พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 906


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๙๐๖

    ณ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๙ มีนาคม ๒๕๕๗


    ท่านอาจารย์ ขณะนี้ที่กำลังพูดเรื่องเห็น รู้อะไรตรงไหน รู้ลักษณะอะไรบ้าง แม้สิ่งที่กำลังปรากฏก็ล่วงเลยเป็นสัตว์บุคคลแล้วเพราะคิดแล้ว แม้เห็นขณะนี้ฟังเรื่องเห็นๆ ก็ดับแล้วตลอดเวลา แต่ก็ฟังเสียงมีเสียง แล้วก็มีคิดเรื่องสิ่งนั้นสิ่งนี้อยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นการที่จะเข้าใจพระธรรมต้องรู้ว่า เป็นผู้ที่ตรงที่จะรู้ว่าไม่ใช่สิ่งที่ง่าย เพราะว่าธรรมปรากฏตลอดไม่เคยขาดเลย แต่เมื่อใดที่ไม่ได้ฟังพระธรรมจะมีความเข้าใจที่ถูกต้องในสิ่งที่ปรากฏเองไม่ได้ แม้แต่ได้ยินได้ฟังก็ยังต้องไตร่ตรองพิจารณาเพื่อละ พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้ทำปัญญา ไม่ได้สอนให้ทำวิปัสสนา ไม่ได้สอนให้ทำสติ แต่ว่าให้รู้สิ่งที่มีจริงในขณะนั้นตามความเป็นจริง เพื่อละความไม่รู้

    เพราะฉะนั้นการฟังแล้วก็เข้าใจ แต่ว่าขณะนี้พูดเรื่องเห็น แต่ว่าไม่ได้รู้ตรงลักษณะใดเลยทั้งสิ้นเป็นขั้นปริยัติ ซึ่งต้องรอบรู้คือรู้ทั่วเข้าใจตามเหตุตามผลตามความเป็นจริง ไม่สงสัยในสิ่งที่ได้ฟังเพราะมีความเข้าใจ จะเป็นปัจจัยทำให้มีการเข้าถึงปฏิปัตติลักษณะที่เป็นธรรมจริงๆ แต่ละหนึ่งซึ่งกำลังเกิดดับตรงแต่ละหนึ่งด้วย เพราะฉะนั้นถ้ามีคำถามว่าพูดเรื่องเห็น และเดี๋ยวนี้รู้ตรงอะไร เห็นไหม

    ผู้ฟัง ก็ยังไม่รู้ตรง

    ท่านอาจารย์ มีปริยัติพอที่จะเป็นปัจจัยให้เกิดปฏิปัตติถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมหนึ่งที่กำลังปรากฏ

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ถามว่ารู้ตรงเห็นหรือยัง จริงๆ แล้วขั้นที่ท่านอาจารย์บอกว่าฟังเรื่องเห็นแล้วเวลาอื่นๆ ก็ไม่ได้คิดเรื่องความเป็นธรรมของเห็นของได้ยิน หรือว่าของแข็ง เพราะว่าคิดเรื่องอื่นที่สนใจ ก็ชี้ให้เห็นถึงความว่าสนใจเรื่องที่ไม่ใช่ความจริงเป็นเรื่องราวที่สนใจมากกว่าที่จะสนใจเรื่องความจริง

    ท่านอาจารย์ ถ้าเป็นเรื่องธรรมก็คือการไตร่ตรองให้เข้าใจขึ้น แล้วแต่ว่าความคิดนั้นคิดเรื่องอะไร

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นแสดงว่าสะสมมาที่จะคิดเรื่องที่ไม่ใช่ความจริงเยอะ

    ท่านอาจารย์ ท่านที่นั่งฟังอยู่ที่นี่คิดเรื่องอื่นหรือเปล่า เห็นไหม กำลังฟังธรรมกำลังฟังเรื่องธรรมคือสิ่งที่มีจริง แต่ก็มีปัจจัยที่จะคิดเรื่องอื่นก็ต้องเป็นผู้ที่ตรงว่า ถ้าไม่คิดเรื่องอื่นขณะนั้นฟัง คือได้ยินแล้วก็คิดตามคำที่ได้ยิน ไม่ได้คิดเรื่องอื่น

