กุสินารา - มรณสติ (ตอนที่ 2)
ประการต่อไป
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ไม่ได้ทำความดีไว้ ไม่ได้ทำกุศลไว้ ไม่ได้ทำความป้องกันความกลัวไว้ ทำแต่บาป ทำแต่กรรมที่หยาบช้า ทำแต่กรรมที่เศร้าหมอง มีโรคหนักอย่างใดอย่างหนึ่งถูกต้องเขา เมื่อเขามีโรคหนักอย่างใดอย่างหนึ่งถูกต้องแล้ว ย่อมมีความปริวิตกอย่างนี้ว่า เราไม่ได้ทำความดีไว้ ไม่ได้ทำกุศลไว้ ไม่ได้ทำความป้องกันความกลัวไว้ ทำแต่บาป ทำแต่กรรมที่หยาบช้า ทำแต่กรรมที่เศร้าหมอง ดูกร ผู้เจริญ คติของคนไม่ได้ทำความดี ไม่ได้ทำกุศล ไม่ได้ทำความป้องกันความกลัว ทำแต่บาป ทำแต่กรรมที่หยาบช้า ทำแต่กรรมที่เศร้าหมอง มีประมาณเท่าใด เราละไปแล้วย่อมไปสู่คตินั้น เขาย่อมเศร้าโศก ย่อมลำบากใจ ย่อมร่ำไร ทุบอกคร่ำครวญถึงความหลงใหล ดูกร พราหมณ์ แม้บุคคลนี้แล ผู้มีความตายเป็นธรรมดา ย่อมกลัว ถึงความสะดุ้งต่อความตาย ฯ
กลัวอบายเพราะอะไร
ที่มา ...
แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 836
นาที 1.30
บุคคลที่กลัวตายประเภทที่ ๔ ซึ่งเป็นประเภทสุดท้าย
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มีความสงสัยเคลือบแคลง ไม่ถึงความตกลงใจในพระสัทธรรม มีโรคหนักอย่างใดอย่างหนึ่งถูกต้องเขา เมื่อเขามีโรคหนักอย่างใดอย่างหนึ่งถูกต้องแล้ว ย่อมมีความปริวิตกอย่างนี้ว่า เรามีความสงสัยเคลือบแคลง ไม่ถึงความตกลงใจในพระสัทธรรม เขาย่อมเศร้าโศก ย่อมลำบากใจ ย่อมร่ำไร ทุบอกคร่ำครวญถึงความหลงใหล ดูกร พราหมณ์ แม้บุคคลนี้แล มีความตายเป็นธรรมดา ย่อมกลัว ถึงความสะดุ้งต่อความตาย
ดูกร พราหมณ์ บุคคล ๔ จำพวกนี้แล มีความตายเป็นธรรมดา ย่อมกลัว ถึงความสะดุ้งต่อความตาย ฯ
ถ้าท่านผู้ใดยังกลัวความตาย ก็เป็นบุคคลหนึ่งในบุคคล ๔ นี้ แต่สำหรับบุคคล ๔ ที่ไม่กลัวต่อความตายก็มี เป็นบุคคลที่ตรงกันข้ามกับบุคคล ๔ จำพวกตามที่ได้กล่าวแล้ว เพราะฉะนั้น ขณะใดที่ไม่กลัวความตาย ท่านก็เป็นบุคคลหนึ่งในบุคคล ๔ ซึ่งตรงกันข้ามกับบุคคลที่กลัวความตาย
เวลาที่มีความตายเกิดขึ้น คนที่ตายแล้ว ก็เกิดแล้ว เป็นบุคคลใหม่ ลืมเรื่องเก่าหมด ท่านยังจำเรื่องเก่าได้ไหม เป็นใคร ทำอะไร อยู่ที่ไหน มีกุศลกรรม อกุศลกรรมมากน้อยประการใด มีสุข มีทุกข์ เกี่ยวข้องผูกพันกับบุคคลใดอย่างไร มีทรัพย์สมบัติข้าวของมากมายมหาศาล หรือเล็กน้อยอย่างไร ก็ไม่มีใครสามารถที่จะระลึกได้ แต่ว่าทุกท่านหลังจากที่จุติแล้ว ก็จะปฏิสนธิตามกรรมหนึ่งที่ได้กระทำแล้ว ซึ่งจะเป็นกรรมในชาติไหนก็ได้ เหมือนกับที่ท่านได้เกิดแล้วในชาตินี้ ก็ไม่ทราบว่า เป็นผลของกุศลกรรมใดในอดีตอนันตชาติที่ได้กระทำแล้ว
เพราะฉะนั้น สำหรับคนที่ตายแล้ว จะว่าไปแล้วก็หมดเรื่อง ไม่มีการที่จะต้องกลัว ไม่มีการที่จะต้องเศร้าโศก หรือว่าไม่มีการที่จะต้องเสียดาย หรือว่าเสียใจอะไร ความเสียดาย ความอาลัย ความทุกข์ ความกลัว ความเศร้าโศก เกิดก่อนที่จะตาย เพราะความห่วงใยในกาม เพราะความห่วงใยในกาย ในบุคคลซึ่งเป็นที่รัก ในวัตถุซึ่งเป็นที่รัก เพราะฉะนั้น คนที่ตายแล้ว ก็ปฏิสนธิใหม่ เป็นบุคคลใหม่ มีเรื่องใหม่ทันที แต่บุคคลที่อยู่ ยังไม่ลืมเรื่องนั้น ยังไม่ลืมความเกี่ยวข้องผูกพันกับบุคคลซึ่งแท้ที่จริงแล้วก็เป็นบุคคลใหม่ทันที จะไปเป็นบุตรธิดาใครก็ไม่มีใครทราบ เกี่ยวข้องผูกพันกับบุคคลใหม่ โดยที่ไม่สามารถจะกลับมาเกี่ยวข้องกับบุคคลเก่าในภพก่อนในชาติก่อนได้ แต่ว่าบุคคลซึ่งผู้ที่เป็นที่รักจากไป ย่อมเศร้าโศก เพราะว่ามีความอาลัยในบุคคลซึ่งเป็นที่รัก ในความเกี่ยวข้องซึ่งเคยผูกพันกันอยู่
