ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1767


    ตอนที่ ๑๗๖๗

    สนทนาธรรม ที่ บ้านขนมนันทวัน จ.เพชรบุรี

    วันที่ ๑๗ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๕


    ท่านอาจารย์ ไม่มี โลภะ โทสะ ไม่มีอกุศลใดๆ เพราะมีสติ จะช่วยกรุณาบอกได้ไหมคะว่าสติคืออะไร ถ้าไม่รู้ ใช่สติหรือเปล่า หรือว่าเรียกว่าสติแต่ก็ไม่ใช่สติ เพราะฉะนั้นก่อนอื่นนะคะ ไม่คิดเอง แล้วค่อยๆ เห็นความต่างของคำที่ใช้ด้วย

    ผู้ฟัง ขอความเห็นอาจารย์ว่าถ้าเป็นข้อปฏิบัติที่ว่าเราจะสามารถทำให้พวกนี้เบาบางได้เราจะทำอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ศึกษาพระธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง เพราะรู้ว่าก่อนฟังไม่รู้อะไรเจ้าค่ะ เพราะฉะนั้นจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อได้ฟังพระธรรมด้วยความเคารพอย่างยิ่ง

    ผู้ฟัง ใช่ครับ

    ท่านอาจารย์ คือฟังด้วยการพิจารณาแต่ละคำจนกระทั่งเป็นความเข้าใจ

    ผู้ฟัง แต่มีพระสูตรบางพระสูตร อย่างเช่น พราหมณ์ฟังธรรมะคืนเดียวก็สามารถบรรลุธรรมได้เลย

    ท่านอาจารย์ บุคคลนั้นมีปัญญาหรือเปล่า ข้อสำคัญที่สุดคือปัญญา ไม่ว่าจะเป็นใคร จะรู้เร็วรู้ช้าอย่างท่านพระอานนท์ ท่านพระมหาโมคัลลานะ ท่านพระพาหิยะ ท่านพระภัททิยะหรือใครก็ตาม ทั้งหมดที่จะรู้ความจริงในขณะนี้เป็นผู้ที่มีปัญญาหรือเปล่า หรือไม่มีเลย เพียงฟังก็บรรลุได้

    เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจความจริงนะคะ นามธาตุไม่มีรูปร่างที่จะปรากฏเป็นธาตุรู้ ขณะนี้ทุกคนคิดอะไร คนอื่นรู้ได้ไหม ไม่ได้เลยค่ะ เพราะฉะนั้นที่ว่ารู้ความจริง เช่น ขณะนี้เห็น อะไรจะรู้ความจริงของเห็นตรงตามที่ได้ฟัง ว่าเป็นสิ่งที่มีจริงเกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับไป รู้อย่างนี้ถูกหรือผิดคะ ถ้ารู้ว่าเห็นขณะนี้มีจริงๆ เกิดขึ้นและดับไป นี่คือปริยัติ

    แต่ยังไม่สามารถที่จะถึงปฏิปัตติ คือเข้าใจลักษณะที่กำลังเห็นเพราะว่าจิตนี่คะ เกิดดับเร็วมาก แม้แต่ขณะที่กำลังนั่งฟังอย่างนี้นะคะ คิดเรื่องอื่นหรือเปล่าคะ ไปแล้ว ไม่ได้มาเข้าใจลักษณะของเห็นที่กำลังเห็นอย่างที่กำลังได้ยิน เพราะฉะนั้นไม่ว่าขณะนี้มีเห็น ฟังเรื่องเห็น ยังไม่สามารถที่จะรู้ชัดในความเป็นธรรมะของธาตุซึ่งเป็นธาตุรู้แจ้ง

    คือรู้ว่าสิ่งที่กำลังปรากฏเป็นอย่างนี้นะคะ แล้วหายไปเลย ไม่กลับมาอีก เป็นธาตุได้ยินเกิดขึ้น เปลี่ยนแหละจากสิ่งที่ปรากฏมารู้แจ้งเสียง แล้วก็หายไป ดับไป ไม่กลับมาอีก ทั้งเห็นและได้ยินนี่คือความเป็นอนัตตา นี่คือความไม่เที่ยง นี่คือทุกขอริยสัจจะตรงตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงหรือเปล่า หรือว่าทรงแสดงเรื่องอื่น หรือทรงแสดงให้ไม่รู้ไม่เข้าใจ

