พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 950


    ตอนที่ ๙๕๐

    ณ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๗


    อ.คำปั่น กราบเรียน อ.ธิดารัตน์ ได้สนทนาเพิ่มเติมถึงความเป็นจริงของธรรมที่มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงระหว่างธรรมที่เป็นกุศลธรรมกับธรรมที่เป็นอกุศลธรรม

    อ.ธิดารัตน์ ธรรมที่เป็นฝ่ายกุศลธรรม เป็นธรรมที่เป็นฝ่ายดีงาม และให้ผลก็ดีงาม ส่วนธรรมที่เป็นฝ่ายอกุศล ก็เบียดเบียนประทุษร้ายโดยลักษณะอยู่แล้ว และยังให้ผลเป็นทุกข์อีก คือถ้าทำอกุศลกรรมสำเร็จ เมื่อให้ผลก็ย่อมนำไปอบายภูมิ ได้รับทุกข์ในอบายต่างๆ หรือแม้กระทั่งอกุศลที่ได้กระทำแล้ว เมื่อได้โอกาสได้ช่องแม้ในชาติปัจจุบันที่เกิดในสุคติภูมิเป็นมนุษย์ ก็ย่อมให้ผลเบียดเบียนได้ในทุกกาลที่ตามมาทัน ซึ่งเป็นธรรมฝ่ายไม่ดี ส่วนธรรมฝ่ายดีก็จะอุปถัมภ์ช่วยเหลือ ให้ผลเป็นสุขแก่ผู้นั้น และธรรมที่ประกอบด้วยปัญญาหรือกุศลที่ประกอบด้วยปัญญา นอกจากจะให้ผลเป็นสุขแล้ว ยังสามารถที่จะนำให้พ้นจากทุกข์ได้ด้วย อย่างเช่น การอบรมเจริญสติปัฏฐานซึ่งได้กล่าวถึงอารมณ์ของบิดาตน เหตุใดถึงจะต้องมีการอบรมเจริญกุศล แล้วก็รู้ลักษณะของธรรมทั้งหลายตามความเป็นจริง เพราะเป็นหนทางเดียวที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงดำเนินไปแล้ว และทรงแสดงหนทางไว้ เพื่อเป็นประโยชน์แก่สัตว์โลก หรือผู้ที่จะเป็นสาวกที่จะฟังธรรม ผู้ฟังธรรมที่จะได้ประโยชน์เกื้อกูลต่อไป เพราะไม่เช่นนั้นก็จะเป็นไปในอกุศล แล้วก็เวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารไปตลอด ไม่มีโอกาสที่จะพ้นจากทุกข์ไปได้เลย

    เพราะฉะนั้นก็มีหนทางเดียวที่การที่ประโยชน์ที่จะได้มาอบรมความเข้าใจธรรมเพิ่มขึ้น ก็จะเป็นปัจจัยที่จะทำให้ค่อยๆ ที่จะขัดเกลาอกุศลธรรม ไม่มีกุศลอื่นๆ ที่สามารถที่จะขัดเกลาอกุศลได้นอกจากกุศลที่ประกอบด้วยปัญญา หรือว่าขณะที่รู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง ค่อยๆ ละความไม่รู้ไปโดยลำดับมีทางเดียว

    ท่านอาจารย์ ทุกคนต้องการอะไรบอกหน่อย คุณอรรณพต้องการอะไร

    อ.อรรณพ ก็ต้องการความสุขที่แท้จริงในชีวิต

    ท่านอาจารย์ ต้องการความสุขที่แท้จริงอย่างเดียว

    อ.อรรณพ ก็ถ้าโลภะก็ต้องการรูปเสียงกลิ่นรส

    ท่านอาจารย์ บางคนก็บอกว่าทั้ง ๒ อย่าง หมดเลย ลาภยศสรรเสริญสุขอะไรทั้งสิ้น แต่ถ้าคิดด้วยปัญญา สิ่งที่จะได้หรือไม่ได้เพราะอยากหรือไม่ หรือเพราะความดี

