดๆ ที่จะปรากฏให้เห็น ให้ได้ยินได้เลย แต่ว่าสิ่งนั้นเกิดแล้วต้องรู้ นี่คือค่อยๆ เจริญหรือยัง

    อ.วิชัย ค่อยๆ เจริญ

    ท่านอาจารย์ ยังไม่ประจักษ์แจ้งใช่ไหม

    อ.วิชัย ยังไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ แล้วก็จะถึงการประจักษ์แจ้งเมื่อใด ตามความเป็นจริงที่ได้ฟัง

    อ.วิชัย ตามควรแก่การที่อบรมแล้ว

    ท่านอาจารย์ แต่ฟังครั้งใดเข้าใจขึ้นครั้งนั้น เพราะฉะนั้นขณะนี้ได้ฟังเรื่องสภาพรู้ซึ่งไม่ใช่เรา ขณะนี้ที่เห็นเป็นธาตุรู้ซึ่งเกิดขึ้นเห็น ถ้าไม่ได้ฟังไม่ได้ยิน ก่อนนี้คิดอย่างนี้ หรือเปล่า อยู่ข้างนอกสนทนากันเรื่องอื่น ลืมเรื่องจิตลืมทุกอย่างหมด เพราะว่าไม่คุ้นเคยต่อการที่จะมีความจำที่มั่นคงจากการที่ได้ฟังว่า ธรรมแม้เพียงคำเดียวเป็นสิ่งที่มีจริงสามารถที่จะดับกิเลสถึงความเป็นพระอรหันต์ได้ เมื่อเข้าใจจริงๆ เพราะฉะนั้นที่เข้าใจเดี๋ยวนี้ก็เพียงแต่ได้ยินได้ฟังจากการที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังเลย และก็เป็นเรื่องใหม่ซึ่งไม่เคยคิด ฟังแล้วกว่าจะคิดกว่าจะเข้าใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริงๆ พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ และทรงแสดงความจริงให้รู้ตาม เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้เรารู้ทั่วหมดทุกอย่างที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงหรือเปล่า

    อ.วิชัย ยัง

    ท่านอาจารย์ ยัง ก็เพียงนิดๆ หน่อยๆ ไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นนี่ก็เป็นหนทางที่จะทำให้เข้าใจขึ้น ที่ใช้คำว่าเจริญต้องรู้ว่าเจริญไปไหน เจริญอย่างไร เจริญคือมีความเข้าใจขึ้นในสิ่งที่มีตรงตามปกติตามธรรมดา

    อ.วิชัย ความไม่รู้คืออวิชชาซึ่งมีมาก จากการฟังท่านอาจารย์กล่าวว่าขณะนี้เห็นมีไหม ก็รู้เห็นขณะนี้มี ที่ว่าอวิชชาคือความไม่รู้ ซึ่งตอนนี้ก็รู้ว่าเห็นมี ขณะนี้จะเป็นวิชชาหรืออวิชชาอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ตอนนี้ฟังได้ยินคำว่าเห็น กำลังเห็น อย่าลืมกำลังเห็น และก็ฟังรู้ว่าเห็นมีจริงๆ รู้แค่นี้ใช่ไหม

    อ.วิชัย ตอนนี้ก็แค่นี้

    ท่านอาจารย์ ตอนนี้ก็แค่นี้ แต่สามารถที่จะแทงตลอดทุกคำที่เป็นวาจาสัจจะที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้แล้วว่า เห็นขณะนี้เกิด เห็นแล้วดับ

    อ.วิชัย ตอนนี้ไม่ได้รู้เช่นนี้

    ท่านอาจารย์ แต่เริ่มฟังจนกว่าจะมีความเข้าใจที่มั่นคงขึ้น มีอะไรบ้าง เดี๋ยวนี้ที่เกิดแล้วไม่ดับ ถ้าไม่รู้ เหมือนไม่มีอะไรดับไปเลยสักอย่าง แต่ผู้ที่ทรงตรัสรู้รู้ว่าสิ่งที่ปรากฏชั่วคราวสั้นมาก และเป็นสภาพธรรมที่ตรง คือเห็นเป็นเห็น เกิดขึ้นเห็นแล้วดับไม่ใช่ใคร ได้ยินขณะนี้เป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นได้ยินแล้วก็ดับ ไม่ใช่ใคร นี่คือกว่าจะมีความเข้าใจที่มั่นคงขึ้นในแต่ละหนึ่งของสิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวัน ไม่ต้องทำอะไรเลยทั้งสิ้น เข้าใจขึ้น เจริญความรู้ความเห็นถูก ไม่ใช่ไปเจริญอย่างอื่น