    หรือว่าทรงแสดงไม่ให้ศึกษาตามลำดับ คือไม่ต้องมีปริยัติก็จะไปมีปฏิปัตติและปฏิเวธได้ ต้องเป็นผู้ที่ตรงนะคะ จึงจะได้สาระจากพระธรรม และเห็นความต่างของปัญญา วิชากับอวิชชาความหลงความไม่รู้ ห่างไกลกันไหมคะ ความหลงความไม่รู้เลยกับการที่เริ่มรู้ว่าชีวิตจริงๆ ที่ใช้คำว่าสังสารวัฎเนี่ย

    ไม่ได้พ้นไปจาก เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก สุขทุกข์แต่ละหนึ่งขณะ สืบต่อกัน ไม่ว่างไม่เว้น เพียงขาดไปก็ไม่มีแล้วค่ะสังสารวัฎ แต่สังสารวัฎเพราะเหตุว่าไม่ได้ขาดไปเลย สักขณะเดียว แต่จะหมดสิ้นไปได้ด้วยปัญญาที่มีความเข้าใจถูก แม้ในสิ่งที่คิดว่าเล็กน้อยมากคือเพียงแต่ละคำก็จะต้องเป็นความรู้ที่ชัดเจนด้วย

    ผู้ฟัง เดี๋ยวผมขอความเมตตาจากอาจารย์นะครับ ทำไมต้องระลึกรู้สภาพธรรมตอนที่ปรากฏ

    ท่านอาจารย์ คะ ถ้าไม่ปรากฏแล้วจะรู้ได้ยังไงล่ะคะ เวลานี้มีเห็นจะไปรู้สิ่งที่ไม่ปรากฏคือไม่เห็นได้ไหมคะ ขณะที่เสียงปรากฏ มีได้ยิน ถ้าไม่รู้ชัดในลักษณะของเสียง เสียงนั้นด้วย แล้วก็ธาตุที่ได้ยินเสียงนั้นด้วย แล้วจะไปรู้อะไร นี่แสดงให้เห็นว่านะคะ จากไม่มี แล้วมี แล้วหามีไม่ นอนหลับสนิท เห็นเกิดหรือยังคะ

    ยังไม่เกิด ไม่มี แล้วมีเห็น แล้วก็หามีไม่ นอนหลับสนิท เสียงปรากฏ มีได้ยิน ทั้งเสียง ทั้งได้ยิน มีแล้วก็หามีไม่ แต่เราไม่เคยมาเข้าใจอย่างนี้เลยนะคะ จิตของเราเนี่ยมุ่งไปด้วยความติดข้องในทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏ ด้วยเหตุนี้โลภะหรือความติดข้องเนี่ยค่ะ ติดข้องได้ทุกอย่าง ไม่เว้นเลย นอกจากโลกุตระธรรมเท่านั้น

    นี่แสดงให้เห็นถึงความลึกซึ้งอย่างยิ่ง ซึ่งเราไม่รู้ตัวเลยนะคะ แม้ตื่นขึ้นมาก็อยากเห็น อยากทำอะไรไปหมดทั้งวัน โดยไม่รู้เลยว่าขณะนั้นนะคะ เป็นความต้องการ และก็ถ้าสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม ที่ไม่ปรากฏจะไปรู้สิ่งนั้นได้หรือ เวลานี้ให้รู้นิพพาน รู้ได้ไหมคะ ไม่มีทางเลยเพราะไม่ได้ปรากฏ และนิพพานก็ไม่ได้ปรากฏกับโลภะ

    ค่ะ ไม่ใช่ทางที่จะทำให้มีนิพพานเป็นอารมณ์หรือรู้แจ้งได้ แต่ขณะนี้อะไรก็ตามที่ปรากฏแล้วไม่รู้ แล้วจะรู้อะไรละคะ เพราะเพียงปรากฏนิดเดียวก็หมดแล้ว มีสิ่งใหม่ปรากฏอีก ก็ไม่รู้อีก ก็ไม่มีทางที่จะรู้อะไรเลย ถ้าไม่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏ พระผู้มีพระภาคทรงแสดงสภาพธรรมะตามความเป็นจริงเพราะทรงตรัสรู้ความจริงของสภาพธรรมะนั้น

