พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 956


    ตอนที่ ๙๕๖

    ณ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ตอนที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๗


    ท่านอาจารย์ ควรที่จะได้รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏดีกว่าเกิดมาแล้วไม่รู้ แล้วก็จากโลกนี้ไป เพราะฉะนั้นพระธรรมที่ทรงแสดงมีค่านับประมาณไม่ได้ทุกคำ อาสวะมีค่าไหม โอฆะมีค่าไหม ธรรมมีค่าไหม ทุกคำที่ทรงแสดงไว้ ถ้าสามารถที่จะรู้จริงๆ แต่ละคำ วันก่อนเราก็พูดเรื่องภาระ ถ้าไม่รู้ว่าขณะนี้ถ้าไม่มีสภาพธรรมใดๆ เกิดเลยจะดีไหม แค่นี้ แต่ก็ห้ามไม่ได้เพราะอะไร เกิดแล้วไม่มีใครไปบังคับบัญชาได้เลย แล้วก็ปรากฏ แล้วก็หมดไปดับไป ไม่กลับมาอีก ก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงขณะนี้เพียงปรากฏ ก่อนเกิดไม่มี เกิดแล้วดับไป แล้วไม่มีเหมือนกัน

    เพราะฉะนั้นกว่าจะเข้าใจความหมายของภาระที่ขณะนี้ต้องเห็น เกิดมาไม่เห็นไม่ได้ ต้องได้ยินมีสภาพธรรมที่เกิดแล้วต้องได้ยิน ไม่ได้ยินไม่ได้ เพราะฉะนั้นตั้งแต่ขณะแรกมีภาระ เพราะเหตุว่าใช้คำว่าขันธ์ ๕ และใช้คำว่าอุปาทานขันธ์ ๕ ซึ่งรวมรูปขันธ์ซึ่งเกิดจากกรรมเป็นสมุฏฐานด้วย รูปอื่นคงไม่ต้องไปเป็นภาระใช่ไหม แต่ว่ารูปที่เกิดจากกรรมเกิดพร้อมปฏิสนธิจิต และเจตสิก ขณะนั้นไม่มีอะไรเลย ไม่มีเลย แล้วก็มีเพราะกรรมเป็นปัจจัยให้เกิดขึ้น แล้วก็ดับไป แล้วก็เกิดดับสืบต่อจนถึงขณะนี้ แล้วก็ต่อไปอีก เป็นภาระไหม

    เพราะฉะนั้นกว่าจะเข้าใจแต่ละคำได้จริงๆ ก็คือว่าแม้ได้ยินได้ฟังเช่นนี้ ยังไม่รู้เช่นนี้ เพราะเหตุว่าอวิชชาสวะเป็นโอฆะ กว่าจะข้ามจากความไม่รู้ความจริงไปสู่การรู้ความจริง แม้ของสิ่งที่ปรากฏ เช่น เสียงเกิดแล้วดับ แล้วไม่รู้การเกิด และดับ และกว่าจะรู้การเกิด และดับ โอฆะกว้างใหญ่ ซึ่งขณะนั้นต้องอาศัยบารมีที่รู้จริงๆ ว่าความจริงเป็นเช่นนี้ ผู้ที่มีปัญญาเห็นถูกว่าควรเข้าใจถูก ไม่ควรจะไม่รู้ และหลงเข้าใจผิดอีกต่อไป ก็เป็นการที่ฟังทุกเรื่องทุกคำด้วยการไตร่ตรองว่า เมื่อวานนี้ฟังแล้วหมดแล้วจำไม่ได้แล้ว แต่ก็ยังมีเห็น เพื่อที่จะได้รู้ว่าทุกอย่าง ถ้าไม่มีเห็น ไม่มีได้ยิน ไม่มีได้กลิ่น ไม่มีลิ้มรส ไม่มีสภาพธรรมที่กระทบแล้วก็ปรากฏ เพราะจิตเกิดขึ้นรู้แล้วก็ดับไปเท่านั้นเองตลอดในสังสารวัฎ

