จิตปรมัตถ์ ตอนที่ 119


    แต่ถ้าเป็นผู้ที่รู้เหตุปัจจัยว่าปัญญาจะเจริญได้อย่างไร และรู้ว่าสติจะเกิดในขณะไหนก็ย่อมได้ ก็จะเป็นผู้ที่ระลึกได้ว่า ควรมีสติทุกเมื่อ แม้ว่าในระหว่างที่สติ ยังไม่เจริญจนกระทั่งปัญญารู้ชัด ขณะนั้นก็ยังเห็นว่า ขณะที่มีสติต่างกับขณะที่หลงลืมสติ

    เพราะฉะนั้น คงจะไม่มีปัญหาต่อไปว่า ขณะนั้นควรจะเจริญสติไหม ขณะนี้ควรจะเจริญสติไหม เพราะว่าควรมีสติทุกเมื่อ แต่ต้องระวังความจงใจหรือความต้องการ หรือโลภะซึ่งแฝงอยู่ ที่อยากจะให้มีสติตอนที่อยู่ตามลำพังคนเดียวบ้าง หรือในขณะที่กำลังสนทนาธรรม หรือในขณะที่กำลังอ่านธรรม ถ้าเป็นอย่างนั้นจะต้องสังเกตและต้องคลายการที่มีความต้องการอย่างนั้น มิฉะนั้น ความต้องการอย่างนั้น จะทำให้เป็นผู้ที่มุ่ง และจงใจ และพากเพียร และจดจ้อง ซึ่งแสนเหนื่อย โดยที่ ผลน้อยจริงๆ เพราะว่ามีความพากเพียรพยายามทำ จนกระทั่งเหมือนกับเป็นการฝืนให้ปัญญาเกิด โดยที่เหตุยังไม่สมควรแก่ผล

    อวิชชา ความไม่รู้ เป็นอาสวะ โลภะ ความต้องการ เป็นทั้งกามาสวะ และภวาสวะ ทิฏฐิ ความเห็นผิด ซึ่งปัญญายังไม่ได้ดับเป็นสมุจเฉทเป็นทิฏฐาสวะ เพราะฉะนั้น เมื่อกิเลสเป็นสิ่งที่ละเอียดและละยาก ข้อปฏิบัติก็ต้องละเอียด และต้องเป็นผู้ที่รอบคอบจริงๆ มิฉะนั้น จะทำให้การปฏิบัติผิดได้

    ถ้ามีท่านผู้หนึ่งผู้ใดคิดว่า อยากจะไปปฏิบัติธรรม ทำอย่างไรถึงจะละความอยากในขณะนั้นได้ หรือว่าจะตามความอยากนั้นไปเลย

    นี่เป็นความละเอียดที่จะต้องระลึกได้สังเกตได้แล้วว่า ขณะที่คิดอยากจะไปปฏิบัติธรรม ทำไมสติไม่เกิดขึ้นปฏิบัติธรรมทันที โดยระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ

    ถ้าใครอยากจะไปปฏิบัติธรรม และก็ไป ต้องเป็นผู้ที่ละเอียดที่จะพิจารณาว่า ตอนที่กำลังอยากจะปฏิบัติธรรมในขณะนั้น ทำอย่างไรจึงจะละความอยากไปปฏิบัติธรรมในขณะนั้นได้ หรือว่าไม่มีหนทางเลย

    แต่หนทางมี คือ เป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐาน ระลึกสภาพของความต้องการในขณะนั้นทันที ระลึกลักษณะของเห็นในขณะนั้นทันที ระลึกลักษณะของเสียง ในขณะนั้นทันที ระลึกลักษณะของการคิดนึก หรือว่าสุขเวทนา ทุกขเวทนาต่างๆ ในขณะนั้นทันที มิฉะนั้นจะไม่มีอะไรที่จะไปละความต้องการที่คิดว่าอยากไปปฏิบัติธรรม ซึ่งขณะนั้นที่อยาก ต้องเป็นสิ่งที่ปัญญาต้องละด้วย

    ใน สัมโมหวิโนทนี ปฏิจจสมุปปาท วิภังคนิทเทส พระผู้มีพระภาคทรงแสดงอุปาทาน ๔ โดยลำดับของเทศนา คือ ทรงเทศนากามุปาทานก่อน เพราะว่า มีอารมณ์มากและเพราะปรากฏ

