ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1889
ตอนที่ ๑๘๘๙
สนทนาธรรม ที่ โรงแรมเอเชี่ยน หาดใหญ่ จ.สงขลา
วันที่ ๒๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๗
ท่านอาจารย์ ก็เหมือนสภาพธรรมเดี๋ยวนี้นะคะ เกิดดับเร็วมากเหมือนไม่เกิดไม่ดับเลย เพราะฉะนั้น ตามความเป็นจริงก็คือว่ากว่าจะได้ฟังกว่าจะได้เข้าใจกว่าจะได้ค่อยๆ เข้าใจละเอียดขึ้นจนกระทั่งรู้ว่าทุกคำเป็นคำจริงเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้น ธรรมะไม่ใช่ขณะอื่นเลยนะคะ เมื่อกี้นี้หมดแล้วก็หมายความว่าธรรมที่มีจริงเมื่อกี้นี้ผ่านไปโดยไม่รู้โดยไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้น ตั้งแต่เกิดมาอายุเท่าไหร่เนี่ยความไม่รู้ก็มากเท่านั้นใช่มั้ยคะเพราะว่าเกิดมาแล้วก็ไม่รู้ทั้งนั้นเลยทุกขณะจิต เพราะฉะนั้น ใครก็ตามที่เริ่มได้ยินได้ฟังนะคะ ก็จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งแต่ก็ไม่ได้อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาต้องเป็นความที่เห็นประโยชน์จริงๆ นะคะ ซึ่งบางคนก็เมื่อได้เข้าใจธรรมะแล้วก็ถามว่าเอาอะไรมาแลกยอมไหม สมบัติทั้งจักรวาลนะคะ เอามาแล้วก็ให้สิ่งที่ได้เข้าใจแล้วหมดไปกลายเป็นไม่รู้เหมือนเดิมเนี่ยจะเอาไหมนี่คือผู้ที่ได้เห็นประโยชน์จริงๆ นะคะ ว่าจากไปด้วยความไม่รู้ และก็ไม่รู้ไปทุกชาติกับจากไปด้วยกันได้สาระจากการที่เกิดมาแล้ว จะสุขจะทุกข์ยังไงก็ได้รับประโยชน์จากการที่ว่ามีความเข้าใจถูกต้องซึ่งไม่สามารถจะรู้ได้ด้วยตัวเองนอกจากจะบำเพ็ญบารมีถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายากมากเพราะอะไรคะ แม้แต่เพียงเป็นผู้ฟังก็ยาก บางคนก็ฟังไม่เห็นลำบากเลยใช่ไหมคะเปิดวิทยุก็ได้ฟังมาที่นี่ก็ได้สนทนาธรรมก็ยังยากที่จะมาที่จะได้ยินได้ฟัง
เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้จริงๆ ค่ะทุกขณะนี้นะคะ เป็นประโยชน์อย่างยิ่งที่เรามีโอกาสได้พบกันที่บ้านธัมมะ พูดกันก็เรื่องธรรมเพื่อที่จะได้เข้าใจธรรมคือสิ่งที่มีจริงแม้ว่าจะไม่อยู่ที่นี่ไม่อยู่บ้านนี้เดี๋ยวนี้แต่ก็มีสิ่งที่มีจริงซึ่งไม่เข้าใจเลยแต่ว่าเมื่อไหร่ที่มาที่บ้านธัมมะมีโอกาสได้สนทนาธรรมกันก็จะเริ่มสะสม ความเข้าใจธรรม มีใครที่นี่ยากจะดับกิเลสบ้างไหมคะ หนึ่งเดียวนะคะ มีใครที่นี่ที่รู้ว่าไม่เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ หน้าเข้าใจมากนี่ก็แสดงให้เห็นว่านะคะ แม้แต่กิเลสคืออะไร เราได้ยินนะคะ แล้วก็ถ้ายังไม่เข้าใจจริงๆ นะคะ ยาก
