กุสินารา - มรณสติ (ตอนที่ 7)
เพราะฉะนั้น ในขณะนี้เองที่กำลังเห็น ท่านจะไม่ระลึกทางตาจะได้ไหม ในเมื่อพระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้ในพระไตรปิฎกเพื่อที่จะให้เป็นผู้ที่รู้ชัดในสภาพธรรมที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ในพระไตรปิฎกไม่ได้เว้นทางตา ไม่ได้เว้นทางหู ซึ่งขณะนี้ท่านกำลังเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา ก็อบรมเจริญปัญญาน้อมระลึกรู้ว่า ขณะนี้สิ่งที่ปรากฏทางตาไม่ใช่สภาพที่กำลังรู้ คือ เห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา จนกว่าจะเพิ่มความรู้ในลักษณะของนามธรรมขึ้นทีละเล็กทีละน้อย เข้าถึงอรรถของสภาพรู้ ไม่ว่าจะรู้ทางตา หรือทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ก็เป็นสภาพรู้ ซึ่งต่างกับสิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย
เมื่อรู้ลักษณะของสภาพรู้ หรือธาตุรู้แล้ว ย่อมน้อมไปที่จะสังเกตในลักษณะของสภาพรู้ที่กำลังรู้ทางอื่นๆ ด้วย เช่นท่านที่บอกว่า ท่านรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏทางกาย แต่ว่าทางตานั้นยาก เวลาที่น้อมไปด้วยสติที่จะพิจารณารู้ในลักษณะของ ธาตุรู้หรือสภาพรู้ทางกาย ฉันใด ก็น้อมมาระลึกรู้ลักษณะของสภาพรู้ที่กำลังรู้ทางตา ฉันนั้น เพราะเป็นสภาพเดียวกัน คือ เป็นธาตุรู้ เป็นสภาพรู้ เป็นอาการรู้ เพียงแต่ว่าสิ่งที่ปรากฏนั้นต่างกัน แต่ลักษณะของสภาพรู้ หรือธาตุรู้นั้นยังคงเป็นธาตุรู้ เป็นสภาพรู้อยู่นั่นเอง
ท่านผู้ฟังที่ป่วยไข้ ปวดหัว ตัวร้อน เป็นชีวิตจริงในขณะนั้น เป็นสภาพธรรมแต่ละอย่าง ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน สติเคยระลึกรู้ลักษณะของสภาพนั้น บ้างไหม
ทุกขเวทนาเป็นเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐานขณะไหน ก็ขณะที่กำลังเป็นทุกข์ ขณะที่กำลังปวดหัว ขณะที่กำลังปวดฟัน ขณะที่สภาพของทุกขเวทนาทางหนึ่งทางใด ลักษณะหนึ่งลักษณะใดกำลังปรากฏ ปวดท้อง เป็นปกติในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล
กำลังโกรธมีไหม วันหนึ่งๆ ก็จะต้องมีบ้าง สติระลึกรู้ลักษณะสภาพโกรธที่กำลังปรากฏ การอบรมเจริญสติปัฏฐานไม่เว้น ทุกอย่างที่เป็นของจริง ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ตามปกติ โดยสภาพที่เป็นอนัตตาจริงๆ เพราะไม่สามารถที่จะบังคับบัญชาได้ ถ้าท่านยังไม่เคยระลึก ก็จะต้องรู้ว่า ถ้าสติไม่ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติบ่อยๆ เนืองๆ ปัญญาที่จะรู้ชัดว่า สภาพธรรมนั้นๆ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ก็เกิดไม่ได้
กำลังหิวก็มี ใช่ไหม สติเคยระลึกบ้างไหม ทุกอย่างที่เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นจริงในชีวิตประจำวัน ที่ปัญญาจะรู้ชัดคมกล้าจริงๆ คือ สติสามารถที่จะระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ลักษณะของนามธรรมเป็นนามธรรม ลักษณะของรูปธรรมแต่ละลักษณะก็เป็นรูปธรรม ซึ่งไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน
กำลังเหนื่อย หลงลืมสติ ไม่เคยระลึก เพราะฉะนั้น ก็ไม่มีวันที่จะรู้ว่า ขณะนั้นไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน
ขณะนี้อะไรกำลังปรากฏ ถ้าสติไม่เคยระลึกจนชำนาญ ไม่สามารถที่จะรู้ได้เลย เฉยๆ หรือว่าโสมนัส หรือว่าโทมนัส ไม่พอใจ ขุ่นเคือง หรือว่าปวดเมื่อย เป็นทุกข์กายหรือทุกข์ใจ แต่ถ้าเป็นผู้ที่ระลึกรู้ลักษณะของนามธรรม และรูปธรรมโดยไม่เลือก สติจะไวขึ้น คมขึ้น ระลึกรู้ลักษณะของนามธรรม และรูปธรรมแต่ละลักษณะได้ และท่านผู้ฟังจะเห็นได้จริงๆ ว่า สติเองเป็นอนัตตา เมื่อเกิดขึ้นก็ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใดทันที ตรงลักษณะของสภาพธรรมนั้น