    เพราะฉะนั้นจะไปเปลี่ยนแปลงลักษณะที่เป็นจริงอย่างนั้นให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้คะ อวิชชาไม่ใช่โลภะ จะไปบอกว่าอวิชชาเป็นโลภะไม่ได้ พระธรรมที่ทรงแสดงนะคะ เป็นวาจาสัจจะ จริงทุกคำนำไปสู่ญาณสัจจะ ปัญญาที่รู้ความจริง ไม่ใช่รู้อื่น นำไปสู่มัคคสัจจะ หนทางที่จะทำให้รู้แจ้งสภาพธรรมะตรงตามความเป็นจริง

    ผู้ฟัง ขออนุญาติถามท่านอาจารย์นะคะ เมื่อมีการได้ยินได้ฟังแล้วทั้งสุตตะ ทั้งจินตะแล้วเนี่ย มาประมวลกันเป็นการปฏิบัติ

    ท่านอาจารย์ ยังไม่ถึงค่ะ

    ผู้ฟัง ยังไม่ถึงใช่ไหมค่ะ

    ท่านอาจารย์ หมายความว่าต้องรอบรู้เข้าใจในสิ่งที่ได้ฟังจึงสามารถที่จะเป็นปัจจัยให้เกิดการเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะเดี๋ยวนี้เราพูดถึงเห็น แล้วจะรู้ว่าเห็นเป็นธรรมะนี่ยาก แล้วที่จะประจักษ์ว่าเห็นเกิดดับก็ยาก ถ้าเราไม่มีการฟังจนกระทั่งพิจารณาในเหตุผลอย่างมั่นคงจริงๆ ว่าไม่เป็นอย่างอื่น

    ผู้ฟัง ถ้าอย่างงั้นเนี่ยแปลว่าธัมมวิจยะเนี่ยเป็นข้อสำคัญอย่างมากในการที่ได้จากทั้งสุตตะ ทั้งจินตะ มาประมวลเพื่อเป็นธัมมวิจยะ แล้วจากธัมมวิจยะแล้วเนี่ยถึงเป็นโยนิโสมนสิการ แล้วถึงจะกลายเป็นปัญญารอบรู้ใช่ไหมคะอาจารย์

    ท่านอาจารย์ เราคงจะไม่ต้องติดชื่อนะคะ ชื่อต่างๆ เหล่านี้ค่ะเป็นภาษาบาลีซึ่งถ้าไม่มีการฟังจนกระทั่งเข้าใจแต่ละคำที่พูด เราก็ไม่รู้ว่าเป็นความเข้าใจระดับไหน อย่างถ้าใช้คำว่าธัมมวิจยะเนี่ยถึงสัมโพชฌงค์ แต่ว่าจะเริ่มเป็นสัมโพชฌงค์ องค์ธรรมเครื่องตรัสรู้โดยที่ไม่เข้าใจธรรมะเลย ไม่ได้ยินได้ฟังว่าขณะนี้เป็นธรรมะ แล้วจะไปวิจัยอะไร

    ผู้ฟัง ดิฉันกำลังพยายามจะหมายถึงว่าในสภาวธรรมที่เราเข้าไปรู้เนี่ยถ้าจะ..

    ท่านอาจารย์ ไม่มีเราค่ะ ต้องฟังให้รู้ว่าเป็นธรรมะแต่ละหนึ่ง เป็นจิต เป็นเจตสิก เป็นรูป ไม่ใช่เรา ถ้ายังคงเป็นเราอยู่นะคะ ก็คือว่าไม่ได้เข้าใจตามความเป็นจริงว่าเป็นธรรมะ ยังคงเป็นเรา

    ผู้ฟัง ใช่ งั้นในทุกขณะจิตที่เข้าไปรู้เนี่ยต้องตัดตัวเราออกไปให้ได้ถึงจะ

    ท่านอาจารย์ ตัดก็ไม่ได้คะ ปัญญาเห็นถูกหรือยัง เพราะว่าอวิชชาทำหน้าที่ของปัญญาไม่ได้ เห็นถูกหรือยัง เข้าใจถูกหรือยัง ค่อยๆ เข้าใจขึ้นหรือยัง และก็ไม่หวังด้วยนะคะ ว่าจะมีสติมีความเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ ที่จะรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏในขณะนี้ได้เมื่อไหร่ ก็ไม่รู้ เพราะว่าเดี๋ยวนี้ไม่รู้ใช่ไหมคะ