    เพราะฉะนั้นยาก แต่ก็ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เข้าใจ เพื่อละความติดข้อง ไม่ใช่เพื่อหวังว่าฟังแล้วก็จะรู้การเกิดดับของสภาพธรรม โดยไม่มีความเข้าใจเกิดขึ้นทีละเล็กทีละน้อย

    อ.วิชัย กล่าวถึงเรื่องของโอฆะ ก็เพื่อที่จะให้เข้าใจยิ่งขึ้น เช่น ถ้ากล่าวถึงกาโมฆะ ห้วงน้ำคือความยินดีเพลิดเพลินเป็นไปในกาม หรือภโวฆะ ความยินดีพอใจในความเป็น หรือทิฏโฐฆะ ห้วงน้ำคือความเห็นผิด หรือ อวิชโชฆะคือห้วงน้ำ คือความไม่รู้ การที่หมู่สัตว์ทั้งหลายที่ยังยินดีเพลิดเพลิน เช่น ลืมตา ก็ดูเหมือนกับลักษณะของความพอใจเหมือนจะไม่ปรากฏให้เห็นเลย เพราะว่าเหมือนกับก็มีอย่างที่มีระดับคืออาจจะมีความชอบเห็นอาหารแล้วก็อร่อย เช่นนี้ก็พอที่จะรู้ว่าเป็นความติดข้อง แต่ที่กล่าวว่าหมู่สัตว์ทั้งหลายยังจมอยู่ในห้วงน้ำ คือทั้งเบื้องบนเบื้องล่างเบื้องซ้ายเบื้องขวาเบื้องหน้าเบื้องหลัง เต็มไปด้วยห้วงน้ำทั้งหมด แสดงถึงลักษณะของความที่ยินดีเพลิดเพลิน เป็นไปในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส คืออย่างไร ที่จะให้เห็นถึงความที่จมอยู่ในห้วงน้ำ

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้เห็นใช่ไหม

    อ.วิชัย เห็น

    ท่านอาจารย์ แล้วไม่เห็นอีกต่อไป เป็นอย่างไร คุณวิชัยเห็น แล้วก็ตาบอดไม่เห็นอีกต่อไป เป็นอย่างไร

    อ.วิชัย ก็ยังอยากเห็นอยู่

    ท่านอาจารย์ เป็นทุกข์แล้ว เพราะฉะนั้นไม่รู้เลยว่า แท้ที่จริงแล้วความยินดีเป็นอาสวะที่ไหลไปตลอดโดยไม่รู้เพราะอวิชชา ที่ความติดข้องไม่ปรากฏเพราะความไม่รู้ว่าขณะนั้นมีความติดข้องแล้วโดยไม่รู้ด้วยว่าติดข้อง แต่พอไม่มี เดือดร้อนแล้วใช่ไหม แสดงว่าถ้าไม่ติดข้องก็ไม่เป็นไร ไม่มีก็ไม่เป็นไร แต่ไม่มีไม่ได้ ไม่มีแล้วเดือดร้อน ไม่มีแล้วอยากมีเหมือนเดิม ก็แสดงให้เห็นว่าติดข้องโดยที่ว่าไม่รู้ เพราะว่าขณะนั้นมีอวิชชาโมหเจตสิกเกิดร่วมด้วย

    อ.วิชัย ดูเหมือนว่าความพอใจ เมื่อศึกษาแล้วก็เข้าใจเพิ่มขึ้นตั้งแต่ลืมตาเลย ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาก็ต้องแสวงหาแล้วในสิ่งต่างๆ

    ท่านอาจารย์ และถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมจะรู้เช่นนี้ไหม และไม่ว่าสภาพธรรมใดๆ ที่เป็นโลภะ โทสะ โมหะ ที่เป็นกุศล อกุศลทั้งหลายที่เกิดแล้ว แม้ดับไปก็สะสมอยู่ในจิต รู้ไหมว่าทำไมถึงบางครั้งโทสะเกิด บางครั้งโลภะเกิด บางครั้งศรัทธาเกิด ไม่มีใครสามารถไปทำได้เลย แต่ว่ามีการสะสมเป็นอัธยาศัย ที่จะเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย

    อ.วิชัย ถ้าพูดถึงความยินดีเพลิดเพลินไปในกามคือ รูปเสียงกลิ่นรสสัมผัส ก็ดูเหมือนกับตอนแรกก็เหมือนเป็นความยินดีแล้วก็ติดข้อง แต่ว่าภายหลังพอสิ่งนั้นเปลี่ยนแปลงก็เหมือนกับมีความทุกข์ใจในสิ่งนั้น

    ท่านอาจารย์ แล้วใครสามารถที่จะละความยินดีติดข้องในรูปที่ปรากฏทางตาให้เห็นได้บ้าง แสวงหาอยู่เสมอ ที่จะให้ได้รูปที่พอใจ ทางหนึ่งแล้ว ตา ทางหู เสียงก็เช่นเดียวกัน มีดนตรีไพเราะหลากหลายมาก แม้แต่พิณในอดีตใช่ไหม มีเสียงพิณก็ไม่รู้มาจากไหน แต่ความจริงก็ต้องมีเหตุที่จะให้เกิดเสียงนั้น แล้วเสียงนั้นก็หมดไป แล้วยังอยากได้ยินไหม จนต้องไปถามว่านั่นเสียงอะไร เห็นไหม เพราะฉะนั้นทุกขณะที่ชีวิตเป็นไป ก็เป็นไปด้วยความไม่รู้ความจริง ซึ่งไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง แต่เพราะการเกิดดับสืบต่ออย่างเร็วมาก ก็จะทำให้เหมือนกับว่าขณะนี้ไม่มีอะไรดับเลย แล้วเช่นนี้จะละความไม่รู้ และความติดข้องได้อย่างไร

    แต่ก็มีปัญญาที่สามารถที่จะเข้าใจถูกเห็นถูก เมื่อได้ฟังบ่อยๆ แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น แต่ไม่ใช่ไปเร่งรัดว่าอยากจะหมดกิเลสวันนี้ อยากจะให้เห็นว่าสภาพธรรมขณะนี้เกิดดับ ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เคยยึดถือไว้เลย เพราะว่าต้องเป็นปัญญาเท่านั้นที่สามารถที่จะเข้าใจถูกเห็นถูกในลักษณะของสิ่งที่มีจริง แล้วปัญญานั้นจะมาจากไหน เกิดขึ้นเองก็ไม่ได้ ต้องอาศัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง โดยมีธรรมเป็นที่พึ่ง มีพระอริยบุคคลเป็นที่พึ่ง เพราะฉะนั้นเมื่อวานนี้หมดไปแล้ว ใครคิดว่าจะทบทวนจำไว้ทุกคำไหม หรือว่ารู้ว่าฟังเพื่อให้เห็นความเป็นไปของธรรมซึ่งเกิดแล้วก็ต้องเป็นจนกว่าปัญญาจะเกิดขึ้น

    อ.คำปั่น นี่ก็คือเบื้องต้นที่ได้สนทนาพื้นฐานพระอภิธรรม ก็เป็นการกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงๆ เพื่อประโยชน์ก็คือเพื่อความเข้าใจอย่างถูกต้อง เพราะว่าสิ่งที่ควรศึกษาให้เข้าใจก็ไม่พ้นไปจากชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะยกคำใดขึ้นมาก็ไม่พ้นไปจากสภาพธรรมที่มีจริงเลย

    ท่านอาจารย์ กำลังพูดเรื่องธรรม แล้วจะเป็นเราได้ไหม

    อ.คำปั่น เมื่อเป็นธรรมก็ไม่ใช่เรา

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ได้กล่าวว่าพระสูตรเป็นเรื่องของเรื่องราวสัตว์บุคคล