    อ.วิชัย หมายความว่า ความไม่รู้คือไม่เคยรู้อย่างนี้มาก่อนใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ เคยไหม

    อ.วิชัย ก็ไม่เคย

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเป็นผู้ที่ตรง

    อ.วิชัย เมื่อสักครู่ท่านอาจารย์ก็กล่าวถึงเรื่องสิ่งใดที่เมื่อเกิดย่อมดับไป ก็หมายถึงว่าสิ่งนี้คือเป็นลักษณะของสิ่งที่มีใช่ไหม ที่เกิดหรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่เกิดจะมีไหม

    อ.วิชัย ถ้าไม่เกิด ก็ไม่มี

    ท่านอาจารย์ มีเพราะเกิดขึ้น ถ้าไม่เกิดก็ไม่มีแน่นอน แล้วสิ่งที่เกิดแล้วมีไหม ดับไหม หมดไหม อยู่ต่อๆ ไปเรื่อยๆ หรือเปล่า เมื่อสักครู่นี้คุณวิชัยคิด

    อ.วิชัย คิด

    ท่านอาจารย์ คิดดับไปหรือเปล่า

    อ.วิชัย ก็คิดเรื่องใหม่แล้ว

    ท่านอาจารย์ คิดเรื่องใหม่ นี่ก็แสดงให้เห็นว่าเราไม่เคยรู้เลย ชีวิตตามความเป็นจริงสักอย่าง แต่พอเริ่มฟังก็เริ่มเข้าใจ ใช้คำว่าเริ่มเข้าใจดีที่สุด อย่าไปหวังอะไรมากมายที่จะไปรู้แจ้งอริยสัจธรรม ยังอีกไกล เพียงแต่เริ่มเข้าใจทั่วจริงๆ หรือเปล่า

    อ.วิชัย การที่จะรู้หรือว่าเข้าใจ ให้รู้ธรรมทีละอย่างที่เคยได้ยินได้ฟัง

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช้คำว่าธรรมได้ไหม

    อ.วิชัย ก็ได้ เป็นสิ่งที่มีจริงๆ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ลองพูดภาษาไทยล้วนๆ ดีไหม จะได้ไม่ต้องแปล เด็กก็เข้าใจได้ ผู้ใหญ่ก็เข้าใจได้ เพราะเป็นภาษาที่ใช้ทุกวัน แต่ถ้าเราไปใช้ภาษาอื่น คนที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังเลย ก็จะพลอยหลงผิด ธรรมอยู่ไหนหาแล้ว ไม่รู้จักแล้ว เพราะฉะนั้นเราจะพูดภาษาไทยล้วนๆ ก็ไม่ผิด เพราะเหตุว่าเป็นภาษาซึ่งเดี๋ยวนี้อยู่ที่นี่ ไม่ใช่เมื่อ ๒,๕๐๐ กว่าปี และก็ชาวมคธแถวนั้นเขาก็พูดภาษานั้นกันตลอด

    อ.วิชัย คือเมื่อกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงๆ ก็กล่าวถึงลักษณะของเขาด้วย เช่น เห็นเกิดแล้วดับ เป็นตัวเราไหม ซึ่งการเกิดดับก็อย่างหนึ่งความไม่เป็นตัวเราก็อย่างหนึ่ง คือเหมือนกับว่าให้อธิบายคือสิ่งที่มีโดยลักษณะของเขาคืออย่างไร

    ท่านอาจารย์ เห็นคือเห็น ยากแล้วใช่ไหม เพราะไม่รู้จักเห็น ทั้งๆ ที่เห็นก็เห็นเช่นนี้ แต่ก็ไม่รู้จัก แม้แต่จะกล่าวว่าเห็นคือเห็น ก็ไม่ได้รู้ตรงเห็นที่กำลังเห็น แล้วจะรู้จักเห็นได้อย่างไรว่า เห็นเกิดแล้วดับ เพราะฉะนั้นเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งมาก คัมภีร ธรรมเป็นสิ่งที่ละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง แต่เป็นบุญที่มีโอกาสได้ยิน ได้ฟัง ได้เข้าใจ แล้วก็มีความเข้าใจถูกตั้งแต่ต้น ไม่ต้องไปติดที่คำไหนเลยทั้งสิ้น

