พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 958


    ตอนที่ ๙๕๘

    ณ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๗


    อ.วิชัย จากการสนทนาวิชาการท่านอาจารย์ก็กล่าวถึงว่าทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลง และยกตัวอย่างถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่อาจจะไปตามสถานที่ต่างๆ ซึ่งสิ่งนั้นแม้จะมีความสนุกสนานรื่นเริง แต่ว่าก็ไม่มีในเดี๋ยวนี้แล้ว ฉะนั้นการที่มีโอกาสที่บุคคลอื่นเมื่อได้ยินได้ฟังเช่นนี้ก็เหมือนจะเข้าใจ แม้ว่าชีวิตต่างๆ อาจจะเรื่องของการงาน เรื่องของวัย เรื่องของทรัพย์สินต่างๆ ที่มีการเปลี่ยนแปลง แต่ว่าการที่จะมาศึกษาอภิธรรมจะเป็นปัจจัยให้มีความรู้ความเข้าใจในความละเอียดของการเปลี่ยนแปลงของสิ่งต่างๆ มากน้อยแค่ไหน

    ท่านอาจารย์ ไม่มีสักขณะเดียวซึ่งเกิดขึ้นแล้วไม่ดับไป เมื่อดับไปแล้ว ขณะต่อไปก็ไม่ใช่ขณะก่อน เพราะฉะนั้นขณะต่อไปอีกต่อไปอีกก็จะแสดงให้เห็นการปรุงแต่งตั้งแต่เริ่มตั้งแต่ขณะที่หนึ่งเรื่อยๆ ไป

    อ.วิชัย จะเห็นความละเอียดอาจจะพูดถึงว่าสิ่งที่มีเปลี่ยนแปลง แต่ว่าที่ท่านอาจารย์กล่าวว่าถ้าจะเข้าใจคือต้องทีละหนึ่งที่จะเข้าใจถึงว่าเข้าใจสิ่งนั้น และก็การที่จะรู้ว่าสิ่งนั้นเปลี่ยนแปลงด้วย

    ท่านอาจารย์ เกิดมากับเดี๋ยวนี้เหมือนกันไหม

    อ.วิชัย ไม่เหมือนแน่นอน

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นที่ใกล้กว่านั้น ก็คือว่าหนึ่งขณะจิตที่ดับไป กับขณะที่เกิดสืบต่อไม่ใช่ขณะเดียวกัน ค่อยๆ เปลี่ยนไปเรื่อยๆ จนปรากฏจากเด็กสู่วัยต่างๆ จนกระทั่งถึงขณะที่จากโลกนี้ไป ก็มีการเปลี่ยนอยู่เรื่อยๆ แม้ขณะนี้เปลี่ยนจากเห็นเป็นได้ยินหรือเปล่า

    อ.วิชัย ก็มีเห็นมีได้ยิน

    ท่านอาจารย์ แล้วเปลี่ยนจากได้ยินเป็นเห็นหรือเปล่า

    อ.วิชัย คือรู้ว่ามีแต่ว่าการเปลี่ยนแปลงก็เหมือนกับเพียงเข้าใจ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเพียงเข้าใจว่าเปลี่ยน แต่ความจริงสิ่งที่ว่าเปลี่ยน ต้องเกิดแล้วดับ ถ้าเกิดแล้วไม่ดับ เปลี่ยนไม่ได้เลย แต่เมื่อเกิดแล้วดับไปเป็นปัจจัยให้ขณะต่อไปเกิดสืบต่อ ซึ่งไม่ใช่ขณะก่อน ก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปทีละหนึ่งขณะ