    ไม่มีใครไม่รู้ตัวว่า ติดในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะแค่ไหน ทุกคนรู้ดี วันหนึ่งๆ เต็มไปด้วยความต้องการรูปบ้าง เสียงบ้าง กลิ่นบ้าง รสบ้าง โผฏฐัพพะบ้าง เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคจึงทรงเทศนากามุปาทานก่อน เพราะว่ามีอารมณ์มากและเพราะปรากฏ

    นอกจากนั้น กามุปาทานยังเกิดกับโลภมูลจิตทั้ง ๘ ดวง อุปาทานอื่นนอกจากนี้มีอารมณ์น้อย และเกิดกับโลภมูลจิตทิฏฐิคตสัมปยุตต์ ๔ ดวงเท่านั้น เพราะว่าเป็น ทิฏฐิเจตสิก ซึ่งเป็นอัตตวาทุปาทาน ทิฏฐุปาทาน และสีลัพพตุปาทาน

    เวลาที่ทุกคนขยันทำงานทุกวันๆ เคยระลึกบ้างหรือเปล่าว่า เป็นกามุปาทาน หรือรู้แต่ชื่อ เวลาที่บอกชื่อก็ทราบว่า ความยินดี พอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ เป็นความติดอย่างมาก แต่เวลาที่ขยันทำงาน มุ่งที่จะทำงาน ทุกคนต้องทำงานทุกวัน แต่ขณะนั้นพิจารณาหรือเปล่าว่า นั่นคือลักษณะของกามุปาทาน ความติดในงาน ซึ่งไม่พ้นไปจากความติดในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ

    ผู้ที่มีกามุปาทาน ย่อมเป็นผู้ที่มากไปด้วยการถือมงคลตื่นข่าวเป็นต้น เพื่อบรรลุวัตถุกามทั้งหลาย

    ถ้าเป็นผู้ที่ทำธุรกิจการค้า อาจจะแสวงหาวัตถุมงคลเพื่อให้กิจการค้านั้นเจริญ ก็เป็นมงคลตื่นข่าว เพราะตามความเป็นจริงแล้ว ตา หู จมูก ลิ้น กายที่จะกระทบกับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะที่ดีๆ ต้องเป็นกุศลวิบาก คือ เป็นผลของกุศลกรรมของตนเอง ไม่ใช่วัตถุอื่นที่สามารถเป็นปัจจัยทำให้ตาเห็นสิ่งที่ดี หูได้ยินเสียงที่ดี จมูกได้กลิ่นที่ดี ลิ้นได้รสที่ดี กายได้รับกระทบสัมผัสที่ดี แต่ผู้ที่มีกามุปาทาน เมื่อมีการติดยึดมั่นในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ย่อมเป็นผู้ที่ยังคงติดยึดถือมงคล ตื่นข่าวเพื่อที่จะได้บรรลุวัตถุกามเหล่านั้น ด้วยเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคจึงทรงเทศนาทิฏฐุปาทานเป็นลำดับต่อจากกามุปาทาน

    ถ้าใครยังถือมงคลตื่นข่าว ควรที่จะระลึกได้ทันทีว่า เป็นผู้ที่ยังติดในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะมาก และขณะนั้นเป็นทิฏฐุปาทาน เป็นความเห็นผิด เพราะว่าไม่ได้เข้าใจเรื่องของกรรม คือ กัมมัสสกตาญาณ จริงๆ

    สำหรับอุปาทานอีก ๒ อย่าง คือ สีลัพพตุปาทานและอัตตวาทุปาทาน พระผู้มีพระภาคทรงแสดงสีลัพพตุปาทานก่อน เพราะหยาบ โดยเหตุที่เพียงเห็นกิริยาที่ไม่ประกอบด้วยเหตุผลก็รู้ได้ว่าขณะนั้นเป็นสีลัพพตุปาทาน คือ การยึดมั่นในศีล ในพรต ในข้อประพฤติปฏิบัติที่ผิดซึ่งไม่ประกอบด้วยเหตุผล และพระผู้มีพระภาคทรงแสดงอัตตวาทุปาทานเป็นอันดับสุดท้าย เพราะว่าละเอียดกว่าสีลัพพตุปาทาน

