พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 960


    ตอนที่ ๙๖๐

    ณ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๗


    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์กล่าวธรรมว่า เห็นเพื่อจะลืม ผมก็ยังไม่เข้าใจว่าที่ท่านอาจารย์จะกล่าวหมายถึงอะไร ขอความเข้าใจเพิ่มขึ้นด้วย

    ท่านอาจารย์ หลายคนชอบท่องเที่ยว ไปไหน ไปดู ใช่ไหม ท่องเที่ยวไปดู แล้วจำได้ไหม

    ผู้ฟัง ก็ลืมแล้ว

    ท่านอาจารย์ ดูแล้วก็ลืม อุตส่าห์ไป เห็นแล้วก็ลืม

    ผู้ฟัง หมายถึงว่าเราติดข้องในสิ่งที่มันไม่มีสาระอะไร หรืออย่างไร

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้อะไรปรากฏ

    ผู้ฟัง สีกำลังปรากฏ

    ท่านอาจารย์ ลืมอื่นแล้วใช่ไหม ในขณะที่สีนี้ปรากฏ ลืมอื่นแล้ว

    ผู้ฟัง ฉะนั้นจุดประสงค์จริงๆ ที่ท่านอาจารย์ให้ความเข้าใจตรงนี้ เพื่อจะให้ผู้ฟังมีความเข้าใจในส่วนใดของพระธรรม

    ท่านอาจารย์ หมายความว่าความจริงเป็นเช่นนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างมีแล้วหามีไม่ แล้วไปติดข้องในสิ่งที่เพียงมีนิดเดียว แล้วก็หามีไม่ เสียงยังไม่ปรากฏ เสียงยังไม่ปรากฏ พอเสียงเกิดติดข้องในเสียง แล้วเสียงก็หายไป ไม่กลับมาอีกเลย มีประโยชน์อะไร เพราะเหตุว่าก่อนมีเสียงก็ไม่มีเสียง แต่พอมีแล้วเสียงก็หายไป เหมือนตอนที่ไม่มีนั่นเอง แต่ว่าการมีนั่นเองทำให้เกิดความติดข้อง ทุกอย่างที่ปรากฏจากการที่ไม่เกิด แล้วก็เกิด แล้วก็หมดไปทั้งนั้นเลย เพราะฉะนั้นประโยชน์อะไรที่จะติดข้องในสิ่งที่มีแล้วหามีไม่ ไม่เหลือเลย

    ผู้ฟัง ประโยชน์อะไรที่จะติดข้องในสิ่งที่มีแล้วหามีไม่

    ท่านอาจารย์ จากไม่มี ใช่ไหม แล้วก็มีนิดหนึ่ง แล้วก็ดับไปไม่กลับมาอีกเลย แต่ตอนที่มีเป็นที่ตั้งของความยินดีติดข้อง ปรากฏให้ติดข้อง ไม่ว่าจะทางตาทางหูทางจมูกทางลิ้นทางกายทางใจ คุณนิรันดร์ชอบรับประทานอะไร