    ไม่ใช่ว่าเดี๋ยวนี้รู้แล้ว เดี๋ยวนี้ไม่รู้ ฟังแล้วก็เข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น และใครจะรู้ว่า วันไหน เมื่อไหร่ จะรู้อย่างที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง แต่เมื่อเหตุมีนะคะผลต้องมี ช้าหรือเร็ว ไม่ใช่เรามาคิดว่าเราฟังมาตั้ง ๑๐ปี ๒๐ปี ๓๐ปี เมื่อไหร่เราจะรู้ นั่นคือยังคงเป็นเราอยู่ แต่ถ้าฟังแล้วเข้าใจในความเป็นธรรมะเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น นะคะ

    ก็ค่อยๆ คลายความไม่รู้ในขั้นปริยัติซึ่งจะเป็นปัจจัยให้เดี๋ยวนี้เองค่ะ พูดถึงแข็ง กำลังรู้ลักษณะแข็ง เห็นไหมคะต่างกันแหละ พูดถึงเห็น กำลังเข้าใจเห็นที่กำลังเห็น นี่ก็ต่างกันกับการที่พูดแล้วเราก็ไปคิดถึงเรื่องอื่น แล้วก็วันไหน เมื่อไหร่ จะเริ่มเข้าใจว่าเห็นขณะนี้คือสิ่งที่กำลังพูดถึง

    ตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่าเป็นสิ่งที่มีจริงเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แล้วเห็นแล้วก็ดับไป แล้วสิ่งที่ปรากฏทางตาก็ยังไม่เคยรู้เลยนะคะ ว่าแท้ที่จริงแล้วเป็นธาตุหรือธรรมะที่มีจริง เพียงปรากฏให้เห็น จะเป็นอย่างอื่นนอกจากนี้ไม่ได้เลยค่ะ แล้วสิ่งที่ปรากฏทางตา จริงๆ เวลานี้อยู่ที่ไหนถ้าไม่มีธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม

    จะมีธาตุที่สามารถกระทบจักขุปสาทที่ใช้คำว่าวัณโณ หรือภาษาไทยอาจจะใช้คำง่ายๆ ว่าสีสันต่างๆ ได้ไหม ที่จะกระทบ ปรากฏให้รู้ว่าสัณฐานของธาตุนี้ กว้าง ใหญ่ ยาวแค่ไหน แต่ถ้าไม่มีวัณณะที่กระทบให้เห็นก็ประมาณไม่ได้ ทั้งหมดต้องเป็นความรู้ค่ะ ฟังพระธรรม เพื่อเข้าใจพระธรรมเท่านั้นค่ะ และความเข้าใจก็จะเจริญขึ้น เจริญขึ้น

    จนสามารถเข้าใจถูกต้องในสิ่งที่กำลังปรากฏในขั้นปฏิปัตติ แต่ต้องมีปริยัติ ถ้าไม่มีปริยัติ ปฏิปัตติไม่มี จะมีปฏิเวธ การแทงตลอดการประจักษ์จริงๆ ว่าพระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ ก็จะไม่รู้ว่าสิ่งที่คนอื่นไม่รู้เนี่ยคะ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงพระมหากรุณาอนุเคราะห์ให้คนอื่นได้เข้าใจด้วย

    โดยการทรงพระมหากรุณาแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา ๔๕ พรรษานี้ เช้า สาย บ่าย ค่ำ นะคะ ตอนดึกๆ ก็ยังมีเทวดามากราบทูลถาม ผู้ตรงจริงๆ นะคะ ถึงจะได้สาระจากพระธรรม เพราะละเอียดลึกซึ้งจึงชื่อว่าอภิธรรมะ ธรรมะคือสิ่งที่มีจริงนะคะ ใครเปลี่ยนแปลงลักษณะของธรรมะไม่ได้ เป็นความจริงถึงที่สุดจริง จึงชื่อว่าปรมัตถธรรม

    แข็งเป็นแข็ง อะไรก็ตามที่เราจำได้ว่า เป็นแว่นตา เป็นเก้าอี้ เป็นแก้วน้ำ แต่ลักษณะที่มีจริงคือแข็ง และก็เกิดดับสืบต่อจนปรากฏรูปร่างสัณฐานนะคะ ให้จำว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดแต่สิ่งที่มีจริงคือถ้าไม่มีแข็ง สิ่งนั้นจะมีไม่ได้เลย ด้วยเหตุนี้ปรมัตถธรรมนะคะ จึงมี จิต เจตสิก รูป และนิพพาน