    อ.วิชัย การศึกษาพื้นฐานพระอภิธรรม ท่านอาจารย์หมายถึงว่าให้เข้าใจทีละหนึ่ง แต่ว่าตามความเป็นจริงคือสิ่งนั้นต้องมีการเปลี่ยนแปลง แต่ว่ายังไม่เข้าใจใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ให้เข้าใจคำแรกว่าทุกอย่างเป็นธรรม สิ่งที่มีจริงขณะนี้มีจริงๆ เมื่อเกิดขึ้นจึงปรากฏว่ามี เมื่อมีแล้วก็ดับไป ไม่กลับมาอีก นี่คือคำนี้จะคงอยู่ตลอดไปไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะฟังเรื่องพระสูตรพระวินัยหรือพระอภิธรรม ก็เพื่อให้รู้ความจริงว่าไม่มีอะไรซึ่งคงที่ มีปัจจัยทำให้เกิดแล้วดับแน่นอนทุกขณะด้วย จึงจะเข้าใจความหมายของคำว่าสิ่งที่มีจริง คือธรรมเป็นเช่นนี้เป็นอย่างอื่นไม่ได้ ภาวะก็คือความเป็นไป เกิดขึ้น และต้องเป็นเช่นนี้

    อ.วิชัย ตอนนี้ก็เหมือนกับเห็นแล้วก็ได้ยินด้วย แต่ว่าความรู้ที่จะเพิ่มขึ้นก็คือฟังเช่นนี้

    ท่านอาจารย์ ก็หมายความว่าเห็นไม่ใช่ได้ยิน ธรรมดามากๆ เลย ธรรมเป็นปกติธรรมดา แต่เข้าใจให้ถูกต้องอย่างมั่นคงว่า เห็นเป็นเห็น เห็นเป็นอื่นไม่ได้ เห็นเกิดขึ้นแล้วต้องดับ ธรรมดาเช่นนี้ เพราะว่าธรรมคือธรรมดา ชีวิตทุกวันนี้ก็เป็นธรรมซึ่งเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้นการฟังธรรมก็คือว่าให้เข้าใจสิ่งที่มีตามปกติตามความเป็นจริง แล้วเดี๋ยวนี้ก็เห็นด้วย แล้วก็ได้ยินด้วย เป็นธรรมดา

    แต่ความเข้าใจไม่ได้เป็นการเข้าใจสิ่งที่มีตามธรรมดา จนกว่าจะได้ฟังละเอียดขึ้นละเอียดขึ้น ก็จะค่อยๆ ละคลายการที่เคยยึดถือว่าเที่ยง แต่ความจริงไม่เที่ยงเลย แต่ว่าการไม่เที่ยงยากที่จะรู้ได้ เพราะเหตุว่าไม่ใช่เพียงคิด หรือเพียงมองเห็น หรือเพียงปรากฏรูปร่างที่เปลี่ยนไป หรือสิ่งที่ปรากฎต่างๆ กันไป แต่ต้องเป็นแต่ละหนึ่งขณะของสิ่งที่มีปัจจัยเกิดขึ้นรู้ แล้วก็ดับไป คือจิตซึ่งเกิดพร้อมกับเจตสิก แล้วก็มีสิ่งที่ปรากฏให้รู้ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ ทุกวันเป็นเช่นนี้ ไม่ได้เป็นอย่างอื่นเลย เป็นเช่นนี้เหมือนกันทุกวันในสังสารวัฎ

    อ.วิชัย แสดงว่าการดำเนินไปก็ต้องมีเห็นได้ยิน เช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ

    ท่านอาจารย์ อาหารเช้าวันนี้เหมือนอาหารเย็นเมื่อวานนี้หรือเปล่า

    อ.วิชัย ไม่เหมือน ก็ดับไปแล้วด้วย

    ท่านอาจารย์ เปลี่ยนแล้วใช่ไหม อาหารกลางวันวันนี้ก็ไม่เหมือนตอนเช้า เช่นนี้ก็คือเปลี่ยนเช่นที่เห็น แต่ความจริงเราคิดว่าเป็นอาหารแต่ละมื้อ แต่ความจริงถ้าไม่มีจิตเกิดขึ้นเห็นเลย จะมีไหม อาหารก็ไม่มี อาหารเช้าอาหารเย็นอาหารกลางวันก็ไม่มี แต่เพราะเหตุว่ามีธาตุรู้ซึ่งเกิดขึ้น และสิ่งที่ปรากฏปรากฏว่ามีจริงๆ แต่ว่าสิ่งที่มีจริงเปลี่ยนแปลงเร็วจนกระทั่งเหมือนกับไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลย แต่อีก ๑๐ ปี มาพบกันใหม่ จำได้หรือเปล่า บางคนก็ไม่พบกันตั้ง ๓๐ ปี จำไม่ได้เลย เอารูปถ่ายตอนสมัยเด็กๆ หรือสมัยไหนก็ได้มาดูกับสมัยนี้ซึ่งห่างกันมาสัก ๒๐, ๓๐ ปี ใครจำได้ไหม เราเองแท้ๆ หรือเปล่า นี่ก็เป็นสิ่งซึ่งเป็นความจริง

    อ.อรรณพ เพราะว่าความไม่รู้ก็ทำให้ค้านกันเอง คือเห็นว่าเป็นสัตว์บุคคลที่ยั่งยืน แต่ว่าก็มีสิ่งที่หมดไปผ่านไปวัยเด็กก็ไม่เหมือนปัจจุบัน ก็เหมือนกับว่ามีความคิดว่าแปรปรวนไปด้วย แต่ก็มีความคิดว่าเป็นเราที่ยั่งยืนไปด้วย สำหรับคนทั่วไปเขาก็คิดซึ่งมาจากความไม่รู้ แต่ว่าเหมือนค้านกันเองว่าเป็นเรา เป็นอะไรที่ยั่งยืน แต่เขาก็เห็นว่าก็แปรเปลี่ยนไปทั้งในทางที่น่าพอใจ และไม่น่าพอใจ เหมือนกับจะค้านกันเองด้วยความไม่รู้

    ท่านอาจารย์ แล้วคนธรรมดารู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า

    อ.อรรณพ ไม่รู้จัก

    ท่านอาจารย์ ก็ต้องเป็นเช่นนี้ตราบใดที่ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    อ.อรรณพ ก็เลยเหมือนกับว่ามีความเห็นค้านกันไปในตัวว่าเป็นตัวตนที่ยั่งยืน แต่ก็เห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงหมดไปแล้ว ความสนุกสนานในอดีตอะไรก็หมดไปแล้ว แล้วก็เปลี่ยนแปลงไป ก็เหมือนกับไม่รู้ ทำให้ความเห็นก็ยังเหมือนกับค้านกันไปเอง

    ท่านอาจารย์ เพราะจริงๆ แล้วตั้งแต่เกิดจนถึงวันนี้ เห็นก็เป็นเห็น เพราะฉะนั้นเห็นจะเห็นอะไร ก็ยังคงเป็นเราเห็น ตอนเป็นเด็กเป็นเราเห็น โตขึ้นมาเห็นก็เป็นเห็น แต่ก็ยังคงเป็นเราเห็นเหมือนเดิม ไม่ว่าจะได้ยินไม่ว่าจะคิดนึก แม้จะเปลี่ยนไป แต่ก็เป็นเรานั่นเองที่คิดนึก ที่ได้ยิน เพราะคิดนึกเป็นคิดนึก คิดนึกจะเป็นอื่นไม่ได้ แต่คิดนึกก็เป็นเราคิด จะตอนเด็กหรือตอนไหน คิดเป็นคิด แต่เพราะความไม่รู้จึงเป็นเราคิด

    อ.อรรณพ แล้วก็จำไว้ด้วยความไม่รู้ แล้วก็ความเป็นตัวตนว่าเป็นเช่นนี้เหมือนกันเลย กลับมามีใหม่