    ผู้ฟัง ก็ชอบรับประทานอาหารอร่อยๆ ไข่พะโล้ก็ชอบ

    ท่านอาจารย์ ไข่พะโล้ ชอบ เห็นไหม เดี๋ยวนี้ไข่พะโล้อยู่ไหน

    ผู้ฟัง ก็ไม่มีไข่พะโล้ตอนนี้

    ท่านอาจารย์ แต่ยังชอบไข่พะโล้

    ผู้ฟัง ยังชอบอยู่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจากไม่มีไข่พะโล้ แล้วก็กำลังลิ้มรสไข่พะโล้ด้วยความติดข้องถูกต้องใช่ไหม เพราะเมื่อสักครู่นี้บอกว่าชอบ แล้วก็ไม่มีไข่พะโล้อีก เพราะฉะนั้นมีไข่พะโล้ให้ติดข้อง จากไม่มีแล้วมีให้ติดข้อง แล้วก็หายไป ไม่กลับมาอีกเลย มีประโยชน์ไหมในการที่จะมีให้ติดข้อง เหมือนเดิมคือเหมือนไม่มีเพราะไม่เคยมีมาก่อน ชาตินี้เกิดขึ้น ตอนที่เป็นชาติก่อนรู้ไหมว่าจะมีชาตินี้ ไม่มียังไม่เกิดใช่ไหม แต่เกิดแล้วติดข้องในความเป็นบุคคลนี้ในชาตินี้จนกว่าจะตาย พอตายแล้วไม่มีคนนี้อีกเลย เกิดจากกรรมใหม่ที่ทำให้เป็นบุคคลใหม่ แล้วแต่ว่าจะเป็นคนหรือจะเป็นสัตว์เดรัจฉานหรือจะเกิดในอบายภูมิก็แล้วแต่ เลือกกรรมไม่ได้ว่าจะให้ผลอะไรชาติไหนเมื่อใดในลักษณะอย่างไร

    แต่เมื่อเหตุมี ผลก็ต้องมี เพราะฉะนั้นชาตินี้ทั้งชาติ เมื่อถึงชาติหน้าหายไปหมดเลย มีสำหรับให้ติดข้อง ให้เพลิดเพลิน ให้เดือดร้อน ให้วุ่นวาย แล้วก็ไม่มีอะไรเหลือเลย เพราะฉะนั้นถ้าไม่เข้าใจเช่นนี้จริงๆ จะคิดถึงไม่เกิดดีกว่าไหม เพราะว่าเกิดมาทำไมเพื่อให้ติดข้องเท่านั้นเอง เพื่อให้ไม่รู้ และติดข้อง ตลอดชีวิตแสวงหาตั้งแต่เกิด ไม่ทางตาก็หูจมูกลิ้นกายใจทุกขณะ เพื่ออะไร เพราะไม่รู้ด้วยความเป็นเราว่า แท้ที่จริงไม่มี เพียงเกิดขึ้นให้รู้ว่ามีสิ่งนั้นนิดเดียว แล้วก็ไม่มีอีกเลย อีกเลยในสังสารวัฎ

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์บอกว่าชีวิตนี้เกิดแล้วอยู่ก็เพื่อจะติดข้องเช่นนั้นหรือ

    ท่านอาจารย์ เกิดแล้วต้องติดข้อง เพราะไม่รู้ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เช่น ไข่พะโล้ ใช่ไหม คนที่ยังไม่เคยรับประทานไข่พะโล้ ก็ไม่รู้ว่าไข่พะโล้เป็นอย่างไร แสวงหาไข่พะโล้ พอมีไข่พะโล้ ลิ้มรสไข่พะโล้ ตอนที่ยังไม่ได้ลิ้มรสก็ไม่รู้ว่าจะชอบรสนี้เลย ใช่ไหม แต่พอลิ้มรสก็เกิดความยินดีในรสที่เราใช้คำว่าไข่พะโล้ แล้วรสนั้นก็หมดแล้วไม่เหลือเลย ไม่มีอะไรที่เหลือเลยสักอย่างเดียว เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีก ในสังสารวัฏไม่เจออีกเลย วันนี้เจอคุณวิชัย ชาติก่อนมีคุณวิชัยไหม ดิฉันก็ไม่มีใช่ไหม ใครก็ไม่รู้ เจอกันหรือเปล่าก็ไม่รู้ รู้จักกันหรือเปล่าก็ไม่รู้ อาจจะไปเที่ยวด้วยกันเป็นญาติพี่น้องเพื่อนฝูงมิตรสหายเป็นพ่อแม่ก็ได้ อะไรก็ได้ทั้งนั้นเลยใช่ไหม แต่พอถึงชาตินี้ไม่รู้เลย คนนั้นหายไปหมดเลย ไม่เหลือ ทั้งสองคนนั่นเองไม่ว่าจะกี่คนก็ไม่เหลือเลยสักคน แล้วก็มีคนใหม่ เรื่องใหม่ โลกใหม่ แล้วก็ใกล้ที่จะไม่เหลืออีกเลยที่ว่าจะเป็นบุคคลนี้ต่อไปอีกไปได้