เพราะฉะนั้น สติไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตน ขณะใดที่มีการระลึกที่ลักษณะของ นามใด และรูปใด ขณะนั้นเป็นลักษณะของสติ ซึ่งเป็นอนัตตา ไม่มีการเลือก ไม่มีการคิดตระเตรียม เพราะมีความรู้จากการฟังว่า ปัญญาจะต้องรู้ชัดในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติ เพราะเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย
สำหรับข้อความในพระไตรปิฎกที่แสดงให้เห็นว่า แม้ว่าจะมีความเข้าใจในเรื่องของสภาพธรรมที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายแล้วก็จริง และได้ฟังเรื่องของการเป็นผู้ที่มีปกติอบรมเจริญสติปัฏฐานอยู่เนืองๆ บ่อยๆ แต่แม้กระนั้น สติก็เกิดยาก เพราะสติเป็นอนัตตา ปัญญา และสติเป็นสังขารขันธ์ ซึ่งต้องอาศัยการฟังมากๆ ปรุงแต่งจนกว่าสติจะเกิดขึ้นระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ ทางตาบ้าง ทางหูบ้าง ทางจมูกบ้าง ทางลิ้นบ้าง ทางกายบ้าง ทางใจบ้าง ซึ่งใน ขุททกนิกาย สุตตนิบาต ทวยตานุปัสสนาสูตร ข้อ ๔๐๕ มีข้อความที่ พระผู้มีพระภาคทรงแสดงเพื่อเกื้อกูลอนุเคราะห์ให้ระลึกรู้ลักษณะของนามธรรม และรูปธรรมตามความเป็นจริง
ข้อความมีว่า
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ถ้ามีผู้ถาม ฯลฯ พึงตอบเขาว่า ดูกร ภิกษุทั้งหลาย นามรูปที่โลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ที่หมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดา และมนุษย์เล็งเห็นว่า นามรูปนี้เป็นของจริง พระอริยเจ้าทั้งหลายเห็นด้วยดีแล้ว ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงว่า นามรูปนั่นเป็นของเท็จ นี้เป็นอนุปัสสนา ข้อที่ ๑
ก่อนที่จะฟังเรื่องของนามธรรม และรูปธรรม และการอบรมเจริญสติปัฏฐาน ทุกท่านก็เชื่อจริงๆ ว่า สิ่งที่ท่านเห็นเป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ เป็นคน เป็นสัตว์นั้นจริง แต่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า พระอริยเจ้าทั้งหลายเห็นด้วยดีแล้ว ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงว่า นามรูปนั่นเป็นของเท็จ นี้เป็นอนุปัสสนาข้อที่ ๑
ข้อความต่อไป
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย นิพพานที่โลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ที่หมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดา และมนุษย์เล็งเห็นว่า นิพพานนี้เป็นของเท็จ พระอริยเจ้าทั้งหลายเห็นด้วยดีแล้ว ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงว่า นิพพานนั้นเป็นของจริง นี้เป็นอนุปัสสนาข้อที่ ๒
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้พิจารณาเห็นเนืองๆ ซึ่งธรรมเป็นธรรม ๒ อย่าง โดยชอบอย่างนี้ ฯลฯ
พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
ท่านผู้มีความสำคัญในนามรูป อันเป็นของมิใช่ตนว่าเป็นตน จงดูโลกพร้อมทั้งเทวโลก ผู้ยึดมั่นแล้วในนามรูป ซึ่งสำคัญนามรูปนี้ว่าเป็นของจริง ก็ชนทั้งหลายย่อมสำคัญ (นามรูป) ด้วยอาการใดๆ นามรูปนั้นย่อมเป็นอย่างอื่นไปจากอาการที่เขาสำคัญนั้นๆ นามรูปของผู้นั้นแล เป็นของเท็จ เพราะนามรูปมีความสาบสูญไปเป็นธรรมดา นิพพานมีความไม่สาบสูญไปเป็นธรรมดา พระอริยเจ้าทั้งหลายรู้นิพพานนั้นโดยความเป็นจริง พระอริยเจ้าเหล่านั้นแล เป็นผู้หายหิว ดับรอบแล้ว เพราะตรัสรู้ของจริง ฯ
เวลานี้อะไรยังจริงอยู่ นามรูป หรือว่านิพพาน เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะเห็นจริงๆ ว่า นามรูปเป็นของเท็จ นิพพานเป็นของจริง ก็ต้องผู้ที่เป็นพระอริยบุคคล
ที่มา ...
แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 846
นาที 10.00
ข้อ ๔๐๖
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ถ้าจะพึงมีผู้ถามว่า การพิจารณาเห็นธรรมเป็นธรรม ๒ อย่างเนืองๆ โดยชอบ จะพึงมีโดยปริยายอย่างอื่นบ้างไหม พึงตอบเขาว่า พึงมี
นี่เป็นเรื่องการปฏิบัติธรรม ไม่ใช่ว่าบุคคลอื่นปฏิบัติ แต่ตัวท่านเองที่จะเข้าใจว่า การที่จะพิจารณาเห็นธรรมเป็นธรรม ๒ อย่างเนืองๆ ถ้ายังไม่ได้เริ่มพิจารณา ก็เริ่มที่จะพิจารณาธรรมทั้ง ๒ อย่างนี้เนืองๆ โดยชอบ
ถ้าเขาถามว่า พึงมีอย่างไรเล่า พึงตอบเขาว่า ดูกร ภิกษุทั้งหลาย อิฏฐารมณ์ที่โลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ที่หมู่สัตว์พร้อมทั้ง สมณพราหมณ์ เทวดา และมนุษย์เล็งเห็นว่า เป็นสุข พระอริยะเจ้าทั้งหลายเห็นด้วยดีแล้ว ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงว่า นั่นเป็นทุกข์ นี้เป็นอนุปัสสนาข้อที่ ๑
เพราะฉะนั้น ก็เป็นอนุสสติ เคยเห็นว่าเป็นสุข ก็จะต้องรู้ว่านั่นไม่จริง นั่นเข้าใจผิด แต่ถ้าเห็นเป็นทุกข์ คือ พิจารณารู้ลักษณะของสภาพธรรม โดยไม่ใช่นึกว่า สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาในขณะนี้เป็นทุกข์ ไม่ใช่นึกอย่างนี้ แต่จะต้องประจักษ์ทุกข์ คือ ความเกิดขึ้น และดับไปของสภาพธรรมที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เมื่อยังไม่ประจักษ์ ก็จะต้องเข้าใจ และเริ่มอบรมปัญญาที่จะให้เกิดขึ้นตามลำดับขั้นจนกว่าจะประจักษ์ได้ ไม่ใช่ว่าเมื่อไม่ประจักษ์ก็ทอดทิ้งการอบรมเจริญปัญญาที่จะรู้ชัด นี้เป็นอนุปัสสนาข้อที่ ๑
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย นิพพานที่โลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลกที่หมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดา และมนุษย์เล็งเห็นว่า นี้เป็นทุกข์ พระอริยเจ้าทั้งหลายเห็นด้วยดีแล้ว ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงว่า นั่นเป็นสุข นี้เป็นอนุปัสสนาข้อที่ ๒
ยังไม่อยากไปนิพพาน เพราะเวลานี้ยังไม่พร้อมที่จะดับการเกิดทั้งหมดไม่เกิดอีกเลย เพราะยังมีการพอใจในสิ่งที่เห็น ที่ได้ยิน ที่ได้กลิ่น ที่ลิ้มรส ที่กระทบสัมผัส เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ใช่ปัญญาจริงๆ แม้จะเข้าใจว่าโลกนี้น่าเบื่อ ชีวิตนี้เป็นทุกข์ ทั้งลำบาก ทั้งน้อย ตั้งแต่เช้ามาก็มีเรื่องลำบากตั้งหลายเรื่องแล้ว เพียงเท่านี้ไม่สามารถที่จะดับภพชาติคือการเกิดได้ เพราะไม่ใช่การประจักษ์จริงๆ ในลักษณะของทุกข์ ของธรรมทั้งหลายที่เกิดดับ
เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า พระอริยเจ้าทั้งหลายมีความเห็นตรงกันข้ามกับปุถุชน เพราะ นิพพานที่โลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ที่หมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดา และมนุษย์เล็งเห็นว่า นี้เป็นทุกข์ เพราะว่ายังไม่อยากจะถึง แต่ พระอริยะเจ้าทั้งหลายเห็นด้วยดีแล้ว ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงว่า นั่นเป็นสุข นี้เป็นอนุปัสสนาข้อที่ ๒