    อ.วิชัย จิตก็เป็นไปอย่างรวดเร็วมาก เดี๋ยวก็คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้แล้วก็มาคิดเรื่องที่ได้ยินได้ฟังต่อ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นต้องอดทน ขันติบารมี

    ผู้ฟัง ก็ทราบความเป็นอนัตตาคือบังคับบัญชาไม่ได้ของความคิด แต่พอท่านอาจารย์ถามว่าคิดถึงเรื่องของความเป็นธรรมบ้างหรือยัง จะรู้เลยว่าไปคิดเรื่องที่สนใจที่ให้ความสนใจ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นยังห่างไกลไหม

    ผู้ฟัง ห่างไกลมาก

    ท่านอาจารย์ ต่อการที่จะรู้ลักษณะของสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ ตื่นหรือยัง ทั้งหมดรู้ได้ด้วยตัวเอง ต้องเป็นปัญญาของผู้ฟังจริงๆ การที่จะเข้าใจธรรมได้ เราคิดเองไม่ได้ ไม่ว่าเราจะคิดกี่วันกี่เดือนกี่ปี เราก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจธรรมได้ เพราะว่าเราไม่ได้สะสมบารมี หรือคุณความดีที่จะละคลายความติดข้อง จนกระทั่งสามารถที่จะรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงได้ด้วยตัวเอง มิฉะนั้นเราจะมีพุทธัง สรณัง คัจฉามิ มีใครเป็นที่พึ่ง ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ มีพระธรรมเป็นที่พึ่ง สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ไม่ใช่พึ่งคนที่ไม่รู้อะไร แต่ต้องพึ่งผู้ที่รู้จริงๆ ที่สามารถเข้าใจความจริงได้

    เพราะฉะนั้นก็จะไม่มีความเห็นที่ผิด เพราะฉะนั้นไม่ใช่ฟังธรรมอย่างเดียว แต่ขณะใดที่จะเข้าใจต้องเพราะได้ฟังธรรมไม่ใช่คิดเอง แต่การสนทนาธรรมก็มีประโยชน์ที่สามารถที่จะทำให้เข้าใจในสิ่งซึ่งอาจจะซ่อนเร้นเพราะเขาคิดไม่ถึง ได้เข้าใจถูกต้องว่าความจริงคือ การฟังธรรมเพื่อที่จะเข้าใจสิ่งที่มีจริงสามารถที่จะเข้าใจได้จริงๆ

    ผู้ฟัง ปกติจิตที่คิดส่วนใหญ่โดยปกติก็แทบจะเกิดขึ้นมาก แต่จะรู้หรือไม่รู้หลังเห็นหลังได้ยินหลังได้กลิ่นหลังลิ้มรส หรือว่าแม้แต่ไม่มีสิ่งเหล่านี้ ก็สามารถที่จะมีจิตที่คิดนึกได้ แต่ว่าคิดถูกกับคิดผิด อยากจะกราบเรียนถามท่านอาจารย์ในประเด็นนี้เวลาเห็นแล้วก็คิด

    ท่านอาจารย์ เป็นของธรรมดา

    ผู้ฟัง ใช่ แต่ว่าพอคิดแล้วก็จะเป็นสัตว์บุคคลตัวตน มันเป็นสิ่งที่เป็นเช่นนั้นจริงๆ

    ท่านอาจารย์ แล้วถูกหรือผิด ถ้าไม่เคยคิดผิดมาเลยจะฟังพระธรรมไหม

    ผู้ฟัง ถ้าไม่เคยฟังพระธรรมมาก่อน ก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ว่าอันไหนคิดผิดอันไหนคิดถูก

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเป็นความรู้ของเราเองจากที่ได้ฟังแล้วไตร่ตรอง และก็เข้าใจขึ้นว่าอะไรถูกอะไรผิด คิดมีจริงๆ ฟังเพื่อให้เข้าใจว่า คิดคืออะไร ไม่ใช่เราอย่างไร แต่คิดมีจริงแน่นอน

    ผู้ฟัง อันนี้คือขั้นเข้าใจ

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง ถ้าไม่มีขั้นนี้จะสามารถเข้าถึงสภาพที่จริงที่ไม่ใช่เราได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นฟังธรรมอย่างละเอียด ขณะนี้เดี๋ยวนี้คุณสุกัญญาเห็นอะไร