    ไม่มีความจริงอื่นยิ่งกว่านี้เลยค่ะ ไม่ว่าจะกล่าวถึงอะไร ก็ต้องเป็นจิต หรือเป็นเจตสิก หรือเป็นรูป สภาพธรรมะนั้นเกิดต้องเป็นอย่างหนึ่งอย่างใดใน ๓ อย่าง ไม่ใช่ทั้ง ๓ นะคะ หนึ่งใน ๓ จิตคือจิต ไม่ใช่เจตสิก ไม่ใช่รูป เจตสิกก็เป็นเจตสิก แต่ละหนึ่งไม่ใช่จิตไม่ใช่รูป รูปก็เป็นรูปธรรม แต่ละหนึ่ง ไม่ใช่จิต ไม่ใช่เจตสิก

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์คะ คือขณะที่กำลังฟัง ฟังแล้วเข้าใจ แล้วก็ระลึกน้อมถึงลักษณะสิ่งที่ปรากฏตรงนั้นบ่อยๆ

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวก่อนนะคะ ระลึกน้อมใครละคะทำ

    ผู้ฟัง จริงก็ยังเป็นเราอยู่เสมอท่านอาจารย์คะ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นฟังให้เข้าใจไม่ต้องไปมีเราน้อมอีก ขณะที่เข้าใจนี่นะคะ เราทราบแล้วใช่ไหมคะ ปรมัตถธรรมสิ่งที่มีจริงเนี่ยคือจิตเจตสิก เจตสิกมีถึง ๕๒ ประเภท แต่จิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ เพราะฉะนั้นในขณะนี้ไม่ได้มีแต่เห็น มีเจตสิกเกิดพร้อมจิตเห็น ในขณะที่คิดก็ไม่ได้มีแต่จิตที่กำลังรู้ว่า คิดอะไร นะคะ

    แต่ว่ามีเจตสิกซึ่งเกิดพร้อมกับจิตที่คิดด้วย แล้วแต่ว่าจะเป็นโลภะคิดด้วยความต้องการมากมายมหาศาลไม่จบ หรือว่าคิดด้วยความโกรธก็มากมายอีกเหมือนกัน หรือว่าคิดด้วยความเมตตาความกรุณา ทั้งหมดเป็นธรรมะไม่ใช่เรา ที่จะต้องเข้าใจนะคะ ตั้งแต่ต้นคือสภาพธรรมะไม่ใช่เราเป็นอนัตตา เป็นสิ่งที่มีจริง

    สภาพธรรมะใดเกิดสภาพธรรมะนั้นต้องมีปัจจัยที่จะให้เกิดเป็นอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างอื่น นี่ค่ะคือความเข้าใจที่ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ไม่ต้องถามใครว่าเราเข้าใจแค่ไหนมั่นคงหรือเปล่า ชอบความจริงไหม ต้องเป็นผู้ที่ตรง หรือว่าความจริงไม่น่าฟัง เรื่องไม่จริงสนุกกว่า เพลิดเพลินดี

    แต่ลองคิดถึงประโยชน์ ความจริงเป็นสิ่งที่ควรรู้ยิ่งค่ะ ถ้าชอบความจริง ชอบคำจริงไหมคะ คำจริงต้องตรงกับความจริง เป็นมิตรที่ดีก็คือให้ความจริง ให้สิ่งที่เป็นประโยชน์ที่สุด คือให้ความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ถ้าไม่ใช่มิตรที่ดีจะให้สิ่งต่างๆ เหล่านี้ไหมคะ มิตรดีก็คือให้สิ่งที่ดีที่เป็นประโยชน์ และสิ่งที่เป็นประโยชน์ที่สุดคือรู้ความจริง

    เพราะฉะนั้นทุกคำที่เป็นวาจาสัจจะนะคะ เป็นคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะทำให้เกิดญาณสัจจะความเห็นถูกซึ่งจะนำไปสู่มัคสัจจะ เมื่อมีปัญญาแล้วจะไม่เดินไปในทางที่เป็นโทษ ในทางทุจริต ในทางของอกุศลใดๆ เลย เพราะฉะนั้นชีวิตที่เป็นไปตามความรู้ความเห็นถูกเนี่ยนะคะ ก็จะพ้นจากความทุกข์ที่เกิดจากอกุศล และอกุศลกรรม