ข้อความต่อไป
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้พิจารณาเห็นธรรมเป็นธรรม ๒ อย่างโดยชอบ เนืองๆ อย่างนี้ ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยว พึงหวังผล ๒ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ อรหัตตผลในปัจจุบันนี้ หรือเมื่อยังมีความถือมั่นเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ฯ
พระผู้มีพระภาคผู้สุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณ์ภาษิตนี้จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
รูป เสียง กลิ่น รส ผัสสะ และธรรมารมณ์ ล้วนน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ มีประมาณเท่าใด โลกกล่าวว่ามีอยู่ อารมณ์ ๖ อย่างเหล่านี้ โลกพร้อมทั้งเทวโลกสมมติกันว่า เป็นสุข แต่ว่าธรรมเป็นที่ดับอารมณ์ ๖ อย่างนี้ ชนเหล่านั้นสมมติกันว่า เป็นทุกข์ ความดับแห่งเบญจขันธ์ พระอริยเจ้าทั้งหลายเห็นว่า เป็นสุข ความเห็นขัดแย้งกันกับโลกทั้งปวงนี้ ย่อมมีแก่บัณฑิตทั้งหลายผู้เห็นอยู่ ชนเหล่าอื่นกล่าววัตถุกามใดโดยความเป็นสุข พระอริยเจ้าทั้งหลายกล่าววัตถุกามนั้นโดยความเป็นทุกข์ ชนเหล่าอื่นกล่าวนิพพานใดโดยความเป็นทุกข์ พระอริยเจ้าทั้งหลายผู้รู้แจ้งกล่าวนิพพานนั้นโดยความเป็นสุข ท่านจงพิจารณาธรรมที่รู้ได้ยาก ชนพาลทั้งหลาย ผู้ไม่รู้แจ้งพากันลุ่มหลงอยู่ในโลกนี้ ความมืดตื้อย่อมมีแก่ชนพาลทั้งหลายผู้ถูกอวิชชาหุ้มห่อแล้ว ผู้ไม่เห็นอยู่ ส่วนนิพพานเป็นธรรมชาติเปิดเผยแก่สัตบุรุษผู้เห็นอยู่ เหมือนอย่างแสงสว่าง ฉะนั้น
ชนทั้งหลายเป็นผู้ค้นคว้า ไม่ฉลาดต่อธรรม ย่อมไม่รู้แจ้งนิพพานที่มีอยู่ในที่ใกล้ ชนทั้งหลายผู้ถูกภวราคะครอบงำแล้ว แล่นไปตามกระแสภวตัณหา ผู้เข้าถึงวัฏฏะอันเป็นบ่วงแห่งมารเนืองๆ ไม่ตรัสรู้ธรรมนี้ได้โดยง่าย นอกจากพระอริยเจ้าทั้งหลาย ใครหนอย่อมควรจะรู้บท คือ นิพพาน ที่พระอริยเจ้าทั้งหลายตรัสรู้ดีแล้ว พระอริยเจ้าทั้งหลายเป็นผู้ไม่มีอาสวะเพราะรู้โดยชอบ ย่อมปรินิพพาน ฯ
ข้อ ๔๐๗
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสไวยากรณ์ภาษิตนี้จบลงแล้ว ภิกษุเหล่านั้นมีใจชื่นชมยินดีภาษิตของพระผู้มีพระภาค ก็ และเมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสไวยากรณ์ภาษิตนี้อยู่ จิตของภิกษุประมาณ ๖๐ รูป หลุดพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น ดังนี้แล ฯ
จบ ทวยตานุปัสสนาสูตรที่ ๑๒
ทั้งๆ ที่รู้อย่างนี้ เวลานี้ขันธ์ ๕ ก็มีครบ พร้อม แต่สติระลึกขันธ์หนึ่งขันธ์ใดหรือเปล่า หรือว่าทางหนึ่งทางใดใน ๖ ทางหรือเปล่า ถ้ายังเป็นผู้ที่ไม่มั่นคงในการเจริญสติปัฏฐาน ก็จะต้องอาศัยการฟังพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงพระมหากรุณาอนุเคราะห์แสดงไว้โดยประการต่างๆ โดยละเอียด ซึ่งใน สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค อาสีวิสวรรคที่ ๔ อาสีวิสสูตร มีข้อความว่า
ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เหมือนอย่างว่า มีอสรพิษ ๔ จำพวกซึ่งมีฤทธิ์เดชแรงกล้า ถ้ามีบุรุษรักชีวิต ผู้ไม่อยากตาย รักสุข เกลียดทุกข์ ชนทั้งหลายพึงกล่าวกะเขาอย่างนี้ว่า ดูกร ท่าน อสรพิษ ๔ จำพวกนี้ มีฤทธิ์เดชแรงกล้า ท่านพึงปลุกให้ลุกตามเวลา ให้อาบน้ำตามเวลา ให้กินอาหารตามเวลา ให้เข้าสู่ที่อยู่ตามเวลา เวลาใดอสรพิษทั้ง ๔ จำพวกนี้ ตัวใดตัวหนึ่งโกรธขึ้น เวลานั้นท่านก็จะพึงถึงความตาย หรือถึงทุกข์แทบปางตาย กิจใดที่ท่านควรทำ ก็จงทำกิจนั้นเสีย ฯ
ถ้าไม่ใช่เป็นผู้ที่มีปกติอบรมเจริญสติปัฏฐาน จะไม่เข้าใจความหมายของคำว่า กิจใดที่ท่านควรทำ ก็จงทำกิจนั้นเสีย ขณะนี้ที่พึ่งอันแท้จริงไม่ใช่กุศลขั้นทาน ไม่ใช่กุศลขั้นศีล ไม่ใช่กุศลขั้นความสงบ แต่เป็นสติปัฏฐานที่ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏเท่านั้น ที่เป็น กิจใดที่ท่านควรทำ ก็จงทำกิจนั้นเสีย
อสรพิษ ๔ จำพวก ได้แก่ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ที่ท่านยึดถือว่า เป็นร่างกายของท่านตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้า วันนี้อสรพิษ ๔ จำพวกนี่ยังไม่โกรธ ก็ยังไม่ขบกัดให้เดือดร้อน เป็นทุกข์ ยังอยู่ดี เพราะท่านรักอสรพิษทั้ง ๔ ตัวนี้ ปลุกให้ลุกตามเวลา ให้อาบน้ำตามเวลา ให้กินอาหารตามเวลา ให้เข้าสู่ที่อยู่ คือ นอนพักผ่อนตามเวลา แต่ให้เห็นภัย ให้เห็นโทษของธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม เวลาที่เกิดเจ็บป่วยขึ้น เกิดจากอะไร ถ้าไม่ใช่เกิดจากร่างกายซึ่งประกอบด้วยธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ซึ่งถ้าไม่เจ็บปวด ยังไม่ป่วยไข้ ก็ยังไม่เห็นโทษ จนกว่าจะมีผู้เตือนให้เห็นว่า ร่างกายซึ่งเป็นที่รัก เป็นที่พอใจ เป็นที่ยึดถืออย่างมาก ที่ท่าน ปลุกให้ตื่นตามเวลา ให้อาบน้ำตามเวลา ให้กินอาหารตามเวลา ให้เข้าสู่ที่อยู่ คือนอนพักผ่อน ตามเวลา ด้วยความ หวงแหน ด้วยความพอใจ ยึดมั่นในร่างกายนี้ แท้จริงก็คือสิ่งที่จะทำให้เกิดทุกข์ เพราะไม่มีใครที่ไม่ถูกอสรพิษ ๔ จำพวกนี้ขบกัด คือ เวลาที่ป่วยไข้ได้เจ็บ ก็เพราะธาตุทั้ง ๔ นั่นเอง
ข้อความต่อไป
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้น บุรุษนั้นกลัวอสรพิษทั้ง ๔ จำพวกนั้น จึงหนีไปในที่อื่น ชนทั้งหลายพึงกล่าวกะเขาอย่างนี้ว่า ดูกร ท่าน มีเพชฌฆาตผู้เป็นฆ่าศึกอยู่ ๕ คน ได้ติดตามมาข้างหลังท่าน พบท่านในที่ใดก็จะฆ่าท่านเสียในที่นั้น กิจใดที่ท่านควรทำ ก็จงทำกิจนั้นเสีย ฯ