สำหรับผู้ที่จะไม่เศร้าโศก เมื่อบุคคลซึ่งสนิทสนมคุ้นเคยพลัดพรากไปด้วยความตาย ก็จะมีแต่ผู้ที่เป็นพระอนาคามี และพระอรหันต์ แต่สำหรับผู้ที่ยังเป็นปุถุชน หรือว่าเป็นพระเสขบุคคล ขั้นพระโสดาบัน พระสกทาคามี ก็ยังมีปัจจัยที่จะให้เกิดความโศกเศร้า ความเสียใจ ซึ่งใน สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค จุนทสูตร มีข้อความว่า
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็ในสมัยนั้น ท่านพระสารีบุตรอยู่ ณ บ้านนาฬกคาม ในแคว้นมคธ อาพาธ เป็นไข้หนัก ได้รับทุกขเวทนา สามเณรจุนทะเป็นอุปัฏฐากของท่าน ครั้งนั้นท่านพระสารีบุตรปรินิพพานด้วยอาพาธนั่นแหละ
ครั้งนั้น สามเณรจุนทะถือเอาบาตร และจีวรของท่านพระสารีบุตร เข้าไปหาท่านพระอานนท์ยังพระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี นมัสการท่านพระอานนท์แล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กล่าวกะท่านพระอานนท์ว่า
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ท่านพระสารีบุตรปรินิพพานแล้ว นี้บาตร และจีวรของท่าน
ท่านพระอานนท์กล่าวว่า
ดูกร อาวุโสจุนทะ นี้เป็นมูลเรื่องที่จะเฝ้าพระผู้มีพระภาค มีอยู่ มาไปกันเถิด เราจักเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค แล้วกราบทูลเนื้อความนั้นแด่พระองค์
สามเณรจุนทะรับคำของท่านพระอานนท์แล้ว
ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์กับสามเณรจุนทะ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ท่านพระอานนท์ได้กราบทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สามเณรจุนทะรูปนี้ได้บอกอย่างนี้ว่า ท่านพระสารีบุตรปรินิพพานแล้ว นี้บาตร และจีวรของท่าน ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กายของข้าพระองค์ประหนึ่งจะงอมระงมไป แม้ทิศทั้งหลายก็ไม่ปรากฏแก่ข้าพระองค์ แม้ธรรมก็ไม่ แจ่มแจ้งแก่ข้าพระองค์ เพราะได้ฟังว่า ท่านพระสารีบุตรปรินิพพานแล้ว
แม้แต่ท่านพระอานนท์ ท่านเป็นพระโสดาบันบุคคล แต่เพราะความสนิทสนม ความเคารพ ความคุ้นเคยในท่านพระสารีบุตรเป็นอย่างมาก เมื่อท่านได้ทราบว่า ท่านพระสารีบุตรปรินิพพานเสียแล้ว กิเลสซึ่งท่านยังไม่ได้ดับหมดเป็นสมุจเฉท ก็ยังมีอยู่พอที่จะทำให้ท่านเกิดความโศกเศร้า ธรรมไม่แจ่มแจ้งในขณะนั้น กายของท่านก็งอมระงมไปด้วยความทุกข์ที่ได้ทราบข่าวการปรินิพพานของท่านพระสารีบุตร
เพราะฉะนั้น ท่านผู้ฟังก็เปรียบเทียบกับตัวของท่านเอง พระโสดาบันบุคคลยังเป็นอย่างนี้ ยังมีปัจจัยที่จะให้เกิดความทุกข์ ความโศก และขณะที่ความทุกข์ ความโศกเศร้าเกิดขึ้น ธรรมย่อมไม่แจ่มแจ้ง สติ และปัญญาไม่สามารถที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมขณะนั้นตามความเป็นจริง