    แน่นอนชาติก่อนไม่มีคุณวิชัย ชาติหน้าไม่มีคุณวิชัย เฉพาะชาตินี้มีธรรม หลากหลายมากถ้าไม่เรียกชื่อก็ไม่รู้ว่าหมายความถึงใคร แต่ก็เรียกมีชื่อแต่ละประจำตัวของธาตุนั้นๆ สภาพนั้นๆ เพื่อให้เข้าใจว่าไม่ใช่สภาพธรรมอื่น สภาพธรรมนี้เกิดแล้วก็เป็นไปเช่นนี้ เพื่อความที่จะเข้าใจกันได้ก็เรียกชื่อต่างๆ ให้รู้ว่าหมายความถึงธาตุใด เป็นธาตุซึ่งมีปัจจัยเกิดแล้วก็ดับตามความเป็นจริง เป็นอื่นไม่ได้นอกจากเป็นธาตุแต่ละอย่าง พอรวมกันก็เลยกลายเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ธาตุเห็น ธาตุได้ยิน ธาตุคิดนึกธาตุแข็ง ธาตุหวาน ธาตุโลภ ธาตุโกรธ เป็นธาตุหมดเลย แล้วหายไปหมดด้วย ไม่เหลือ นี่คือเพราะไม่รู้ จึงอยู่มาในหล้าโลก เพราะไม่รู้ จึงเศร้าโศกใช่ไหม

    แต่ถ้ารู้ก็คือว่า ความจริงเป็นเช่นนี้ แล้วก็ปัญญาเท่านั้นที่จะรู้ว่าไม่มีดีกว่าไหม ไม่ต้องเห็นเลยดีกว่าไหม ไม่ต้องเกิดมาได้ยินเลยดีกว่าไหม ไม่ต้องเดือดร้อนเลยสักขณะเดียว ไม่มีความเป็นไปที่จะต้องเป็นไป เมื่อเกิดแล้วต้องเป็นไป เพราะฉะนั้นเมื่อไม่มีเลยนั่นเองคือสิ่งที่ประเสริฐกว่าทุกอย่าง ใช่ไหม ไม่มีความเดือดร้อนใดๆ เป็นความสงบสันติอย่างยิ่ง ไม่มีอะไรมาทำให้เกิดอะไรขึ้นได้เลยสักอย่าง เพราะหมดปัจจัยที่จะทำให้เกิดขึ้นอีกต่อไป มิฉะนั้นจะไม่มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีพระสาวก แต่เพราะเหตุว่ามีปัญญาที่สามารถที่จะเข้าใจถูกเห็นถูกในสิ่งที่มี แต่ยาก ไม่ใช่ว่าเพียงฟังแค่นี้ก็สามารถที่จะเป็นเช่นนั้นได้ ต้องเห็นความลึกซึ้งอย่างยิ่งของแต่ละคำแต่ละสภาพธรรม เช่น เห็น เกิดแล้วเห็นแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเห็นเกิดเพราะอะไร เห็นเกิดเพราะอะไร

    อ.อรรณพ เพราะมีกรรมใช่ไหม เห็นเป็นผลของกรรม และกรรมก็คือเจตนาที่เป็นกุศลเจตนา อกุศลเจตนา จึงเป็นปัจจัยให้ต้องมีการเกิด และเมื่อเกิดขึ้นแล้วมีตาหูจมูกลิ้นกายใจ เช่น มีตาก็มีโอกาสที่กรรมจะให้ผล ให้มีการเห็นขึ้น แล้วกรรมเพราะอะไรจึงมีกรรม ก็เพราะยังไม่ได้ดับอวิชชาความไม่รู้นั่นเอง เพราะฉะนั้นยังมีความไม่รู้คืออวิชชาอยู่ตราบใด ก็มีการทำอกุศลกรรมบ้างหรือกุศลกรรมบ้างที่เป็นไปในวัฏ จึงจะต้องเกิดมาแล้วก็มีตาหูจมูกลิ้นกายใจ แล้วก็มีการได้รับผลของกรรมหลังเกิดก่อนตายก็คือเห็นได้ยิน เพราะฉะนั้นก็มาจากกรรมมาจากปัจจัยต่างๆ มากมาย แต่ที่เป็น สาธารณเหตุจริงๆ ก็คือความไม่รู้