    อ.อรรณพ เพราะกุศลกรรม

    ท่านอาจารย์ เพราะกุศลกรรมที่ได้ทำแล้ว นี่แน่นอน แต่ว่ากิเลสยังมีมากเหลือเกิน เพราะฉะนั้นสิ่งที่ได้มา ได้มาด้วยผลของบุญ แต่ว่าเป็นที่พอใจของกิเลส เห็นโทษไหม เพราะฉะนั้นก็ต้องเป็นผู้ที่มีปัญญาจริงๆ ไม่ว่าวาระใด ได้ลาภก็รู้เหตุว่าเพราะอะไร เพราะกุศลที่ได้กระทำแล้ว เสื่อมลาภเพราะอะไร ก็เพราะอกุศลที่ได้กระทำแล้ว เพราะฉะนั้นจะหวั่นไหวไหม ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาเลย แต่ต้องมีความเข้าใจจริงๆ มิฉะนั้นก็มีความติดที่มีความต้องการไม่พอ ไม่มีอะไรที่จะถมโลภะให้เต็มได้เลย โลภะมีแต่ความติดข้องมีแต่ความต้องการ

    เพราะฉะนั้นผู้มีปัญญาย่อมเห็นโทษ มิฉะนั้นแล้วพระโพธิสัตว์ก็คงจะไม่สละสมบัติของพระมหาจักรพรรดิ เทียบได้ไหมกับสมบัติเล็กๆ น้อยๆ ของแต่ละคน ยศศักดิ์บริวารอำนาจใดๆ นี่เป็นถึงสมบัติพระมหาจักรพรรดิ ก็รู้ว่าสิ่งที่ดีกว่านั้นแน่นอนก็คือว่าการที่ไม่ติดข้องในสิ่งที่มีด้วยปัญญาที่สามารถที่จะดับกิเลสได้

    อ.อรรณพ ท่านอาจารย์พูดตรงนี้ดีมากเลย เพราะว่าเวลาที่เราได้อะไรต่ออะไร ลืมเลยว่าเป็นผลกุศลกรรมที่ทำไว้ แล้วก็เข้าใจผิด เพราะฉะนั้นที่หวั่นไหวไปเพราะว่าได้สิ่งนั้น สิ่งนี้ ก็เพราะความไม่รู้นั่นเอง

    ท่านอาจารย์ แล้วถ้าเสียของที่ชอบมาก อดไม่ได้ที่จะเสียดายใช่ไหม แล้วอะไรจะช่วยได้เห็นไหม ถ้าไม่มีความเข้าใจธรรมจนกระทั่งถึงระดับที่สามารถรู้ลักษณะที่เป็นธรรม นี่ก็เป็นปัญญาที่ต่างขั้น แต่ถ้าไม่มีปัญญาเลยก็คิดอยู่นั่นแล้ว เสียดายอยู่นั่นแล้ว ทั้งๆ ที่ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถที่จะทำให้เรามีความสุขอะไรได้มากมาย แต่เพราะความติดข้องก็ทำให้เกิดความรู้สึกที่ว่าอดเสียดายไม่ได้ แต่ว่าพระธรรมสามารถที่จะอนุเคราะห์ และช่วยได้ทุกขั้น

    อ.อรรณพ คือสรุปว่ามีความหวั่นไหวด้วยความยินดียินร้าย เพราะว่าความไม่รู้ตามความเป็นจริง

    ท่านอาจารย์ จนกว่าแม้ความยินดียินร้าย และไม่ยินดียินร้าย ก็เป็นธรรมชั่วคราวเมื่อมีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เหลือไหมเดี๋ยวนี้ ไม่มีอะไรเหลือเลย ทั้งๆ ที่ก็เคยมีเช่นนั้นมาแล้ว

