คยา - พุทธวิปัสสนา (ตอนที่ 4)


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ถ. สรุปว่า วิญญาณคือจิตที่ก่อให้เกิดนามรูปนั้น เจตสิกเป็นนาม รูป ก็คือจิตตชรูปเท่านั้นหรือ

    สุ. ถ้าพูดถึงจิตเป็นปัจจัย ต้องเป็นจิตตชรูปเท่านั้น ต้องเท้าความไปถึงตอนเกิด คือ ปฏิสนธิจิต ทุกคนมีกรรมที่ได้ทำแล้ว เกิดชาติหน้าจะเป็นเทวดา หรือจะเป็นมนุษย์ หรือจะเป็นสัตว์มีรูปร่างต่างๆ กัน เป็นสัตว์บกสัตว์น้ำอย่างไรก็ตามแต่ เป็นไปโดยกรรมซึ่งทำให้รูปนั้นๆ เกิดขึ้น แต่แม้กระนั้น ถ้าปฏิสนธิจิตไม่เกิด กรรมก็ทำให้รูปนั้นๆ เกิดไม่ได้

    ด้วยเหตุนี้ขณะแรกที่สุดซึ่งเหมือนกับเปิดทางที่จะให้ชีวิตดำเนินไป ก็คือ อวิชชาในอดีตเป็นปัจจัยให้เกิดสังขารที่ได้กระทำแล้วในอดีต และสังขารที่ได้ กระทำแล้วในอดีตเป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิจิตคือวิญญาณเกิดพร้อมกับเจตสิก และกัมมชรูป ในขณะนั้นยังไม่มีจิตตชรูป ไม่มีอุตุชรูป ไม่มีอาหารชรูปเลย

    ขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิด กรรมทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดพร้อมกับเจตสิก และกัมมชรูป ด้วยเหตุนี้ปฏิสนธิจิตจึงเป็นที่อาศัยของเจตสิกที่เกิดร่วมกัน และเป็นที่อาศัยเกิดของกัมมชรูปด้วย เพราะถ้าปฏิสนธิจิตไม่เกิด กัมมชรูปเกิดไม่ได้

    เมื่อปฏิสนธิจิตเกิดแล้ว หลังจากนั้นไม่เกี่ยวกับจิตเลยถ้าเป็นกัมมชรูป รูปใดๆ ก็ตามซึ่งเป็นกัมมชรูป เกิดขึ้นเพราะกรรมเป็นปัจจัยทั้งนั้น

    ขณะแรกที่ปฏิสนธิจิตเกิด ยังไม่มีจิตตชรูป ขณะแรกขณะเดียววิญญาณ เป็นปัจจัยแก่นามรูป นามหมายถึงเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย และรูปหมายถึงกัมมชรูป อย่างเดียวเท่านั้น

    ถ. วิญญาณให้เกิดนามรูป เข้าใจแล้ว ๒ รูป คือ กัมมชรูปกับจิตตชรูป ต่อไปอาหารชรูป และอุตุชรูป

    สุ. อย่าเพิ่งเข้าใจเร็ว ปฏิสนธิจิตเกิดขณะแรกขณะเดียว มีเจตสิกเกิด ร่วมด้วยคือนาม มีกัมมชรูปเกิดร่วมด้วย กัมมชรูปประเภทเดียวเท่านั้น

    ปฏิสนธิจิตมี ๓ ขณะย่อย หรือ ๓ อนุขณะ คือ อุปาทขณะ ขณะเกิด ฐีติขณะ ขณะที่ตั้งอยู่ยังไม่ดับ และภังคขณะ ขณะที่ดับ

    ในอุปาทขณะของปฏิสนธิจิต คือ ขณะที่เกิดนั้นเอง เจตสิกเกิดร่วมด้วย และ กัมมชรูปเกิดพร้อมกันในอุปาทขณะ ปฏิสนธิจิตเป็นเพียงสหชาตปัจจัยที่ทำให้ กัมมชรูปเกิดพร้อมกัน แต่กัมมชรูปนั้นไม่ได้เป็นจิตตชรูป ต้องเป็นกัมมชรูป เพราะว่ากรรมทำให้รูปนั้นเกิดที่จะเป็นบุคคลนั้น จะเป็นสัตว์ในน้ำ บนบก เป็นมนุษย์ เป็นอะไรก็แล้วแต่ กัมมชรูปอาศัยปฏิสนธิจิตเกิดในอุปาทขณะของปฏิสนธิจิต ในฐีติขณะของปฏิสนธิจิต และในภังคขณะของปฏิสนธิจิต

    ที่มา ...

