พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 951


    ตอนที่ ๙๕๑

    ณ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๗


    ผู้ฟัง ถ้าไม่ได้ฟังมงคลเพื่อเป็นมงคลชีวิตแก่เรา ประพฤติปฏิบัติสิ่งที่ดีเป็นมงคลแก่เรา แล้วประโยชน์ของการฟังเรื่องมงคลคืออะไร

    ท่านอาจารย์ ประโยชน์ก็คือรู้ว่าไม่ใช่เรา ถึงจะถูกต้อง ถ้ายังเป็นเราถูกไหม เช่นที่ถามเมื่อสักครู่นี้ ธรรมเป็นธรรม แต่ถ้าเข้าใจผิดคิดว่าธรรมเป็นเราถูกไหม ตั้งแต่ต้นก็ผิดแล้ว ผิดตั้งแต่ต้นไปเรื่อยๆ แล้วจะเอาความเห็นผิดนี้ออกได้อย่างไร แต่ถ้าฟังมงคลด้วยความเข้าใจถูกต้องว่า สะสมอกุศลมามาก ความไม่รู้มามาก เพราะฉะนั้นเมื่อไม่รู้ก็ย่อมประพฤติในสิ่งที่ไม่ถูกต้องในทางที่เป็นอกุศล และถ้ามีความเข้าใจถูกต้อง ก็ไม่มีเรา แต่ปัญญานั่นเองจะนำไปในกิจทั้งปวง เพราะฉะนั้นเมื่อมีความเข้าใจถูกต้องว่า อะไรจะนำไปสู่การรู้ถูกเห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ก็ต้องเป็นคุณธรรมฝ่ายดีที่ค่อยๆ ชำระจิตให้พ้นจากความไม่รู้มากมาย กว่าจะเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริงได้ ไม่ใช่ว่าเราต้องไปทำอะไรขึ้นมา เพื่อที่จะรู้ความจริงว่า ขณะนี้เห็นเกิดแล้วดับ ไม่มีทางเป็นไปได้เลย เพราะเห็นเกิดแล้วดับใครจะรู้หรือไม่รู้ แต่เมื่อไม่รู้ก็ไปพยายามหาทางอื่นที่จะรู้ก็ผิด แต่ถ้ารู้ว่าเห็นเกิดแล้วดับขณะนี้ ใครบอก พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้โดยประการทั้งปวง

    เพราะฉะนั้นเมื่อฟังแล้วรู้ว่า ขณะนี้ปัญญาไม่พอที่จะเห็นการเกิดดับของสภาพธรรมในขณะนี้ เพราะฉะนั้นจึงต้องอาศัยการฟังเพื่อมีการขัดเกลาความไม่รู้ ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดอกุศลต่างๆ พอกพูนมากมายทุกวัน ค่อยๆ ลดน้อยลงไปพร้อมกับการฟังด้วยความเข้าใจถูกต้องว่าเป็นธรรม

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์บอกว่าแม้แต่การฟังเรื่องมงคล ก็เพื่อให้เกิดปัญญาความเห็นถูกเข้าใจถูกว่า กุศลธรรม และอกุศลธรรมดีหรือไม่ดีอย่างไร แล้วก็นำไปสู่การที่จะเข้าใจความเป็นจริงว่าเป็นแต่สภาพธรรมซึ่งไม่ใช่เรา

    ท่านอาจารย์ จนสามารถที่จะรู้แจ้งสภาพธรรมเดี๋ยวนี้ได้ตรงตามที่ทุกคนฟังธรรมเพื่ออะไร เพื่อเข้าใจถูกเห็นถูกในอะไร ในสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ ซึ่งไม่รู้ อย่างไรก็ไม่รู้ และก็ไม่สามารถจะไปทำอะไรให้รู้ด้วย นอกจากความเข้าใจเพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย

    ผู้ฟัง พระธรรมก็เป็นเรื่องที่ละเอียด และลึกซึ้ง ถ้าฟังหรืออ่านไม่ดีแล้ว ก็เข้าใจว่าเป็นเราที่ฟังแล้วเป็นมงคลแก่ชีวิตต่างๆ