สำหรับผู้ที่ไม่ได้เป็นพระโสดาบันบุคคล แม้กิเลสมี ก็ไม่รู้ตัว เป็นปกติ เป็นประจำวัน ยังไม่เห็นความเป็นนามธรรม และรูปธรรม ยังไม่เห็นความเกิดดับของสภาพธรรมซึ่งไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน จะมีความยึด จะมีความหลงมากกว่าท่านพระอานนท์สักแค่ไหน
เพราะฉะนั้น มรณสติจะทำให้ท่านเป็นผู้ที่ไม่ประมาทในการที่แม้สติจะเกิดชั่วขณะเล็กๆ น้อยๆ นิดๆ หน่อยๆ ก็ให้ทราบว่า ขณะที่สติเกิดเท่านั้นที่ปัญญาจะเจริญได้ ถึงสติจะเกิดน้อย หรือชั่วขณะสั้นๆ ก็เป็นขณะที่ปัญญาจะเจริญ เพราะขณะใดที่สติปัฏฐานไม่เกิด ขณะนั้นปัญญาย่อมเจริญไม่ได้ ไม่สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมที่จะดับกิเลสได้เป็นสมุจเฉท
ข้อความต่อไป พระผู้มีพระภาคได้ทรงโอวาท เตือนท่านพระอานนท์
พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า
ดูกร อานนท์ สารีบุตรพาเอาศีลขันธ์ สมาธิขันธ์ ปัญญาขันธ์ วิมุตติขันธ์ หรือวิมุตติญาณทัสสนขันธ์ ปรินิพพานไปด้วยหรือ
ท่านพระอานนท์กราบทูลว่า
หามิได้ พระเจ้าข้า ท่านพระสารีบุตรมิได้พาศีลขันธ์ปรินิพพานไปด้วย ฯลฯ มิได้พาวิมุตติญาณทัสสนขันธ์ปรินิพพานไปด้วย ก็แต่ว่าท่านพระสารีบุตรเป็นผู้กล่าวแสดงให้เห็นชัด ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้รื่นเริง ไม่เกียจคร้านในการแสดงธรรม อนุเคราะห์เพื่อนพรหมจารีทั้งหลาย ข้าพระองค์ทั้งหลายมาตามระลึกถึง โอชะแห่งธรรม ธรรมสมบัติ และการอนุเคราะห์ด้วยธรรมนั้น ของท่านพระสารีบุตร
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกร อานนท์ ข้อนั้น เราได้บอกเธอทั้งหลายไว้ก่อนแล้วไม่ใช่หรือว่า จักต้องมีความจาก ความพลัดพราก ความเป็นอย่างอื่น จากของรักของชอบใจทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น จะพึงได้ในของรักของชอบใจนี้แต่ที่ไหน สิ่งใดเกิดแล้ว มีแล้ว ปัจจัยปรุงแต่งแล้ว มีความทำลายเป็นธรรมดา การปรารถนาว่า ขอสิ่งนั้นอย่าทำลายไปเลย ดังนี้ มิใช่ฐานะที่จะมีได้
ดูกร อานนท์ เปรียบเหมือนเมื่อต้นไม้ใหญ่ มีแก่น ตั้งอยู่ ลำต้นใดซึ่งใหญ่กว่าลำต้นนั้นพึงทำลายลง ฉันใด เมื่อภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ซึ่งมีแก่น ดำรงอยู่ สารีบุตรปรินิพพานแล้ว ฉันนั้นเหมือนกัน เพราะฉะนั้น จะพึงได้ในข้อนี้แต่ที่ไหน สิ่งใดเกิดแล้ว มีแล้ว ปัจจัยปรุงแต่งแล้ว มีความทำลายเป็นธรรมดา การปรารถนาว่า ขอสิ่งนั้นอย่าทำลายไปเลย ดังนี้ มิใช่ฐานะที่จะมีได้ เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายจงมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง คือ มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่เถิด
ดูกร อานนท์ ภิกษุมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง คือ มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่อย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌา และโทมนัสในโลกเสีย ย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ ... ย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ ... ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌา และโทมนัสในโลกเสีย ดูกร อานนท์ ภิกษุมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง คือ มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง อยู่อย่างนี้แล