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 2057


    ท่านอาจารย์ เมื่อมีปฏิสนธิจิตเป็นที่อาศัยของกัมมชรูปแล้ว ต่อจากนั้นกัมมชรูป มีสิทธิ์เกิดตลอดไป แม้แต่นิโรธสมาบัติซึ่งดับจิตเจตสิก กัมมชรูปก็เกิด แสดงให้เห็นว่า กัมมชรูปอาศัยปฏิสนธิจิตเป็นทางเกิดขึ้นของกรรมที่จะทำให้รูปนั้นเกิด และเมื่ออาศัยปฏิสนธิจิตแล้ว ต่อจากนั้นเป็นเรื่องของกรรมที่ทำให้กัมมชรูปเกิดทุกๆ อนุขณะของจิต ไม่เว้นเลย นอกจากอีก ๑๗ ขณะจะถึงจุติจิต กัมมชรูปจึงไม่เกิด เพราะฉะนั้น กัมมชรูปจะดับพร้อมกับจุติจิต ด้วยเหตุนี้ร่างกายซึ่งไม่มีใจครองจึงไม่ถือว่า เป็นบุคคลนั้นอีกต่อไป ดับทั้งจิตเจตสิก และกัมมชรูป

    ถ. กัมมชรูปตั้งแต่ตอนเกิดกับตลอดชีวิตที่มีอยู่ เป็นกัมมชรูปลักษณะเดียวกัน หรือมีปัจจัยปรุงแต่งเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา

    สุ. กัมมชรูปที่ทำให้เกิดเป็นสัตว์ เป็นเทวดา เป็นรูปร่างต่างๆ เกิดเพราะกรรมนั้นเป็นปัจจัย แต่ภายหลังก็มีกรรมอื่นเป็นปัจจัยให้กัมมชรูปเกิดด้วย เพราะฉะนั้น แต่ละคนก็มีตาต่างกันตามกรรมปลีกย่อยซึ่งให้ผลในภายหลัง หรือระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ กัมมชรูปก็เกิดทำให้เป็นโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ก็ได้ และถ้าเป็นโรคที่เกิดเพราะกรรมแล้วไม่มีทางรักษา ตราบใดที่กรรมนั้นยังให้ผล เพราะฉะนั้น เรื่องของกรรมก็เป็นเรื่องที่ทำให้รูปร่างกายเป็นไปต่างๆ หรือถึงกับเปลี่ยนภาวรูปก็ได้

    ถ. กัมมชรูปที่เกิดระยะหลังๆ ที่ว่าเปลี่ยน เกิดจากวิญญาณหรือเปล่า

    สุ. เกิดจากเจตนา ถ้าพูดถึงกรรมเป็นปัจจัยหมายความถึงเจตนาเจตสิก ซึ่งเป็นกุศลกรรมหรืออกุศลกรรม นี่จิตขณะแรก ยังไม่มีจิตตชรูป แต่ในปฏิสนธิจิตขณะแรก เมื่อกี้พูดเฉพาะกัมมชรูปซึ่งเกิดทุกอนุขณะของปฏิสนธิจิต คือ ตั้งแต่ อุปาทขณะก็มีกัมมชรูปเกิด ฐีติขณะก็มีกัมมชรูปเกิด ภังคขณะก็มีกัมมชรูปเกิด แต่ยังมีอีกรูปหนึ่งซึ่งเป็นอุตุชรูป เกิดในฐีติขณะของปฏิสนธิจิต เพราะว่ามหาภูตรูป มี ๔ คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม เป็นใหญ่เป็นประธาน รูปใดๆ ก็ตามจะปราศจากมหาภูตรูปไม่ได้เลย เสียงก็ต้องมีมหาภูตรูป กลิ่นก็ต้องมีมหาภูตรูป เพราะว่ารูปทั้งหมดที่เป็นมหาภูตรูปมีเพียง ๔ ที่เหลือเป็นอุปาทายรูป คือ รูปที่อาศัยมหาภูตรูป

    มหาภูตรูป ๔ มีธาตุดิน ๑ ธาตุน้ำ ๑ ธาตุไฟ ๑ ธาตุลม ๑ ธาตุไฟเป็นอุตุ เป็นอุณหภูมิที่สม่ำเสมอซึ่งเป็นปัจจัยทำให้รูปอื่นเกิด เพราะฉะนั้น ธาตุไฟทำให้รูปเกิดในฐีติขณะของปฏิสนธิจิต นี่เป็นอุตุชรูป เพราะฉะนั้น จะมีรูปซึ่งเกิดในปฏิสนธิจิต ต่างวาระ คือ กัมมชรูปเกิดในอุปาทขณะ ในฐีติขณะ ในภังคขณะ แต่อุตุชรูปเริ่มเกิดในฐีติขณะ เพราะอาศัยมหาภูตรูปในอุปาทขณะของกัมมชรูปนั่นเองทำให้อุตุชรูปเกิดขึ้น

    ถ. และอาหารชรูป

    สุ. นี่ ๒ รูปแล้ว

    ถ. ๓ แล้ว กัมมชรูป อุตุชรูป จิตตชรูป

    ท่านอาจารย์ ยัง ปฏิสนธิจิตมีแต่กัมมชรูปกับอุตุชรูปเท่านั้น ไม่มีจิตตชรูป เมื่อ ปฏิสนธิจิตดับไปแล้ว ปฐมภวังค์เกิดต่อ ซึ่งในอุปาทขณะของปฐมภวังค์ จิตตชรูป เริ่มเกิด ส่วนกัมมชรูปก็เกิดไปทุกๆ อนุขณะของจิต

    เพราะฉะนั้น ในปฏิสนธิขณะ มีกัมมชรูปเกิดทั้งอุปาทขณะ ฐีติขณะ ภังคขณะ แต่ไม่มีจิตตชรูป สำหรับอุตุชรูปเกิดในฐีติขณะ เมื่อถึงจิตขณะที่ ๒ คือ ปฐมภวังค์ จิตตชรูปก็เกิดพร้อมกับอุปาทขณะของจิต ส่วนกัมมชรูปก็เกิดไป อุตุชรูปก็เกิดไป

    อาหารชรูปจะเกิดเมื่อโอชาซึมซาบแล้ว โอชาก็ได้รับจากมารดาไปสู่ทารกในทางไหนก็ตาม เมื่อซึมซาบเข้าไปแล้วก็เป็นปัจจัยให้รูปเกิดเป็นอาหารชรูป และเจริญเติบโตมาจนกว่าจะเป็นสฬายตนะ ถ้าขณะนั้นไม่มีการรู้อารมณ์ทางตา ก็ไม่มีจักขุปสาทซึ่งเป็นจักขายตนะ เพราะถ้าจะเป็นจักขายตนะหมายความว่า ต้องเป็นที่เกิด เป็นที่ประชุมที่ทำให้จิตรู้อารมณ์

    ถ. อาหารชรูปที่ซึมซาบจากมารดา เกิดจากวิญญาณตรงไหน เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป แต่เราพูดถึงอาหารชรูปซึมซาบจากมารดา ไม่ใช่วิญญาณ

    สุ. ไม่ใช่ ต้องทราบว่า รูปมีสมุฏฐานเพียง ๔ รูปใดเกิดเพราะกรรม ก็มีกรรมเป็นสมุฏฐาน รูปใดเกิดเพราะจิตก็มีจิตเป็นสมุฏฐาน รูปใดเกิดเพราะอุตุ ก็มีอุตุเป็นสมุฏฐาน รูปใดมีอาหารเป็นสมุฏฐานก็เกิดเพราะอาหารเป็นสมุฏฐาน และถ้าเป็นสภาวรูปก็มีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ รูปที่ดับไปแล้วไม่เป็นปัจจัย ให้รูปอื่นเกิด ไม่เหมือนกับจิต และเจตสิกที่การดับไปของจิต และเจตสิกดวงก่อน เป็นปัจจัยให้จิต และเจตสิกขณะต่อไปเกิดสืบต่อกันมาตลอด

    แต่รูปไม่เป็นอย่างนั้นเลย รูปใดเกิดเพราะปัจจัยใดแล้วก็ดับ ไม่เป็นปัจจัยให้ รูปอื่นเกิดต่อ แต่รูปที่เกิดนั้นมีสมุฏฐานหนึ่งสมุฏฐานใด คือ รูปนั้นเกิดเพราะกรรมเป็นสมุฏฐาน หรือรูปนั้นเกิดเพราะจิตเป็นสมุฏฐาน หรือรูปนั้นเกิดเพราะอุตุเป็นสมุฏฐาน หรือรูปนั้นเกิดเพราะอาหารเป็นสมุฏฐาน