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นดาบสองคม เพราะฉะนั้นตราบใดที่ไม่ศึกษาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยลึกซึ้งรอบคอบ ถี่ถ้วน ย่อมเห็นผิด

    อ.วิชัย เมื่อสักครู่ท่านอาจารย์สนทนากับคุณนิรันดร์ ในตอนหนึ่งท่านอาจารย์กล่าวว่าถ้าความรู้ความเข้าใจเกิดขึ้นที่จะรู้เข้าใจว่าไม่ใช่ตัวเรา แล้วก็กายวาจาก็จะดีขึ้น ความรู้ที่ว่าแม้เห็นขณะนี้ก็ไม่ใช่เรา ได้ยินขณะนี้ก็ไม่ใช่เรา แล้วจะเป็นปัจจัยให้กายวาจาตรงหรือว่าเป็นกุศลขึ้นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ พอเห็นแล้วชอบ ยับยั้งได้ไหม

    อ.วิชัย ไม่ได้เลย

    ท่านอาจารย์ พอเห็นแล้วไม่ชอบ

    อ.วิชัย ก็ยับยั้งไม่ได้เช่นเดียวกัน

    ท่านอาจารย์ แล้วการไม่ชอบทำให้เกิดกายวาจาอย่างไร

    อ.วิชัย ก็อาจจะเบียดเบียนด้วยกายหรือวาจาก็ได้

    ท่านอาจารย์ ถ้ารู้ตามความเป็นจริงว่า จริงๆ แล้วมีอะไร หรือว่าจริงๆ แล้วไม่มีอะไร ใช่ไหม เพราะเหตุใด เพราะเหตุว่าถ้ายังคิดว่ามีอะไรอยู่ สิ่งนั้นตามความเป็นจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แล้วว่าไม่มี จากไม่มีเสียง แล้วมีเสียง แล้วเสียงก็หายไป ไม่กลับมาอีกเลย เหมือนตอนที่ยังไม่ได้เกิดขึ้น แล้วมีเสียงไหม ถ้ารู้เช่นนั้นจริงๆ ก็คือไม่มี แล้วก็มีตามเหตุตามปัจจัย แล้วก็หามีไม่ เพราะฉะนั้นตามความเป็นจริงก็คืออยู่ในความไม่มี แต่หลงเข้าใจว่ายังมีอยู่

    อ.วิชัย เหมือนกับเคยเพลิดเพลินยินดี แต่พอรู้ก็เหมือนกับไม่เห็นสาระในสิ่งที่เคยเพลิดเพลินในนั้นเลย

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นมีเราหรือเปล่า มีเขาหรือเปล่า มีสิ่งนั้นสิ่งนี้หรือเปล่า แล้วหลงชอบไม่ชอบเหมือนมีอยู่ตลอดเวลา ถ้าไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงตรัสรู้ และทรงแสดง โลกมืดไหม และก็ยังคงเต็มไปด้วยความรักความชังอกุศลทั้งหลายมากมาย ไม่สามารถที่จะออกจากสังสารวัฏฏ์หรือกรงใหญ่ได้ จะสุขจะทุกข์ก็อยู่ในกรงนั่นเอง

    อ.อรรณพ ท่านอาจารย์กล่าวว่ามีอะไร และไม่มีอะไร หมายความอย่างไร

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้มีอะไร

    อ.อรรณพ มีสิ่งที่ปรากฏ

    ท่านอาจารย์ เพราะเกิดใช่ไหม

    อ.อรรณพ ครับ

    ท่านอาจารย์ ดับแล้วมีไหม

    อ.อรรณพ ไม่มี

    ท่านอาจารย์ เหมือนก่อนที่จะมีไหม จากไม่มีเลย แล้วก็มีเหตุปัจจัยทำให้เกิดมี แล้วก็ดับ แล้วก็ไม่กลับมาอีก หายไปเลยในสังสารวัฏฏ์