    อ.อรรณพ ที่ท่านอาจารย์กล่าวก็ตรงตามมงคลข้อสูงๆ ขึ้นไป ที่จะคลายจากความหวั่นไหว

    ท่านอาจารย์ ตามความเป็นจริงชีวิตประจำวันแม้เพียงเล็กน้อยที่คนอื่นคาดไม่ถึง ผู้มีปัญญาก็สามารถที่จะเห็นกิเลสในขณะนั้นได้ เพราะฉะนั้นเมื่อเห็นแล้วก็ละ ก็ทำสิ่งที่ดีแทนที่จะเป็นอกุศล

    อ.อรรณพ ท่านอาจารย์บอกว่าแม้จะเดินไปเห็นกระดาษหรือเศษอะไรตก ก็ไม่ละเลย

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นชีวิตประจำวันจริงๆ ละเอียดขึ้น ละเอียดขึ้น ละเอียดขึ้น จนรู้ว่ามีชีวิตอยู่เพื่อขัดเกลากิเลส และก็เพื่อเข้าใจพระธรรม ไม่เช่นนั้นก็ไม่รอดจากอบายภูมิถ้ายังไม่ถึงความเป็นพระโสดาบัน

    อ.อรรณพ เพราะฉะนั้นการงานไม่อากูลจริงๆ ก็หมายถึงว่า ไม่ทอดธุระในกุศลธรรม แม้เล็กแม้น้อย ก็คือโอกาสของการเจริญกุศล โอกาสของการขัดเกลาอกุศล

    ท่านอาจารย์ เพราะขณะนั้นเป็นอกุศลจิตแน่ ถ้ารู้ใช่ไหม และมีโอกาสของกุศลก็ขณะนั้นกุศลจิตก็สามารถจะเกิดได้ แล้วก็สะสมต่อไปด้วย โดยการขัดเกลาทีละเล็กทีละน้อย จะไปขัดเกลามากๆ เมื่อใด ไม่มีทางเลย เหนียวแน่นหนาแน่น ลึกด้วย เพราะฉะนั้นปัญญาเปลี่ยนได้จากคนที่มากด้วยอกุศล และความไม่รู้ เป็นคนที่ไม่ละเลยแม้กุศลเพียงเล็กๆ น้อยๆ

    อ.คำปั่น สืบเนื่องจากการสนทนาเมื่อสัปดาห์ก่อนที่มีการกล่าวถึงเรื่องของมงคลคือ เหตุที่จะนำไปสู่ความเจริญทั้งหลาย ก็จะขอกล่าวถึงมงคลที่เป็นชีวิตประจำวันว่า เช่นที่กล่าวถึงในเรื่องของการบำรุงมารดาบิดาก็เป็นมงคลประการหนึ่ง ก็จะกราบเรียนถามท่านอาจารย์ถึงความสำคัญของมงคลประการนี้ว่า เกื้อกูลต่อความเจริญขึ้นของกุศลธรรมในชีวิตประจำวันอย่างไร เพราะว่านอกจากที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงแสดงในเรื่องของการบำรุงมารดาบิดาแล้ว พระองค์ก็ยังทรงแสดงมงคลอีกข้อหนึ่งก็คือ ความกตัญญู เพราะฉะนั้น ๒ มงคลจะมีความสำคัญ แล้วก็มีความเกี่ยวเนื่องกัน และก็จะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ศึกษาพระธรรมอย่างไร

    ท่านอาจารย์ มงคลไม่ได้มีข้อเดียวหรือประการเดียว เพราะเหตุว่ามงคลคือเหตุที่นำความเจริญความดีทุกประการ เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีปัญญาก็ไม่สามารถที่จะรู้จักอะไรเลยสักอย่างเดียว เพราะฉะนั้นบางคนก็คงคิดว่าในพระพุทธศาสนาก็จะมีแต่คำสอนเรื่องของสภาพธรรม เช่น ปรมัตถธรรม แต่ว่าตามความเป็นจริงทุกอย่างไม่พ้นจากสิ่งที่มีจริงซึ่งเป็นปรมัตธรรม แต่กว้างขวางละเอียดมาก เพราะเหตุว่าชีวิตของแต่ละหนึ่งคน ก็หลากหลายต่างกันไป บางคนก็มารดาเสียชีวิตตั้งแต่ยังเล็ก บางคนก็ไม่รู้จักมารดาบิดาเลย ก็เป็นได้