    ถ. ตรงนี้เข้าใจ แต่ไม่เข้าใจปฏิจจสมุปปาทตรงที่ว่า สังขารทำให้เกิดวิญญาณ วิญญาณทำให้เกิดนามรูป ไม่เข้าใจว่า วิญญาณที่ทำให้เกิดอาหารชรูปนั้น ตรงไหน

    สุ. ไม่ใช่เลย ถ้าจะเข้าใจปฏิจจสมุปปาท ต้องเข้าใจช่องว่างระหว่างแต่ละองค์ด้วย นี่คือการเก็บองค์ของสังสารวัฏฏ์ที่เป็นปฏิจจสมุปปาท ซึ่งเป็นแกนที่แสดง ให้เห็นถึงความเป็นปัจจัย แต่ในระหว่างช่องว่างมีอีกมาก เพราะฉะนั้น ก็กล่าวเฉพาะที่เป็นองค์ๆ เท่านั้นเอง

    ถ. คำว่า ช่องว่าง หมายถึงอะไร

    สุ. เช่น อาหารชรูปก็ไม่ต้องกล่าวถึง เป็นที่รู้ต่อไปเมื่อศึกษาว่า รูปใดเกิดเพราะจิต รูปใดเกิดเพราะกรรม รูปใดเกิดเพราะอุตุ รูปใดเกิดเพราะอาหาร แต่เมื่อกล่าวถึงปฏิสนธิจิต ให้ทราบว่า ปฏิสนธิจิตเป็นปัจจัยแก่นามรูปในภูมิที่มีขันธ์ ๕ คือ การเริ่มมีจิตเจตสิก และรูป เริ่มในขณะนั้นอย่างไร ก็เพราะปฏิสนธิจิตนั่นเอง

    ถ. หมายความว่า ที่เขาพูดกันว่า ปฏิจจสมุปปาทมี ๒ นัย คือ ข้ามภพข้ามชาตินัยหนึ่ง กับทุกขณะจิตอีกนัยหนึ่ง ทุกขณะจิตก็เป็นจริงไม่ได้ เพราะว่ายังมีช่องว่างอยู่อย่างนั้นหรือ

    สุ. ต้องเข้าใจว่า แต่ละองค์ หมายถึงภพอดีตเป็นปัจจัยแก่ภพปัจจุบัน ภพปัจจุบันเป็นปัจจัยแก่ภพอนาคต หรือหมายถึงเฉพาะในขณะที่เป็นปัจจุบันภพนี้เองซึ่งถ้ากล่าวถึงสฬายตนะกับผัสสะ กับเวทนา กับตัณหา ก็เป็นภพปัจจุบัน

    เพราะฉะนั้น ต้องแบ่งแยกด้วย การฟังต้องพิจารณาว่า อวิชชาเป็นปัจจัย แก่สังขาร หมายความถึงเจตนาที่เกิดกับกุศลจิต และอกุศลจิตที่เป็นอภิสังขาร ๓ ซึ่งได้แก่ ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร สังขารเป็นปัจจัย แก่วิญญาณ ก็ต้องจากปฏิสนธิจิต วิญญาณเป็นปัจจัยแก่นามรูป ก็ต้องในภูมิ ที่มีขันธ์ ๕ แต่ในภูมิที่มีขันธ์ ๔ วิญญาณเป็นปัจจัยแก่นาม เพราะฉะนั้น จะตรงตัวโดยไม่เว้นนั่นเว้นนี่ไม่ได้

    เมื่อกล่าวว่า วิญญาณเป็นปัจจัยแก่นามรูป รู้ทันทีว่าหมายความถึงเฉพาะ ในภูมิที่มีขันธ์ ๕ แต่ถ้ากล่าวว่า วิญญาณเป็นปัจจัยแก่นาม ก็หมายถึงในอรูปพรหมซึ่งไม่มีรูป นี่คือช่องว่างที่เว้น ที่จะต้องศึกษาให้เข้าใจความชัดเจน

    ถ. ที่มีภพปัจจุบัน อดีต อนาคต แต่ของปัจจุบันเฉพาะอย่างเดียวก็มี ใช่ไหม

    สุ. แน่นอน อย่างปฏิสนธิจิตเป็นปัจจัยแก่นามรูป ก็ภพปัจจุบันนี้ และ นามรูปเป็นปัจจัยแก่สฬายตนะ เมื่อเจริญเติบโตก็มีตา มีหู มีจมูก มีลิ้น มีกาย มีใจสำหรับเป็นที่ประชุม เป็นที่เกิด ที่จะทำให้จิตรู้อารมณ์ต่างๆ