    อ.อรรณพ ก็เหมือนกับจะเป็นความเห็นถูกที่ต่างกับความเห็นผิด ๒ อย่าง คือความเห็นผิดที่ว่ามีอยู่ตลอดยั่งยืน กับการที่ว่าทุกอย่างไม่ได้มีเหตุอะไรก็สูญไปเลย ตายแล้วก็จบกัน ไม่ต้องมีการเกิดชาติหน้าอะไรเช่นนี้

    ท่านอาจารย์ แต่มีเหตุปัจจัยจึงได้เกิดขึ้น ไม่ใช่หมดเหตุปัจจัย ตราบใดที่ยังมีเหตุปัจจัยก็ยังต้องเกิดอยู่

    อ.อรรณพ ก็เลยคิดว่าคำสอนที่ถูกต้องเช่นนี้ เป็นการปฏิเสธความเห็นผิดที่ยั่งยืนด้วย แล้วก็เป็นการปฏิเสธความเห็นผิดที่ขาดสูญ

    ท่านอาจารย์ เห็นผิดเช่นนั้นคือคิดเอง แต่ไม่ได้รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่เกิดแล้วดับแล้วเกิดแล้วดับสืบต่อไม่ขาดสายตามปัจจัย เดี๋ยวนี้รู้คุณของความรู้ถูกต้อง รู้คุณของกุศลทุกชนิดหรือเปล่า เพราะฉะนั้นถ้าเราบอกว่ามารดาบิดามีคุณ หรือมิตรสหายหรือใครก็ได้ที่ทำสิ่งที่ดีที่เป็นประโยชน์เป็นคุณเพราะเป็นความดี เช่นนั้นได้ไหม คือรู้คุณว่าคุณคืออะไร ความดีคืออะไร ท่านกล่าวไว้ว่าเพียงรู้ว่าคุณคือความดี แล้วมีหรือที่บุคคลผู้รู้นั้นจะไม่ทำคุณความดี เพราะฉะนั้นไม่ใช่เพียงแค่รู้ แต่เมื่อรู้แล้วก็ทำคุณความดีด้วย เพราะฉะนั้นก็คือความกตัญญูได้ไหม ในเมื่อทำความดี เพราะเหตุว่าคนที่มีคุณ ไม่ได้หวังอะไรเลย เขามีคุณแล้วเขาหวังให้ผู้ที่เขาทำคุณด้วยไปทำชั่วหรือเปล่า คนนั้นจะต้องไปทำตามที่เขาบอกให้ทำชั่วหรือเปล่า ถ้าเช่นนั้นก็คือว่าผู้ไม่รู้จักคุณ แล้วก็เมื่อไม่รู้จักคุณ ก็ทำคุณคือความดีไม่ได้ด้วย

    เพราะฉะนั้นธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียด เป็นเรื่องที่เพื่อละความไม่รู้ เพื่อละความติดข้อง แต่ติดไว้มากด้วยความเป็นเรา หรือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ทำให้แม้แต่ความคิดก็คิดผิด ถ้าคิดว่าใครทำดีกับเรา เขามีคุณ เราต้องไปทำชั่วตามที่เขาบอกให้ทำ นั่นก็ผิดแล้ว เพราะเหตุว่าไม่รู้จักคุณ เพราะฉะนั้นจึงไม่ทำคุณ ก็ไม่ต้องไปหามงคลอื่นๆ มาอีกแต่ละข้อ แต่ว่าพระธรรมทั้งหมดถ้าอ่านด้วยความเข้าใจ แล้วก็ศึกษา และไตร่ตรองด้วยความเข้าใจ ก็เข้าใจทั้งหมดไม่ได้เจาะจง เพราะฉะนั้นมงคล ๓๘ ก็คือชีวิตประจำวัน เพียงแต่ว่าเราจะรู้ละเอียดมากน้อยเพียงใด แต่ต้องรู้ด้วยว่าแท้ที่จริงแล้วก็คือว่าเป็นธรรมคือไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นกว่าจะขัดเกลาธรรมฝ่ายอกุศลที่สะสมมามาก ก็ต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจจริงๆ

    อ.อรรณพ บูชาผู้ทื่ควรผู้บูชากับความเคารพเช่นนี้ ท่านอาจารย์จะมีความละเอียดแตกต่างกันอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ใครเป็นผู้ที่ควรบูชาสูงสุด