    ผู้ฟัง เห็นท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้นหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ เพราะฉะนั้นถูกหรือผิด แล้วสิ่งที่ปรากฏทางตาดับแล้ว เป็นใครๆ สิ่งที่เกิดปรากฏให้เห็นแล้วดับไปเป็นใคร

    ผู้ฟัง ไม่เป็น

    ท่านอาจารย์ ไม่เป็น เป็นใครไม่ได้ เป็นธรรมคือสิ่งที่มีจริงที่เพียงปรากฏให้เห็นแล้วดับ

    ผู้ฟัง แล้วที่เห็นท่านอาจารย์ นี่ก็คือคิด

    ท่านอาจารย์ แล้วก็คิดตามสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ซึ่งเกิดดับเร็วจนปรากฏเป็นนิมิตหมายความถึง รูปร่างสัณฐานต่างๆ และปัญญัตติก็คือรู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไรโดยอาการที่ปรากฏของนิมิตนั้นๆ เพราะคุณสุกัญญาตอบว่าเห็นอาจารย์ใช่ไหม ถ้ารูปไม่เกิดดับจนกระทั่งปรากฏเป็นนิมิต ก็จะไม่มีการจำว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร เพราะฉะนั้นให้รู้ได้ที่รู้ว่าเป็นใคร ก็เพราะเหตุว่าสภาพธรรมที่มีจริงสั้นมาก เกิดแล้วดับเร็วมากสืบต่อติดต่อจนปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐาน แล้วสัญญาสภาพจำก็เป็นอัตตสัญญาจำสิ่งที่ปรากฏเป็นนิมิตว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด

    เพราะฉะนั้นจะละความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้เมื่อใด แต่ผู้ที่ได้บำเพ็ญพระบารมีมาแล้ว ทรงตรัสรู้ความจริงสอนความจริงทรงแสดงความจริงทุกอย่าง ให้คนอื่นสามารถที่จะละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง เป็นคนนั้นเป็นคนนี้เป็นดอกไม้เป็นต้นไม้เป็นโต๊ะเป็นเก้าอี้ แต่ความจริงขณะใดก็ตามที่ธาตุรู้คือเห็นเกิดขึ้นเพราะต้องอาศัยตา ถ้าไม่มีจักขุปสาทที่สามารถจะกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ จิตเห็นเกิดไม่ได้เลย และสิ่งที่มีจริงๆ ก็ต้องกระทบได้เฉพาะจักขุปสาท รูปพิเศษรูปหนึ่งที่กระทบได้เพียงสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นเท่านั้น ถึงอย่างนั้นถ้าไม่มีธาตุรู้เกิดขึ้นเห็น สิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ก็เห็นไม่ได้ และความจริงทุกสิ่งทุกอย่างก็เกิดดับเร็วสุดที่จะประมาณได้ นี่คือพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงตรัสรู้ความจริงที่เกิดดับอย่างเร็วแต่ละหนึ่งตามความเป็นจริง จนกระทั่งสามารถที่จะละการยึดถือสิ่งที่ไม่เที่ยง เข้าใจว่าเที่ยงเพราะไม่รู้ เมื่อมีความรู้ขึ้นก็รู้ว่าทั้งหมดไม่เที่ยง

    เพราะฉะนั้นก็ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ยั่งยืนที่จะดำรงความเป็นสิ่งนั้นจริงๆ เลย แม้แต่สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ขณะนี้ ก็ต้องอยู่ที่มหาภูตรูปที่อ่อนที่แข็งที่เย็นที่ร้อน ถ้าไม่มีรูปใหญ่ที่เป็นประธานมหาภูตรูป สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นขณะนี้ก็มีไม่ได้ เพราะฉะนั้นฟังธรรมเพื่อเข้าใจความจริง และก็ต้องเป็นความเข้าใจของคนฟังด้วย

    ผู้ฟัง เวลาท่านอาจารย์ถามว่าเห็นอะไร ถ้าตอบท่านอาจารย์ว่าเห็นสิ่งที่ปรากฏ อันนี้ก็ตอบจากความเข้าใจที่เรียนธรรม แต่ว่ายังไม่ได้เห็นสิ่งที่ปรากฏ

    ท่านอาจารย์ เพราะไม่ใช่ปัญญาที่สามารถจะรู้จริง ยังไม่ถึงระดับขั้นนั้น เพียงขั้นต้นคือปริยัติ ฟังแล้วจะรู้ว่าปฏิปัตติคือถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงตามที่ได้ฟัง ปฏิเวธแทงตลอดความจริงของสิ่งที่มีนั้นตรงตามที่ได้ฟังทุกอย่าง ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่เกิดแล้วดับ เรื่องตอบไม่สำคัญเท่าเข้าใจ