    เพราะฉะนั้นชีวิตก็ดำเนินไปตามปัจจัยซึ่งต้องทราบก่อน ไม่ใช่ว่ายังมีเราที่ต้องการจะมีมงคล เพื่อที่จะได้เป็นความสุขความเจริญของเรา แต่ต้องทราบว่ามงคลคืออะไร ก่อนที่จะสามารถรู้ความจริงของสิ่งที่มีตามความเป็นจริง จนกระทั่งสามารถที่จะละความไม่รู้ ก็ต้องอาศัยการขัดเกลากิเลสซึ่งมีมากในใจประมาณไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นการฟังธรรมก็มีจุดประสงค์ต่างๆ กัน ถามแต่ละคนได้ว่าจุดประสงค์คืออะไรในการฟังธรรมที่ฟังกันทุกวันทุกวัน จุดประสงค์คืออะไร ก็ต้องหลากหลายกันไปใช่ไหม

    อ.วิชัย สำหรับจุดประสงค์ในการฟังพระธรรมก็คือ หนึ่งคือให้เกิดความรู้ความเข้าใจว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เราตั้งแต่เด็กๆ เล็กๆ ได้นอบน้อมกราบไหว้บูชาพระองค์มีคุณอย่างไร ซึ่งจะทราบคุณพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ก็คือการฟังพระธรรม ซึ่งทรงแสดงพระธรรมคือแสดงให้รู้แล้วก็เข้าใจความจริง การฟังพระธรรมก็เพื่อที่จะรู้ แล้วก็เข้าใจความจริงว่า ความจริงนี้คืออะไร เพราะแต่ก่อนเราไม่เคยรู้จักแม้แต่กระทั่งคำว่าธรรมนี้คืออะไร เริ่มฟังรู้ว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริงๆ ก็มีความคิดต่อไปอีกว่า สิ่งที่มีจริงๆ คืออย่างไร ขณะใด เมื่อใด ก็รู้ว่าขณะสิ่งที่มีจริงก็คือขณะนี้นี่เอง แต่ว่าการฟังเพียงเล็กน้อย การที่จะมีปัจจัยปรุงแต่งเพื่อให้เข้าใจในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง หรือว่าธรรมเป็นไปได้ยากมาก แต่ว่าเมื่อมีปัจจัยด้วยการฟังบ่อยๆ พิจารณาบ่อยๆ ก็เริ่มมีปัจจัยให้มีความรู้ความเข้าใจเพิ่มขึ้นว่า สิ่งที่มีจริงๆ ขณะนี้เป็นอะไร มีปัจจัยอะไรปรุงแต่งให้เกิดขึ้นเป็นไป อาศัยอะไรเป็นปัจจัยให้ธรรมเหล่านี้เป็นไป เพื่อให้รู้แล้วก็เข้าใจความจริง บางท่านอาจจะคิดถึงความทุกข์ที่เป็นอยู่ แล้วก็สนใจธรรม ถามว่าในชีวิตประจำวันก็มีความทุกข์ ไม่ว่าจะเป็นทุกข์กายบ้าง ทุกข์ใจบ้าง ประสบกับสิ่งที่ไม่น่าปรารถนาบ้าง แต่ว่าเมื่อมีความเข้าใจถูกก็รู้ว่าทั้งหมดทุกอย่างล้วนเป็นธรรมทุกอย่าง แต่นั่นเป็นเพียงของขั้นความเข้าใจ แต่ว่าความเข้าใจเหล่านี้ก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้น ดังนั้นจุดประสงค์ของการฟังก็คือ ให้เข้าใจถูกในสิ่งที่มีจริงๆ ขณะนี้