    ท่านอาจารย์ ต้องใช้คำว่าส่วนใหญ่ ไม่ใช่ทั้งหมด ไม่ว่าพระวินัยพระสูตรส่วนใหญ่ พระอภิธรรมก็มีคัมภีร์ปุคคลบัญญัติ แสดงให้เห็นลักษณะสภาพธรรมที่หลากหลายทำให้บัญญัติเป็นบุคคลต่างๆ

    ผู้ฟัง แล้วท่านอาจารย์กล่าวว่าที่เป็นเรื่องราวเป็นสัตว์บุคคล จะนำไปสู่ความเข้าใจความจริงได้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีตาหูจมูกลิ้นกาย ไม่มีเห็น มีได้ยิน จะมีคุณนิรันดร์ไหม

    ผู้ฟัง ก็ไม่มี

    ท่านอาจารย์ เพราะว่ามีธรรมแต่ไม่รู้ตามความเป็นจริง แม้แต่เห็นถ้ารู้จริงๆ ขณะนี้จะต้องไม่มีอย่างอื่นปรากฏ นอกจากธาตุรู้ที่กำลังเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้น นี่คือความจริง เพราะฉะนั้นกว่าจะรู้ความจริงว่าเห็นจะเป็นคุณนิรันดร์ได้อย่างไร ก็ต้องอาศัยการฟัง นอกจากเห็นก็ยังมีได้ยิน มีได้กลิ่น ทั้งหมดชีวิตประจำวันทั้งหมด ก็เป็นธรรมแต่ละหนึ่งซึ่งมีปัจจัยทำให้เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปสืบต่อเร็วมาก เมื่อเช้านี้ไม่ใช่เดี๋ยวนี้ เมื่อสักครู่นี้ก็ไม่ใช่เดี๋ยวนี้

    เพราะฉะนั้นกว่าจะมีความเข้าใจถูกต้องว่า ถ้าไม่มีสภาพธรรมใดๆ เลยทั้งสิ้น ความยึดถือว่ามีเรา ก็มีไม่ได้ แต่เมื่อมีสภาพธรรมเกิดแล้วไม่รู้ความจริง ก็ยึดถือสิ่งนั้นซึ่งเกิดดับสืบต่ออย่างรวดเร็ว ไม่ปรากฏการเกิดดับเลยเหมือนเที่ยงตลอดเวลา ทำให้เข้าใจผิดคิดว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ยั่งยืน เพราะมีการปรากฏของนิมิตรูปร่างสัณฐานของสิ่งที่ปรากฏ จนกระทั่งทำให้ดูเสมือนว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เคยจำได้

    ผู้ฟัง เวลาที่เราอ่านเราฟังพระสูตร ก็เป็นแต่เรื่องราวสัตว์บุคคล แล้วเราจะเข้าใจได้อย่างไรว่า พระธรรมนั้นได้ทรงแสดงความจริงเพื่อให้เราเข้าใจว่าเห็นในขณะนี้เป็นธรรม เพราะถ้าเราอ่านเท่าไรก็จะเป็นเรื่องราวเป็นสัตว์บุคคล ก็จะไม่สามารถรู้ได้ว่าขณะเห็นเป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ คุณนิรันดร์อ่านพระสูตร ซึ่งในครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคตรัสกับผู้ที่ได้ฟังแล้วเข้าใจ เพราะสะสมความเห็นถูกความเข้าใจถูกในสมัยก่อนๆ ในชาติก่อนๆ มามาก เพราะฉะนั้นเมื่อได้ฟังพระธรรมจึงสามารถที่จะเข้าใจได้ แต่ว่าสำหรับผู้ที่ไม่ได้สะสมมาถึงระดับที่จะได้เฝ้าได้ฟังพระธรรมจากพระโอษฐ์แล้วเข้าใจได้ทันที ก็กำลังสะสมความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย จากการฟังข้อความที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้แล้วกับพระภิกษุในครั้งนั้น หรือกับบุคคลใดก็ตามที่ได้ไปเฝ้า แล้วก็กราบทูลถามเพื่อจะได้พิจารณาค่อยๆ เข้าใจตามทีละเล็กทีละน้อยว่า เป็นความจริงหรือเปล่า ถ้าไม่มีเห็น มีคุณนิรันดร์เห็นไหม