    สำหรับอุปาทานโดยนัยของปฏิจจสมุปปาท มีตัณหาเป็นเหตุใกล้ ข้อความใน สัมโมหวิโนทนี ปฏิจจสมุปปาท วิภังคนิทเทส แสดงลักษณะของตัณหา และอุปาทาน มีข้อความว่า

    ลักษณะของตัณหา คือ

    เหตุลักขณา มีเหตุเป็นลักษณะ

    อภินันทนรสา มีความเพลินยิ่งเป็นรส คือ เป็นกิจ

    อติตติภาวปัจจุปัฏฐานา มีความไม่อิ่มในอารมณ์เป็นปัจจุปัฏฐาน คือ เป็นอาการปรากฏ

    เวทนาปทัฏฐานา มีเวทนาเป็นปทัฏฐาน

    ลักษณะของอุปาทาน คือ

    คหณลักขณัง มีความยึดถือเป็นลักษณะ

    อมุญจนรสัง มีความไม่ปล่อยเป็นรส

    ตัณหาทัฬหัตตทิฏฐิปัจจุปัฏฐานา มีความยึดมั่นด้วยตัณหา คือ กามุปาทาน และทิฏฐิ คือ อุปาทานที่เหลือ เป็นปัจจุปัฏฐาน

    ตัณหาปทัฏฐานัง มีตัณหาเป็นปทัฏฐาน

    ลักษณะที่ต่างกันของตัณหาและอุปาทาน โดยอุปมาก็เหมือนกับผู้ที่เหยียดมือออกไปรับขณะที่มีความต้องการสิ่งต่างๆ นั่นเป็นลักษณะของตัณหา และเมื่อรับอารมณ์ที่มาถึงแล้วก็จับไว้ไม่ปล่อย นั่นคือลักษณะของอุปาทาน

    ขณะที่มีความต้องการอยากจะได้สิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่เคยพอเลย คิดถึงมือที่ยื่นออกไปตลอดเวลาที่จะรับทุกขณะ ตั้งแต่เช้ามาจนกระทั่งถึงเดี๋ยวนี้ และลักษณะของอุปาทาน คือ ขณะใดที่ได้อารมณ์ใดแล้วก็จับไว้ไม่ปล่อย นั่นคือลักษณะของการยึดถือ

    สำหรับอกุศลเจตสิก ๑๔ ดวงที่ได้กล่าวถึงแล้ว โดยนัยที่เป็นอกุศลธรรม อกุศลเจตสิก ๓ ดวง คือ โมหเจตสิก ๑ โลภเจตสิก ๑ ทิฏฐิเจตสิก ๑ เป็นอาสวะ เป็นโอฆะ เป็นโยคะ

    อกุศลเจตสิก ๒ ดวง คือ โลภเจตสิกและทิฏฐิเจตสิก เป็นอุปาทาน

    สำหรับโลภเจตสิก ในอกุศลธรรม ๙ จำพวก คือ อาสวะ โอฆะ โยคะ อุปาทาน คันถะ นิวรณ์ อนุสัย สังโยชน์ และกิเลส โลภเจตสิกเป็นทุกอย่าง คือ เป็นทั้งอาสวะ โอฆะ โยคะ อุปาทาน และยังเป็นอกุศลธรรมจำพวกต่อไป คือ เป็นคันถะ เป็นนิวรณ์ เป็นอนุสัย เป็นสังโยชน์ เป็นกิเลส ไม่เว้นเลย

    สำหรับทิฏฐิเจตสิก เป็นอกุศลธรรม ๘ จำพวก คือ เป็นอาสวะ โอฆะ โยคะ อุปาทาน คันถะ อนุสัย สังโยชน์ และกิเลส แต่ไม่เป็นนิวรณ์ เว้นเฉพาะนิวรณ์

    สำหรับโมหเจตสิก เป็นอกุศลธรรม ๗ จำพวก คือ เป็นอาสวะ โอฆะ โยคะ นิวรณ์ อนุสัย สังโยชน์ และกิเลส แต่ไม่เป็นอุปาทานและคันถะ