    ท่านอาจารย์ ได้ฟังอย่างนี้เป็นมงคลหรือไม่

    อ.คำปั่น เป็นมงคล

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่าเราจะต้องไปหามงคลมาประพฤติปฏิบัติ แต่ชีวิตประจำวันของเรา ก็คือว่าสิ่งใดที่เป็นกุศลที่เป็นความดีเป็นมงคลทั้งหมดทุกประการ แล้วแต่ว่าขณะนั้นกำลังเป็นมงคลในเรื่องอะไร เพราะฉะนั้นการที่เรากำลังฟังธรรมเดี๋ยวนี้ จุดประสงค์ของแต่ละคนก็ต่างกัน จริงๆ แล้วที่ทุกคนฟังเพราะไม่รู้ ถ้ารู้แล้วคงไม่ต้องฟัง แต่ว่ายิ่งฟังยิ่งรู้ว่าไม่รู้หรือเปล่า ตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่าฟังพระธรรมเพื่อเข้าใจ แต่ว่าต้องเป็นผู้ที่ละเอียดอย่างยิ่ง จึงจะรู้จุดประสงค์ของการฟังจริงๆ ว่าเพื่อเข้าใจอะไร เห็นไหม ทุกอย่างต้องมีการพิจารณาไตร่ตรองจนถึงที่สุด

    ทุกคนมาฟังเพราะไม่รู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเรื่องอะไร และตรัสรู้ความจริงอะไรบ้าง เพราะฉะนั้นเมื่อมีโอกาสที่จะได้ยินได้ฟัง ก็ฟัง แต่ฟังแล้วเพราะความไม่รู้ ก็เริ่มค่อยๆ รู้ว่าความไม่รู้มากมายมหาศาล จริงไหม แล้วก็จะหมดไปได้อย่างไร ถ้าไม่ฟังด้วยความเคารพอย่างยิ่ง ไม่ใช่ต่อเติมแต่งอยู่เรื่อยๆ แล้วก็คิดเอง นั่นไม่มีทางที่จะได้รับคำสอนจริงๆ ที่บริสุทธิ์อย่างยิ่งว่า ใครก็คิดไม่ได้ ไม่สามารถที่จะคิดเองได้เลยทั้งสิ้น สักนิดหนึ่งหรือมากสักเท่าใดก็ตาม คิดเองเมื่อใดไม่เป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะทรงแสดงไว้โดยละเอียดยิ่ง เพราะฉะนั้นถ้าเป็นผู้ที่ไตร่ตรอง ก็จะต้องไตร่ตรองตั้งแต่ต้นว่าที่ฟังเพราะไม่รู้จึงฟัง เมื่อฟังแล้วก็เข้าใจว่ายิ่งไม่รู้มากขึ้น แล้วคำถามต่อไปว่าไม่รู้อะไร ต้องชัดเจน คุณกุลวิไลไม่รู้อะไร

    อ.กุลวิไล ไม่รู้ธรรมตามความเป็นจริง

    ท่านอาจารย์ คืออะไร ธรรมตามความเป็นจริงคืออะไร น่าสนุก เพลิดเพลินในธรรม เพราะเหตุว่าเป็นเรื่องของปัญญาที่ค่อยๆ เข้าใจ ไม่ใช่เพลิดเพลินเรื่องอื่น แต่เพลิดเพลินในการที่จะได้เริ่มเข้าใจละเอียดยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นไม่รู้ความจริงอะไร

    อ.กุลวิไล สิ่งที่มีจริงๆ

    ท่านอาจารย์ สิ่งที่มีจริงคืออะไร

    อ.กุลวิไล ก็คือสิ่งที่เปลี่ยนแปลงลักษณะไม่ได้ แล้วก็สิ่งเหล่านี้ก็มีในชีวิตประจำวันด้วย