    อ.อรรณพ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ท่านอาจารย์ แล้วควรเคารพใครบ้าง

    อ.อรรณพ ควรเคารพผู้ที่มีคุณ

    ท่านอาจารย์ หมายความว่าขณะใดที่กุศลจิตจะเกิด ก็ไม่ควรที่จะเป็นปัจจัยให้อกุศลเกิดเพราะไม่รู้ ด้วยเหตุนี้ความรู้ทั้งหมดก็มาจากการได้ยินได้ฟังได้ไตร่ตรองได้เข้าใจ แล้วก็ไม่ใช่เราเลย ไม่ว่าจะกตัญญูก็ไม่ใช่เรา เป็นธรรม ทุกอย่างต้องเป็นธรรม มิฉะนั้นแล้วก็จะไม่นำไปสู่การที่จะดับกิเลส เพราะรู้ และเข้าใจถูกต้องในสิ่งที่กำลังปรากฏ ซึ่งแม้เดี๋ยวนี้ปรากฏทำไมไม่รู้ ทำไมไม่เข้าใจ เพราะอกุศลมากเช่นนั้น แล้วจะเข้าใจตามที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ได้อย่างไร แต่อย่างไรก็ตามการฟังทั้งหมด นำไปสู่การเห็นถูกความเข้าใจถูกจนสามารถประจักษ์ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้โดยไม่หวัง แต่ว่าโดยการเข้าใจขึ้นเข้าใจขึ้นเข้าใจขึ้น เดี๋ยวนี้เป็นการฟังธรรมตามกาลใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่ค่ะ

    ท่านอาจารย์ แล้วก็สนทนาได้ไหม

    ผู้ฟัง ก็สนทนาด้วย

    ท่านอาจารย์ แล้วถึงแม้ว่าไม่ใช่ขณะที่กำลังฟังธรรมตามกาล สนทนาได้ไหม

    ผู้ฟัง ก็ได้ คือเช่นกรณีมงคลจะชัดว่าเป็นเหตุให้เจริญ คนนั้นก็ต้องเจริญเหตุเพื่อความเจริญที่จะสามารถขัดเกลากิเลสได้

    ท่านอาจารย์ ขณะใดมีประโยชน์ในชีวิต

    ผู้ฟัง ก็ขณะได้ฟังธรรม สนทนาธรรม

    ท่านอาจารย์ ต้องเลือกไหมเวลาใด

    ผู้ฟัง ไม่ต้องเลือก

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นสามารถที่จะสนทนาธรรมตามกาละได้ไหม

    ผู้ฟัง ได้

    ท่านอาจารย์ ถ้ามีคนที่สนใจก็สนทนากันเมื่อใดก็ได้

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นก็คือ ศึกษามงคลก็ยิ่งต้องเข้าใจความเป็นธรรมที่ไม่ใช่เรา

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่เข้าใจไม่มีประโยชน์เลย เป็นตัวตนเป็นเราตลอด โดยไม่รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีเป็นธรรมซึ่งเป็นอนัตตา

    ผู้ฟัง การศึกษามงคลเพื่อให้เข้าใจว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา

    ท่านอาจารย์ แน่นอนมิฉะนั้นก็ไม่มีประโยชน์เลย ถ้ายังคงเป็นเรา เพราะฉะนั้นแต่ละท่านที่มาฟังธรรมด้วยความเป็นเรา เมื่อใดเราจะเข้าใจ เมื่อใดเราจะเพียรให้มากๆ เพื่อที่จะได้รู้แจ้งสภาพธรรม ก็คือว่าด้วยความเป็นตัวตนไม่มีทางที่จะเข้าใจธรรมได้เลย แต่ถ้ามาฟังเพราะไม่รู้ จึงฟัง แต่ก่อนนี้ไม่รู้จึงเป็นเรา แต่พอรู้แล้วก็ไม่ใช่เราเลย ค่อยๆ ฟังให้เข้าใจขึ้น ในที่สุดก็สามารถที่จะประจักษ์ความจริงของสภาพธรรมตรงตามที่ได้ทรงแสดงทุกคำ