เพราะฉะนั้น ให้เห็นกำลังของความไม่รู้ เพียงได้ยินคำว่านิพพานเมื่อกี้นี้เลี่ยงไม่ใช้คำว่านิพพานแต่ใช้คำว่าใครอยากจะดับกิเลสได้เพราะว่าเป็นสิ่งที่พอจะได้ยินได้ฟัง และเข้าใจว่ากิเลสคืออะไร และมีประโยชน์ไหมถ้าไม่มีเลยเนี่ย แสนสบายแสนสุขไม่เดือดร้อนเลยจริงๆ แต่เพราะเหตุว่าอยู่กับกิเลสจนชินมากเลยค่ะไม่มีกิเลสอยู่ไม่ได้ ตรงกันข้ามกันแล้วใช่ไหมคะคนที่มีกิเลสถ้าไม่มีกิเลสอยู่ไม่ได้แต่คนที่เห็นโทษของกิเลสเนี่ยก็จะรู้ว่าเมื่อไหร่ไม่มีกิเลสเมื่อนั้น ไม่มีความสุขใดที่จะเทียบเท่าได้เลยเพราะว่าจริงๆ แล้วไม่มีภาระค่ะ
ทุกคนเนี่ยไม่รู้เลยว่าเกิดมาเนี่ยมีภาระติดตัวมานะคะ ต้องเห็นต้องทำงาน และต้องได้ยิน ตอนที่เกิดมาครั้งแรกไม่เห็นไม่ได้ยินไม่รู้อะไรเลยแม้กระนั้นก็ยังต้องเกิดเป็นอย่างนั้น เนี่ยค่ะคือความยากความลึกซึ้งของธรรมนะคะ ซึ่งอย่าเพิ่งไปคิดถึงเรื่องที่จะหมดกิเลสวันนี้ แต่ให้รู้ความจริงว่าสิ่งที่มีขณะนี้เป็นสิ่งซึ่งยากลึกซึ้งที่สมควรอย่างยิ่งที่จะเริ่มฟังเพราะเหตุว่ากว่าที่จะได้เข้าใจก็อีกนานแล้วถ้าไม่มีความเข้าใจที่เพิ่มขึ้นกิเลสแม้สักนิดก็หมดไม่ได้เพราะเหตุว่าสะสมอยู่เรื่อยๆ นะคะ ตั้งแต่ลืมตามานี่ใครรู้บ้างคะกิเลสแค่ไหน ถ้าไม่ได้ยินไม่ได้ฟังจะไม่รู้เลยค่ะตั้งแต่ลืมตารู้อะไรเห็นก็เห็นได้ยินก็ได้ยินคิดก็คิดแต่ไม่รู้ตามความเป็นจริงเลยนะคะ ว่าเป็นแต่เพียงสิ่งที่เกิดขึ้นเปลี่ยนแปลงไม่ได้ต้องเป็นอย่างนั้นแต่ว่าไม่เหลือเลย คิดหมดไหมคะ คิดนิดเดียวหมด คิดเรื่องอื่นอีกแล้วๆ ทั้งวันไม่มีอะไรเหลือแล้วจะมีอะไรที่เป็นสาระแล้วถ้าใช้คำว่าดับไม่เหลือเลยนะคะ ต้องเข้าใจให้ลึกซึ้งกว่านั้นว่าไม่ได้กลับมาอีกเลยสักอย่างเดียว ไม่มีอะไรที่จะกลับคืนมาได้เลยนะคะ ชีวิตของพระโพธิสัตว์แต่ละพระชาติ เคยเป็นทั้งคนยากจนเข็ญใจขอทานไร้ทรัพย์ จนกระทั่งถึงเป็นพระเจ้าแผ่นดินมีสมบัติมากมายนะคะ หรือแต่ละท่านที่นี่ก็เคยเป็นมาแล้วทั้งนั้น แต่ก็กลับไปเป็นอย่างนั้นอีกไม่ได้เลยมีแต่ไปไปไปเรื่อยๆ ชาตินี้เป็นคนนี้จากชาติก่อนไปคือมาสู่ชาตินี้ และจากชาตินี้ก็ไปสู่ชาติอื่นแล้วก็ไปต่อไปไม่มีวันจบ