    อ.วิชัย เวลาเห็นอาจารย์อรรณพ เห็นรูปตนเอง ในจอคอมพิวเตอร์ ก็รู้สึกว่าดูเหมือนแปลกๆ ทำไมเพียงเห็น แต่ว่าความสำคัญเป็นตัวเราแม้ในสิ่งที่เป็นเพียงแค่ปรากฏ

    อ.อรรณพ แสดงให้เห็นว่า เรามีความยึดถือว่าเป็นตัวเราใช่ไหม เพราะฉะนั้นเรามีความจำความคิดความยึดถือว่าเป็นตัวเรา แล้วก็คิดว่าตัวเราน่าจะดี แต่พอเห็นรูปร่างนิมิตก็ดูว่าไม่ค่อยดี นั่นคือความยึดถือ อาจารย์วิชัยก็รู้สึกอย่างนั้นเหมือนกันไม่ใช่หรือ เวลาดูรูปตัวเอง

    อ.วิชัย ความเป็นตัวเรารู้สึกว่าจะเหนียวแน่น และหนาแน่นมาก เช่น แม้ได้ยินเสียงตัวเองจากการสนทนาธรรม ก็รู้สึกเหมือนกับเป็นที่ไม่น่าพอใจในเสียงตนเอง

    ท่านอาจารย์ เพียงแค่กระดาษแล้วก็มีเส้นรูปร่างสัณฐานก็เป็นเรา คิดดู อยู่ที่โน่นในกระดาษ แล้วตัวนี้ยิ่งยึดถือมากกว่านั้นแค่ไหน เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่าการยึดถือสภาพธรรมด้วยความไม่รู้มากมาย แล้วยิ่งเพิ่มขึ้นด้วย เพราะฉะนั้นต่อไปข้างหน้าอีกนานจะเพิ่มขึ้นสักแค่ไหน ถ้าไม่เข้าใจตั้งแต่วันนี้ เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่าความจริงรู้ยากก็จริง แต่สามารถที่จะฟัง แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย แล้วก็เห็นความไม่รู้ว่ามากมาย เห็นรูป แค่รูป เราหรือ นั่นยึดแล้ว และตัวนี้จะยิ่งกว่านั้นสักแค่ไหน

    เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่าต้องฟังธรรมด้วยความเข้าใจจริงๆ ว่า เห็นอะไร เพราะฉะนั้นในขณะที่เห็นมีความไม่รู้แล้ว จึงเข้าใจ และยึดถือว่านั่นเป็นรูปเรา เพราะไม่รู้ใช่ไหม เพราะฉะนั้นในขณะที่เห็นรูป หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะว่าขณะนั้นไม่ได้เห็นอย่างอื่น แต่เห็นรูป เพราะฉะนั้นแม้ในขณะนั้นปัญญาก็เกิดได้ สะสมได้ เจริญได้ไม่ใช่ขณะอื่น เพราะขณะนั้นจะต้องมีความเข้าใจที่ถูกต้องว่า ไม่ว่าที่ไหน อย่างไร เห็นอะไร ไม่สามารถที่จะละคลายการยึดถือว่าเป็นรูปของเราได้ ถ้าไม่รู้ตามความเป็นจริงว่าเป็นแต่เพียงสิ่งหนึ่งที่มีจริง ที่สามารถกระทบตาปรากฏให้เห็นเท่านั้นเอง ไม่ว่ารูปอะไร ไม่ต้องในรูปที่ถ่ายไว้ก็ได้ แม้ดอกไม้หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ปรากฏ ทันทีที่มีจิตเห็นเกิดขึ้น สภาพรู้คือเห็นเกิดขึ้น ต้องมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น แล้วไม่รู้ความจริงทั้งสองอย่าง คือไม่รู้ความจริงว่า เห็นก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใคร แต่ว่าเป็นเพียงธาตุซึ่งต้องเกิด ไม่เกิดไม่ได้ เมื่อมีสิ่งที่กระทบจักขุปสาท แล้วก็ถึงวาระที่กรรมจะต้องให้ผลทำให้เห็นสิ่งนั้น ไม่เห็นไม่ได้เลย ทั้งๆ ที่ก่อนนั้นไม่มีเห็น แต่เมื่อมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดกระทบตาถึงวาระที่จะเห็น เห็นเกิดแล้วไม่เห็นไม่ได้