    ท่านอาจารย์ ทั้งหมดเพราะไม่รู้ ทั้งหมดแน่ๆ ไม่เว้นเลย เพราะไม่รู้ตั้งแต่เกิดมาเพราะไม่รู้ พูดเพราะไม่รู้ คิดเพราะไม่รู้ ทุกสิ่งทุกอย่างเพราะไม่รู้

    อ.กุลวิไล ความไม่รู้ปิดบังสภาพธรรมที่เป็นจริง ขณะนี้เองถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมก็ไม่รู้ว่าทั้งหมดเป็นธรรม และสิ่งเหล่านี้เปลี่ยนแปลง

    ผู้ฟัง บทกลอนที่สั้นๆ กระชับกะทัดรัด แต่เนื้อหาใจความไพเราะ ซาบซึ้งมากในเรื่องความรู้กับความไม่รู้ ขอนำมาให้ท่านอาจารย์ช่วยขยายความเข้าใจให้พวกเราเข้าใจได้มากขึ้น ที่บอกว่า "เพราะไม่รู้ จึงอยู่มาในหล้าโลก เพราะไม่รู้ จึงเศร้าโศกในสงสาร เพราะไม่รู้ จึงเป็นเราเขลามานาน เพราะไม่รู้ จึงคบพาลเผาผลาญตน" นี้คือไม่รู้ แล้วถ้าเพราะรู้ก็มีว่า "เพราะรู้คุณของพระธรรม จึงร่ำเรียน เพราะรู้ธรรม จึงพร่ำเพียรเพิ่มกุศล เพราะรู้ชัด จึงไม่ใช่สัตว์บุคคล เพราะรู้ละ ตัวตน จึงพ้นภัย"

    ครั้งแรกที่มีโอกาสได้ยินได้ฟังบทกลอนบทนี้ก็จะรู้สึกว่า เดิมทีก็จะรู้สึกอาจารย์อรรณพสามารถทำอะไรได้มากมาย เก่ง แต่พอได้เห็นแต่งกลอนนี้ก็จะมีความรู้สึกว่า เหมือนกับเป็นการกลั่นกรองความเข้าใจพระธรรมออกมาเป็นคำกลอนให้เราได้เข้าใจไปตามนั้น แต่เนื่องจากความลึกซึ้งของพระธรรมก็จะมีมาก จริงๆ ก็รู้ว่าพระพุทธพจน์ก็ทำให้เข้าใจสิ่งที่มีกำลังปรากฏ จึงขอโอกาสสนทนากับท่านอาจารย์ว่า จะเข้าใจความเป็นสิ่งที่กำลังปรากฏในบทกลอนนี้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ ก็ต้องทีละบรรทัด

    ผู้ฟัง "เพราะไม่รู้ จึงอยู่มาในหล้าโลก"

    ท่านอาจารย์ ก็คือเกิดแล้วใช่ไหม ทุกชาติไป แล้วก็อยู่ไปทุกชาติโดยความไม่รู้ เพราะไม่รู้ จึงเกิดหรือจึงอยู่มาในหล้าโลก ใช่ไหม ก็เดี๋ยวนี้เอง ทุกอย่างเป็นความจริงที่เราต้องคิดว่า ที่เราเกิด และก็อยู่อย่างนี้ทุกวันทุกวันเพราะไม่รู้ความจริงว่า แท้ที่จริงแล้วใครจะไม่เกิดได้ไหม เกิดแล้วจะไม่อยู่ในโลกนี้ได้ไหม ก็ไม่ได้เลยใช่ไหม เพราะเหตุว่าไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรม แต่เมื่อเป็นความไม่รู้ก็ไม่รู้ว่าเป็นธรรมคิดว่าเป็นเรา เพราะฉะนั้นตั้งแต่เกิดมา ก็ไม่รู้ว่าเพราะมีเหตุที่จะทำให้ต้องเกิดขึ้น และต้องอยู่ในโลกนี้ด้วย ออกจากโลกนี้ไปโลกไหนได้ไหม ถึงอย่างไรอย่างไรก็เป็นคนนี้จนกว่าจะถึงเวลาที่กรรมทำให้สิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ แล้วก็เป็นชั่วคราวจริงๆ