    ผู้ฟัง แต่ทั้งสองคำตอบก็เกิดมาจากจิตคิดทั้งสองคำตอบ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นความคิดขั้นปริยัติ ความคิดขั้นปฏิปัตติ ขั้นปฏิเวธ คิดถึงได้เพราะขณะนี้ อะไรเป็นอริยสัจจะ ยังไม่ได้แทงตลอด แต่ก็มีความคิดเรื่องของปริยัติ เรื่องของปฏิบัติ เรื่องของปฏิเวธ

    ผู้ฟัง แล้วถ้าคิดสิ่งที่ปรากฏทางตากับคิดเป็นท่านอาจารย์ต่างกันไหม

    ท่านอาจารย์ ขณะใดเป็นความเข้าใจถูก

    ผู้ฟัง สิ่งที่ปรากฏ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นความคิดด้วยปัญญาก็มี และไม่มีปัญญาก็มี วันหนึ่งๆ คิดประกอบด้วยปัญญาหรือเปล่า ต้องเป็นคนที่ตรง

    อ.วิชัย ไม่ใช่เพียงแค่คำตอบ แต่ว่าบุคคลนั้นย่อมรู้ว่ากล่าวคำอย่างนั้นด้วยความเข้าใจอย่างไร เพราะความเข้าใจทั้งหมดที่สะสมมาก็จะรู้ว่าขณะนั้นที่กล่าวออกมาอย่างนั้นด้วยความเข้าใจแค่ไหนอย่างไร เพราะเหตุว่าแม้กล่าวสิ่งที่ปรากฏทางตาเข้าใจ แต่ก็ต้องเป็นผู้ที่ตรงที่รู้ว่ารู้ตรงลักษณะหรือยัง หรือเพียงเข้าใจว่ามีสิ่งที่มีจริงๆ เท่านั้น เพราะว่าความรู้ความเข้าใจก็ต้องค่อยๆ ที่จะอบรม และก็สะสมเพิ่มขึ้น

    เมื่อสักครู่พี่สุกัญญาก็กล่าวถึงเรื่องของสัมมาทิฏฐิ และมิจฉาทิฏฐิ ก็มีข้อความในพระสูตรที่พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเรื่องของสัมมาทิฏฐิ และมิจฉาทิฏฐิว่า "ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราไม่เล็งเห็นธรรมอย่างอื่นแม้ข้อหนึ่ง ซึ่งเป็นเหตุให้กุศลธรรมที่ยังไม่เกิดเกิดขึ้น หรือกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญไพบูลย์ยิ่งเหมือนกับสัมมาทิฏฐินี้เลย ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลเป็นผู้มีความเห็นชอบ กุศลธรรมที่ยังไม่เกิดย่อมเกิดขึ้น และกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญไพบูลย์ยิ่ง" อันนี้ก็เห็นคุณของธรรมประการหนึ่งคือสัมมาทิฏฐิ

    อาจารย์ธิดารัตน์ในเรื่องของสัมมาทิฏฐิกับมิจฉาทิฏฐิ เป็นสภาพที่แน่นอนย่อมตรงกันข้ามกัน ขอความรู้เรื่องของสัมมาทิฏฐิคืออย่างไร และก็มิจฉาทิฏฐิที่เป็นสภาพธรรมที่ตรงกันข้ามกันคืออย่างไร

    อ.ธิดารัตน์ ถ้าโดยเจตสิกมิจฉาทิฏฐิก็หมายถึงทิฏฐิเจตสิก ความเห็นที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงทุกๆ อย่างเลย แม้กระทั่งความยึดถือว่าเป็นสัตว์บุคคลตัวตนก็เป็นลักษณะของความเห็นผิด หรือในข้อปฏิบัติที่ผิดอย่างนี้เป็นต้น ถ้าพูดถึงสัมมาทิฏฐิ ถ้าโดยสภาพธรรมหมายถึงปัญญาซึ่งเป็นความเห็นถูกในสภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริง แล้วก็ปัญญาก็มีหลายระดับเข้าใจถูกในขั้นการศึกษา อย่างที่ท่านอาจารย์ได้กล่าว เหมือนกับปัญญาที่เข้าใจขั้นการฟัง และการพิจารณา หรือขณะที่มีสภาพธรรมนั้นปรากฏจริงๆ และปัญญาก็รู้ลักษณะนั้นจริงๆ อย่างเช่น ลักษณะของการเห็นที่เป็นสภาพธรรมที่เป็นเพียงเห็น ที่ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตน

    เพราะฉะนั้นลักษณะของปัญญา ท่านก็ถึงได้กล่าวว่าเหมือนกับแสงสว่าง เพราะปกติถ้าโดยอวิชชาก็หมายถึงความมืด ความมืดซึ่งปกปิดถึงแม้สว่างอยู่อย่างนี้ แต่ปกปิดไม่ให้รู้ธรรมตามความเป็นจริง จะมีอวิชชาเป็นอีกอย่างหนึ่ง ส่วนความเห็นผิดเป็นความเห็นขณะที่ยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด อวิชชาคือความไม่รู้ แล้วก็ปัญญาเป็นสภาพที่รู้ถูกตามความเป็นจริง รู้ในลักษณะของอริยสัจทั้งสี่

    อ.วิชัย ถ้ากล่าวถึงเรื่องของความเห็นผิด บางคนเช่นอาจจะเชื่อว่าบุญไม่มีบาปไม่มี หรือบิดามารดาไม่มีคุณต่างๆ โลกนี้ไม่มีโลกหน้าไม่มี ความเห็นผิดต่างๆ เหล่านี้โดยลักษณะของบุคคลที่มีความเห็นอย่างนี้ คือมีผลที่จะให้อกุศลต่างๆ เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้นด้วย

    อ.กุลวิไล ความเห็นผิดโดยสภาพธรรมก็คืออกุศลธรรมนั่นเอง คืออกุศลเจตสิก เพราะฉะนั้นเมื่อมีความเห็นผิดความคิดก็ต้องผิดด้วย การกระทำทางกายทางวาจาก็ผิดด้วย อย่างเช่นบุญไม่มีบาปไม่มี เพราะฉะนั้นคนก็จะไม่รู้ว่าเหตุของบุญการที่ได้รับผลที่ดีก็มาจากเหตุที่ดีนั่นเอง เพราะฉะนั้นการทำกุศลกรรมก็ต้องให้ผลคือกุศลวิบาก การทำอกุศลกรรมก็ให้ผลคืออกุศลวิบาก และธรรมก็เป็นสิ่งที่มีจริงมีลักษณะมีสภาวธรรมให้รู้ได้ เพราะฉะนั้นแม้แต่สภาพธรรมที่เป็นบุญก็ไม่ใช่บาป อกุศลจิตไม่ใช่กุศลจิต ขณะที่ขอด้วยความต้องการก็คือความเห็นผิดในธรรมตามความเป็นจริง บางท่านคิดว่าขอจากสิ่งหนึ่งสิ่งใด ต้นไม้ที่ออกมาแปลกประหลาดแล้วเราก็จะไปขอให้ช่วย คิดดูว่าการที่จะได้ลาภยศสรรเสริญสุขต้องเป็นผลของบุญไม่ใช่เป็นผลของบาป เพราะฉะนั้นการขอจิตนั้นเป็นบุญหรือเป็นบาป ขณะที่มีความต้องการขณะนั้นเป็นโลภะติดข้อง จิตนั้นคืออกุศลจิต แล้วจะได้จากการขอหรือว่าได้จากเหตุที่ทำดีแล้ว

    เพราะฉะนั้นกุศลกรรมให้ผลคือกุศลวิบาก อกุศลกรรมให้ผลคืออกุศลวิบาก นี่คือความเห็นถูกในธรรมตามความเป็นจริง ซึ่งก็คือปัญญานั่นเอง เพราะว่าปัญญาเป็นสภาพธรรมที่เลิศกว่าสังขารธรรมทั้งปวง ในบรรดาสภาพธรรมที่เกิดดับทั้งหลายเพราะปัญญารู้ธรรมตามความเป็นจริง