    ถ. เราสามารถอธิบายในภพปัจจุบันก็ได้เหมือนกัน แต่ยังมีช่องว่างอยู่

    สุ. ถ้าไม่มีภพปัจจุบัน จะหายไปไหน

    ถ. แต่ยังมีช่องว่าง

    ท่านอาจารย์ มากมาย เช่น แม้แต่ข้อความที่ว่า วิญญาณเป็นปัจจัยแก่นามรูป ก็ยังต้องตัดรูปออกในภูมิที่ไม่มีรูป คือ ในอรูปพรหม

    ถ. ในภพที่มีขันธ์ ๕ ก็ยังตัด ใช่ไหม ที่ว่าอาหารชรูปไม่เกี่ยวกับวิญญาณ

    สุ. ใช่ แต่ถ้ากล่าวว่า วิญญาณเป็นปัจจัยแก่นามรูป หมายความว่า ปฏิสนธิจิตเป็นปัจจัยแก่เจตสิกที่เกิดร่วมด้วย และเป็นปัจจัยแก่กัมมชรูปเท่านั้น

    เรื่องของสภาพธรรม เป็นเรื่องที่ถ้าไม่ศึกษาหรือพระผู้มีพระภาคไม่ทรงแสดงไว้โดยละเอียด ก็มีชีวิตไปวันหนึ่งๆ จริงๆ โดยที่เป็นไปในทางเกิด เป็นไปในสังสารวัฏฏ์ ไม่ใช่เป็นทางดับสังสารวัฏฏ์ ปฏิจจสมุปปาทเป็นปัจจัยฝ่ายเกิดโดยย่อๆ โดยคร่าวๆ ให้รู้ว่า ปฏิสนธิจิตเป็นปัจจัยแก่นามรูป โดยที่ใครจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม นามรูปก็เกิดดับสืบต่อเป็นสภาพของนามธรรมอย่างหนึ่ง เป็นสภาพของรูปธรรมอย่างหนึ่ง รูปก็เป็นรูป นามก็เป็นนาม

    ถ. อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร มุ่งหมายเอาอวิชชาในภพก่อน ใช่ไหม

    สุ. เพราะว่ากล่าวถึงปฏิสนธิจิตในชาตินี้ ถ้ากล่าวถึงปฏิสนธิจิตในชาตินี้ ก็ต้องสังขารในชาติก่อนเป็นปัจจัย

    ถ. สังขารในชาติก่อนเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ ซึ่งหมายถึง ปฏิสนธิวิญญาณในชาตินี้

    สุ. การศึกษาธรรมก็เพื่อให้เข้าใจสภาพธรรมในชีวิตประจำวันจริงๆ ที่จะรู้ว่า ขณะนี้มีสังขารไหม ถ้ามี สังขารนี้มาจากอะไร และถ้ายังเป็นความไม่รู้ในลักษณะของสภาพธรรมอยู่ ก็ต้องเป็นปัจจัยให้มีการเกิดขึ้น แล้วแต่ว่าจะเป็นในอบายภูมิ หรือในสุคติภูมิ และจะเป็นปัจจัยให้เกิดอายตนะ เป็นปัจจัยให้เกิดผัสสะ เป็นปัจจัย ให้เกิดเวทนา เหมือนทุกๆ วันอย่างนี้ นานมาแล้ว และต่อไปข้างหน้าด้วย

    นี่คือการที่จะเข้าใจความเป็นอนัตตา เพื่อเห็นความไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล เพื่อให้สติระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ

    ถ้าใครสามารถเกิดอกุศลจิต และเห็นว่า ควรจะมีชีวิตในทางดับมากกว่ามีชีวิตในทางเกิด ก็จะเป็นประโยชน์ มิฉะนั้นแล้วก็ยังไม่เห็นโทษ ถ้าเพียงแต่กล่าวว่า ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตน เป็นนามธรรม เป็นรูปธรรมเท่านั้น บางคนก็บอกว่า ไม่เป็นไร ก็เป็นนามธรรม และรูปธรรมแล้วจะเป็นอะไร ก็อยู่ไปวันๆ ก็ไม่เป็นอะไร แต่ไม่ได้พิจารณาโดยละเอียดว่า ทุกขณะชีวิตก้าวไปสู่ชรา และมรณะ ถ้าเป็นชีวิต ที่สนุก สบาย มีความสุข แต่ไม่สามารถนำสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งเป็นความสุขที่เคยชอบ เคยติด เคยพอใจไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นภพไหน ชาติไหน เพราะฉะนั้น ก็เหมือนกับ คนที่ติดยึดมั่นในสิ่งที่เข้าใจว่าเป็นสุข และกำไว้เพราะความติดข้อง แต่กำมือนั้นก็เป็น กำมือเปล่า