    ถ้าอ่านชาดกเคยเป็นแล้วทั้งนั้นในพระชาติต่างๆ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านพระเทวทัตก็เคยเป็นบิดาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านพระมหากัสสปะก็เคยเป็นบิดาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย เพราะฉะนั้นแต่ละชาติไม่กลับมาอีกเลย ไม่ว่าชาตินั้นจะเต็มไปด้วยความสุข หรือความทุกข์ใดๆ ก็ตาม เพียงชั่วคราวพอจบสิ้นความเป็นบุคคลนั้นสิ้นชาตินั้น ก็คือว่าไม่มีการที่จะเป็นบุคคลนั้นได้อีกเลย เพราะฉะนั้นแม้ขณะนี้แต่ละหนึ่งขณะที่ผ่านไปก็ไม่กลับมาอีก กรรมใดที่ทำแล้วกรรมนั้นก็ไม่ได้สูญหายไปไหน แต่ก็เป็นปัจจัยสะสมอยู่ในจิต ที่เป็นปัจจัยที่จะทำให้ผลคือการเกิดขึ้นแล้วก็ต้องอยู่ไปในโลก เพราะฉะนั้น "เพราะไม่รู้ จึงอยู่มาในหล้าโลก"

    ผู้ฟัง "เพราะไม่รู้ จึงเศร้าโศกในสงสาร"

    ท่านอาจารย์ ใครที่ไม่เศร้าโศก ผู้รู้ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าดับกิเลสหมดไม่เศร้าโศก พระอนาคามีก็ดับกิเลส คือความติดข้องในรูปในเสียงในกลิ่นในรสในโผฏฐัพพะจึงไม่เศร้าโศก แต่ตราบใดที่ยังมีความยินดีในสิ่งที่ปรากฏทางตาเพราะไม่รู้ ไม่มีใครแต่มีสิ่งที่กระทบตาได้ จึงปรากฏให้เห็นว่ามีสิ่งที่ปรากฏจริงๆ ในขณะที่เห็น แต่เพราะไม่รู้ก็เป็นคน แล้วก็เป็นสิ่งต่างๆ เป็นที่ตั้งของความยินดีพอใจบ้างไม่พอใจบ้าง

    เพราะฉะนั้นชีวิตทั้งชีวิต ก็มีความรู้สึก เดี๋ยวสุขเดี๋ยวทุกข์เดี๋ยวเฉยๆ เท่านี้เอง สิ่งใดก็ตามที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปไม่กลับมาอีก เมื่อวานนี้หลายคนอาจจะมีความสุขมาก สองสามวันก่อนก็ได้ แล้วก็หลายคนก็อาจจะมีความทุกข์โศก แต่ว่าเดี๋ยวนี้ไม่ใช่ขณะนั้น เพราะฉะนั้นก็เป็นเพียงชั่วขณะซึ่งต้องเป็นไป โดยที่ว่าบังคับบัญชาไม่ได้ จะไม่ให้สุขก็ไม่ได้ จะไม่ให้ทุกข์ก็ไม่ได้ แต่ทั้งหมดไม่ยั่งยืน เพียงชั่วคราวแล้วก็หมดไป เหลือเพียงแค่ความจำในสิ่งที่ไม่มีเพราะไม่รู้

    เพราะฉะนั้นก็จะต้องเป็นเช่นนี้ จนกว่าปัญญาจะถึงการรู้แจ้งอริยสัจธรรมถึงความเป็นพระอนาคามีบุคคลก็ไม่เศร้าโศก เป็นพระอรหันต์ก็หมดกิเลสทั้งปวงไม่หวั่นไหวเลย แต่ว่าถ้าไม่ถึงปัญญาความรู้จริงระดับนั้น ก็ต้องเป็นเช่นนี้ แต่ว่ารู้ยากไหม เดี๋ยวนี้เศร้าโศกหรือเปล่า สุขหรือเปล่า เฉยๆ ก็ไม่รู้ ไม่รู้หมดเลย ทั้งหมดเพราะไม่รู้