ดูกร อานนท์ ก็ภิกษุพวกใดพวกหนึ่ง ในบัดนี้ก็ดี ในกาลที่เราล่วงไปก็ดี จักเป็นผู้มีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่ คือ มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่ พวกภิกษุเหล่านี้นั้น ที่เป็นผู้ใคร่ต่อการศึกษา จักเป็นผู้เลิศ
ในพระสูตรนี้ เป็นเรื่องของความตาย คือ การปรินิพพานของท่านพระสารีบุตร ซึ่งนำความทุกข์ ความโศกเศร้ามาสู่ท่านพระอานนท์ แต่พระผู้มีพระภาคทรงนำไปสู่การมีธรรมเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง คือ การอบรมเจริญสติปัฏฐาน
เพราะฉะนั้น จุดประสงค์ของมรณสติ ไม่ใช่เพื่อที่จะให้จิตสงบโดยที่ไม่อบรมเจริญสติปัฏฐาน ในสมัยที่พระผู้มีพระภาคไม่ได้ตรัสรู้ และไม่ได้ทรงแสดงหนทาง คือ มรรคมีองค์ ๘ ก็ไม่มีผู้ใดสามารถอบรมเจริญปัญญาที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรม มีตนเป็นที่พึ่ง คือ มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่งได้ แต่เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงแสดงหนทางที่จะอบรมเจริญปัญญา ที่จะมีตนเป็นที่พึ่ง มีตนเป็นเกาะ คือ มีธรรมเป็นที่พึ่ง มีธรรมเป็นเกาะนั้น จุดประสงค์ก็ไม่ควรจะเป็นความสงบ และควรที่จะรู้ด้วยว่า เวลาที่จิตสงบแล้ว มีความยินดี มีความพอใจในความสงบนั้น หรือว่ามีปัญญาที่จะระลึกรู้ในลักษณะของสภาพธรรมที่สงบนั้นว่า เป็นเพียงสภาพธรรมชนิดหนึ่ง และไม่หวังสิ่งใด นอกจากอบรมเจริญปัญญาที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน
ด้วยเหตุนี้ มรณานุสสติสำหรับผู้ที่มั่นคงในการเป็นผู้ที่มีปกติอบรมเจริญ สติปัฏฐาน ไม่ได้มีความต้องการ หรือว่าไม่ได้มีความพอใจในความสงบที่เกิดขึ้น เพราะระลึกถึงความตายด้วยความแยบคาย ไม่ได้ต้องการเพียงที่จะสงบ หรือว่าจะให้สงบขึ้น แต่รู้ว่า แม้ขณะที่สงบนั้น ก็เป็นสภาพธรรมชนิดหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย และสติปัฏฐานก็ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงกับท่านพระอานนท์ เรื่องการปรินิพพานของท่านพระสารีบุตร ซึ่งพระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรม คือ การอบรมเจริญสติปัฏฐานแก่ท่านพระอานนท์
ท่านผู้ฟังอยากจะสงบขึ้นอีกหรือเปล่า พอรู้ว่าเป็นสมถภาวนา และจะสงบได้อย่างไร แต่นั่นไม่ใช่จุดประสงค์
ในชีวิตประจำวัน กุศลมีหลายขั้น แล้วแต่ว่ากุศลขั้นไหนจะเกิดขึ้น บางครั้งเป็นโอกาสของทานกุศล บางครั้งเป็นโอกาสของศีล บางครั้งก็มีการระลึกถึงความตายเกิดขึ้นในเมื่อมีปัจจัยที่จะให้ระลึกถึง จะเป็นความตายที่ท่านได้ยินได้ฟังจากบุคคลที่ท่านรู้จักหรือไม่รู้จักก็ตาม ถ้าเป็นการมนสิการอย่างแยบคาย ขณะนั้นก็เป็นความสงบ เป็นกุศลจิต แต่อย่าลืม สติปัฏฐานควรจะเกิดขึ้นระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม แม้จิตที่สงบในขณะนั้นว่า ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน อย่าให้เกิดความต้องการที่จะให้สงบขึ้นอีก เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น ขณะนั้นสติปัฏฐานจะไม่เกิด