    ผู้ฟัง ในเมื่อท่านอาจารย์ตอกย้ำว่ามีแต่ธรรมไม่ใช่เรา แล้วก็บอกไม่ต้องทำอะไร ฟังให้เข้าใจ ผู้เข้าใจก็คือจะมีแต่ธรรมไม่ใช่เราจริงๆ

    ท่านอาจารย์ เช่นเห็นขณะนี้ ตอนนี้เป็นธรรมจากการฟังไม่ใช่เราใช่ไหม แต่เมื่อใดที่ไม่ได้รู้เฉพาะลักษณะเห็น ขณะนั้นไม่สามารถจะรู้ได้เลยว่า กำลังเริ่มเข้าใจความจริงว่าเห็นก็คือสภาพที่กำลังรู้ หาตัวตนไม่ได้เลย เกิดขึ้นรู้ว่าขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏเช่นนี้ แล้วก็ดับไป นี่จากการฟัง แล้วก็รู้ความจริงว่าไม่ว่าจะเป็นทางหู ขณะใดก็ตามที่เสียงปรากฏ ขณะนั้นก็มีสภาพหรือธาตุซึ่งกำลังได้ยินเสียง ค่อยๆ เห็นความไม่ใช่เรา แต่ว่าต้องมีสภาพธรรมนั้นที่กำลังปรากฏให้รู้ให้เข้าใจ เพราะฉะนั้นบางคนพอฟังธรรมก็เริ่มสติปัฎฐานแล้ว ไม่รู้ทำไม รู้ลักษณะของสติหรือยัง เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏพอที่จะมีการรู้ตรงลักษณะที่เป็นธรรมหรือยัง ก็ไม่มีเลย แต่ก็พอมาถึงก็สติปัฎฐาน เพราะฉะนั้นไม่มีทางที่จะเข้าใจธรรมได้

    ด้วยเหตุนี้ถ้ามีความเข้าใจธรรมทีละเล็กทีละน้อยไปเรื่อยๆ ตามปกติ ก็จะรู้ได้ว่าแท้ที่จริงธรรมก็เกิดดับเช่นที่ได้ฟังนั่นเอง แต่ว่าถ้าไม่มีการค่อยๆ ฟังจนกระทั่งเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมนั้น ไม่ใช่สภาพธรรมอื่น แล้วแต่ว่าจะมากน้อยสักเท่าใดที่จะคุ้นเคยกับสภาพเห็น เพราะว่าเห็นตลอดเวลาแต่เป็นเราไม่ใช่ธาตุรู้ที่กำลังเห็น เพราะฉะนั้นกว่าจะคุ้นเคยในความเป็นธาตุรู้ ซึ่งไม่ใช่เราทีละเล็กทีละน้อยก็ต้องอาศัยการฟัง และกาลเวลา ซึ่งค่อยๆ ละความติดข้องเป็นปกติเช่นนี้ จึงแสดงถึงกำลังของปัญญาว่าสามารถที่จะถึงความเห็นถูกต้องในธาตุรู้ซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

    อ.คำปั่น ในการศึกษาพระธรรมที่จะเป็นผู้ไม่เผินในการศึกษา เพื่อที่จะมีความเข้าใจอย่างถูกต้องจริงๆ ก็ดูเหมือนว่าจะต้องขึ้นกับองค์ประกอบหลายอย่างทีเดียวในการที่จะฟังพระธรรมให้เข้าใจ ถ้าไม่มีโสตินทรีย์คือไม่มีโสตปสาท ก็จะไม่มีโอกาสได้ยินได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เพราะว่าในสังสารวัฎที่ผ่านมาก็ได้ยินเรื่องอื่นมามากมาย ก็เป็นไปกับด้วยความยินดียินร้ายมากมาย แต่ได้ยินที่ประเสริฐก็คือได้ยินได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง กราบเรียนท่านอาจารย์เพื่อความเข้าใจในความเป็นจริงของธรรมยิ่งขึ้น