ทุกขณะผ่านไปโดยที่ไม่ได้อบรมเจริญปัญญา ถ้าสติไม่เกิดระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคทรงอุปมาเพื่อให้เห็นโทษของขันธ์ ๕ ว่า เปรียบเสมือนเพชฌฆาต ๕ คนซึ่งติดตามมาข้างหลัง กำลังติดตามอยู่ทุกขณะ ทันเมื่อไรก็จะฆ่าให้ตายเมื่อนั้น หมดโอกาสที่จะได้อบรมเจริญสติปัฏฐาน ถ้าไปเกิดในภูมิที่เป็นอบายภูมิ เพราะฉะนั้น ขณะนี้มีเพชฌฆาตผู้เป็นข้าศึก ๕ คน กำลังติดตามอยู่ทุกขณะ เวลานี้ยังไม่ทัน ใช่ไหม ยังมีโอกาสอยู่ เพราะฉะนั้น กิจใดที่ท่านควรทำ ก็จงทำกิจนั้นเสีย สติระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏลักษณะหนึ่งลักษณะใด ทางตา หรือทางหู หรือทางจมูก หรือทางลิ้น หรือทางกาย หรือทางใจ เพียงชั่วขณะเล็กๆ น้อยๆ ต่อไปท่านจะเห็นประโยชน์อย่างมากทีเดียวว่า ปัญญาที่คมกล้าจะมีได้ก็เพราะอาศัยสติที่เกิดขึ้นระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ เรื่อยๆ เนืองๆ บ่อยๆ เพราะถ้าสติไม่เกิด ปัญญาไม่มีวันที่จะเจริญขึ้น จนกระทั่งคมกล้าได้ แม้ว่าสติเกิดไม่มาก แต่ว่าสติก็เกิดจนกว่าปัญญาจะคมกล้า
มีสติเกิดบ้างไหม เพชฌฆาต ๕ คนกำลังติดตามมาข้างหลัง ถ้าคิดว่ายังอยู่ไกล ก็เป็นผู้ที่ประมาท
ข้อความต่อไป
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ครั้งนั้นแล บุรุษนั้นกลัวอสรพิษทั้ง ๔ จำพวก และกลัวเพชฌฆาตผู้เป็นข้าศึกทั้ง ๕ คนนั้น จึงหนีไปในที่อื่น ชนทั้งหลายพึงกล่าวกะเขาอย่างนี้ว่า ดูกร ท่าน มีเพชฌฆาตคนที่ ๖ ซึ่งเที่ยวไปในอากาศ เงื้อดาบติดตามมาข้างหลังท่าน พบท่านในที่ใดก็จะตัดศีรษะของท่านเสียในที่นั้น กิจใดที่ท่านควรทำ ก็จงทำกิจนั้นเสีย ฯ
ทรงเตือนอยู่ตลอดเวลา กิจใดที่ท่านควรทำ ก็จงทำกิจนั้นเสีย
สำหรับเพชฌฆาตคนที่ ๖ ได้แก่ นันทิราคะ ความยินดีพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ซึ่งเป็นศัตรูที่ปรากฏเหมือนมิตร เพราะให้แต่ความยินดีพอใจเกิดขึ้น ไม่ว่าอะไรจะปรากฏ ไม่ให้หน่าย ไม่ให้ทิ้ง ไม่ให้เห็นโทษ แต่ให้เพลิดเพลินไว้ ให้ยินดีไว้ ให้พอใจไว้ แม้ว่าสภาพธรรมนั้นจะไม่เที่ยงเลย การเห็นไม่เที่ยง การได้ยินไม่เที่ยง สิ่งที่ปรากฏทางตาไม่เที่ยง รูปไม่เที่ยง เสียงไม่เที่ยง กลิ่นไม่เที่ยง รสไม่เที่ยง โผฏฐัพพะไม่เที่ยง แม้ว่ารู้ว่าไม่เที่ยง แต่นันทิราคะก็ยังให้หลงเพลิดเพลินยินดี นี่เป็นเพชฌฆาตคนที่ ๖ เงื้อดาบติดตามมาข้างหลังท่าน เพราะคอยที่จะให้เกิดทุกข์ขึ้น แต่ในขณะที่กำลังพอใจนั้นจะไม่เห็นว่า เป็นเหตุที่จะให้เกิดทุกข์ได้
ข้อความต่อไป
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ครั้งนั้น บุรุษนั้นกลัวอสรพิษทั้ง ๔ จำพวกซึ่งมีฤทธิ์เดชแรงกล้า กลัวเพชฌฆาตผู้เป็นข้าศึกทั้ง ๕ และกลัวเพชฌฆาตคนที่ ๖ ซึ่งเที่ยวไปในอากาศเงื้อดาบอยู่ จึงหนีไปในที่อื่น เขาพบบ้านร้างเข้า จึงเข้าไปสู่เรือนร้างว่างเปล่าหลังหนึ่ง ลูบคลำภาชนะว่างเปล่าชนิดหนึ่ง ชนทั้งหลายพึงกล่าวกะเขาอย่างนี้ว่า ดูกร ท่าน มีโจรทั้งหลายคอยฆ่าชาวบ้าน เข้ามาสู่บ้านร้างนี้เสมอ กิจใดที่ท่านควรทำ ก็จงทำกิจนั้นเสีย ฯ
เมื่อกลัวอสรพิษ ๔ จำพวก กลัวข้าศึกทั้ง ๕ คน และกลัวเพชฌฆาตคนที่ ๖ ก็หนีไปสู่เรือนร้างว่างเปล่าหลังหนึ่ง ลูบคลำภาชนะว่างเปล่าชนิดหนึ่ง ซึ่งชนทั้งหลาย ก็ได้มากล่าวกะเขาอย่างนี้ว่า ดูกร ท่าน มีโจรทั้งหลายคอยฆ่าชาวบ้าน เข้ามาสู่บ้านร้างนี้เสมอ สำหรับเรือนร้างว่างเปล่าหลังหนึ่ง ได้แก่ อายตนะภายใน ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