    ผู้ฟัง ก็จะไม่มีตัวผมที่เห็น

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นที่เข้าใจว่าเป็นคุณนิรันดร์หรือใครก็ตามหรือสิ่งที่มีชีวิตต่างๆ เป็นสัตว์บุคคลต่างๆ ก็เพราะเหตุว่ามีสภาพธรรมซึ่งเป็นธาตุรู้เกิดขึ้น โดยเห็นบ้าง ได้ยินบ้าง คิดบ้าง จำบ้างเหล่านี้ ก็เข้าใจว่านั่นเป็นสัตว์บ้างเป็นคนบ้าง ต้องเข้าใจคำแรก ธรรมสิ่งที่มีจริง ถ้าไม่มีธรรมไม่มีสิ่งที่มีจริง อะไรก็ไม่มี

    ผู้ฟัง ถ้าไม่เข้าใจว่าฟังธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง ถ้าฟังพระสูตรเรื่องราวต่างๆ ก็จะเป็นเรื่องของสัตว์บุคคลต่างๆ โดยไม่เข้าใจความจริง

    ท่านอาจารย์ ทำดี ใครทำ

    ผู้ฟัง ก็เป็นตัวเราที่ทำ

    ท่านอาจารย์ แล้วความจริง ดีเป็นอะไร

    ผู้ฟัง เป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ เป็นธรรม เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป ทุกอย่างเป็นธรรม ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่ใช่เป็นเราเป็นเขา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ยั่งยืน เกิดมาเหมือนกับเป็นคุณนิรันดร์ชาตินี้ จะอยู่ไปอีกนานเท่าใด ไม่มีทางที่จะรู้ได้เลย ต้องจากโลกนี้ไปแล้ว แต่เมื่อได้ยินได้ฟังได้เริ่มเข้าใจ สะสมไปมีโอกาสที่จะได้ฟังอีกก็เข้าใจได้ตามที่ได้สะสมมา

    ผู้ฟัง หมายถึงฟังแล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เมื่อวานนี้ที่เข้าใจกับวันนี้ถ้าได้ฟังอีก ความเข้าใจก็เพิ่มขึ้น

    ผู้ฟัง แม้ว่าจะไม่เข้าใจว่าเห็นเป็นธรรมในขณะนี้ทันที

    ท่านอาจารย์ แต่ไตร่ตรองจริงหรือเปล่า คำนี้จริงหรือเปล่า วาจาสัจจะหรือเปล่า เพราะฉะนั้นเวลาเห็นก็สามารถที่จะเริ่มเข้าใจได้ว่าเห็นก็เป็นเพียงเห็น เห็นแล้วก็ดับ เห็นแล้วก็ดับ เห็นแล้วก็ดับ

    อ.คำปั่น เพราะฉะนั้นก็คือความสำคัญอยู่ที่เบื้องต้นว่ากล่าวถึงสิ่งที่มีจริง แม้ว่าจะทรงแสดงโดยปรารภสัตว์บุคคลต่างๆ ก็คือเพราะว่ามีสภาพธรรมที่มีจริง เกิดขึ้นเป็นไปจึงสมมติเรียกว่าเป็นบุคคลนั้นบุคคลนี้

    ผู้ฟัง อยากทราบความหมายของคำว่าเพียงสิ่งที่ปรากฏของท่านอาจารย์ว่า แท้จริงแล้วมีความมุ่งหมายไปถึงทุกขณะจิตใช่หรือไม่

    ท่านอาจารย์ หลับตาหน่อย มีสิ่งที่กำลังปรากฏเหมือนตอนที่ลืมตาหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นขณะที่ลืมตาก็มีเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ถูกต้องไหม