    ท่านอาจารย์ คืออะไร

    อ.กุลวิไล ขณะนี้มีเห็น แล้วก็มีได้ยิน

    ท่านอาจารย์ คือเดี๋ยวนี้ ใครรู้บ้าง ใครรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีจริงในขณะนี้บ้าง ยากแสนยากเพียงได้ยินแต่ชื่อ ทั้งที่มีจริงๆ เช่นเห็นก็มีจริง ไม่ต้องเรียกชื่อ ไม่ต้องถามใคร เห็นก็เห็น แต่ถ้าถามว่าเห็นไหม ก็ตอบว่าเห็นแค่นั้น แต่รู้ความจริงของเห็นไหม ก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ และดูเหมือนว่าไม่ใช่พระธรรมที่ทรงแสดง เพราะว่าเป็นเรื่องธรรมดา แต่เมื่อศึกษาแล้ว ก็จะรู้ได้ว่าในเมื่อขณะนี้มีเห็น แล้วไม่รู้ความจริงของเห็น แล้วใครรู้ ต้องมีผู้ที่รู้คือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นทรงแสดงความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ไม่ว่าจะเป็นเห็นหรือได้ยินหรือคิดหรือสุขหรือทุกข์ก็ตาม ทั้งหมดที่จะไม่ทรงแสดงไว้ใน ๔๕ พรรษา ไม่มี

    เพราะฉะนั้นก็มีตั้งแต่ธรรมทั่วๆ ไปในชีวิตประจำวัน เพราะเหตุว่าชีวิตประจำวันก็เป็นธรรม ซึ่งถ้าไม่ฟังก็ไม่รู้ แล้วก็มีความละเอียดลึกซึ้งในการที่แล้วเมื่อใดจะเข้าใจถูกเห็นถูกในสิ่งซึ่งกำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นคิดที่จะเข้าใจเห็นหรือไม่ที่ฟังธรรม หรือว่าคิดที่จะรู้เรื่องอื่น เข้าใจเรื่องนั้นบ้าง เรื่องนี้บ้าง แต่คิดไหมว่าไม่ว่าจะฟังเรื่องอะไรก็ตาม เห็นขณะนี้ก็ยังไม่รู้ เพราะฉะนั้นเมื่อฟังแล้วเข้าใจขึ้น ในเรื่องที่จะสามารถรู้เห็น ซึ่งรู้ได้ยากมาก ต้องอาศัยธรรมที่เป็นกุศลธรรมอื่นๆ ที่จะช่วยชำระขัดเกลาจิตใจซึ่งมากไปด้วยความไม่รู้ ให้ค่อยๆ น้อมมาในทางที่จะเป็นกุศลที่ดีงาม เพื่อสามารถที่จะเข้าใจความจริงของสิ่งที่ปรากฏตามปกติในชีวิตตามความเป็นจริง

    เพราะฉะนั้นจึงมีคำสอนหลากหลายมาก ในเรื่องมงคล ในเรื่องของพระวินัย ในเรื่องของชีวิตเรื่องราวต่างๆ ของบุคคลในครั้งอดีต และในความเป็นจริงที่กำลังเป็นจริงในขณะนี้ เพราะฉะนั้นอีกนานไหมกว่าจะรู้จักเห็น เข้าใจเห็น ตามที่ได้ยินได้ฟังว่าเห็นเป็นธรรม ซึ่งขณะนี้เกิดแล้วเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไป ไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนความจริงของเห็นในขณะนี้ได้ นี่เป็นมงคลหรือไม่ หรือว่าต้องไปหามงคลอื่นๆ อีก แต่ว่าลืมว่าทั้งวันไม่ได้มีแต่เห็น มีได้ยินด้วย แล้วก็มีคิดนึกด้วย ทั้งหมดเป็นสิ่งที่ควรรู้ยิ่ง ควรค่อยๆ เข้าใจขึ้น จนกว่าสามารถที่จะรู้ว่าทุกคำที่ทรงแสดงเป็นวาจาสัจจะซึ่งนำไปสู่ญาณสัจจะ ซึ่งนำไปสู่มรรคสัจจะ ซึ่งสามารถที่จะชำระกิเลส และสามารถที่จะรู้ความจริงตามที่ได้ฟังคือ เห็นขณะนี้เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