    ท่านอาจารย์ เห็นเพราะกรรมก็ไม่รู้ใช่ไหม กำลังเห็นเดี๋ยวนี้เพราะกรรมก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นฟังเพื่อให้รู้ว่า กรรมให้ผลขณะแรกคือทำให้เกิดขึ้นขณะแรกเลย แล้วแต่ว่าจะเป็นใครสืบต่อมาจนกระทั่งเป็นเช่นนี้ แต่ว่าเกิดแล้วต้องเห็นเพราะกรรม ต้องได้ยินเพราะกรรม ต้องได้กลิ่นเพราะกรรม ต้องลิ้มรสเพราะกรรม ต้องรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสเย็นหรือร้อนอ่อนหรือแข็งเพราะกรรม แต่ขณะที่กำลังเป็นเช่นนี้ไม่รู้ ถึงบอกก็ไม่รู้ แต่เริ่ม เริ่มแล้วที่จะเข้าใจความจริงว่าเพราะกรรม แต่ว่าไม่ใช่เพราะกรรมอย่างเดียว เห็นไหม ทรงแสดงถึงปัจจัยของสภาพธรรมที่เกิดได้แม้เพียงจะเกิดได้ชั่วหนึ่งขณะ ก็ยังต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่าง แล้วก็ดับไป คิดดู ประโยชน์อะไรกว่าจะเห็นสักขณะหนึ่ง ก็ต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่าง เพราะกรรมคือต้องมีจักขุปสาทรูปที่กรรมเป็นปัจจัยให้เกิด เป็นรูปที่สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น ถ้าไม่มีรูปนี้เพราะกรรมไม่ทำให้เกิดรูปนี้ ตาบอดก็ไม่เห็น

    เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจชั่วหนึ่งขณะเห็นต้องอาศัยปัจจัยคือหนึ่งกรรม แล้วก็จักขุปสาทเกิดขึ้นเพราะกรรม แล้วก็สิ่งที่กระทบตา สิ่งที่กำลังกระทบตาขณะนี้ต้องยังไม่ดับด้วย จักขุปสาทซึ่งเกิดดับอย่างรวดเร็วในขณะที่รูปกระทบตาทั้งรูป และจักขุปสาทต้องยังไม่ดับด้วย ทั้งๆ ที่ดับเร็วมากเลย แม้กระนั้นก็ยังต้องอาศัยกุศลหรืออกุศลที่ได้กระทำแล้ว เป็นเหตุให้เห็นเห็นสิ่งนั้น ซึ่งถ้าเป็นสิ่งที่ดีที่กระทบตา อกุศลกรรมทำให้จิตเห็นเกิดไม่ได้ ถ้าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ดีที่กระทบตา ต้องเป็นกุศลกรรมหนึ่งที่ได้กระทำแล้ว เป็นปัจจัยให้จิตเห็นสิ่งที่น่าพอใจเกิดขึ้น แล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่รู้จึงติดข้องในสิ่งที่ปรากฏ โยงใยกันไปหมด ธรรมแต่ละหนึ่งขณะที่จะเกิดขึ้นเป็นไปด้วยความไม่รู้