    ท่านอาจารย์ ก็ตรงเลยใช่ไหม ได้ยินอย่างอื่นไม่สามารถที่จะทำให้รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ ไม่ว่าจะได้ยินอะไร คำอื่นทั้งหมด แต่เมื่อได้ฟังคำที่สามารถที่จะทำให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ขณะนี้ ต้องเป็นประโยชน์แน่นอน

    อ.อรรณพ โสตปสาทของผู้ที่เป็นมนุษย์ซึ่งเป็นสุคติภูมิ เป็นผลของกุศลกรรมที่มีโสตปสาทกัน แต่ทำไมจึงมีโอกาสที่จะได้ยินได้ฟังพระธรรมไม่เหมือนกัน

    ท่านอาจารย์ โสตปสาทไม่ได้ยินแน่ แต่เป็นปัจจัยที่จะทำให้กระทบกับเสียง แล้วก็ถ้าเป็นนก ในห้องนี้มี มีโสตปสาทรูปไหม

    อ.อรรณพ มี แต่ว่าเกิดจากอกุศลกรรม

    ท่านอาจารย์ ไม่ว่ากัน แต่ว่าจะเปลี่ยนโสตปสาทรูปซึ่งเกิดเพราะกุศลกรรมหรืออกุศลกรรมให้เป็นอื่นได้ไหม

    อ.อรรณพ โสตปสาทรูปก็เป็นโสตปสาทรูป

    ท่านอาจารย์ ต้องเป็นโสตปสาทรูปนั่นเอง แล้วก็นกตัวนี้อยู่ในห้องนี้ด้วยจะได้ยินเสียงไหม

    อ.อรรณพ ได้ยิน

    ท่านอาจารย์ แล้วเป็นอย่างไรต่อไป ได้ยินก็ดับ เสียงก็ดับ

    อ.อรรณพ เพราะว่าไม่เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ เพราะไม่ได้สะสมมาที่จะทำให้ปฏิสนธิจิตสามารถที่จะเกิดเป็นกุศลวิบาก เพราะฉะนั้นเมื่อเพียงได้ยิน แต่ว่าปฏิสนธิไม่มีโสภณเจตสิกเกิดร่วมด้วย เพราะฉะนั้นก็ไม่เป็นปัจจัยที่จะให้สามารถฟังแล้วก็เข้าใจได้

    อ.อรรณพ แต่ทีนี้ผมถึงระบุมาที่คนซึ่งเป็นภพภูมิที่เป็นสุคติภูมิ ซึ่งโสตปสาทเป็นผลของกุศลกรรม แล้วพื้นจิตอย่างน้อยถ้าไม่บ้าใบ้บอดหนวก ก็จะต้องมีโสภณเจตสิกด้วย พื้นจิตที่เป็นภวังคจิต ภวังคจิตก็มีเหตุ ๒ อย่างน้อย แล้วก็โสตปสาทก็ยังเกิดจากกุศลกรรมด้วย แต่ทำไมโอกาสของการที่จะได้ยินได้ฟังหรือการพิจารณาจึงต่างกัน

    ท่านอาจารย์ แล้วก็ไม่มีกรรมอื่นเลยหรือ

    อ.อรรณพ กรรมอื่นมี

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นมีโสตปสาทรูปเกิดจากกุศลกรรม แต่บางครั้งได้ยินเสียงที่ดี บางครั้งได้ยินเสียงที่ไม่ดี เพราะอะไร เพราะเหตุว่าโสตปสาทเพียงกระทบกับเสียงเท่านั้น แต่ว่าเมื่อได้ยินซึ่งเป็นผลของกรรมดับแล้ว สิ่งที่สะสมมาในจิตก็แล้วแต่ว่าขณะนั้นจะเป็นอะไร ทุกคนก็ได้ยินเสียงนกร้องใช่ไหม แล้วอย่างไร ปฏิสนธิด้วยปัญญาหรือว่าไม่ประกอบด้วยปัญญา เมื่อเป็นมนุษย์ก็เป็นผลของกุศลกรรม นี่เสียงดับไปแล้วอย่างไร แล้วแต่การสะสมระดับใดที่สามารถที่จะเข้าใจความจริงระดับใดว่า เป็นเพียงแต่สิ่งที่ปรากฏแล้วดับไป แล้วก็มีสิ่งอื่นเกิดสืบต่อทันที สักแต่ว่าได้ยิน ไม่มีเรา แต่ว่าถ้ามีความจงใจตั้งใจจะคิดต่อ จะพยายามเช่นนั้นเช่นนี้ ขณะนั้นก็ตามการสะสม