    ผู้ฟัง ขออนุญาติเรียนถาม ขอคำอธิบายว่าคำว่าปฏิบัติคืออย่างไร ขอบคุณค่ะ

    ท่านอาจารย์ ธรรมะทั้งหมดต้องตามลำดับนะคะ แล้วก็ลืมไม่ได้ ได้ยินคำว่าปฏิปัตติ หรือว่าปฏิบัติเนี่ยคืออะไร มีจริงๆ หรือเปล่า แล้วก็เป็นธรรมะหรือเปล่า แล้วเป็นไปเพื่ออะไร ถ้าไม่มีธรรมะก็ไม่มีอะไรที่จะปฏิบัติใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นปฏิปัตติ หรือปฏิบัติ หรืออะไรก็ตามทั้งหมดนี่ค่ะ เป็นสิ่งที่มีจริงเป็นธรรมะที่หลากหลาย

    เวลาใช้คำว่าปฏิบัติ เพื่ออะไร ไม่ใช่ยังไม่ทันจะรู้อะไรก็ปฏิบัติยังไงแล้ว ใช่ไหมคะ แต่ปฎิบัติทำไมค่ะ แล้วปฏิบัติอะไรเพื่ออะไร เพื่อความไม่รู้ดีไหมค่ะ ถ้าปฏิบัติแล้วไม่รู้ ปฏิบัติเพื่อความไม่รู้ ดีไหม ถูกต้องไหม ในเมื่อมีสิ่งที่กำลังปรากฏ และความจริงของสิ่งที่ปรากฏก็คือเป็นธรรมะแต่ละหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

    จึงจะไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา ไม่ใช่ใคร ไม่ว่านกเห็น งูเห็น มนุษย์เห็น เทวดาเห็น คนที่เกิดในนรกเห็น เห็นเป็นเห็นค่ะ เห็นเป็นธรรมะอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นที่ใดที่มีเห็น ที่นั้นต้องมีธรรมะ ที่เป็นรูปธรรมคือรูปพิเศษนะคะ ที่สามารถจะกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏได้ และก็เป็นปัจจัยให้มีธาตุรู้เกิดขึ้นเห็น

    เพื่อที่จะได้ละการเป็นเราเห็น หรือว่าไม่รู้ว่าเห็นคืออะไรถ้าไม่รู้ว่าเห็นคืออะไร แล้วยังไม่รู้ต่อไปก็คือผู้ที่ไม่ได้ฟังพระธรรม ย่อมไม่รู้ใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นเพื่อที่จะได้เข้าใจถูกต้องจึงฟัง เมื่อฟังแล้วการที่จะเข้าใจจริงๆ ขณะนี้ที่กำลังเห็นว่าไม่ใช่เราเป็นธรรมะหรือเป็นธาตุชนิดหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นเห็นแค่นี้ค่ะ

    เป็นธรรมะคือสิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นเห็น นานไหมคะกว่าสามารถที่จะไม่ว่าเมื่อไหร่ที่เห็นก็สามารถที่จะเข้าใจถูกตามความเป็นจริงว่า เป็นสิ่งที่มีจริงเกิดขึ้นเห็น แล้วก็ดับไป นี่คือขั้นปริยัติขั้นฟัง แล้วก็ลองคิดดูค่ะเมื่อไหร่จะได้เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงว่าเป็นสิ่งที่มีจริงชนิดหนึ่งนะคะ เพียงเกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับ

    หรือเวลาที่ได้ยินก็เหมือนกันนะคะ เสียงปรากฏ ไม่ได้สนใจมาก่อนเลยนะคะ ความต่างของได้ยินกับเสียง ขณะนั้นจะไม่มีอย่างอื่นเลยนอกจากความจริงขณะนั้น ที่จริงที่สุดคือได้ยินเสียงจริง เพราะฉะนั้นได้ยินก็จริง เสียงก็จริง ขณะนั้นไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น จึงจะไม่ใช่เราเพราะได้ยินเป็นได้ยิน และเสียงเป็นเสียง