    จนกว่ารู้เมื่อใดก็ไม่มีเรา จักขุปสาทก็เกิดดับเพราะกรรม สิ่งที่ปรากฏกระทบตาได้ ก็ต้องกระทบในขณะที่ยังไม่ดับ แล้วทั้งสองอย่างต้องยังไม่ดับ จึงจะเป็นปัจจัยให้กรรมหนึ่งทำให้จิตเห็นเกิดขึ้น ถ้าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่น่าพอใจ อกุศลกรรมไม่สามารถทำให้จิตเห็นเกิดขึ้น แต่กุศลกรรมเป็นปัจจัยให้เกิดขึ้น เห็นสิ่งที่กระทบตาซึ่งเป็นสิ่งที่น่ายินดี บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่อยู่ในอำนาจของใครทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นขณะนี้ทุกขณะถ้าศึกษาโดยละเอียด ไม่มีเจ้าของสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย เป็นแต่เพียงธรรมซึ่งมีปัจจัยเกิดแล้วก็ดับ ดับแล้วยังจะว่าเป็นของใครได้ไหม ในเมื่อไม่มีเลยไม่เหลือเลยด้วย

    ผู้ฟัง แม้จะได้ฟังโดยละเอียดเช่นนี้ มันเป็นไปได้ไหมว่า ที่พอเราออกจากห้องนี้ไปเราก็จะติดข้องในสิ่งต่างๆ เพราะว่าเห็นแล้วก็ลืม เราออกไปแล้วก็ไปติดข้องทำไม พอเห็นแล้วลืม ก็ไม่มีสาระอะไร เราก็จะติดข้องน้อยลง

    ท่านอาจารย์ ยังไม่ได้ออกจากห้อง ดอกไม้นี่สวยไหม

    ผู้ฟัง สวย

    ท่านอาจารย์ ยังไม่ต้องไปไหน เร็วเช่นนั้น เพราะฉะนั้นความติดข้องจะมากมายสักเพียงใด

    ผู้ฟัง ฉะนั้นการฟังเพื่อประโยชน์อะไร

    ท่านอาจารย์ เพื่อเข้าใจถูก

    ผู้ฟัง เพื่อเข้าใจถูก

    ท่านอาจารย์ ความจริงเป็นเช่นนี้

    ผู้ฟัง แค่นั้นเองหรือ

    ท่านอาจารย์ แล้วก็รู้ความจริง แล้วจะติดข้องไหม ถ้ารู้จริงๆ จะมีเราไหม

    ผู้ฟัง ก็ไม่มี

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นสุดท้ายว่าอย่างไร ของคำกลอน

    อ.วิชัย เพราะรู้ละตัวตน จึงพ้นภัย

    ท่านอาจารย์ ต้องละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เพราะไม่จริง ไม่มีตัวตนจริงๆ ก็ไปยึดถือว่ามี เห็นผิดถนัด ก็ไม่รู้ว่าเห็นผิดถนัดถึงเช่นนั้น

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์บอกว่ารู้จริงๆ นี่ก็หมายถึงว่าประจักษ์แจ้งในสภาพธรรม

    ท่านอาจารย์ แน่นอน พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้หมายความว่าอะไร ไม่ได้คิดไม่ได้ไตร่ตรองแล้วก็มาบอกเรา แต่บำเพ็ญพระบารมีมากมายจนกระทั่งตรัสรู้ความจริงอย่างไร ก็ตรัสเช่นนั้น เพื่อที่จะให้คนอื่นได้เข้าใจความจริงด้วย

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์บอกว่าเห็นเพื่อจะลืม ก็เพื่อให้ผู้ฟังได้เข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริง

    ท่านอาจารย์ แน่นอน

    อ.กุลวิไล ถ้ายังมีตัวตนอยู่ก็ยังมีภัย มีความไม่รู้ เป็นต้น และเพราะมีความไม่รู้นั่นเองจึงทำกรรม และต้องรับผลของกรรม