    ผู้ฟัง "เพราะไม่รู้ จึงเป็นเราเขลามานาน"

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้ใคร เป็นคุณวิชัย ใช่ไหม แต่ความจริงสิ่งที่ปรากฏทางตาไม่ใช่คุณวิชัย ไม่ใช่ดอกไม้ ไม่ใช่โต๊ะ ไม่ใช่เก้าอี้ เพราะฉะนั้นความไม่รู้กับความรู้ก็ต่างกันมาก เพราะไม่รู้ก็จึงยึดถือสิ่งที่ปรากฏว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เขลามานานเท่าใด ไม่รู้มานานเท่าใด เพราะฉะนั้นการที่จะให้รู้จริงๆ จนกระทั่งละความไม่รู้ ไม่ใช่วันสองวันเลย เปรียบเทียบกับการสะสมความไม่รู้ที่ผ่านมาแล้วนานแสนนาน ก็อาศัยพระธรรมแต่ละคำ ฟังแล้วก็พิจารณาแล้วก็ไตร่ตรอง และค่อยๆ เข้าใจตามความเป็นจริง จะรู้ได้ว่าแม้คำจริงเช่นนี้ไม่มีใครค้านได้เลย

    แต่ก็ยากแสนยากที่จะคล้อยตาม และรู้ว่าขณะนี้ไม่มีใครเลย ทั้งหมดเป็นธรรมซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้นปรากฏแล้วก็ดับไป แต่อาการเกิดขึ้นดับไปไม่ปรากฏ ปรากฏแต่เพียงการสืบต่อ ซึ่งเป็นนิมิตทำให้มีปัญญัตติรู้ได้โดยอาการของนิมิตนั้นๆ ว่า สิ่งที่ปรากฏทางตารูปร่างสัณฐานเช่นนี้ นิมิตเช่นนี้เป็นคนเป็นสัตว์ และก็เพราะไม่รู้ความจริง ก็ยึดมั่น แม้ว่าได้ฟังว่าขณะนี้เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฎให้เห็นได้ ชอบสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ เท่านั้นไม่พอ สิ่งที่เห็น เป็นคนนั้น เห็นไหม เพิ่มการที่พอใจในสิ่งที่ปรากฏ และก็ยังจำได้ว่าเขาเป็นใคร ถ้าคุ้นเคยกันมากก็อาจจะจำได้จนกระทั่งว่าเคยสนุกสนานเคยไปเที่ยว เคยรับประทานอาหาร เคยสนทนากัน แต่ตามความเป็นจริงก็คือไม่มีอะไรที่เหลือเลย นอกจากจำในสิ่งที่ไม่มี และยังเข้าใจว่ายังมีอยู่ เป็นเช่นนี้หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นความจริงก็คือว่าถ้าไม่รู้จริงๆ เช่นนี้ แค่ฟังแค่นี้ ไม่สามารถที่จะละการยึดถือได้ ต้องฟังอีก แล้วค่อยๆ คล้อยตามไป จนกระทั่งค่อยๆ ละคลายความติดข้อง รู้ความจริงเพิ่มขึ้น สภาพธรรมจึงจะปรากฏตามความเป็นจริงได้ เพราะเป็นจริง เห็นเกิดจริงๆ เห็นดับจริงๆ เพราะฉะนั้นเมื่อสิ่งนั้นมีจริง ปัญญาเท่านั้นที่สามารถที่จะรู้ได้ต่อเมื่อคลายความติดข้อง และความไม่รู้ ที่เคยยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง

    ผู้ฟัง "เพราะไม่รู้ จึงคบพาลเผาผลาญตน"