เวลาที่ไม่มีการเห็น ไม่มีการได้ยิน ไม่มีการได้กลิ่น ไม่มีการลิ้มรส ไม่มีการรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่มีการคิดนึก ก็ดูคล้ายๆ กับเป็นเรือนร้างว่างเปล่า ไม่มีอะไรปรากฏเลย แต่ว่าบุรุษนั้น เข้าไปในเรือนร้างว่างเปล่าหลังหนึ่ง ลูบคลำภาชนะว่างเปล่าชนิดหนึ่ง มีอารมณ์ที่ปรากฏอยู่เสมอ แต่อารมณ์นั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่เที่ยงถาวร ที่เป็นประโยชน์สุขอันแท้จริง และก็ยังมีโจรทั้งหลายคอยฆ่าชาวบ้านเข้ามาสู่บ้านร้างนี้เสมอ
สำหรับคำอุปมาที่พระผู้มีพระภาคทรงอุปมาว่า โจรทั้งหลายคอยฆ่าชาวบ้าน เข้ามาสู่บ้านร้างนี้เสมอนั้น ได้แก่ อายตนะภายนอก ๖ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ์ ซึ่งไม่เที่ยง และเป็นทุกข์ เพราะฉะนั้น ใครติดในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ในธัมมารมณ์ ก็เท่ากับติดทุกข์ เพราะไม่ว่าจะมีความยินดีพอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ในธัมมารมณ์สักเท่าไรก็ตาม ผลที่แท้จริงซึ่งจะได้รับการติดการพอใจนั้น คือ ความทุกข์จากการพลัดพรากจากรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ์ เพราะรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ์ที่จะไม่พลัดพรากไปนั้น ไม่มี
มีใครบ้างที่ไม่พลัดพรากจากรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ์ ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วพลัดพรากอยู่ทุกขณะ แต่ถ้ายังไม่ปรากฏการแตกทำลาย การสูญเสีย การพลัดพราก ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีการจาก ไม่มีการพลัดพรากเลย แต่ตามความเป็นจริงแล้วพลัดพรากอยู่ทุกขณะ
ข้อความต่อไป
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ครั้งนั้น บุรุษนั้นกลัวอสรพิษทั้ง ๔ กลัวเพชฌฆาตทั้ง ๕ กลัวเพชฌฆาตคนที่ ๖ และกลัวโจรผู้คอยฆ่าชาวบ้าน จึงหนีไปในที่อื่น เขาไปพบห้วงน้ำใหญ่แห่งหนึ่ง ฝั่งข้างนี้น่ารังเกียจ เต็มไปด้วยภัยอันตราย ฝั่งข้างโน้นเป็นที่เกษมปลอดภัย เรือแพ หรือสะพานที่จะข้ามไปฝั่งโน้น ไม่มี ฯ
ครั้งนั้น บุรุษนั้นมีความคิดอย่างนี้ว่า ห้วงน้ำนี้ใหญ่นัก ฝั่งข้างนี้เป็นที่น่ารังเกียจ เต็มไปด้วยภัยอันตราย ฝั่งข้างโน้นเป็นที่เกษมปลอดภัย เรือแพหรือสะพานที่จะข้ามไปฝั่งโน้นก็ไม่มี ผิฉะนั้น เราควรจะมัดหญ้า กิ่งไม้ และใบไม้ ผูกเป็นแพ เกาะแพนั้นพยายามไปด้วยมือ และด้วยเท้า ก็พึงถึงฝั่งโน้นได้โดยความสวัสดี
ครั้นแล้ว บุรุษนั้นทำตามความคิดของตน ก็ว่ายข้ามฟากถึงฝั่งข้างโน้นแล้ว เป็นพราหมณ์ขึ้นบกไป ฯ
ท่านผู้ฟังเห็นห้วงน้ำใหญ่หรือยัง เวลานี้อยู่ที่ไหน อยู่ในห้วงน้ำหรือเปล่า
อยู่ในห้วงน้ำ คือ ความพอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัส
ที่มา ...