    ผู้ฟัง ฟังเรื่องของมงคลที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงแล้ว ไม่ใช่เพื่อที่ให้เราฟังแล้วเพื่อประพฤติปฏิบัติ เพื่อที่จะเป็นมงคลในชีวิตแก่เรา ผมฟังแล้วไม่ค่อยเข้าใจ ขอคำอธิบายเพิ่มเติม

    ท่านอาจารย์ เพราะยังมีเรา เพราะฉะนั้นทุกคำไม่ใช่เรา คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องกล่าวถึงธรรมซึ่งเป็นอนัตตา ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่ใช่ทิ้งไป ไปหามงคลโดยไม่เข้าใจว่ามงคลก็เป็นธรรมซึ่งเป็นอนัตตาด้วย เพราะฉะนั้นไม่ว่าคำสอนใดๆ ทั้งหมด ทุกคำเป็นเรื่องของปัญญาที่ทำให้สามารถเข้าถึงความจริงว่ามีจริงๆ แต่สิ่งที่มีจริงในขณะนี้ ที่เคยเข้าใจว่าเป็นเราเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่ใช่อย่างนั้นเลย เป็นแต่เพียงสิ่งซึ่งมีปัจจัยเกิดแล้วดับเร็วมาก ถ้าไม่รู้เช่นนี้ จะละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา หรือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ได้

    ผู้ฟัง จุดประสงค์ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงเรื่องมงคล ถ้าไม่ใช่เพื่อให้ตัวเราที่เป็นมงคล แล้วจะทรงแสดงไปเพื่ออะไร

    ท่านอาจารย์ เพื่อธรรมที่สามารถที่จะรู้ความจริงจนดับกิเลสได้ เพราะขณะนี้ที่ว่าเป็นเรา มีเห็น มีได้ยิน มีคิดนึก มีกิเลส มีกุศล ทั้งหมดในวันนี้ยังคงเป็นเรา เพราะไม่รู้ความจริง เพราะฉะนั้นการที่ทรงแสดงมงคลก็รู้ว่าจิตที่มากด้วยอกุศลสะสมความไม่รู้มานานแสนนาน อกุศลไม่ใช่สิ่งที่ดีเลย ถ้าขณะใดที่ทำทุจริตขณะนั้นเป็นโรคที่ถึงอาการเน่า แต่ว่าขณะนี้ก็มีกิเลสที่สะสมไว้มากมาย กิเลสดีไหม

    ผู้ฟัง ไม่ดี

    ท่านอาจารย์ กลิ่นของกิเลสดีไหม

    ผู้ฟัง ไม่ดี

    ท่านอาจารย์ ไม่ดี ให้โทษหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ให้โทษ

    ท่านอาจารย์ ควรจะหมดสิ้นไหม

    ผู้ฟัง ควรจะหมดสิ้น

    ท่านอาจารย์ แล้วหมดได้เองไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้เอง

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นประการที่สำคัญที่สุด ก็คือไม่ลืมแต่ละคำที่ได้ฟัง ธรรมไม่ใช่เรา มงคลเป็นเราหรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่ใช่เรา