    แสดงให้เห็นว่า โลภะมากที่สุด คือ ทั้ง ๙ จำพวก

    อกุศลธรรมจำพวกที่ ๕ คือ คันถะ

    ข้อความใน สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค คันถสูตร ข้อ ๓๓๙ แสดงว่า

    ธรรมเป็นคันถะเป็นไฉน

    คือ คันถะ ๔ อย่าง ได้แก่ อภิชฌากายคันถะ ๑ พยาปาทกายคันถะ ๑ สีลัพพตปรามาสกายคันถะ ๑ อิทังสัจจาภินิเวสกายคันถะ ๑

    ไม่ได้อยู่ที่อื่นเลย อยู่ที่ทุกคนที่ยังไม่ได้ดับกิเลสเป็นสมุจเฉท เพียงแต่ไม่รู้ลักษณะของอกุศลเจตสิกแต่ละประเภทซึ่งเกิดขึ้นว่า ในขณะนั้นเป็นอกุศลธรรมจำพวกไหน

    อัฏฐสาลินี ทุกนิกเขปกถา คันถโคจฉกะ พระบาลีแสดงคันถะ ข้อ ๑๑๔๐ และ ๗๓๖ มีข้อความว่า

    ธรรมที่ชื่อว่ากายคันถะ ด้วยอรรถว่า ร้อยรัดนามกาย คือ สืบต่อไว้ในวัฏฏะด้วยสามารถแห่งจุติและปฏิสนธิ

    เวลาที่พอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะอยู่เรื่อยๆ ไม่หยุด ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย เป็นทั้งอาสวะ เป็นโอฆะ เป็นโยคะ จนกระทั่งจับติดยึดแน่นเป็นอุปาทาน เมื่อจับติดยึดแน่น ก็เหมือนปมซึ่งรั้งหรือดึงไว้ไม่ให้ไปสู่ที่อื่น โลภะจึงเป็น อภิชฌากายคันถะ ซึ่งดับได้ด้วยอรหัตตมรรค ฉะนั้น ใครที่คิดว่าจะดับอภิชฌากายคันถะหรือโลภะ ให้ทราบว่า ละยากจริงๆ

    สำหรับโลภะในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ในกามอารมณ์ ๕ นั้น ละได้ด้วยอนาคามิมรรค แต่ถ้าพูดถึงอภิชฌากายคันถะซึ่งไม่ได้แยกความยินดีพอใจในกามและในภพ อรหัตตมรรคจึงละอภิชฌากายคันถะได้

    เพราะฉะนั้น อย่าแสวงหาวิธีอื่นที่จะละความยินดีพอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ถ้ายังไม่รู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง

    สำหรับโทสเจตสิกเป็น พยาปาทกายคันถะ ดับได้ด้วยอนาคามิมรรค

    เวลาโกรธ จะทำความดีได้ไหม บางทีคิดที่จะให้อภัย แต่ให้อภัยได้ไหมในขณะที่กำลังโกรธ หรือบางคนแม้แต่จะแผ่เมตตาหรืออุทิศส่วนกุศลให้ ขณะที่กำลังโกรธก็อาจจะเลือกบุคคล อุทิศให้ผู้นั้นผู้นี้ แต่เมื่อนึกถึงผู้ที่ทำให้มีความขุ่นเคืองใจ ก็ลองพิจารณาดูว่า สามารถที่จะแม้อุทิศส่วนกุศลให้ได้ไหม ไม่ได้ทำอะไรที่มากกว่านั้นเลย ทำกุศลแล้ว ซึ่งกุศลนั้นสามารถอุทิศให้กับผู้อื่นได้อนุโมทนาได้ แต่ก็ลองพิจารณาดูว่า ถ้าเกิดโทสมูลจิต พยาปาทกายคันถะ ย่อมดึงรั้งไว้ไม่ให้ไปสู่กุศลธรรมทั้งหลาย