    และแทนที่จะให้รู้เมื่อตอนตายว่า เอาความสุขทั้งหลายในโลกนี้ที่เคยชอบ เคยพอใจสมบัติต่างๆ ไปด้วยไม่ได้ ไม่ต้องไปคอยรู้ตอนตาย แต่ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ สามารถเข้าใจตามความเป็นจริงแม้ในขณะที่มีชีวิตอยู่ว่า สิ่งที่เคยเห็นว่าเป็นสาระ เป็นสุข แท้ที่จริงแล้วเป็นความว่างเปล่า ยังดีกว่าที่จะหลง และติด เป็นไปในทาง ฝ่ายเกิดตลอด เพราะว่าไม่มีใครสามารถดับจิตเจตสิกได้ ถ้าปัญญาไม่เกิด มีแต่ธรรมที่เป็นฝ่ายเกิดอยู่เรื่อยๆ

    นาที 18.37

    สุ. เรื่องอกุศลจิต ๑๒ ต้องถึงความเป็นอกุศลกรรมบถด้วย ธรรมแม้แต่ที่ทรงแสดงไว้ว่า อปุญญาภิสังขาร ได้แก่ อกุศลเจตนาที่เกิดกับอกุศลเจตสิก ก็ต้องรู้ว่าหมายความถึงที่เป็นกรรมบถ จึงจะเป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิจิตเกิดได้ เพราะถ้าจะกล่าวทุกสิ่งทุกอย่างรวมกันไว้ในที่เดียวกันทั้งหมด ก็ไม่ต้องไปถึงไหน ก็ทรงแสดงไว้ในที่ ต่างๆ แล้ว เพราะฉะนั้น เวลากล่าวถึงปฏิจจสมุปปาท ก็ยกข้อซึ่งจะเป็นองค์ที่สำคัญ ที่เป็นแกน ที่เป็นปัจจัย โดยแสดงให้เห็นว่า เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนั้นก็มี เมื่อสิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนั้นจึงเกิดขึ้น โดยหัวข้อใหญ่ๆ ที่เป็นปฏิจจสมุปปาท แต่โดยละเอียดจะแสดงถึงปัจจัย โดยย่อย โดยละเอียดว่า เป็นปัจจัยโดยปัจจัยอะไรบ้าง

    และเมื่อเติบโตมาจนถึงเดี๋ยวนี้ ทุกคนคงไม่สงสัยเรื่องอายตนะ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ซึ่งก็ต้องมาจากปฏิสนธิจิตที่เป็นปัจจัยแก่นามรูป เจริญเติบโตมาจนกระทั่งถึงกาลที่สภาพธรรมนั้นเป็นที่อาศัย เป็นบ่อเกิด เป็นที่ประชุม เป็นแดนเกิด เป็นเหตุ นี่คือความหมายของอายตนะ

    ที่มา ...

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 2058


    นาที 20.12

    สัทธัมมปัชโชติกา อรรถกถา ขุททกนิกาย มหานิทเทส อัฏฐกวรรค กามสุตตนิทเทสที่ ๑ มีข้อความว่า

    จิตเป็นอายตนะ ด้วยอรรถว่า เป็นแดนเกิด เพราะว่าธรรมทั้งหลาย มีผัสสะเป็นต้น ย่อมเกิดในจิตนี้

    ด้วยอรรถว่า เป็นที่ประชุม ของรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เพราะเหตุว่า รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ย่อมประชุมที่จิตโดยเป็นอารมณ์

    ด้วยอรรถว่า เป็นเหตุ เพราะเจตสิกธรรมทั้งหลายมีผัสสะเป็นต้น เป็นเหตุ คือ เป็นปัจจัย

    ด้วยอรรถว่า เป็นปัจจัย มีสหชาตปัจจัยเป็นต้น

    ข้อความโดยย่อ แต่กินความถึงข้อความอื่นๆ ในส่วนอื่นๆ ของพระไตรปิฎกด้วย ซึ่งทุกคนสามารถเข้าใจลักษณะสภาพที่เป็นอายตนะได้ ถ้ากล่าวถึงอายตนะ ๖ ก็ได้แก่ ตา ๑ หู ๑ จมูก ๑ ลิ้น ๑ กาย ๑ ใจ ๑

    เพราะมีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จึงมีผัสสะ หรือจะกล่าวว่า สฬายตนะ เป็นปัจจัยให้เกิดผัสสะ คือ ขณะนี้ที่เห็น ต้องมีการกระทบกันของสิ่งที่ปรากฏกับ จักขุปสาท จิตจึงเกิดขึ้นเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ และในขณะที่ได้ยิน เพื่อจะได้เข้าใจถึงปัจจัยที่ทำให้เกิดการได้ยิน ก็ต้องรู้ว่า ต้องมีเสียงกระทบกับโสตปสาท เป็นปัจจัยให้จิตได้ยินเกิดขึ้น ด้วยเหตุนี้อายตนะจึงเป็นปัจจัยให้เกิดผัสสะ คือ มีการกระทบกับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ไม่มีใครสามารถยับยั้งหรือห้ามได้ จะต้องเกิดขึ้นทุกวัน เป็นไปทุกวัน และเป็นอย่างนี้ไปทุกชาติ เพราะว่าชีวิตเป็นไปในทางเกิดทั้งสิ้น ไม่มีการรู้ทางที่จะดับสภาพธรรมเหล่านี้ ถ้าไม่ศึกษาให้เข้าใจจริงๆ

    ผัสสะเป็นปัจจัยให้เกิดเวทนา เพราะว่าเมื่อมีการกระทบแล้วจะไม่ให้ เวทนาเจตสิกซึ่งเป็นสภาพที่รู้สึก เป็นสุขหรือเป็นทุกข์ ดีใจหรือเสียใจ หรือเฉยๆ ไม่ได้เลย เมื่อมีการกระทบแล้ว ก็ต้องเป็นปัจจัยให้เกิดเวทนา ความรู้สึกต่างๆ และเมื่อมีความรู้สึกต่างๆ ก็จะมีตัณหา ความติดข้องในสิ่งที่ปรากฏ ในสภาพธรรมทั้งหลายด้วย เว้นโลกุตตรธรรมเท่านั้นที่ไม่เป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา นอกจากนั้นแล้วแม้ว่าเป็นกุศล ก็ยังอยากที่จะได้กุศล ยังพอใจในกุศล เพราะฉะนั้น จะเห็นได้จริงๆ ว่า เวทนาเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา

    ตัณหาเป็นปัจจัยให้เกิดอุปาทาน อุปาทานเป็นปัจจัยให้เกิดภพ ภพในที่นี้ คือ กรรมภพ ภพเป็นปัจจัยให้เกิดชาติ ชาติเมื่อเกิดขึ้นแล้วที่จะพ้นจากชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข โทมนัส อุปายาส ไม่มีเลย

    แสดงให้เห็นว่า ถ้าเพียงระลึกถึงปฏิจจสมุปปาทบ่อยๆ ไม่ว่าจะส่วนไหนของปฏิจจสมุปปาท หรือแม้แต่การระลึกถึงตัณหา ก็จะเห็นได้ว่า ช่างมากมาย และเป็นความจริงที่ว่า ไม่มีใครสามารถละความติดข้องในสิ่งต่างๆ ได้ เพราะว่าตัณหาเป็นสภาพธรรมที่พอใจ และติดข้องในทุกสิ่งทุกอย่าง

    ขอกล่าวถึงลักษณะของตัณหาทบทวนอีกครั้งหนึ่ง เพื่อจะได้เห็นสภาพตามความเป็นจริงของสภาพธรรมที่ติดข้อง

    ขุททกนิกาย มหานิทเทส อัฏฐกวรรค กามสุตตนิทเทสที่ ๑ มีข้อความว่า

    คำว่า วิสัตติกา ความว่า เพราะอรรถว่าอะไร ตัณหาจึงชื่อว่าวิสัตติกา (ซ่านไปในอารมณ์ต่างๆ) เพราะอรรถว่า ซ่านไป ตัณหาจึงชื่อว่าวิสัตติกา เพราะอรรถว่า แผ่ไป ตัณหาจึงชื่อว่าวิสัตติกา

    วิสัตติกา หมายถึงลักษณะที่ซ่านไปในอารมณ์ต่างๆ แสดงให้เห็นว่า ทุกอารมณ์เป็นที่พอใจติดข้องของตัณหาทั้งนั้น

    วันนี้ทั้งวันเรื่องของตัณหาทั้งนั้น ทั้งซ่านไป ทั้งแผ่ไป ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ทางหนังสือ ทางโทรทัศน์ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นความสนุกสนาน รื่นเริง ความสวยงามต่างๆ