สำหรับผู้ที่ไม่เจริญสติปัฏฐาน ก็ย่อมเป็นผู้ที่ยินดีในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ในลาภ ในยศ ในสรรเสริญ ในสมบัติต่างๆ
ที่มา ...
แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 837
นาที 18.00
แต่สำหรับผู้ที่ฝักใฝ่ในธรรม ก็ต้องแล้วแต่ความรู้ความเข้าใจของท่าน ถ้าความรู้ความเข้าใจเรื่องการอบรมเจริญสติปัฏฐานยังไม่มั่นคงพอ ก็ยังมีปัจจัยที่จะให้ไขว่เขวคลาดเคลื่อน หรือมีความต้องการเกิดขึ้นในธรรมอื่นๆ เช่น ในความสงบ โดยที่ไม่รู้ความจริงว่า ในสมัยที่พระผู้มีพระภาคยังไม่ปรินิพพาน มีบุคคลที่ได้อบรมเจริญสมถภาวนาจนชำนาญแคล่วคล่อง และภายหลังเมื่อได้ฟังธรรม ต้องไม่มีความปรารถนาในความสงบขั้นหนึ่งขั้นใด ต้องเป็นผู้ที่มีปกติอบรมเจริญสติปัฏฐาน แต่เพราะเคยสะสมความชำนาญแคล่วคล่องจากการเจริญสมถภาวนา จึงเป็นปัจจัยให้ความสงบขั้นต่างๆ เกิดขึ้น อาจจะเป็นความสงบขั้นอุปจารสมาธิ หรือว่าอาจจะเป็นความสงบขั้นอัปปนาสมาธิ ซึ่งเป็นฌานจิตแต่ละขั้น แต่แม้กระนั้นผู้ที่มั่นคงในการเจริญสติปัฏฐาน ก็ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ละความปรารถนา ละความต้องการในสภาพธรรมที่ยังไม่เกิดขึ้น เห็นว่าสภาพธรรมทั้งหลายเสมอกันจริงๆ จึงจะเป็นปัจจัยให้ปัญญาคมกล้าขึ้นที่จะแทงตลอดในความเกิดดับของนามธรรม และรูปธรรมได้
แต่ถ้าขาดการศึกษา หรือว่าขาดการพิจารณาโดยถูกต้อง เพียงแต่ท่านอ่านบางสูตรในพระไตรปิฎก ท่านก็อาจจะเข้าใจว่า พระผู้มีพระภาคทรงสนับสนุนให้เจริญฌาน จนกระทั่งได้อิทธิปาฏิหาริย์ หรือว่าสามารถที่จะระลึกชาติได้ในปฐมยาม สามารถที่จะรู้จุติปฏิสนธิในมัชฌิมยาม และจึงจะรู้แจ้งอริยสัจธรรมในปัจฉิมยาม แต่ถ้าศึกษาโดยละเอียดจริงๆ ไม่ได้ทรงแสดงให้เจริญความสงบจนกระทั่งถึงฌานขั้น ต่างๆ แต่ที่ทรงโอวาทพร่ำสอนอยู่เสมอ คือ เป็นผู้ที่มีปกติอบรมเจริญสติปัฏฐาน
ใน สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เจลสูตร มีข้อความว่า
สมัยหนึ่ง เมื่อท่านพระสารีบุตร และท่านพระมหาโมคคัลลานะปรินิพพานแล้วไม่นาน พระผู้มีพระภาคประทับอยู่แทบฝั่งแม่น้ำคงคา ใกล้อุกกเจลนคร ในแคว้นวัชชี กับพระภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ก็สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคอันภิกษุสงฆ์แวดล้อมแล้ว ประทับนั่งที่กลางแจ้ง ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาค ทรงชำเลืองดูภิกษุสงฆ์ผู้นิ่งอยู่ แล้วตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ก็บริษัทของเรานี้ ปรากฏเหมือนว่างเปล่า เมื่อสารีบุตร และโมคคัลลานะยังไม่ปรินิพพาน สารีบุตร และโมคคัลลานะอยู่ในทิศใด ทิศนั้นของเราย่อมไม่ว่างเปล่า ความไม่ห่วงใยย่อมมีในทิศนั้น