    เพราะฉะนั้นที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ไม่เห็นไม่ได้ ต้องเห็น แล้วเห็นก็เกิดแล้วด้วย เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีความเข้าใจจริงๆ ในสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ และที่ได้เคยปรากฏแล้ว และที่จะปรากฏต่อไป ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ จะไม่สามารถละการยึดถือว่าเราทั้งนั้นเลย ทั้งๆ ที่ไม่ใช่เรา เป็นแต่เพียงสิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัยแล้วก็ดับไป นี่เป็นหนทางเดียวที่จะค่อยๆ ละ ค่อยๆ คลายความไม่รู้ ซึ่งตราบใดที่ยังไม่รู้ก็ติดข้อง จะไม่ติดข้องไม่ได้ เพราะว่าสิ่งนั้นมีแล้วไม่รู้ ก็มีความติดข้องในสิ่งนั้น

    ด้วยเหตุนี้ปัญญาคือความเห็นถูกความเข้าใจถูกในสิ่งซึ่งมีตลอดชีวิต แต่ไม่เคยรู้จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น และก็เป็นผู้ที่ตรงด้วย ต้องไตร่ตรองทุกคำ และเมื่อไตร่ตรองแล้วหลงลืมไปเรื่อยๆ ก็ฟังอีกไตร่ตรองอีกว่า ขณะนี้มีสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นได้จริงหรือยัง ถ้ายังไม่จริงก็ยังไม่พอ ใช่ไหม เพียงได้ยินแล้วก็ลืม ได้ยินแล้วก็ลืม แล้วอย่างนี้จะละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา หรือว่าเป็นตัวตนได้อย่างไร

    อ.วิชัย ก็เป็นการเข้าใจทุกครั้งที่ได้ยินได้ฟัง นอกนั้นถ้าไม่ได้ยินได้ฟังก็โดยปกติก็จะหลงลืม และมีความสำคัญว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดตลอดเลย

    ท่านอาจารย์ ด้วยเหตุนี้สาวกคือใคร

    อ.วิชัย ก็ต้องเป็นผู้ฟัง

    ท่านอาจารย์ ผู้ฟัง ฟังเท่านั้นหรือ

    อ.วิชัย ไตร่ตรองพิจารณาเข้าใจ และประพฤติปฏิบัติตาม

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเราคิดมากเรื่องอื่น ลองดูว่าเราคิดเรื่องอะไร แต่คิดถึงสิ่งที่ได้ฟังบ้างไหม ไม่ว่าขณะใด ถึงแม้ว่าจะไม่ได้อยู่ที่นี่ มีอะไรปรากฏ เพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ แม้แต่เพียงระลึกหรือคิดเป็นคำมีบ้างไหม คิดเรื่องอื่นทั้งนั้นเลย แล้วอย่างนี้จะให้เจริญปัญญารู้ความจริงก็ต้องนาน แล้วก็ยาก แต่ต้องเป็นผู้ตรง รู้ได้แต่ว่าไม่ใช่เดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้ต้องเป็นผู้ตรงว่าเห็นอะไร

    อ.วิชัย แม้ความคิดก็คือ คิดก็ห้ามไม่ได้ มีปกติให้คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ โดยที่ก็เป็นโดยปกติของความคิดของเขา

    ท่านอาจารย์ คิดจะห้ามหรือเปล่า

    อ.วิชัย ห้ามไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะรู้ว่าห้ามไม่ได้เพราะอะไร คิดแล้ว คิดแล้วห้ามไม่ให้คิดได้อย่างไร ก็คิดแล้ว เกิดแล้ว คิดแล้ว เพราะไม่เข้าใจ ทั้งหมดเพราะไม่รู้เพราะไม่เข้าใจความจริง เป็นคำตอบสำหรับทุกอย่าง แต่เมื่อใดก็ตามที่ค่อยๆ เข้าใจ ค่อยๆ รู้ตามความเป็นจริง ค่อยๆ อบรม สิ่งที่ได้ยินได้ฟังทุกคำเป็นความจริง เป็นวาจาสัจจะ เช่น เห็นเกิดแล้วดับจริง ขณะนี้เมื่อไม่ปรากฏความเป็นเราก็ยังคงยึดถือสิ่งที่เห็น จนกว่าเมื่อใดก็ตามไม่มีสภาพธรรมอื่นปะปนเจือปนเลย มีแต่เห็นที่กำลังเห็นเท่านั้นจริงๆ กับสิ่งที่ปรากฏให้เห็น เมื่อนั้นจะเข้าใจความหมายของคำว่าไม่ใช่เรา ไม่มีเรา ไม่มีตัวตน ไม่มีสิ่งอื่นเลยทั้งสิ้น