    อ.คำปั่น ก็สืบเนื่องจากที่ได้ฟังพระธรรมตั้งแต่ตอนต้นที่ท่านอาจารย์ได้สนทนา ในเรื่องของความที่ชีวิตก็ต้องเกิดขึ้นเป็นไป เพราะว่ายังมีเหตุมีปัจจัยที่ยังต้องเกิดยังต้องเป็นไป ซึ่งชีวิตในภพหนึ่งชาติหนึ่งก็เริ่มตั้งแต่ขณะแรกปฏิสนธิจิตแล้วก็สิ้นสุดที่จุติจิตเกิดขึ้นสิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ แต่ว่าช่วงเวลาที่ประเสริฐขณะที่ประเสริฐก็คือโอกาสที่ได้สะสมความเข้าใจ ความจริงจากการได้ยินได้ฟังพระธรรม พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงก็มีมากมายทีเดียว ทั้งหมดทั้งปวงก็เป็นไปเพื่ออุปการะเกื้อกูลให้ปัญญาให้คุณความดีทั้งหลายเจริญขึ้น

    ซึ่งสืบเนื่องจากเมื่อวานด้วยที่มีธรรมประการหนึ่ง ที่ทำให้ถึงความเป็นผู้มากความเป็นผู้ไพบูลย์ในธรรมทั้งหลาย ก็คือเป็นผู้ไม่เพียงพอในกุศลธรรมทั้งหลาย ซึ่งถ้าจะพูดเป็นภาษาธรรมดาอย่างที่ท่านอาจารย์ได้สนทนาเมื่อเช้าที่ออกอากาศทางสถานีวิทยุว่า ดีเท่าใดก็ไม่พอจนกว่าจะถึงความเป็นพระอรหันต์ แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก็ทรงแสดงว่าพระองค์ทรงรู้คุณของธรรมสองอย่าง ก็คือ หนึ่ง ความเป็นผู้ไม่เพียงพอในกุศลธรรมทั้งหลาย และความเป็นผู้ไม่ย่อหย่อนในความเพียร ทั้งหมดที่ได้ฟังมาความเข้าใจในเรื่องของความเป็นจริงของธรรม จะเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลต่อความเข้าใจในเรื่องของทำดีเท่าใดก็ไม่พอ กับความเป็นผู้ไม่ย่อหย่อนในความเพียรอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ฟังวันนี้พอไหม แล้วฟังอีก เพียรหรือเปล่า

    อ.คำปั่น ดูเหมือนว่าพระธรรมที่ทรงแสดงก็หลากหลายพยัญชนะจริงๆ แต่ว่าทั้งหมดทั้งปวงก็ไม่พ้นไปจากความเกิดขึ้นเป็นไปของธรรม แม้ที่ทรงแสดงว่าทำดีเท่าใดก็ไม่พอ ก็ต้องเป็นธรรมที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ของธรรม

    ท่านอาจารย์ ก็ต้องเป็นปัญญาที่รู้จริงๆ ว่าตราบใดที่ยังไม่รู้ความจริงจนกระทั่งดับกิเลสได้หมด ก็ยังไม่พอ

    อ.คำปั่น ได้ฟังที่ท่านอาจารย์ได้สนทนาในรายการแนวทางเจริญวิปัสสนาเหมือนกันว่า คำนี้ควรจะเป็นคติประจำใจจริงๆ ก็คือทำดีเท่าใดก็ไม่พอ เพราะเหตุว่าสิ่งที่ควรละสิ่งที่เป็นอกุศลธรรมทั้งหลายนั้นมีมากเหลือเกิน

    ท่านอาจารย์ ฟังแล้วอย่างไร ทำดีเท่าใดก็ไม่พอ ก็ยังไม่ทำดี ใช่ไหม เพราะฉะนั้นจะอย่างไร ได้ยินก็ได้ยิน และก็รู้ว่ามีประโยชน์ แต่ถึงเช่นนั้นธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วสรุปก็คือว่า แม้แต่คำแรกที่ได้ฟังว่าธรรมก็ต้องเข้าใจจริงๆ และธรรมทั้งหลายไม่เว้นเลย เป็นอนัตตาก็ลืม พอไม่ดีก็เป็นเรา พอดีก็เป็นเรา เพราะฉะนั้นยังคงไม่เข้าใจธรรมที่กำลังปรากฏ จนกว่าจะรู้ชัดรู้แจ้งสามารถที่จะดับกิเลสได้ตามลำดับขั้น