คิดดูนะคะ ถ้าไม่มีความเข้าใจว่าขณะนี้ประโยชน์อะไร ที่เห็น และชอบ เพราะมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นสองอย่าง สิ่งที่น่าพอใจอย่างหนึ่งกับสิ่งที่ไม่น่าพอใจอีกอย่างหนึ่ง ถ้าเป็นสิ่งที่น่าพอใจ ใครจะไม่ให้มีความติดข้องต้องการในสิ่งนั้นได้ เพราะฉะนั้น เมื่อวานนี้ที่ถามว่าอยากได้อะไรบ้าง เห็นก็อยากแล้วค่ะ อยากเห็นใช่ไหมคะแล้วก็มีสิ่งที่ถูกให้เห็นด้วย พอได้ยินก็อยากแล้วมีใครบ้างที่ไม่อยากได้ยิน ได้ยินก็มีเสียงปรากฏ ถ้าไม่มีเสียงจะได้ยินไปทำไมได้ยินก็เกิดไม่ได้ ได้ยินก็ไม่มี แต่ทันทีทันใดที่เสียงปรากฏ ก็ได้ยินแล้วอยากได้ยินด้วย อยากได้ยินต่อไปหมดเลยได้ยินแล้วครั้งหนึ่งก็ต้องอยากได้ยินต่อไปอีกเรื่อยๆ
เพราะฉะนั้น ทั้งวันอยากเห็น อยากได้ยินอยากได้กลิ่น อยากลิ้มรสอร่อยๆ อยากรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสสบายๆ นะคะ แล้วก็คิดนึกแต่เรื่องพวกนี้ค่ะไม่ได้คิดนึกเกินเรื่องพวกนี้ไปเลย แค่นี้เองเมื่อวานนี้เป็นอย่างนี้หรือเปล่าคะ หรือไม่เหมือน เหมือนวันนี้เป็นอย่างนี้เหมือนเมื่อวานนี้คนละเรื่องจิตที่เห็นคนละขณะไม่ได้รู้ตัวเลยนะคะ เห็นเมื่อวานเนี่ยไม่ใช่เดี๋ยวนี้เลย แล้วเห็นเมื่อวานนี้ไปไหนอยู่ไหนกลับมาได้ไหมไม่มีอะไรที่จะกลับมาเลย
เพราะฉะนั้น ทุกคนจะไม่พ้นจากความโศกเศร้าเสียใจเป็นทุกข์ เดือดร้อนเมื่อไม่ได้สิ่งที่ต้องการ เคยร้องไห้ไหมคะ บางคนร้องทุกคืนก็มีใช่ไหมคะแล้วแต่ชีวิตที่จะลำบากเรียกว่าจะเป็นยังไงก็บังคับบัญชาไม่ได้ เพราะฉะนั้น ธรรมทุกคำที่ได้ยินนะคะ เป็นความจริงในชีวิตประจำวันซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าแม้แต่การเกิดก็บังคับไม่ได้ การเห็นบังคับไม่ได้ เสียงปรากฏแล้ว เห็นไหมคะ กร๊อบแกร๊บไม่ได้ตั้งใจที่จะได้ยินเลยสักนิดก็ได้ยินแล้วนะคะ
เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างถ้ามีความเข้าใจจริงๆ นะคะ จะรู้จักพระคุณของพระรัตนตรัยคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีแสนยาก และทุกคนไม่สามารถที่จะได้ถึงการเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะน้อยมากเพราะยากที่สุดในบรรดาสิ่งที่ยากทั้งหลายนะคะ แล้วก็ทรงพระมหากรุณาแสดงพระธรรมให้เราซึ่งไม่สามารถที่จะมีบารมี ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ก็สามารถจะเป็นผู้ฟังเป็นสาวก แต่พอฟังแล้วก็รู้เลยค่ะไม่มีอะไรที่จะยากลึกซึ้งละเอียดเท่าแต่ละคำที่ได้ยินแต่ไม่ใช่เรื่องท้อถอยนะคะ เพราะเป็นสิ่งที่มีจริง แล้วทำไมจะรู้ไม่ได้ ในเมื่อมีจริงสิ่งที่ไม่มีจริงสิคะจะไปหามารู้ได้ยังไงในเมื่อไม่มี แต่สิ่งนี้มีทุกวัน ต้องไปซื้อไปหาหรือเปล่า ไม่ต้องเลยใช่ไหมคะมีแล้วก็ไม่รู้
เพราะฉะนั้น เมื่อสิ่งนี้มีจริง และสามารถที่จะเข้าใจได้เพียงแค่ฟังลำบากมั้ยคะฟัง ใครลำบากฟังบ้างฟังเรื่องอื่นเยอะแยะไม่เห็นลำบากเลยสนทนากันหลายเรื่องไม่ลำบากชอบเรื่องที่สนทนาบ้างไม่ชอบบ้างก็ไม่ลำบากก็ยังพูดกันคุยกันแล้วก็เป็นเรื่องธรรมดาแต่
เพราะฉะนั้น การฟังจริงๆ ฟังไม่ลำบาก แต่ศรัทธาด้วยการเห็นประโยชน์ รู้ประโยชน์ว่าฟังอะไรแล้วจะมีประโยชน์ในชีวิต ซึ่งใครก็ให้ไม่ได้เลยนะคะ นอกจาก พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ที่เรากล่าวอริยสาวิตรีนะคะ ซึ่งมาจากภาษาบาลีว่าอะ ริ ยะ สา วิ ติ เป็นยอดของคำฉันท์ของพราหมณ์ซึ่งพวกพราหมณ์ เขามีพระเวทมีคำฉันท์ต่างๆ ตามศาสนาลัทธิที่สืบต่อกันมา ยอดของคำฉันท์ก็คือว่าก่อนที่จะกล่าวถึงข้อความอื่นต้องกล่าวคำนี้ก่อนเหมือนชาวพุทธ
เพราะฉะนั้น อริยสาวิตรีหรือว่า อะ ริ ยะ สา วิ ติ ในภาษาบาลีก็คือก่อนที่จะได้ฟังพระธรรมก็มีการบูชา คุณพระรัตนตรัยเพราะว่าฟังใครต้องไม่ลืมนะคะ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เพราะฉะนั้น ขณะนี้ค่ะก็กำลังจะได้ยินได้ฟังสิ่งที่ประเสริฐที่สุดทุกคำคือพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแต่ละคำอย่าเผินแล้วก็เมื่อเราได้พบกันแล้วนก็มีโอกาสที่จะสนทนาจนกระทั่งแต่ละคนได้รับประโยชน์คือเข้าใจจริงๆ เป็นการสนทนาเพื่อต้องการรู้ความจริงเข้าใจความจริง
เพราะเหตุว่าถ้าเข้าใจคำหนึ่งถูกต้อง คำอื่นๆ ก็เริ่มที่จะเข้าใจถูกต้องด้วยแต่ว่าถ้าผ่านความเข้าใจแม้เพียงคำเดียว ประมาทผิวเผินคำต่อไปก็สับสนเลื่อนลอยไม่ชัดเจน เพราะฉะนั้น แต่ละคำมีสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ซึ่งแต่ละคำหมายความถึงสิ่งที่มีจริงๆ เพราะฉะนั้น ก็สามารถที่จะสนทนาไตร่ตรองแล้วก็เข้าใจได้แต่ต้องไม่ลืมธรรมคือสิ่งที่มีจริงแต่ชาวโลก ไม่สามารถเข้าใจได้แต่มีผู้ที่มีปัญญาเห็นประโยชน์บำเพ็ญความเพียรจนกระทั่งรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงทุกขณะได้ทรงแสดง