    อ.อรรณพ ไม่รู้แม้กระทั่งว่าเห็นอะไร พอเห็นทันทีเป็นเส้นเป็นขอบก็เป็นรูป จำได้ว่าเป็นรูปของเรา น่าจะเป็นอย่างนี้ น่าจะดูดี ทำไมดูไม่ดี หรืออะไรก็แล้วแต่ เพราะไม่เข้าใจเห็นตามความเป็นจริงว่าเห็นอะไร ล่วงเลยแล้วก็คิดเรื่องล่วงเลยไป แล้วก็คิดเป็นเรื่องตลอด เพราะฉะนั้นการที่ได้สนทนาเรื่องความเข้าใจความจริง หรือใช้ชื่อว่าปัญญา ถ้าท่านได้พิจารณาไตร่ตรอง หรือจะร่วมสนทนาก็จะเป็นประโยชน์อย่างมากเลย เป็นความเข้าใจความจริงจริงๆ ที่ล่วงเลยไปตลอด ไม่เข้าใจ เห็นอะไรยังไม่รู้ จริงๆ เป็นคำถามที่ดูเหมือนพื้นๆ ว่าเห็นอะไร เห็นอะไร เห็นคนอย่างนี้ กว่าจะเป็นคน เห็นคนได้ไหม คิดถึงคนแต่เห็นสี ซึ่งรวดเร็วมากจริงๆ และนี่คือความลึกซึ้งของพระธรรมคำสอนก็อยู่ที่ตรงนี้ ที่ก็ต้องศึกษากันไปตลอดไม่มีจบ จนกว่าจะประจักษ์แจ้งจริงๆ จนหมดสิ้นจริงๆ จึงจะจบ

    อ.วิชัย มีข้อความจากในพระสูตรว่า นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวว่าบุคคลผู้เป็นอยู่ด้วยปัญญานั้น มีชีวิตเป็นอยู่อย่างประเสริฐ ซึ่งพระผู้มีพระภาคแสดงเรื่องของคุณของปัญญาไว้มาก เช่น แสงสว่างเสมอด้วยปัญญาไม่มี หรือว่าธรรมที่ประเสริฐที่สุดก็คือปัญญา ฉะนั้นการที่จะเริ่มรู้เข้าใจเรื่องของปัญญาคือความเห็นถูกความเข้าใจถูกต้อง เริ่มจากการได้ฟังพระธรรมแล้วก็มีความเข้าใจ เมื่อความเข้าใจเกิดขณะนั้นปัญญาเริ่มเกิดขึ้นทำกิจ แม้เพียงเล็กน้อยจากการเริ่มได้ยินได้ฟัง แต่ก็ค่อยๆ สะสมเพิ่มขึ้นจากการฟัง ก็มีการสนทนา

    ผู้ฟัง สนใจเรื่องเห็น ดูเหมือนว่าเห็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ การที่จะรู้ตรงนี้ได้ก็ทราบว่าต้องเป็นปัญญาขั้นที่รู้ตรงลักษณะไม่ใช่อย่างขั้นฟังเช่นนี้ ท่านอาจารย์กล่าวว่า ในขั้นที่ยังไม่รู้ตรงลักษณะ ก็เหมือนหลับ ขณะที่ฟังธรรมก็หลับ หมายถึงว่ายังไม่รู้ตรงความจริง เรียนถามท่านอาจารย์ว่าผู้ที่ฟังแล้วยังไม่ตื่นยังหลับ ในตรงนี้ต่างจากที่ยังไม่ได้เริ่มฟัง หรือฟังแล้วคิดว่าใกล้จะตื่น ดูเหมือนปัญญาขั้นต่างๆ เขาจะต่างกัน ในตรงนี้ ผู้ศึกษาจะเข้าใจผิดได้ไหม เช่นฟังแล้วท่านอาจารย์บอกต้องเจริญสติปัฏฐานแล้วถึงจะรู้ความจริงได้ ก็ไปเจริญสติปัฏฐานโดยที่ยังไม่ได้เข้าใจถูก เพราะฉะนั้นประเด็นที่สนทนาก็คือว่าปัญญาก่อนขั้นฟังที่จะไปสู่ขั้นที่ตื่นในการอบรมที่จะไม่ให้เข้าใจผิด