    เพราะอรรถว่า แล่นไป ตัณหาจึงชื่อว่าวิสัตติกา เพราะอรรถว่า ครอบงำ ตัณหาจึงชื่อว่าวิสัตติกา เพราะอรรถว่า สะท้อนไป ตัณหาจึงชื่อว่าวิสัตติกา

    ไม่ว่าจะไปแห่งไหน ออกจากตัณหาได้ชั่วครู่ ก็สะท้อนกลับมาหาตัณหาอีกแล้ว ไม่มีทางที่จะพ้นไปจากตัณหาได้เลย มีความรู้สึกว่า สงบ สบาย ไม่ต้องการอะไรพอสมควร สติปัญญาก็พอจะเกิดบ้างบางขณะ บางครั้งบางคราว แต่เพราะอรรถว่าสะท้อนไป ตัณหาจึงชื่อว่าวิสัตติกา เพราะฉะนั้น ไปก็ไปเถอะ แต่ไปชั่วครู่ ชั่วประเดี๋ยวเดียวก็ต้องกลับมาหาตัณหาอีก จริงไหม ฟังพระธรรม มีความเข้าใจ มีความซาบซึ้ง และก็กลับมาหาตัณหาอีก ไม่มีการพ้นไปได้เลย

    เพราะอรรถว่า เป็นเหตุให้พูดผิด ตัณหาจึงชื่อว่าวิสัตติกา

    พูดผิดจากความเป็นจริงด้วยความเข้าใจผิด ด้วยความเห็นผิด หรือด้วยความต้องการประการหนึ่งประการใดก็ตาม ก็เป็นเหตุที่เกิดขึ้นเพราะตัณหา จึงชื่อว่า วิสัตติกา

    เพราะอรรถว่า มีมูลรากเป็นพิษ ตัณหาจึงชื่อว่าวิสัตติกา เพราะอรรถว่า มีผลเป็นพิษ ตัณหาจึงชื่อว่าวิสัตติกา เพราะอรรถว่า เป็นเครื่องบริโภคสิ่งเป็นพิษ ตัณหาจึงชื่อว่าวิสัตติกา

    ของที่เป็นพิษ บางท่านก็ชอบเสียจริงๆ ถึงแม้ว่าจะมีโทษทำให้ร่างกายเกิดโรคภัยต่างๆ แต่ความคุ้นชินกับรสอร่อย อย่างเครื่องปรุงรสบางอย่าง บางคนขาดไม่ได้เลยทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นพิษ เหมือนตัณหาทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นโทษสักเท่าไรก็ตาม แต่ เพราะอรรถว่า เป็นเครื่องบริโภคสิ่งเป็นพิษ ตัณหาจึงชื่อว่าวิสัตติกา

    อีกนัยหนึ่ง ตัณหานั้นแผ่ไปในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ สกุล คณะ ที่อยู่ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานปัจจัยเภสัชบริขาร กามธาตุ รูปธาตุ อรูปธาตุ กามภพ รูปภพ อรูปภพ สัญญาภพ อสัญญาภพ เนวสัญญานาสัญญายตนภพ เอกโวการภพ จตุโวการภพ ปัญจโวการภพ ในอดีต ในอนาคต ในปัจจุบัน แล่นไป ซ่านไป ในรูปที่เห็นแล้ว ในเสียงที่ได้ยินแล้ว กลิ่น รส โผฏฐัพพะที่รู้แล้ว และในธรรมที่รู้ ตัณหาจึงชื่อว่าวิสัตติกา

    ตอนท้ายมีข้อความว่า

    คำว่า ผู้นั้นเป็นผู้มีสติ ย่อมล่วงพ้นตัณหาอันชื่อว่าวิสัตติกานี้ในโลกเสียได้ มีความว่า เป็นผู้มีสติ ย่อมข้าม ข้ามขึ้น ข้ามพ้น ก้าวล่วง ล่วงเลยตัณหาชื่อว่า วิสัตติกานี้ในโลก เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ผู้นั้นเป็นผู้มีสติ ย่อมล่วงพ้นตัณหาอันชื่อว่า วิสัตติกานี้ในโลกเสียได้

    ถ้าไม่มีสติ หรือไม่เข้าใจเรื่องลักษณะของนามธรรม และรูปธรรม สติไม่ได้ระลึก ที่ปรมัตถธรรม ไม่มีทางที่จะละคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล

    ที่มา ...

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 2059


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 199
    8 ก.พ. 2567

    ซีดีแนะนำ