    อ.อรรณพ เมื่อวานก็สนทนาพระสูตรกัน ก็พูดถึงรูปซึ่งเป็นสภาพธรรมที่เป็นปรมัตถธรรมอย่างหนึ่ง รูปไม่รู้อะไรเลย กราบเรียนถามท่านอาจารย์พื้นๆ ก่อนว่ารูปเป็นสภาพที่ไม่รู้อะไรเลย ทำไมถึงเป็นอภิธรรม รูปเป็นสภาพที่ไม่รู้อะไรเลย แต่ทำไมเป็นอภิธรรม

    ท่านอาจารย์ ต้องเข้าใจอภิธรรม เพราะว่าเมื่อวานนี้ก็มีท่านที่สนทนาด้วย ท่านก็ถามคำถามธรรมดามากเลย ท่านถามว่าต้องมีพื้นฐานพระอภิธรรมด้วยหรือ เหมือนกับว่าพระอภิธรรมต้องมีพื้นฐานด้วยหรือ ความจริงพื้นฐานพระอภิธรรมก็คือความเข้าใจเบื้องต้นของธรรม ถ้าไม่มีความเข้าใจเบื้องต้น แล้วเราจะเข้าใจสิ่งที่มีซึ่งพระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ด้วย ไม่ใช่รู้อย่างอื่นเลย แต่รู้สิ่งที่มีตามปกติเช่นนี้ แต่ว่าได้ทรงตรัสรู้ด้วยพระปัญญา และบารมีอื่นๆ นานแสนนานกว่าจะรู้ความจริง เพราะฉะนั้นเราก็ต้องเริ่มต้นจากการเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ในภาษาไทยว่า อีกภาษาหนึ่งใช้คำว่าธรรม แล้วเราก็ค่อยๆ ไตร่ตรอง ผู้ที่ตรัสรู้ความจริงของเห็นของคิดของเสียงของทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริง ตรัสรู้อะไรต่างจากที่กำลังปรากฏเช่นนี้หรือ หรือจากที่เราเคยคิดเรื่องต่างๆ เหล่านี้ด้วยตัวเอง ต้องเป็นสิ่งที่ห่างไกลกันมาก

    ด้วยเหตุนี้แม้แต่คำว่าธรรมก็ประมาทไม่ได้เลย ที่จะรู้ว่าเป็นสิ่งที่กำลังมีกำลังปรากฏ แต่การที่จะเข้าใจจริงๆ ในความหมายของสิ่งที่มีจริง ต้องอาศัยพื้นฐานความเข้าใจเบื้องต้นว่า ขณะนี้เราไม่รู้อะไร และเราฟังอะไร เพื่อจะเข้าใจอะไร เพราะฉะนั้นก็ไม่พ้นจากสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ว่า มีสิ่งที่กำลังมีแต่ไม่เคยรู้ ยอมรับไหมว่าไม่รู้ หรือว่ารู้แล้ว เมื่อไม่รู้แล้วสิ่งนี้ก็ปรากฏในสังสารวัฏตลอดเวลา ไม่ว่าชาติไหนขณะไหนเช้าสายบ่ายเย็น ก็มีสิ่งที่กำลังปรากฏเช่นนี้ แล้วก็ไม่รู้มาแล้วนานมาก เพราะฉะนั้นจะฟังเรื่องสิ่งที่เคยไม่รู้ และกำลังปรากฏ หรือว่าไม่สนใจที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ ทั้งหมดนี่ตามอัธยาศัย

    แต่ว่าการที่เราจะได้มีความเข้าใจว่า การที่สิ่งนี้มีแต่กว่าจะรู้ความจริงได้ต้องอาศัยการฟัง และความเข้าใจจริงๆ ตั้งแต่เบื้องต้น ซึ่งเป็นพื้นฐาน เพราะถ้าจะกล่าวอย่างที่พระผู้มีพระภาคตรัสกับผู้ที่ได้อบรมเจริญปัญญามาแล้วว่า สิ่งที่มีขณะนี้เกิดดับ ใครจะเข้าใจได้เพราะไม่เห็นเกิด และไม่เห็นดับด้วย แต่เมื่อเป็นวาจาสัจจะของผู้ที่ทรงตรัสรู้เปลี่ยนไม่ได้ เพราะฉะนั้นแสดงว่าความรู้กับความไม่รู้ไกลกันมาก เพราะฉะนั้นการฟังก็เป็นผู้ที่ตรงว่า แม้จะได้ฟังเรื่องเห็น เห็นมานานมาก เรื่องได้ยินก็ได้ยิน ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตเป็นอุปนิสสย หมายความว่าเป็นที่อาศัย การฟังเรื่องต่างๆ เหล่านี้ เป็นที่อาศัยที่มีกำลังที่จะทำให้อารักขคืออารักขาไม่ให้อกุศล และความไม่รู้เกิด ความไม่รู้มีอยู่ตลอดเวลาที่สภาพธรรมกำลังปรากฏแล้วไม่รู้