    ท่านอาจารย์ เวลานี้เรากำลังพูดเรื่องเห็นใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ แล้วรู้ตรงไหน

    ผู้ฟัง รู้ตรงไหน ก็รู้ว่าเห็น

    ท่านอาจารย์ นั่นคิด กำลังมีเห็นแล้วก็พูดเรื่องเห็น รู้ตรงไหน รู้ลักษณะของธรรมอะไรตรงไหน

    ผู้ฟัง ณ ขณะนี้ก็เพียงเข้าใจเรื่องของเห็นที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อน

    ท่านอาจารย์ ยังไม่ไช่การรู้ตรงลักษณะ

    ผู้ฟัง ใช่ เพราะฉะนั้น ณ ขณะนี้ก็เข้าใจว่ายังเข้าใจเรื่องเห็นในขั้นการฟัง

    ท่านอาจารย์ เข้าใจจนกว่ามีปัจจัยพอที่จะละความติดในนิมิตอนุพยัญชนะ เพราะเวลานี้ไม่รู้เลย ที่เห็นเป็นดอกไม้ ก็ติดแล้ว ถ้าไม่มีนิมิตสีสันวรรณะรูปร่างต่างๆ จะจำได้ไหมว่าเป็นอะไร ในเวลานี้จำมากเลยใช่ไหม แสดงว่าจิตเกิดดับทีละหนึ่งขณะ ประมาณได้ไหมว่าเท่าใด เพราะฉะนั้นเป็นนิมิตของวิญญาณธาตุรู้เป็นนิมิต ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดดับสืบต่อเร็วมาก ให้รู้ว่าอยู่ในโลกของนิมิตคือยังไม่ตื่นที่จะรู้ลักษณะแม้ของธรรมหนึ่งที่ไม่ใช่เรา

    ลักษณะมีจริงๆ แต่เกิดดับทั้งหมดอย่างเร็วมาก รูปก็เกิดดับอย่างเร็ว ที่ทรงแสดงไว้ว่ารูปๆ หนึ่งมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ จิตเกิดดับ ๑๗ ขณะนี่เร็วแค่ไหน เพราะเห็นไม่ใช่ได้ยิน แต่ว่าจิตที่เกิดดับระหว่างจิตเห็นกับจิตได้ยินเกิน ๑๗ ขณะ เพราะฉะนั้นรูปๆ หนึ่งดับแล้ว และกว่าจะปรากฏเป็นสีสันวรรณะ และก็เป็นนิมิตสัณฐานต่างๆ แล้วก็ปัญญัตติคือรู้ได้โดยอาการของสัณฐานนั้นๆ ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร เช่น เวลานี้ไม่ต้องพูด ก็รู้ว่าดอกไม้ไม่ใช่ใบไม้ เห็นไหม รู้ไปหมดแล้วเพียงแค่ลืมตาเห็น ทันทีนั้นเร็วสักแค่ไหน ไม่ใช่ดอกไม้ทั้งหมดเลย ใบไม้ก็มี ทันทีที่เห็น เห็นแล้ว เพราะฉะนั้นนิมิตของรูปที่เกิดดับสืบต่อจะเร็วปานใด รวมทั้งจิตซึ่งเกิดดับเร็วยิ่งกว่านั้นอีก โลภะอะไรๆ มีแล้วเรียบร้อยดับไปเสร็จโดยที่ไม่รู้เลย

    เพราะฉะนั้นการที่จะได้ฟังพระธรรมต้องรู้ว่า เป็นสิ่งที่ยากยิ่ง ผู้ที่จะทรงตรัสรู้ก็แสนยาก และผู้ที่จะเห็นประโยชน์ของการได้ฟังพระธรรมให้เข้าใจจริงๆ ก็ยาก ไม่ง่ายเลย เพราะฉะนั้นก็เป็นโอกาสที่จะฟังด้วยความเคารพจริงๆ ว่า ทุกคำที่ได้ฟังเป็นวาจาสัจจะ เป็นวาจาจริงหรือเปล่า ต้องรู้ด้วยตัวเอง เพราะเหตุว่าพระธรรมที่ทรงแสดงเพื่ออนุเคราะห์ให้ผู้ที่ได้ฟังมีความเห็นที่ถูกต้องเป็นปัญญาของตนเอง เพราะฉะนั้นขณะนี้ที่กำลังพูดเรื่องเห็น รู้อะไรตรงไหน รู้ลักษณะอะไรบ้าง


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 194
    11 ก.ค. 2567

    ซีดีแนะนำ