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแม้เหล่าใด ได้มีมาแล้วในอดีตกาล พระผู้มีพระภาคแม้เหล่านั้น ก็มีคู่สาวกนั้นเป็นอย่างยิ่งเท่านั้น เหมือนกับสารีบุตร และโมคคัลลานะของเรา พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแม้เหล่าใด จักมีในอนาคตกาล พระผู้มีพระภาคแม้เหล่านั้น ก็จักมีคู่สาวกนั้นเป็นอย่างยิ่งเท่านั้น เหมือนกับสารีบุตร และโมคคัลลานะของเรา
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เป็นความอัศจรรย์ของสาวกทั้งหลาย เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีมาของสาวกทั้งหลาย สาวกทั้งหลายจักกระทำตามคำสอน และกระทำตามโอวาทของพระศาสดา และจักเป็นที่รักเป็นที่ชอบใจ เป็นที่ตั้งแห่งความเคารพ และสรรเสริญของบริษัท ๔ เป็นความอัศจรรย์ของตถาคต เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีมาของตถาคต เมื่อคู่สาวกแม้เห็นปานนี้ปรินิพพานแล้ว ความโศกหรือความร่ำไรก็มิได้มีแก่พระตถาคต เพราะฉะนั้น จะพึงได้ข้อนี้แต่ที่ไหน สิ่งใดเกิดแล้ว มีแล้ว ปัจจัยปรุงแต่งแล้ว มีความทำลายเป็นธรรมดา การปรารถนาว่า ขอสิ่งนั้นอย่าทำลายเลย ดังนี้ มิใช่ฐานะที่จะมีได้
ข้อความต่อไปก็เหมือนข้อความใน จุนทสูตร โดยที่พระผู้มีพระภาคตรัสให้ภิกษุทั้งหลายมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง คือ ย่อมพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ ไม่ใช่ทรงให้บุคคลหนึ่งบุคคลใด ซึ่งไม่ได้เคยอบรมเจริญฌานมา ไปพากเพียรที่จะเจริญความสงบให้จนถึงฌานจิต แต่ว่าพระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมให้ภิกษุมีตนเป็นที่พึ่ง โดยมีธรรมเป็นที่พึ่ง คือ พิจารณากายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม
ถ้าท่านพิจารณาข้อความที่พระผู้มีพระภาคตรัสโดยละเอียด ท่านจะได้ความเข้าใจชัดเจนว่า ที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เราได้บอกเธอทั้งหลายไว้ก่อนแล้วไม่ใช่หรือว่า จักต้องมีความจาก ความพลัดพราก ความเป็นอย่างอื่น จากของรักของชอบใจทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น จะพึงได้ในของรักของชอบใจนี้แต่ที่ไหน
จริงๆ แล้ว ท่านผู้ฟังได้อะไรจากของที่รักที่ชอบใจบ้างหรือเปล่า หรือว่า ที่จะได้แน่ คือ ความพลัดพราก ได้ความติดข้องในความพอใจของท่านเอง แต่ไม่ได้อย่างอื่นเลย เพราะขณะนั้นไม่ได้พิจารณากายในกาย ไม่ได้พิจารณาเวทนาในเวทนา ไม่รู้แม้เวทนาของท่านซึ่งขณะนั้นไม่มีตัวตน ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีสิ่งซึ่งกำลังเป็นที่รัก เป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ
ถ้าท่านมีความรู้สึกยินดีพอใจในสิ่งนั้น และสติปัฏฐานระลึกรู้ลักษณะของเวทนา ก็เป็นเพียงความรู้สึกซึ่งเกิดขึ้นแล้วดับไป เป็นแต่เพียงสภาพธรรมชนิดหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นยินดีในสิ่งที่น่าพอใจ ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล และก็ดับไป