    ท่านอาจารย์ คนพาลไม่ใช่บัณฑิต เพราะฉะนั้นตราบใดที่ยังมีกิเลสอยู่ ขณะที่กิเลสเกิดเป็นบัณฑิตหรือเปล่า ถ้าไม่เป็นบัณฑิต เป็นอะไร รู้ไหมว่ามีพาลแล้ว เป็นพาลแล้ว คบพาลแล้ว จนกว่าจะรู้จริงๆ ว่า ขณะนั้นก็เป็นสภาพธรรมที่ควรละ ไม่ควรคบอีกต่อไป แต่ต้องมีปัญญาระดับที่จะไม่คบอีกต่อไป ขั้นแรกคือไม่คบกับความเห็นผิดว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ยากไหมที่จะไม่คบ แต่เพราะเข้าใจถูกจึงไม่คบ เพราะรู้ความจริงว่าไม่มีใครเลย นอกจากสิ่งที่เพียงเกิดขึ้นปรากฏแล้วก็ดับไป ทุกคำเป็นคำจริง และก็ไม่เปลี่ยนแปลง แต่กว่าจะเข้าใจเช่นนี้ได้จริงๆ ต้องค่อยๆ ฟังไปเรื่อยๆ แล้วก็ไม่ลืม ฟังแล้วก็ฟังอีก ฟังแล้วก็ฟังอีก เพื่อละความติดข้อง ไม่ใช่แล้วอย่างไรถึงจะรู้เช่นนั้น

    ก็มีท่านผู้หนึ่ง ท่านก็เขียนข้อความส่งมาให้ ก็เป็นเรื่องที่ท่านรับฟังมาเหมือนกับท่านก็รู้ ชั่วคราวทุกอย่างเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แต่ตอนสุดท้ายท่านก็ถามว่าแล้วทำอย่างไรถึงจะรู้ความจริงนี้ได้ ก็จบไปเลยใช่ไหม รู้หรือเปล่าที่พูดมาทั้งหมด หรือจำ หรือเพียงแต่ฟังเผิน แล้วก็เข้าใจคำ แต่ไม่เข้าใจอรรถ ไม่เข้าใจสภาพธรรมจริงๆ ที่กำลังปรากฏในขณะนี้ เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่ายาก ที่จะไม่ใช่เพียงฟังเผิน จำ คิด แต่ไม่รู้ว่าเป็นสิ่งที่กำลังปรากฏจริงๆ จนกว่าจะเข้าใจเช่นนั้นจริงๆ ได้

    ผู้ฟัง "เพราะรู้คุณของพระธรรม จึงร่ำเรียน"

    ท่านอาจารย์ ซาบซึ้งมากเลยใช่ไหม เพราะรู้คุณ ถ้ารู้ว่าไม่มีประโยชน์ไม่ศึกษาไม่ฟังแน่ แต่รู้คุณว่าแต่ละคำที่เป็นพระพุทธพจน์เป็นปัญญาทั้งหมด ธรรมมีจริง แล้วก็ปัญญาสามารถเข้าใจได้ในสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นทุกคำสภาพธรรมเกิดก็จริง สภาพธรรมดับก็จริง แต่ละคำทั้งหมดมาจากการที่ทรงบำเพ็ญพระบารมีที่จะถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่จะอนุเคราะห์สัตว์โลกโดยไม่เลือกหน้าเลย ไม่ว่าในกาลที่พระองค์ยังไม่ปรินิพพาน หรือแม้ปรินิพพานแล้ว ก็ไม่มีใครเป็นศาสดาแทนพระองค์ เพราะว่าพระธรรมที่ได้ตรัสไว้ดีแล้วเป็นศาสดา

    เพราะฉะนั้นเพราะรู้คุณของพระธรรมที่ยังมี ให้เราได้ยินได้ฟังให้เราได้ศึกษา ทุกคนจึงได้ฟังต่อไป เรียนต่อไป ค่อยๆ เข้าใจต่อไป