    ผู้ฟัง ถูกต้อง

    ท่านอาจารย์ พอหลับตาแล้ว ยังมีอยู่ไหม

    ผู้ฟัง สิ่งที่ปรากฏทางตา ไม่มี

    ท่านอาจารย์ นี่ก็แสดงให้เห็นว่าที่กำลังปรากฏให้เห็น ต้องต่างกับขณะที่หลับตา หรือในขณะที่เสียงปรากฏไม่มีสิ่งนี้ปรากฏเลย จะปรากฏพร้อมกันไม่ได้ อยู่ในห้องมืดๆ ได้ยินเสียงไหม

    ผู้ฟัง อยู่ที่ห้องมืด ได้ยินเสียง

    ท่านอาจารย์ ลืมตาอยู่ได้ยินเสียงไหม

    ผู้ฟัง จะสลับกัน

    ท่านอาจารย์ แสดงว่าได้ฟังธรรมมาบ้างแล้ว แต่ถ้ายังไม่ได้ฟังเลย ลืมตาหรือหลับตาก็มีเสียงเหมือนพร้อมกัน เช่น ในขณะที่ลืมตาเดี๋ยวนี้ก็มีเสียงด้วยใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ สำหรับผู้ที่ยังไม่เคยฟังธรรมเลย แต่ถ้าฟังเริ่มเข้าใจว่าสิ่งที่มีจริงเกิดขึ้นทีละอย่างทีละหนึ่งขณะ ปรากฏพร้อมกันไม่ได้ ก็จะเริ่มเข้าใจว่าขณะใดก็ตามที่มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ขณะนั้นเสียงจะปรากฏไม่ได้ หรือขณะใดที่เสียงปรากฏสิ่งที่ปรากฏทางตาขณะนี้ก็ปรากฏไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงเพียงปรากฏแล้วก็หมดไป เหมือนกันหมดทุกอย่าง

    พระภิกษุ เคยฟังอาจารย์บอกว่าปัญญาขั้นการฟังไม่สามารถที่จะทำอะไรกิเลสได้ คือหมายถึงละกิเลสไม่ได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นอบรมอย่างไรในขณะที่เห็น เพื่อจะให้เพียงแต่การเห็นเท่านั้น

    ท่านอาจารย์ อบรมเพื่ออะไร

    พระภิกษุ ก็จริงๆ ไม่ค่อยเข้าใจว่าคำอบรมนั้นคืออะไร

    ท่านอาจารย์ ตามความเป็นจริงก็คือว่าสำคัญที่สุด คือเราไม่เข้าใจคำที่เราพูดตั้งแต่เกิดจนตายจนกว่าจะได้ฟังพระธรรม เช่น เราได้ยินคำว่าปัญญา แต่ถามว่าปัญญาคืออะไร ไม่มีใครตอบได้ แต่ถ้าพูดถึงความเข้าใจถูก ไม่เข้าใจผิดในสิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่ต้องใช้คำอะไรเลยก็ได้ แต่ว่าความเข้าใจนั้นก็คือว่าเห็นถูกต้องตามความเป็นจริง เช่น ขณะนี้กำลังเห็น รู้จักเห็นหรือยัง นี่คือปัญญาขั้นฟัง

    พระภิกษุ ยังไม่รู้จัก

    ท่านอาจารย์ ปัญญาขั้นฟังรู้ว่าเห็นมีแน่นอน และปัญญาขั้นฟังก็ไตร่ตรองตรงด้วย เห็นต้องเกิด ถ้าเห็นไม่เกิดไม่มีเห็น แล้วเห็นก็จะเกิดเองไม่ได้ ไม่มีใครไปทำให้เห็นเกิดได้เลย แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่สามารถที่จะทำเห็นให้เกิดได้ แต่ทรงตรัสรู้ความจริงของธรรมทั้งหมดซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ถูกต้องกว่าการที่คิดว่าจะไปทำเห็นฉันใด จะไปทำให้เกิดปัญญาความเห็นถูกความเข้าใจถูกเป็นไปไม่ได้เลย