เพราะฉะนั้น พระธรรมไม่ใช่สิ่งอื่นนอกจากเดี๋ยวนี้ค่ะการศึกษาธรรมต้องรู้ว่าศึกษาสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ แต่ละคำที่จดจารึกสืบต่อกันมาเป็นพระไตรปิฏกก็กล่าวถึงสิ่งที่มีจริง ที่ทำให้สามารถเข้าใจได้ เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ว่าเราจะต้องไปเปิดหนังสือหรือว่าไปเตรียมหาหน้านั้นหน้านี้นะคะ แต่ว่าสิ่งที่มีจริงทุกขณะทรงแสดงโดยละเอียด ๔๕ พรรษา เพราะฉะนั้น ก็มีครบถ้วนในพระไตรปิฏกซึ่งไม่ง่ายเลยที่จะได้ยินได้ฟัง ใช่ไหมคะได้ยินได้ฟัง และง่ายไหมที่จะเข้าใจ
เพราะฉะนั้น ทุกคนก็อดทนเป็นบารมีที่วันหนึ่งจะเข้าใจสิ่งที่มีจริงอย่างที่ได้ยินได้ฟัง และเป็นพระมหากรุณาที่แสดงให้เราได้สามารถรู้ความจริงซึ่งใช้คำว่าอริยสัจจะ เป็นความจริงที่ประเสริฐกระทำให้บุคคลนั้นสามารถที่จะดับกิเลสหมายความว่ากิเลสที่ดับแล้วไม่เกิดอีกไม่ใช่ล่ะชั่วคราวไม่มีชั่วคราว ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ไม่สามารถที่จะออกจากสังสารวัฎหรือว่ารับกิเลสได้ทั้งหมดนะคะ
ผู้ฟัง กราบท่านอาจารย์ในการฟังธรรมให้เข้าใจความเป็นจริงนะคะ ใหม่สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ยากก็เลยนึกถึงที่อาจารย์พูดถึงพระพุทธองค์ได้แสดงธรรมให้เราเนี่ยผ่านกว่าจะมาถึงตั้ง สี่อสงไขยแสนกัปก็เลยอยากให้ ผู้อื่นได้ทราบถึงสี่อสงไขยแสนกัปด้วยค่ะว่าลึกซึ้งขนาดไหนคะ
ท่านอาจารย์ สำหรับดิฉันเองนานมาก แค่ไหนสำหรับตัวดิฉันเองนานมากใครจะถามอะไรก็ต้องตอบว่านาน ถามอีก ๕,๐๐๐ ปีข้างหน้าก็ต้องบอกว่านาน คำนี้คำเดียว แสดงให้เห็นถึงว่านานจริงๆ แล้วเราจะมานั่งนับไหม วันนี้เท่าไรละ ถึงกัปหรือยัง แล้วเมื่อไหร่จะถึงตายแล้วยังไม่ถึงใช่ไหม