    สำหรับสีลัพพตปรามาสกายคันถะใน นิกเขปกัณฑ์ คันถโคจฉกะ ข้อ ๗๓๙ มีข้อความว่า

    สีลัพพตปรามาสกายคันถะเป็นไฉน

    ความเห็นว่า ความบริสุทธิ์ย่อมมีได้ด้วยศีล ด้วยพรต ด้วยศีลพรตของ สมณพราหมณ์ในภายนอกแต่ศาสนานี้ ดังนี้ ทิฏฐิ ความเห็นไปข้างทิฏฐิ ป่าชัฏคือทิฏฐิ กันดารคือทิฏฐิ ความเห็นเป็นข้าศึกต่อสัมมาทิฏฐิ ความผันแปรแห่งทิฏฐิ เครื่องผูกคือทิฏฐิ ความยึดถือ ความยึดมั่น ความตั้งมั่น ความถือผิด ทางชั่ว ทางผิด ภาวะที่ผิด ลัทธิเป็นบ่อเกิดแห่งความพินาศ การถือโดยวิปลาส มีลักษณะเช่นว่านี้อันใด นี้เรียกว่า สีลัพพตปรามาสกายคันถะ

    ข้อปฏิบัติที่ผิดทั้งหมด ด้วยศีลพรตของสมณพราหมณ์ในภายนอกแต่ศาสนานี้เป็น สีลัพพตปรามาสกายคันถะ

    สำหรับ อิทังสัจจาภินิเวสกายคันถะ ใน ธรรมสังคณีปกรณ์ นิกเขปกัณฑ์ คันถโคจฉกะ ข้อ ๗๔๐ แสดงว่า

    อิทังสัจจาภินิเวสกายคันถะเป็นไฉน

    มิจฉาทิฏฐิแม้ทุกอย่าง เว้นสีลัพพตปรามาสกายคันถะ จัดเป็นอิทังสัจจาภินิเวสกายคันถะ

    สำหรับกายคันถะ เพิ่มอกุศลเจตสิก ๑ ดวง คือ โทสเจตสิก เพราะว่าอาสวะ โอฆะ โยคะ อุปาทาน ได้แก่ โลภเจตสิก โมหเจตสิก ทิฏฐิเจตสิก แต่กายคันถะ นอกจากโลภเจตสิก โมหเจตสิก และทิฏฐิเจตสิกแล้ว ก็เพิ่มโทสเจตสิกที่เกิดกับ โทสมูลจิต ๒ ดวง

    ในพระไตรปิฎกแสดงเรื่องของปรามาสไว้มาก ถ้าเป็นการเข้าใจผิดในข้อปฏิบัติ แม้แต่ในเรื่องของกุศลขั้นต่างๆ ตั้งแต่กามาวจรกุศล รูปาวจรกุศล หรืออรูปาวจรกุศลก็ตาม ถ้าเข้าใจว่าเป็นการเจริญที่จะทำให้ได้รู้แจ้งอริยสัจธรรม หรือดับกิเลสได้ นั่นเป็นปรามาสหรือปรามาสะ คือ การลูบคลำข้อประพฤติปฏิบัติที่ผิด ไม่ได้รู้ตามความเป็นจริง เพราะว่า ความเห็นไปข้างทิฏฐิ ป่าชัฏคือทิฏฐิ ความผันแปรแห่งทิฏฐิ แม้แต่เพียงความผันแปรไปที่ไม่ตรงจริงๆ ก็เป็นสีลัพพตปรามาส

    . คันถะ อาจารย์บอกว่าเป็นเครื่องร้อยรัด รัดรึง รัดแน่น แต่โยคะ โอฆะ ก็ร้อยรัดเหมือนกัน วัดกันที่ตรงไหน

    ท่านอาจารย์ โยคะ ประกอบไว้ อาสวะก็หมักดองและไหลไปเรื่อยๆ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เมื่อเป็นขณะอย่างนั้น ก็เหมือนกับการจมลงสู่โอฆะ ลักษณะของกิเลส ถ้าใครมีอกุศลธรรมในวันหนึ่งเต็มไปด้วยโลภะ โทสะ โมหะ ไม่มีทางที่จะออกไปจากมหาสมุทรของสังสารวัฏฏ์ได้เลย เพราะไม่สามารถพ้นจากอกุศลธรรมด้วยอกุศลธรรม เพราะฉะนั้น อาสวะนั่นเองเป็นโอฆะ คือ เหมือนกับห้วงน้ำมหาสมุทรที่ทำให้สัตว์จมลงทุกขณะ และโยคะ คือ เมื่อจมอยู่ในมหาสมุทรย่อมประกอบด้วยน้ำล้อมรอบ คนที่จมน้ำ เบื้องบนก็น้ำ ข้างใต้ก็น้ำ ข้างขวาก็น้ำ ข้างซ้ายก็น้ำ ล้อมรอบด้วยน้ำ นั่นคือโยคะ