    เพราะเหตุว่าไม่มีอะไรที่ใครคนหนึ่งคนใดจะทำได้ แต่ว่าสภาพธรรมทั้งหมดต้องเกิดจากเหตุปัจจัย ถ้าไม่มีการได้ยินได้ฟังวาจาสัจจะคำจริง เรื่องเห็นเรื่องได้ยินเรื่องทุกขณะที่มีในชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย ก็ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงได้ว่า แท้ที่จริงแล้วก็ไม่มีอะไรเลย นอกจากสิ่งที่เกิดแล้วก็ดับตามเหตุตามปัจจัยเท่านั้นเอง แค่นี้จะทำลายกิเลสที่เคยยึดถือว่ามีเรามีดอกไม้ มีโต๊ะ มีเก้าอี้ได้ไหม

    พระภิกษุ ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นการฟังต้องฟังต่อไปเพื่อเข้าใจขึ้น เพราะฉะนั้นส่วนใหญ่บางคนละเลยแล้วก็ลืม แล้วก็เห็นผิดว่าไม่ต้องเข้าใจอะไร ก็ไปนั่งทำอะไร เขาบอกให้ทำอะไรก็ทำ แล้วก็รู้อะไร เขาบอกให้รู้ก็รู้เช่นนั้น แต่ว่าไม่ได้มีความเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงของสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏในขณะนี้ แต่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงให้ผู้ฟังได้ไตร่ตรองได้เข้าใจตามความเป็นจริง ซึ่งไม่ใช่บังคับให้เชื่อหรือว่าไม่ใช่บอกให้ทำอะไร แต่ว่ามีความเห็นถูกมีความเข้าใจถูกในคำที่ได้ยิน เช่น สิ่งที่มีจริง ถ้าถามคนที่ไม่เคยฟังธรรมเลย ถามว่าเดี๋ยวนี้อะไรมีจริง ตอบได้ไหม

    พระภิกษุ ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ แต่พอฟังแล้ว เช่น เห็นมีจริงหรือเปล่า ตอบได้ไหม

    พระภิกษุ ได้

    ท่านอาจารย์ ได้ ได้ยินมีจริงหรือเปล่า

    พระภิกษุ มีจริง

    ท่านอาจารย์ เห็นเกิดหรือเปล่า

    พระภิกษุ เกิด

    ท่านอาจารย์ เห็นดับหรือเปล่า

    พระภิกษุ ดับ

    ท่านอาจารย์ ถ้าเห็นไม่ดับ ก็มีแต่เห็น แต่ว่าเป็นไปไม่ได้เลย เพราะว่าเห็นเกิดขึ้น แล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้นทุกอย่างถูกปกปิดไว้ด้วยความไม่รู้แน่นหนามากมาย จนกว่าจะมีผู้ที่บำเพ็ญบารมีนานแสนนานแล้วก็รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ และมีพระมหากรุณาที่จะแสดงความจริงนั้นให้คนอื่นได้เข้าใจด้วย จึงได้มีผู้ที่ได้ยินได้ฟังคำสอน แล้วก็ไตร่ตรองจนกระทั่งความเข้าใจเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้นก่อน จนถึงแม้ขณะที่โลกุตรจิตเกิดมีนิพพานเป็นอารมณ์ก็ต้องมีความเข้าใจถูก ในขณะนั้นไม่ใช่ไม่รู้ และก็มีนิพพานเป็นอารมณ์เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้นสำคัญที่สุดก็คือความเห็นถูกความเข้าใจถูก ไม่ใช่ให้ไปทำด้วยความหวังหรือด้วยความต้องการหรือว่าทั้งๆ ที่ไม่รู้ก็อยากจะรู้มากกว่าที่สามารถจะรู้ได้

    พระภิกษุ ยาก

    ท่านอาจารย์ ยาก ยากแน่นอน เพราะต้องรู้ว่าคนที่จะกล่าวว่าเพียงสักว่าอาศัยระลึกขณะนั้นเพราะเข้าใจสภาพธรรมที่ปรากฏเกิดแล้วดับ เมื่อปรากฏการเกิดแล้วดับจึงสามารถที่จะกล่าวได้ว่าสิ่งนั้นเพียงอาศัยระลึก เพราะพอรู้ก็ดับแล้ว