    อ.กุลวิไล มีข้อความที่เตือนใจก็คือ เห็นโทษแม้อกุศลธรรมเพียงเล็กน้อย

    ท่านอาจารย์ เห็นโทษแม้เพียงเล็กน้อยที่ไม่รู้จักเห็นหรือเปล่า

    อ.วิชัย เคยผ่านที่ว่าเห็นโทษแม้เพียงเล็กน้อย ก็เหมือนกับการที่อย่างเช่นการต้องอาบัติของภิกษุ ถ้าเป็นอาบัติทุพภาสิตก็เป็นอาบัติที่เบาที่สุดแล้ว แต่ว่าท่านก็เหมือนกับแสดงว่าการต้องอาบัติทุพภาสิต เปรียบเหมือนการต้องอาบัติปาราชิก การที่จะมีความรู้ที่จะเหมือนกับโดยปกติของชีวิตที่เป็นไปก็มีอกุศล การที่ท่านแสดงว่าเห็นโทษแม้เพียงเล็กน้อย จะให้เข้าใจอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ไม่ประมาทที่จะขัดเกลาแม้กิเลสเพียงเล็กน้อย

    อ.วิชัย แต่ก็ต้องมีความรู้ความเข้าใจถูก

    ท่านอาจารย์ ทั้งหมดเป็นปัญญา พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคตรัสเป็นเรื่องของปัญญาทั้งหมด แต่ละคำเป็นปัญญาทั้งนั้น

    อ.ธิดารัตน์ โทษในที่นี้จะหมายถึงโทษภัยอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ก็สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์นำมาซึ่งทุกข์

    อ.ธิดารัตน์ แล้วก็จะหมายถึงรายละเอียดของธรรมที่เป็นโทษเป็นภัยของตัวเขาเองด้วยหรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ ความไม่รู้ก็เป็นโทษเป็นภัยเพราะไม่รู้ ทุกอย่างที่เป็นอกุศลเป็นโทษทั้งหมดเป็นภัยทั้งหมด

    อ.ธีรพันธ์ ยังอยู่กันใช่ไหม แน่นอนที่อยู่เพราะว่าอะไร ถ้าไม่มีการฟังธรรมเลย ก็จะอยู่อย่างไร อยู่เพื่อที่จะรู้ความจริง หรือว่าอยู่เพื่อที่จะไม่รู้ความจริง หรือว่าก็อยู่ไปเช่นนั้น หรือว่าอยู่ก็ต้องอยู่ เพราะว่ายังไม่ตายก็อยู่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น จะอยู่หรือจะไปก็เป็นไปตามสภาพธรรม แล้วก็อยู่กันมาแล้วในสังสารวัฏ จะอยู่ด้วยการเกิดเป็นบุคคลต่างๆ แม้ในชาตินี้ก็เป็นการอยู่ครั้งหนึ่ง ชั่วระยะเวลาหนึ่งของการเป็นบุคคลนี้ แล้วก็จะลาจากโลกนี้ไป แล้วก็จะอยู่อีกต่อไป