    เพราะฉะนั้น อาสวะก็ดี โอฆะก็ดี โยคะก็ดี ได้แก่ธรรมประเภทเดียวกัน แต่แสดงลักษณะของการที่อกุศลเกิดขึ้นครั้งหนึ่ง หมักดองมากจนกระทั่งไหลท่วมท้นออกไปทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เป็นอาสวะ และเมื่อเป็นอย่างนั้นก็จมลงทุกที ไม่มีทางที่จะขึ้นจากมหาสมุทรของวัฏฏะ เพราะว่าประกอบไว้ด้วยน้ำทั้งข้างบน ข้างล่าง ข้างซ้าย ข้างขวา

    ผู้ฟัง ขณะนี้เราก็อยู่ตรงนั้น ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ให้รู้ตามความเป็นจริง ชีวิตตามความเป็นจริงเป็นอย่างนี้ ถ้าไม่อุปมาจะไม่ทราบเลยว่า กำลังจมอยู่ในมหาสมุทรของสังสารวัฏฏ์ ซึ่งไม่มีทางที่จะพ้นไปได้ ถ้าข้อปฏิบัติไม่ถูก ก็ยังจม จมไปเรื่อยๆ แต่ละครั้งแต่ละขณะที่โลภะเกิด อวิชชาเกิด ทิฏฐิเกิด

    สำหรับคันถะก็เพิ่มพยาปาท เพราะฉะนั้น ให้เห็นสภาพที่ต่างกันของกายคันถะว่า เมื่อเป็นอาสวะ เป็นโอฆะ เป็นโยคะ เป็นอุปาทานที่ทำให้ติด เมื่อทำให้ติดก็เหมือนกับปมซึ่งทำให้ดึงหรือรั้งไว้ สิ่งที่ยึดติดแน่นแล้วก็เป็นกายคันถะด้วย แต่ กายคันถะนั้น เพิ่มเจตสิกอีกประเภทหนึ่ง คือ โทสเจตสิก ซึ่งเกิดกับโทสมูลจิตเป็น พยาปาทกายคันถะ

    อกุศลธรรมจำพวกที่ ๖ คือ นิวรณ์

    สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค นิวรณสูตร ข้อ ๓๔๕ แสดงนิวรณ์ ๕ คือ

    กามฉันทนิวรณ์ ๑ พยาบาทนิวรณ์ ๑ ถีนมิทธนิวรณ์ ๑ อุทธัจจกุกกุจจนิวรณ์ ๑ วิจิกิจฉานิวรณ์ ๑

    อกุศลธรรมที่ชื่อว่านิวรณ์ ด้วยอรรถว่า เพราะกางกั้น คือ รัดรึงจิตไว้

    ล้วนแต่รัดรึงไว้ แต่ก็เพิ่มกำลังหรือลักษณะอาการขึ้น เช่น นอกจากจะรัดรึงติดแน่นแล้ว ยังกางกั้นไว้อีกด้วย นั่นคือลักษณะของนิวรณธรรม

    ธรรมสังคณีปกรณ์ อภิธรรมปิฎก นิวรณโคจฉกะ ข้อ ๙๓๑ แสดงนิวรณ์ ๖ คือ

    กามฉันทนิวรณ์ ได้แก่ โลภเจตสิกที่เกิดในโลภมูลจิต ๘ ดวง

    พยาปาทนิวรณ์ ได้แก่ โทสเจตสิกที่เกิดกับโทสมูลจิต ๒ ดวง

    ถีนมิทธนิวรณ์ ได้แก่ ถีนเจตสิก มิทธเจตสิก ที่เกิดกับอกุศลสสังขาริก ๕ ดวง

    อุทธัจจกุกกุจจนิวรณ์ ได้แก่ อุทธัจจเจตสิก กุกกุจจเจตสิก ซึ่งอุทธัจจเจตสิกที่เป็นนิวรณ์เกิดกับโมหมูลจิตอุทธัจจสัมปยุตต์ และกุกกุจจนิวรณ์ ได้แก่ กุกกุจจเจตสิกที่เกิดกับโทสมูลจิต ๒ ดวง