    เพราะฉะนั้นจิตแต่ละหนึ่งเกิดแล้วดับไป แล้วไม่กลับมาอีกแม้ในหนึ่งคน แสดงความละเอียด และความหลากหลายของธาตุ ซึ่งมีปัจจัยปรุงแต่งเกิดแล้วดับไป จนกว่าจะรู้จริงๆ เช่นนี้ จึงจะค่อยๆ ละคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา หรือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ เพราะฉะนั้นมีความเข้าใจมั่นคงขึ้นในความเป็นอนัตตา ทันทีเมื่อสักครู่นี้มีการได้ยินเสียงแล้วก็บอกว่าเสียงนก คิดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นปฏิสนธิจิตประกอบด้วยปัญญาหรือไม่ประกอบด้วยปัญญา แล้วหลังจากนั้นก็แล้วแต่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นระหว่างการได้ยิน แม้แต่เพียงเสียงเดียว นำมาซึ่งสิ่งที่เราไม่รู้เลยมาก ถูกต้องไหม จิตเกิดดับสืบต่อกันเท่าใด จากเสียงธรรมดาแล้วก็กลายเป็นรู้ว่าเสียงนั้นเป็นเสียงนก แล้วยังพูดว่าเสียงนกอีก

    เพราะฉะนั้นเห็นได้ว่าความไม่รู้มากมายสักเพียงใดในการเกิดดับของสภาพธรรม เพราะฉะนั้นเท่าที่ปรากฏในชีวิตประจำวัน ก็เป็นแต่เพียงคร่าวมากคือมีการเห็น แล้วก็รู้ว่าเป็นอะไร ซึ่งเหมือนกับติดกันต่อกันสนิท แต่ระหว่างนั้นก็มีสิ่งที่ไม่รู้ไม่ปรากฏ แล้วถึงแม้ว่าได้ยินแล้วรู้แล้วว่าเป็นเสียงนก บอกกันว่าเป็นเสียงนก แต่ว่าใจของแต่ละคนนั่นเองคิดอะไรก็ไม่รู้อีก เพราะฉะนั้นเต็มไปด้วยความไม่รู้ ส่วนที่รู้น้อยมาก เพราะฉะนั้นส่วนใหญ่ที่รู้ก็เป็นอกุศลอีกด้วย เพราะฉะนั้นกว่าจะเป็นกุศลซึ่งพร้อมด้วยสติสัมปชัญญะ ที่สามารถจะรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามที่ปรากฏด้วยความเข้าใจขึ้น ก็เป็นสิ่งที่จะต้องอบรมแล้วก็สะสมไปด้วยการละ ไม่ใช่ด้วยความติดข้อง

    เพราะฉะนั้นที่ยากที่สุด ยากกว่าการที่มีความเป็นตัวตนแล้วพยายาม ก็คือการรู้ว่า การที่มีตัวตนนั้นผิด เพราะมีความเข้าใจผิดตั้งแต่ต้นว่าเป็นเรา แล้วก็พยายามด้วยความเป็นเรา แต่กว่าจะค่อยๆ เข้าใจ แล้วก็รู้ว่าเป็นหน้าที่ของสภาพธรรมทั้งหมด ไม่ว่าจะหลงลืมสติก็เป็นธรรม สติเกิดก็เป็นธรรม ฟังเข้าใจแค่นี้จะให้เข้าใจมากกว่านี้ก็ไม่ได้เพราะเป็นธรรม เมื่อมีความเข้าใจขึ้น ก็เป็นผู้ที่ปัญญาสามารถรู้ว่าขณะนั้นความเข้าใจเพิ่มขึ้นแล้วจากการที่แต่ก่อนนี้ไม่ได้เข้าใจเช่นนี้