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นถ้าใครคิดที่จะประพฤติตามมงคลเพื่อความเป็นเรา นั่นไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องรู้ตามความเป็นจริงว่าคำสอนทั้งหมดเป็นคำสอนเรื่องความจริงทั้งหมด และความจริงก็คือมีสิ่งที่มีจริงๆ เกิดปรากฏให้รู้ว่ามีจริง แต่สิ่งนั้นไม่ใช่ใคร และไม่ใช่ของใคร และก็ไม่ได้อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครด้วย ถ้าลืม ไม่มีทางที่จะรู้ความจริงได้เลย แต่ถ้าไม่ลืมไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ไม่ใช่เพื่อความเป็นเรา แต่มีความเข้าใจถูกต้องว่าธรรมหลากหลายมาก ธรรมที่เป็นกุศลธรรมก็มีที่ดีงามไม่ให้โทษเลย แล้วธรรมที่เป็นอกุศลธรรมที่ไม่ดีงามที่ให้โทษก็มี ใครรู้ ปัญญารู้ ถ้าไม่มีการฟังธรรมจะรู้ไหมว่าขณะใดเป็นธรรมที่ดี และขณะใดเป็นธรรมที่ไม่ดี แม้เพียงเช่นนี้ก็ไม่รู้ ความไม่รู้ดีไหม

    ผู้ฟัง ไม่ดี

    ท่านอาจารย์ การยึดถือสภาพธรรมซึ่งไม่เที่ยง เพียงเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปว่าเป็นเรา ถูกไหม ดีไหม

    ผู้ฟัง ไม่ถูก ไม่ดี

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นฟังธรรมเพื่อเข้าใจถูกตั้งแต่ต้น จนกว่าจะรู้ตามความเป็นจริงว่าเป็นเราไม่ได้แน่นอน เพราะเหตุว่าเป็นเพียงสิ่งที่มีจริง ซึ่งเกิดแล้วดับแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีการฟังพระธรรม ไม่มีทางที่จะดับกิเลส ไม่มีทางที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพียงแค่เห็น คุณนิรันดร์กำลังเห็น แต่ไม่รู้เลย เห็นเกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วดับ เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะฟังอะไรก็ตาม ต้องไม่ลืมว่าเป็นสิ่งที่มีจริงซึ่งเกิดแล้ว ทำอะไรได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่มีใครสามารถไปเปลี่ยนแปลงได้เลย แต่การได้ยินได้ฟังความจริงทีละเล็กทีละน้อย ก็สามารถที่จะทำให้ความประพฤติทางกาย ทางวาจา ทางใจ ดีขึ้นเพราะความเข้าใจถูกความเห็นถูกว่าไม่ใช่เรา

    ผู้ฟัง ถ้าไม่ได้ฟังมงคลเพื่อเป็นมงคลชีวิตแก่เรา ประพฤติปฏิบัติสิ่งที่ดีเป็นมงคลแก่เรา แล้วประโยชน์ของการฟังเรื่องมงคลคืออะไร

    ท่านอาจารย์ ประโยชน์ก็คือรู้ว่าไม่ใช่เรา ถึงจะถูกต้อง ถ้ายังเป็นเราถูกไหม เช่นที่ถามเมื่อสักครู่นี้ ธรรมเป็นธรรม แต่ถ้าเข้าใจผิดคิดว่าธรรมเป็นเรา ถูกไหม ตั้งแต่ต้นก็ผิดแล้ว ผิดตั้งแต่ต้นไปเรื่อยๆ แล้วจะเอาความเห็นผิดนี้ออกได้อย่างไร แต่ถ้าฟังมงคลด้วยความเข้าใจถูกต้องว่า สะสมอกุศลมามาก ความไม่รู้มามาก เพราะฉะนั้นเมื่อไม่รู้ก็ย่อมประพฤติในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ในทางที่เป็นอกุศล แล้วถ้ามีความเข้าใจถูกต้อง ก็ไม่มีเรา แต่ปัญญานั่นเองจะนำไปในกิจทั้งปวง เพราะฉะนั้นเมื่อมีความเข้าใจถูกต้องว่า อะไรจะนำไปสู่การรู้ถูกเห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ก็ต้องเป็นคุณธรรมฝ่ายดีที่ค่อยๆ ชำระจิตให้พ้นจากความไม่รู้มากมาย กว่าจะเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริงได้


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 194
    29 เม.ย. 2567

    ซีดีแนะนำ