    วิจิกิจฉานิวรณ์ ได้แก่ วิจิกิจฉาเจตสิกที่เกิดกับโมหมูลจิตวิจิกิจฉาสัมปยุตต์

    อวิชชานิวรณ์ ได้แก่ โมหเจตสิกที่เกิดกับอกุศลจิตทุกดวง

    นี่ก็เพิ่มเจตสิกขึ้นจากกายคันถะ คือ มีทั้งโลภเจตสิก โทสเจตสิก ถีนเจตสิก มิทธเจตสิก อุทธัจจเจตสิก กุกกุจจเจตสิก วิจิกิจฉาเจตสิก และโมหเจตสิก

    กุกกุจจเจตสิกจะเห็นได้ว่า ไม่เป็นอกุศลธรรมจำพวกอื่นเลย นอกจากเป็นนิวรณ์จำพวกเดียวเท่านั้น

    . ทำไมบางครั้งทรงแสดงนิวรณ์ ๕ และบางครั้งทรงแสดงนิวรณ์ ๖

    ท่านอาจารย์ สำหรับการอบรมเจริญสมถภาวนาซึ่งประกอบด้วยองค์ ๕ เป็นธรรมที่เป็นปฏิปักษ์กับนิวรณ์ ๕ เพราะฉะนั้น โดยมากจะแสดงนิวรณ์ ๕ เพื่อให้เห็นว่า ธรรม ๕ ประการนี้ เป็นปฏิปักษ์กับธรรม ๕ ประการซึ่งเป็นองค์ฌาน ๕

    แต่การเจริญปัญญา มีอวิชชานิวรณ์เป็นเครื่องกางกั้นด้วย เพราะถ้าเป็นผู้ที่ ไม่รู้อะไรเลย จะอบรมเจริญปัญญาได้อย่างไร และไม่รู้ด้วยว่าเป็นผู้ที่ไม่รู้ เพราะฉะนั้น ก็ยิ่งซ้ำซ้อนเข้าไปอีก เมื่อเป็นผู้ที่ไม่รู้ และไม่รู้ว่าไม่รู้ จึงเป็นนิวรณ์ที่กั้นการอบรมเจริญข้อปฏิบัติที่จะทำให้รู้แจ้งอริยสัจธรรม ๔

    ส่วนใหญ่จะมีผู้ที่ไม่รู้ และไม่รู้ว่าไม่รู้ ทำอะไรกันหลายอย่าง แต่ถ้าถามถึงเหตุผล หรือถามถึงปัญญาว่า ทำอย่างนั้นแล้วปัญญารู้อะไร ก็ตอบไม่ได้สัก อย่างเดียว ถ้าเป็นข้อปฏิบัติที่ไม่ตรง ในขณะนั้นผู้ที่ไม่รู้ก็ไม่รู้เลยว่า การอบรมเจริญปัญญาที่จะดับกิเลสได้นั้นปัญญารู้อะไร เพราะฉะนั้น ย่อมเป็นธรรมที่เป็นเครื่องกั้น สำหรับการอบรมเจริญปัญญา แต่ถ้าเป็นการอบรมเจริญสมถภาวนา นิวรณธรรม ๕ เป็นธรรมที่ตรงกับข้ามกับองค์ของฌาน ๕

    อกุศลธรรมจำพวกที่ ๗ คือ อนุสัย ๗

    สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค อนุสยสูตร ข้อ ๓๔๑ แสดงว่า อนุสัยมี ๗

    อนุสัย ๗ คือ กามราคะ ๑ ปฏิฆะ ๑ ทิฏฐิ ๑ วิจิกิจฉา ๑ มานะ ๑ ภวราคะ ๑ อวิชชา ๑

    อนุสัยเป็นกิเลสที่ละเอียด และเมื่อเกิดขึ้นก็นอนเนื่องอยู่ในจิต เพราะไม่ได้มีปัญญาที่จะดับกิเลสนั้น เพราะฉะนั้น กิเลสก็ยังคงนอนเนื่องอยู่ในจิตต่อๆ ไปได้


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 20
    24 ต.ค. 2566

    ซีดีแนะนำ