    เพื่อความเข้าใจถูกต้องอย่างนี้หรือเปล่า ที่ใช้คำว่าปฏิปัตติ คือถึงเฉพาะด้วยความเข้าใจถูกในลักษณะของสภาพธรรมะที่กำลังมีจริงๆ ถ้ามิเช่นนั้นแล้วปฏิปัตติคำนี้จะไม่มีประโยชน์เลยค่ะ ไม่รู้จะปฏิบัติอะไร แล้วก็เพื่ออะไร ในเมื่อสิ่งที่มีจริงก็กำลังเป็นอย่างนั้น แล้วก็ไม่ปฏิบัติ คือถึงเฉพาะลักษณะนั้นด้วยความเข้าใจก่อน

    ถ้าไม่มีความเข้าใจเลยนะคะ ผู้นั้นไม่ต้องอาศัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งเป็นสรณะถูกต้องไหมคะ ไม่ต้องฟังก็สามารถที่จะไปรู้ได้ว่าขณะนี้เห็นมีจริงเกิดและดับไม่ใช่เรา ไม่มีทางเป็นไปได้เลยค่ะ ด้วยเหตุนี้ผู้ที่ตรงนะคะ จึงสามารถที่จะเข้าใจความหมายจริงๆ ของปริยัติ ปฏิปัตติ และปฏิเวธ ว่าความรู้ขั้นฟังเนี่ยยังละความไม่รู้ในขณะที่กำลังเห็น

    เพราะเคยคิดว่าเป็นเราเห็น และเคยคิดว่าสิ่งที่เห็นเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยงไม่ดับไปเลย อย่างโต๊ะเงี้ยค่ะ บางคนก็บอกโต๊ะดับหรอ ใช่ไหมคะ เพราะไม่ได้เข้าใจเลยค่ะว่าโต๊ะไหนล่ะ ถ้าไม่เห็น จะมีการคิดว่านี่เป็นโต๊ะหรือเปล่ารูปร่างอย่างนี้ เพราะฉะนั้นอะไรละที่ดับ ต้องเห็นดับ และความจำในรูปร่างสัณฐาน จึงมีความเข้าใจว่าเป็นโต๊ะ

    เสร็จแล้วก็มีได้ยินก็ไม่ใช่การรู้ว่าเป็นโต๊ะอีก เพราะฉะนั้นทุกอย่างนี่คะ เกิดดับอย่างเร็วมาก ฟังเพื่อให้เข้าใจถูกว่าสิ่งนี้ค่ะ มีผู้ที่สามารถประจักษ์แจ้งมิฉะนั้นความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเป็นประโยชน์อะไร แต่เพราะบำเพ็ญพระบารมีเพื่อดับกิเลสดับความไม่รู้ และก็อนุเคราะห์ผู้อื่นด้วยการทรงแสดงธรรมนะคะ

    ละเอียดอย่างยิ่งที่จะทำให้คนอื่นเนี่ยค่อยๆ เข้าใจขึ้น เป็นสาวกที่รู้อย่างเดียวกันสามารถที่จะละกิเลสและดับกิเลสได้ ถึงความเป็นพระอรหันต์ได้ แต่ว่าต้องมาจากการฟัง เพราะความไม่รู้จึงฟัง ฟังเพื่อเข้าใจ เมื่อเข้าใจแล้วสภาพธรรมะที่เจริญขึ้นนั่นเองค่ะก็ทำกิจ ของทั้งสติและปัญญาที่จะรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ

    จนกระทั่งสามารถที่จะเป็นสาวกคืออริยะสาวกไม่ใช่เพียงผู้ฟังนะคะ แต่เป็นผู้ฟังที่เป็นอริยะ เจริญด้วยปัญญา ไม่ใช่ฟังแล้วไม่เข้าใจก็คิดแต่ว่าเมื่อไหร่จะได้เข้าใจ ซึ่งขณะนั้นก็แสดงถึงความไม่เข้าใจว่าเป็นธรรมะ และยังยึดถือสภาพธรรมะว่าเป็นตัวตน หนทางนี้ยาวไกลไหมคะ หรือสั้นๆ เดียวก็ถึง

    หนทางของอวิชชายาวนานมามากเท่าไหร่แล้วคะ เกินแสนโกฏิกัปป์ ทีละหนึ่งขณะ ค่อยๆ มากทับถมทวีคูณปิดบังนะคะ ความเป็นจริงของสภาพธรรมะ ฉันใด ปัญญาที่จะรู้จนสามารถที่จะกำจัดอวิชชาได้ ก็ต้องเป็นหนทางยาวนานเหมือนอย่างวิชชาที่สะสมมาแสนโกฏิกัปป์