    พระภิกษุ แต่ไม่ใช่ขั้นฟังใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ขั้นฟังได้ คือสามารถที่จะเข้าใจว่าเป็นเช่นนั้น แต่ยังไม่ประจักษ์เช่นนั้น ยังไม่ถึงขณะที่สภาพธรรมปรากฏการเกิดดับจริงๆ

    พระภิกษุ เป็นเพียงปัญญาขั้นเริ่มต้นใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ขั้นฟังเข้าใจว่าเกิดดับ และต้องเป็นผู้ที่ตรงด้วย เดี๋ยวนี้ยังไม่คลายการยึดถือเห็นว่าเป็นเรา แล้วจะมีอะไรไปเกิดดับได้ในเมื่อยังมีความไม่รู้ และความต้องการในเห็นที่กำลังปรากฏอยู่

    พระภิกษุ เห็นข้อความในธรรมอรรถกถา ภิกษุสมัยพุทธกาลมีอุบาสิกาท่านหนึ่งอุปัฏฐากท่านพระภิกษุนั้น แต่อุบาสิกานั้นเป็นพระอนาคามีบุคคล แต่มีอภิญญารู้ใจภิกษุนั้น ภิกษุองค์นั้นท่านคิดอะไรอยากได้อะไร อุบาสิกานั้นรู้หมดเลย แล้วก็เอาสิ่งของอาหารบิณฑบาตรอะไรมาถวาย ต่อมาภายหลังภิกษุองค์นั้นท่านรู้ว่าอุบาสิกานั้นรู้ใจก็เลยไม่อยากอยู่ที่นั่น เพราะว่าวิสัยของปุถุชนคิดเรื่องไม่ดีคิดเรื่องลามกมากมาย ก็เลยเกิดความอายไม่อยากอยู่ที่นั่น ก็เลยไปเฝ้าพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ทราบอัธยาศัยว่าภิกษุนั้นต้องไปอยู่ที่อุบาสิกานั้น อุปัฏฐากจึงจะสามารถบรรลุได้ ก็เลยบอกให้ภิกษุองค์นั้นกลับไป แต่พระพุทธองค์ให้กรรมฐานว่าจงรักษาจิตรักษาใจ แต่ในอรรถกถาท่านไม่ได้บอกความละเอียดว่ารักษาอย่างไร

    ท่านอาจารย์ เข้าใจที่พระผู้มีพระภาคตรัสหรือเปล่า พระภิกษุรูปนั้นเข้าใจหรือเปล่า

    พระภิกษุ เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ เข้าใจ ก็สามารถที่รู้ว่ารักษาใจไม่ใช่เรา แสดงว่าใจไม่ใช่เรา

    พระภิกษุ พระพุทธองค์ตรัสในนัยของมหาสติปัฏฐานว่า ใจประกอบด้วยราคะโทสะโมหะเป็นต้น ก็รู้ว่าประกอบด้วยราคะโทสะโมหะใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ รู้ความจริงของทุกสิ่ง ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไร เพื่อที่จะละการยึดถือสภาพนั้นว่าเป็นเรา

    พระภิกษุ ถ้าไม่รู้

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่รู้ก็เป็นเรา ไม่อยากมีอกุศล แต่อกุศลก็เกิด แล้วก็เราก็ไม่อยากมีอกุศลไปเรื่อยๆ และอกุศลก็เกิดไปเรื่อยๆ เพราะไม่ใช่ความเข้าใจถูกว่า อกุศลใดๆ หรือสิ่งใดๆ ก็ตาม ไม่ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิดสิ่งนั้นมีปัจจัยเกิดขึ้น แล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีก จนกว่าจะชิน จนกว่าจะเข้าใจเช่นนี้จริงๆ ได้


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 194
    20 พ.ค. 2567

    ซีดีแนะนำ