- สังเวชนีย - พระบรมสารีริกธาตุ
- สติ - ธรรมไม่ใช่เรา
- คยา - พุทธานุสสติ (ตอนที่ 1)
- คยา - พุทธานุสสติ (ตอนที่ 2)
- คยา - พุทธานุสสติ (ตอนที่ 3) และ ฉันทะของผู้ที่จะเป็นพุทธเจ้า (ตอนที่ 1)
- คยา - ฉันทะของผู้ที่จะเป็นพุทธเจ้า (ตอนที่ 2)
- คยา - ตรัสรู้ - พุทธวิปัสสนา (ตอนที่ 1)
- คยา - พุทธวิปัสสนา (ตอนที่ 2)
- คยา - พุทธวิปัสสนา (ตอนที่ 3)
- คยา - พุทธวิปัสสนา (ตอนที่ 4)
- คยา - พุทธวิปัสสนา (ตอนที่ 5)
- คยา - พุทธวิปัสสนา (ตอนที่ 6)
- คยา - พุทธวิปัสสนา (ตอนที่ 7) - มารรบกวนพระผู้มีพระภาคหลังตรัสรู้
- คยา - มารรบกวน - อันตรธาน
- คยา - ปฎิปทา - วิวาท - เลื่อมใส
- คยา - เลื่อมใส - มรรค - ทุกข์ - สติรู้ขันธ์
- ราชคฤห์ - พระเจ้าปุกกุสาติ (ตอนที่ 1)
- ราชคฤห์ - พระเจ้าปุกกุสาติ (ตอนที่ 2)
- ราชคฤห์ - พระเจ้าปุกกุสาติ (ตอนที่ 3) - ภิกษุ ๗ รูป (ตอนที่ 1)
- ราชคฤห์ - ภิกษุ ๗ รูป (ตอนที่ 2)
- ราชคฤห์ - ปุกกุสาติกุลบุตร - ธาตุวิภังคสูตร
- ราชคฤห์ - ธาตุมนสิการ
- ราชคฤห์ - สังคยนา ๑ - พระอานนท์
- ราชคฤห์ - อานันทเถรคาถา
- คิชฌกูฎ - ทีฆนข - จังกม - ลักขณสูตร
- คิชฌกูฎ - พระฉันนะ - กัสสปภิกษุ - มหาสาโรปมสูตร
- นาลันทา - พระสารีบุตรปรินิพพาน
- นาลันทา - พระสารีบุตรแสดงเรื่องบารมี - ทุกข์ ๓ - ลูกศร
- พาราณสี - ธัมมจักร - ปัญจวัคคีย์
- พาราณสี - มัชฌิมาปฏิปทา - สติ - สัจจ์
- พาราณสี - บัญญัติไม่เป็นอารมณ์ของสติปัฏฐาน (ตอนที่ 1)
- พาราณสี - บัญญัติไม่เป็นอารมณ์ของสติปัฎฐาน (ตอนที่ 2)
- พาราณสี - บัญญัติไม่เป็นอารมณ์ของสติปัฏฐาน (ตอนที่ 3)
- กุสินารา - มหาปรินิพพานสูตร
- กุสินารา - มรณสติ (ตอนที่ 1)
- กุสินารา - มรณสติ (ตอนที่ 2)
- กุสินารา - มรณสติ (ตอนที่ 3)
- กุสินารา - มรณสติ (ตอนที่ 4)
- กุสินารา - มรณสติ (ตอนที่ 5)
- กุสินารา - มรณสติ (ตอนที่ 6)
- กุสินารา - มรณสติ (ตอนที่ 7)
- กุสินารา - มรณสติ (ตอนที่ 8)
- กุสินารา - มรณสติ (ตอนที่ 9)