    เพราะฉะนั้นปัญญาก็จะต้องค่อยๆ เข้าใจถูกเห็นถูกนะคะ จนกว่าความไม่รู้นั้นจะหมดสิ้นไป ขณะนี้คะเข้าใจหรือไม่เข้าใจธรรมะ เห็นไหมคะ คนอื่นจะตอบได้ไหมนอกจากตัวเอง แล้วก็ความละเอียด แม้แต่คำว่าธรรมะวันนี้เนี่ยเข้าใจเพิ่มขึ้น ถูกต้องขึ้นไหม คือสิ่งที่มีจริงทั้งหมดเลย

    ไม่ว่าจะเป็นเสียงมองไม่เห็น กลิ่นมองไม่เห็น อะไรที่มีจริงเป็นธรรมะนะคะ เมื่อสิ่งใดปรากฏต้องเพราะเกิดขึ้น เป็นไปตามปัจจัยเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลยเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แค่นี้ก็มั่นคงขึ้นแล้วนะคะ แล้วก็สิ่งที่มีจริงเนี่ยเกิดดับอยู่ตลอดเวลา พร้อมที่จะให้เข้าใจได้เมื่อมีการฟังแล้วพิจารณาเข้าใจเพิ่มขึ้น

    ผู้ฟัง กราบท่านอาจารย์ค่ะ ท่านอาจารย์ค่ะขอความเข้าใจให้มั่นคงเรื่องของสติ

    ท่านอาจารย์ ทำไมอยากรู้สติ

    ผู้ฟัง จริงๆ แล้วก็เข้าใจขั้นการฟังว่าสติก็เป็นโสภณเจตสิก

    ท่านอาจารย์ โสภณเจตสิกหมายความว่ายังไงคะ

    ผู้ฟัง หมายความว่าเป็นสภาพจิตที่ดีงามนะคะ

    ท่านอาจารย์ สภาพธรรมะที่ดีงามค่ะ สติเป็นโลภะหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่ใช่ค่ะ

    ท่านอาจารย์ ค่ะ สติเป็นโมหะหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ก็ไม่ใช่ค่ะ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นขณะที่กำลังเข้าใจธรรมะ มีสติเกิดร่วมด้วยหรือเปล่า

    ผู้ฟัง มีแน่นอนค่ะ

    ท่านอาจารย์ คิดเองหรือว่าฟังมา

    ผู้ฟัง ฟังมาค่ะ

    ท่านอาจารย์ ค่ะ เพราะฉะนั้นฟังมากับการที่จะเข้าใจทีละคำนะคะ ธรรมะนี่ค่ะสามารถที่จะจำแนกเป็นสองอย่างคือ โสภณดีงาม กับอโสภณไม่ดีงาม เราคุ้นเคยกับคำว่ากุศลกับอกุศล แต่ตามความเป็นจริงถ้าใช้คำว่ากุศล หมายความถึงสภาพธรรมะที่เป็นเหตุที่ดี

    แต่โสภณเป็นธรรมะที่ดีงามนะคะ ไม่ได้หมายเฉพาะกุศลอย่างเดียว นี่คือการที่ยิ่งฟัง ยิ่งเข้าใจยิ่งเป็นประโยชน์ เพื่อเราจะได้เข้าใจถูกต้องว่าทั้งหมดเป็นธรรมะ เมื่อไหร่ที่ยังไม่เข้าใจก็ต้องเป็นเราใช่ไหมคะ แต่พอเริ่มเข้าใจละเอียดขึ้น ละเอียดขึ้น

    ก็รู้ว่าแต่ละหนึ่งนั้นก็เป็นธรรมะซึ่งไม่ใช่เรา และก็ไม่ใช่ไปเจาะจงจะรู้สิ่งที่เราอยากจะรู้นะคะ อยากรู้นิพพานไหมคะ สิ่งที่กำลังปรากฏยังไม่รู้เลย แล้วก็อยากรู้นิพพาน เพียงแค่ได้ยินชื่อเห็นโลภะไหมคะ ติดในชื่อได้ แต่จะติดในนิพพานไม่ได้ เพราะเหตุว่าสภาพธรรมะใดที่ไม่เกิด โลภะจะไปติดข้องได้อย่างไร

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 198
    14 ธ.ค. 2568