    ผู้ฟัง "เพราะรู้ธรรม จึงพร่ำเพียรเพิ่มกุศล"

    ท่านอาจารย์ อันนี้พิสูจน์ ฟังธรรมเผินไม่ได้เลย เหมือนมีความเข้าใจมาก ถามตอบได้ อภิธรรมมัตถสังคหจิตมีเท่าใด เจตสิกมีเท่าใด แต่ชีวิตประจำวันเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าความเข้าใจธรรมมีเพียงใด เพราะเหตุว่าถ้ายังร้ายเหมือนเดิม แล้วประโยชน์ที่ได้ฟังพระธรรมมีบ้างไหม แต่ว่าเคยร้าย แต่พอระลึกถึงธรรมเท่านั้น ขณะนั้นละแม้แต่คำร้ายๆ ที่จะพูด ก็สามารถที่จะรู้ได้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะมี หรือไม่ควรจะสะสมอีกต่อไป นิสัยเดิมก็เป็นเรื่องของกิเลสมากมาย อัธยาศัยมากมาย แล้วอะไรจะเปลี่ยน จากการที่สะสมกิเลสมาเรื่อยๆ ทุกวัน เวลาที่ไม่รู้ก็กำลังสะสมความไม่รู้ เพราะไม่รู้จึงติดข้อง ขณะนั้นก็สะสมทั้งความไม่รู้ และติดข้อง เพราะฉะนั้นด้วยความรักตน จะเห็นได้เลย ใครก็ตามที่จะกล่าวว่าทำความดีเพื่อเช่นนั้นเช่นนี้ก็ตามแต่ แต่ตราบใดที่ยังมีตนหรือมีเรา ทั้งหมดให้รู้ว่าเพื่อตน

    เพราะฉะนั้นถ้ายังไม่เข้าใจว่า ธรรมเป็นเรื่องรู้แล้วละ บางคนก็ทำความดีเพื่อตนจะได้รับผลของความดีนั้น เช่น มีโลภะมีความติดข้องนี่แน่นอน เพราะฉะนั้นชีวิตวันหนึ่งวันหนึ่งแสวงหาเพื่อใคร ตั้งแต่เช้ามาแสวงหาเพื่อใคร เพื่อตน ได้มาแล้วใครใช้ใครบริโภค หรือเอาไปให้คนอื่น อุตส่าห์แสวงหามาตั้งมากมายด้วยความติดข้องด้วยความต้องการ แล้วใช้สอยบริโภค ใครใช้สอยบริโภค ก็ตนเพื่อตัวเองใช่ไหม ทุกอย่างที่ซื้อมาใช้เอง ใช่ไหม ทั้งหมดก็เพื่อตัวเอง

    เพราะฉะนั้นมีความติดข้องจนต้องแสวงหา หรือไม่ว่าการติดข้องจะมากน้อยสักเท่าใด ชีวิตทุกขณะแสวงหาอยู่แล้ว โดยที่ไม่รู้ความจริงว่ากำลังแสวง แล้วแต่ว่าสิ่งที่แสวงหา จะเป็นคุณเป็นโทษเป็นประโยชน์สักเพียงใด แต่ก็เพื่อตน เมื่อใช้สอยบริโภคแล้ว เก็บไว้ไหม เก็บ ไม่ได้ให้ใครไปหมดเลย ไม่ได้ใช้หมดเลย แม้มีแล้ว หามาได้แล้ว ใช้แล้ว ก็ยังเก็บไว้ เพื่อใคร

    อ.กุลวิไล เพื่อตน

    ท่านอาจารย์ ทุกคนมีสมบัติแน่ๆ ทั้งหมดเก็บไว้อีก ก็เพื่อตน แล้วประการสุดท้ายคือสละสิ่งที่มี แต่ก็เพื่อตน


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 194
    27 พ.ค. 2567

    ซีดีแนะนำ