เพราะฉะนั้น ถ้าปรากฏเป็นความยินดีในสิ่งที่รักที่พอใจ ก็ขอให้พิจารณาจริงๆ ว่า ได้อะไรจากความยินดีพอใจในสิ่งที่รักที่พอใจ นอกจากความติดข้องความยินดีของท่าน ได้ความพอใจเพิ่มขึ้น ได้ความติดข้องเพิ่มขึ้น เพราะไม่รู้ในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แต่ที่จะได้จริงๆ คือ การพลัดพรากจากสิ่งที่รักที่ชอบใจทั้งหมด
ในคราวก่อนเป็นเรื่องของมรณานุสสติ ซึ่งเป็นกุศลที่เตือนใจอย่างมาก เพราะทุกท่านย่อมทราบว่า ต้องมีการพลัดพราก ต้องมีการสิ้นสุดจากภพนี้ ชาตินี้ และก็จากไปสู่การเป็นบุคคลอื่นในภพอื่นในวันหนึ่ง ซึ่งไม่ทราบว่าจะช้าหรือจะเร็ว เพราะฉะนั้น มรณานุสสติ ก็เป็นอนุสสติอย่างดีที่จะทำให้ทุกท่านคิดถึงการเจริญกุศล
แต่ข้อความในพระไตรปิฎกแสดงให้เห็นว่า จุดประสงค์ของมรณานุสสตินั้น เพื่อที่จะให้อบรมเจริญปัญญา รู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง เพื่อที่จะได้มีตนเป็นที่พึ่ง มีตนเป็นเกาะ คือ มีธรรมเป็นที่พึ่ง โดยระลึกรู้ลักษณะของกาย ของเวทนา ของจิต ของธรรม
สำหรับข้อความในพระไตรปิฎก ท่านผู้ฟังจะเห็นจุดประสงค์ของมรณานุสสติ คือ การระลึกถึงความตายว่า พระผู้มีพระภาคทรงมุ่งหมายให้พุทธบริษัทอบรม เจริญสติ ไม่ใช่เจริญฌาน ซึ่งหลายท่านทีเดียวในขณะที่ยังไม่ได้คิดถึงความตาย เวลาที่อกุศลจิตเกิด จิตของท่านที่ไม่มั่นคงในการอบรมเจริญสติปัฏฐาน อาจจะต้องการความสงบ และต้องการให้สงบขึ้นๆ โดยที่ไม่เข้าใจจุดประสงค์ที่แท้จริงว่า เมื่อระลึกถึงความตาย ควรจะเป็นผู้ที่ไม่ประมาทในการที่จะระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏที่กาย และเวทนา และจิต และธรรม
สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค คิลานสูตร ข้อ ๗๐๘ มีข้อความว่า
ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้:
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ เวฬุวคาม ใกล้เมืองเวสาลี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาแล้วตรัสว่า
มาเถิด ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย จงเข้าจำพรรษาในเมืองเวสาลีโดยรอบ ตามมิตร ตามสหาย ตามพวก (ของตนๆ) เถิด เราจะเข้าจำพรรษา ณ เวฬุวคามนี้แล
ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว เข้าจำพรรษาในเมือง เวสาลีโดยรอบ ตามมิตร ตามสหาย ตามพวก (ของตนๆ) ส่วนพระผู้มีพระภาคทรงเข้าจำพรรษา ณ เวฬุวคาม นั้นแหละ
เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงเข้าจำพรรษาแล้ว อาพาธกล้าบังเกิดขึ้น เวทนาอย่างหนักใกล้มรณะเป็นไปอยู่ ได้ยินว่า ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาคทรงพระดำรงสติสัมปชัญญะ ทรงอดกลั้น ไม่ทรงพรั่นพรึง ครั้งนั้น พระองค์ทรงพระดำริว่า การที่เรายังไม่บอกภิกษุผู้อุปัฏฐาก ยังไม่อำลาภิกษุสงฆ์ แล้วปรินิพพานเสียนั้น หาสมควรแก่เราไม่ ไฉนหนอ เราพึงขับไล่อาพาธนี้เสียด้วยความเพียร แล้วดำรงชีวิตสังขารอยู่ ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงขับไล่พระประชวรนั้นด้วยความเพียร แล้วทรงดำรงชีวิตสังขารอยู่ ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงหายจากพระประชวรแล้ว ทรงหายจากความไข้ไม่นาน ประทับนั่งบนอาสนะที่เขาปูลาดไว้ในร่มแห่งวิหาร
ที่มา ...