    เพราะฉะนั้นการฟังเรื่องต่างๆ เหล่านี้ ฟังเรื่องเห็นก็มีเห็นทั้งขณะนี้ และต่อไปด้วย เพราะฉะนั้นถ้ามีความเข้าใจเรื่องเห็นต่อไปก็เข้าใจเห็น ทำให้ไม่ตกไปหรือว่าเป็นไปกับความไม่รู้ ซึ่งทำให้ยึดถือสิ่งที่ปรากฏทางตาว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง และนำมาซึ่งอกุศลอีกมากมาย แม้แต่คำที่คุณอรรณพกล่าวถึงคือเรื่องรูป พูดคำว่ารูปกับคนที่ไม่มีพื้นฐานความเข้าใจธรรมเลย เขาจะไม่เข้าใจแน่นอน เพราะฉะนั้นที่กล่าวถึงพื้นฐานพระอภิธรรม ก็คือความเข้าใจเบื้องต้นจนกว่าสามารถจะเข้าใจขึ้น และก็จะเป็นการที่รู้ด้วยตัวเองว่าแมัได้ยินได้ฟังอย่างนี้แล้วความเข้าใจแค่ไหน มิฉะนั้นเราก็เหมือนกับว่าเราฟังแล้วเราเข้าใจ เข้าใจคำที่ได้ยินเป็นภาษาไทย และสภาพธรรมก็กำลังปรากฏ แต่คำที่ได้ยินทำให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏหรือเปล่า

    เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่าคงจะต้องพูดเรื่องตาหูจมูกลิ้นกายใจ ตราบใดที่ยังมีตาหูจมูกลิ้นกายใจ เพราะฉะนั้นเมื่อมีตาหูจมูกลิ้นกายใจ และไม่รู้ว่าความจริงคืออย่างไร ก็ต้องพูดเรื่องตาหูจมูกลิ้นกายใจ เพื่อที่จะให้เป็นอุปนิสสยเป็นที่อาศัยที่มีกำลังที่ให้รู้ว่า ขณะนี้ใครไม่รู้ก็คิดว่าเราเห็น ใครไม่รู้ก็คิดว่าเราคิด ใครไม่รู้ก็คิดว่าเราได้ยิน แต่พระธรรมที่ทรงแสดงเห็นเป็นเห็นไม่ใช่เรา ได้ยินเป็นได้ยินไม่ใช่เรา คิดเป็นคิดไม่ใช่เรา ฟังแล้วเข้าใจพอสมควร แต่ยังไม่ได้เป็นที่อาศัยที่มีกำลังที่เมื่อใดเห็นก็รู้ ขณะนั้นเป็นธาตุที่ไม่ใช่เราเลยเกิดขึ้นเห็น เพียงรู้สิ่งที่กำลังปรากฏว่าเดี๋ยวนี้สิ่งที่ปรากฏให้เห็นเป็นอย่างนี้เท่านั้นเอง นานไหมกว่าจะอารักขาให้ไม่ว่าอกุศลใดๆ ที่จะเกิดติดในสิ่งที่ปรากฏโดยความยึดมั่นว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็ค่อยๆ คลาย ไม่มีใครจะไปประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรม แล้วละการยึดถือสิ่งที่ปรากฎว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดโดยความรู้ไม่มี และไม่พอ และไม่ได้ยิน ไม่ได้ฟังบ่อยๆ

    เพราะฉะนั้นการได้ยินได้ฟังบ่อยๆ ก็จะทำให้ไม่ว่าสภาพธรรมใดเกิดขึ้น โกรธใครไม่มีบ้าง ขุ่นใจมีไหม ฟังว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่มีเกิดไม่ใช่ใครเลย แล้วก็ดับไปเท่านั้นเอง ก็ยังไม่เป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นที่สำคัญที่สุดคือฟังเพื่อมีความเข้าใจที่มั่นคง


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 194
    24 มิ.ย. 2567

    ซีดีแนะนำ