    แต่การอยู่ที่ประเสริฐคือ การได้ยินได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นการอยู่ที่เป็นไปเพื่อความรู้ความเข้าใจสิ่งที่ยังไม่เคยได้ยินได้ฟัง จะเป็นการอยู่อย่างประเสริฐ เป็นการอยู่อย่างที่ไม่ไร้ค่า เพราะว่าเป็นไปเพื่อความงอกงามเจริญขึ้นของความดีงามทั้งหลาย เป็นไปเพื่อความรู้จริงเห็นจริง ค่อยๆ รู้ขึ้น ค่อยๆ อบรมขึ้น ก็ในสังสารวัฎคงไม่ได้เป็นการอยู่อย่างนี้ตลอดไปใช่ไหม บางชาติอาจจะเคยอยู่ในป่าของพญาเสือโคร่งพญาราชสีห์ก็ได้ หรือว่าจะอยู่ในวิมานต่างๆ แต่อย่างไรก็ต้องกลับมาเป็นเช่นนี้อีก ขณะนี้ต่อไปจะเป็นการอยู่ที่ประเสริฐหรือไม่ประเสริฐ ก็อยู่ที่ความไม่ประมาทในพระธรรมที่ได้ยินได้ฟัง แต่ละคำแต่ละครั้งที่ได้ยินได้ฟังเป็นไปเพื่อความรู้ยิ่งเห็นจริง เพราะว่าสิ่งที่ควรรู้ยิ่งก็คือ สิ่งที่ได้ยินได้ฟังในขณะนี้นี่เอง เป็นไปเพื่อการรู้ความจริงที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนในสังสารวัฎด้วย

    อ.กุลวิไล ที่ท่านอาจารย์ให้ความเข้าใจว่าเห็นเพื่อลืม ในที่นี้ก็คือว่าทั้งหมดไม่เหลือเลย ไม่ว่าเห็นก็ตาม ธรรมที่เกิดกับเห็น หรือว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาไม่มีอะไรเหลือ จึงลืมหมดเลย แต่เราก็ยังเหมือนกับว่ายังมีความติดข้องมีความผูกพัน ก็เลยเหมือนกับที่ท่านอาจารย์กล่าวว่า ทรงจำว่ามี

    ท่านอาจารย์ แล้วเวลานี้คุณกุลวิไลกำลังติดข้องอะไร

    อ.กุลวิไล มากมายเลย

    ท่านอาจารย์ ลืม ตอบว่ามากมาย แต่ลองบอกว่าติดข้องอะไร

    อ.กุลวิไล ที่จริงสิ่งที่ปรากฏทางตาสวยงาม ก็ชอบ เสียงไพเราะ ก็ชอบ

    ท่านอาจารย์ แต่เห็นแล้ว เห็นแล้ว และติดข้องมาแล้ว เพราะฉะนั้นถามถึงที่เห็นแล้วติดข้องมาแล้วว่า เห็นอะไรติดข้องอะไร

    อ.กุลวิไล ก็ไม่เหลือเลย

    ท่านอาจารย์ มากมายจำไม่ได้ก็คือลืม เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วก็คือว่าแม้แต่สภาพจำซึ่งเป็นเจตสิกที่เกิดจำ บังคับไม่ให้จำก็ไม่ได้ ต้องเกิดแล้วก็จำ ก็ดับไปพร้อมกับจิตทุกขณะ เพราะฉะนั้นสภาพธรรมที่ตรึกถึงคิดถึงสิ่งที่จำไว้แล้ว ไม่ใช่สภาพที่จำ สภาพที่จำมีหน้าที่อย่างเดียวคือจำ จำ เวลานี้ก็จำ จำหมดเลย ที่จำแล้วดับไป ก็จำอีกดับไป จำอีกดับไป แต่ว่าจะตรึกหรือนึกถึงสิ่งใดที่ได้จำแล้ว นั่นก็ไม่ใช่สภาพของสภาพจำที่คิด แต่ต้องสภาพเจตสิกอีกชนิดหนึ่งคือวิตักกเจตสิก

    อ.กุลวิไล โดยสภาพธรรมก็เป็นจริง เพราะว่าชีวิตดำรงชั่วขณะจิตเดียว ดังนั้นแม้แต่สัญญาเจตสิก หรือธรรมที่เกิดกับจิตขณะนั้นก็ต้องดับไปด้วย


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 194
    28 พ.ค. 2567

    ซีดีแนะนำ