- สังเวชนีย - พระบรมสารีริกธาตุ
- สติ - ธรรมไม่ใช่เรา
- คยา - พุทธานุสสติ (ตอนที่ 1)
- คยา - พุทธานุสสติ (ตอนที่ 2)
- คยา - พุทธานุสสติ (ตอนที่ 3) และ ฉันทะของผู้ที่จะเป็นพุทธเจ้า (ตอนที่ 1)
- คยา - ฉันทะของผู้ที่จะเป็นพุทธเจ้า (ตอนที่ 2)
- คยา - ตรัสรู้ - พุทธวิปัสสนา (ตอนที่ 1)
- คยา - พุทธวิปัสสนา (ตอนที่ 2)
- คยา - พุทธวิปัสสนา (ตอนที่ 3)
- คยา - พุทธวิปัสสนา (ตอนที่ 4)
- คยา - พุทธวิปัสสนา (ตอนที่ 5)
- คยา - พุทธวิปัสสนา (ตอนที่ 6)
- คยา - พุทธวิปัสสนา (ตอนที่ 7) - มารรบกวนพระผู้มีพระภาคหลังตรัสรู้
- คยา - มารรบกวน - อันตรธาน
- คยา - ปฎิปทา - วิวาท - เลื่อมใส
- คยา - เลื่อมใส - มรรค - ทุกข์ - สติรู้ขันธ์
- ราชคฤห์ - พระเจ้าปุกกุสาติ (ตอนที่ 1)
- ราชคฤห์ - พระเจ้าปุกกุสาติ (ตอนที่ 2)
- ราชคฤห์ - พระเจ้าปุกกุสาติ (ตอนที่ 3) - ภิกษุ ๗ รูป (ตอนที่ 1)
- ราชคฤห์ - ภิกษุ ๗ รูป (ตอนที่ 2)
- ราชคฤห์ - ปุกกุสาติกุลบุตร - ธาตุวิภังคสูตร
- ราชคฤห์ - ธาตุมนสิการ
- ราชคฤห์ - สังคยนา ๑ - พระอานนท์
- ราชคฤห์ - อานันทเถรคาถา
- คิชฌกูฎ - ทีฆนข - จังกม - ลักขณสูตร
- คิชฌกูฎ - พระฉันนะ - กัสสปภิกษุ - มหาสาโรปมสูตร
- นาลันทา - พระสารีบุตรปรินิพพาน
- นาลันทา - พระสารีบุตรแสดงเรื่องบารมี - ทุกข์ ๓ - ลูกศร
- พาราณสี - ธัมมจักร - ปัญจวัคคีย์
- พาราณสี - มัชฌิมาปฏิปทา - สติ - สัจจ์
- พาราณสี - บัญญัติไม่เป็นอารมณ์ของสติปัฏฐาน (ตอนที่ 1)
- พาราณสี - บัญญัติไม่เป็นอารมณ์ของสติปัฎฐาน (ตอนที่ 2)
- พาราณสี - บัญญัติไม่เป็นอารมณ์ของสติปัฏฐาน (ตอนที่ 3)
- กุสินารา - มหาปรินิพพานสูตร
- กุสินารา - มรณสติ (ตอนที่ 1)
- กุสินารา - มรณสติ (ตอนที่ 2)
- กุสินารา - มรณสติ (ตอนที่ 3)
- กุสินารา - มรณสติ (ตอนที่ 4)
- กุสินารา - มรณสติ (ตอนที่ 5)
- กุสินารา - มรณสติ (ตอนที่ 6)
- กุสินารา - มรณสติ (ตอนที่ 7)
- กุสินารา - มรณสติ (ตอนที่ 8)
- กุสินารา - มรณสติ (ตอนที่ 9)