    อ.อรรณพ เมื่อฟังพระธรรมพิจารณาพระธรรม แล้วก็สิ่งที่เป็นจริงในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นโสตปสาทก็ดี การได้ยินก็ดี การที่จะมีความใส่ใจสนใจในสิ่งที่ได้ยินนั้นด้วยกุศลอกุศลอะไรก็แล้วแต่ แต่พอคำตอบสุดท้ายก็คือว่าเพราะความไม่รู้ตลอด

    ท่านอาจารย์ แล้วก็รู้ว่าไม่รู้ ดีกว่าไม่รู้แล้วก็ไม่รู้ว่าไม่รู้ ฟังเพื่อให้รู้ว่าไม่รู้เพียงใด จะได้ค่อยๆ เข้าใจ และรู้ขึ้น

    อ.วิชัย ท่านพระอานนท์ท่านเป็นเอตทัคคะ เช่นในเรื่องของคติที่ว่าท่านฟังบทเดียวสามารถที่จะพิจารณาได้ถึง ๖๐,๐๐๐ บท ฉะนั้นการที่จะฟัง เราคงไม่ถึงคิดถึงว่าท่านคิดอย่างไร แต่การที่จะมีการพิจารณาว่าฟังคำหนึ่งหรือว่าส่วนหนึ่ง แล้วสามารถจะพิจารณา การพิจารณานั้นคืออย่างไร

    ท่านอาจารย์ คุณวิชัยได้ยินแล้ว พิจารณาได้นานเพียงใด

    อ.วิชัย เช่นสักครู่จักขุปสาทรูป ก็รู้ว่าเป็นตาขณะนี้เท่านั้นเอง

    ท่านอาจารย์ จบไปแล้วคิดเรื่องอื่นแล้ว แต่ไม่ใช่ ๖๐,๐๐๐ บท เพราะคิดเรื่องอื่นแทรก ใช่ไหม เมื่อสักครู่นี้คุณวิชัยก็ฟังแล้ว แล้วก็เข้าใจแล้ว แล้วก็คิดเรื่องอื่นแล้ว จึงถามเรื่องอื่น เพราะฉะนั้นท่านพระอานนท์ไม่ใช่เช่นนั้น ฟังแล้ว ๖๐,๐๐๐ บท รวดเร็วเพียงใด คือไม่มีเรื่องอื่นเข้ามาคั่น เพราะฉะนั้นเพียงได้ยินคำว่าท่านพระอานนท์ เทียบได้ไหม ไม่มีทางเลย เอตทัคคะ ๕ สถาน

    อ.อรรณพ ท่านพระอานนท์ ท่านต้องมีสติในการฟัง แล้วก็การใส่ใจอย่างมากเลย ที่ท่านอาจารย์ยกตัวอย่าง เช่นพวกเราฟังเมื่อสักครู่นี้ แล้วเราก็คิดเรื่องอื่น แล้วเราก็มาถามอีก จะไม่มีทางเป็น ๖๐,๐๐๐ บท หรือ ๑๐,๐๐๐ บท หรือว่า ๑,๐๐๐ บทหรืออะไรทั้งสิ้นใช่ไหม แต่ท่านพระอานนท์ท่านจะต้องมีการฟังด้วยสติสัมปชัญญะ แล้วก็ความใส่ใจที่จะพิจารณาในสิ่งนั้นโดยไม่มีสิ่งอื่นมาแทรก แม้ว่าจะเป็นตอนที่ฟัง

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นทั้งพระสูตร และพระอภิธรรม ท่านพระมหากัสสปะเป็นผู้ถาม ท่านพระอานนท์เป็นผู้ตอบ แค่พระสูตรเดียวสั้นๆ ใครสามารถที่จะจบแล้ว พูดตามได้ทั้งหมด กี่บท แล้วลองคิดดู ถ้าเป็นพระสูตรยาว สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคประทับ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใครมาเฝ้า พูดกันว่าอะไร ทักทายกันตั้งแต่คำแรกจนถึงคำสุดท้าย มาจากท่านพระอานนท์ที่ท่านทรงจำไว้ มิฉะนั้นเราไม่มีทางที่จะได้ยินไดัฟังเลย


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 194
    30 เม.ย. 2567

    ซีดีแนะนำ