เพราะฉะนั้น ก็เป็นสิ่งซึ่งเป็นแต่เพียงคำที่แสดงความยาวนานมากของกาลเวลาซึ่งไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุดแต่ข้อสำคัญคือเราพูดถึงกัปเรารู้ไหมว่าอะไร ถ้าไม่มีสภาพธรรมเกิดดับจะมีกาลเวลาไหม แค่นี้เราก็ไม่รู้แล้ว ไม่มีเลยแล้วจะไปนับกาลเวลาได้ยังไงใช่ไหมแต่เพราะมีสภาพธรรมที่เกิดแล้วดับจึงสามารถนับได้ หนึ่งขณะจิต ใช่ไหมคะกี่นาที กี่วินาทีใครนับ แล้วเราก็จะไปพูดถึงกัปแต่ก็เป็นที่สงสัยนะคะ เพราะว่าแม้แต่กาลเวลายาวนาน มากก็มีคนที่อยากจะนับยาวนานสักแค่ไหน ตายแล้วก็ยังไม่ถึงกัป ขณะเดียวกันได้ไหมคะ ถ้าเกิดอีกเกิดเป็นอะไรก็ไม่รู้เกิดแล้วตายไปอีกก็ยังไม่ถึงกัป และอยากรู้ตอนไหนที่จะรู้ได้ว่าถึงกัปแล้วหรือยังเดี๋ยวนี้ถึงกัปแล้วหรือยัง ไม่ถึงใช่ไหมคะแต่ถึงก็ได้ถอยไปสิใช่ไหมคะ ถอยไปแล้วถึงแน่ๆ จะเอากัปไหนก็ได้ใช่ไหมคะแต่ที่พูดถึงว่ายังไม่ถึงคือกัปข้างหน้า
เพราะฉะนั้น การฟังจริงๆ เนี่ยต้องรู้ว่าเรามีความเข้าใจระดับไหนถ้าจะตอบอย่างนี้หมายความว่าเราพูดถึงกัปข้างหน้าจากนี้ไปใช่ไหม แต่ถ้าบอกว่าถึงแล้วก็คือย้อนถอยไปสิก็ถึงแล้วเท่านั้น และถึงกัปจะเอากัปไหนก็ได้ใช่ไหมคะ
เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้วประโยชน์อยู่ที่ ความเข้าใจ นี่แค่คำธรรมดาแต่ธรรมเนี่ยต้องรู้ว่าศึกษาธรรมคือเดี๋ยวนี้ไม่ใช่อยู่ในหนังสือเลยถ้าพูดถึงจิตต้องจิตเดี๋ยวนี้ ถ้าพูดถึงเจตสิกเป็นสภาพรู้ซึ่งเกิดกับจิตก็ต้องเดี๋ยวนี้ พูดถึงรูปก็ต้องเดี๋ยวนี้ เพราะอะไร เมื่อกี้นี้หมดแล้ว จะตามไปรู้สิ่งที่หมดไปเมื่อกี้นี้ไม่ได้หรือเมื่อกี้แม้นิดเดียวก็หมดแล้ว เพราะฉะนั้น ความไม่เที่ยงความเล็กน้อยเนี่ยทำให้รู้ว่ากว่าจะเข้าใจจริงๆ ก็ไม่ต้องไปคำนึงถึงเรื่องของกาลเวลาแต่ควรรู้ว่าสิ่งที่มีจริงที่ได้ยินได้ฟังนานไหมกว่าจะเข้าใจว่าเห็นไม่ใช่ของใคร ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่เรา แต่ว่าเป็นธาตุซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยเห็นแล้วดับ มิฉะนั้น ก็จะเป็นเราเห็น นี่ค่ะนิดเดียวแค่นี้ที่เห็นยังยากไม่ได้มีแต่เฉพาะเห็น ตลอดชีวิตนี้มากมายทุกอย่างถ้าไม่รู้จริงๆ ทั้งหมดไม่มีทางที่จะละความสงสัย ไม่มีทางที่จะคลายการยึดถือสภาพนั้นว่าเป็นเราเช่นเห็นเดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นเราเห็นถ้าปัญญาไม่ถึงระดับที่สามารถที่จะรู้ความจริงสิ่งที่ปรากฏทางตาแค่คำจริงสั้นๆ เป็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ จริงไหมแค่หลับตาพิสูจน์แล้ว จิตเห็นไม่เกิดสิ่งที่ปรากฏขณะนี้จะปรากฏไม่ได้เลยแค่นี้ก็ยังยาก
เพราะฉะนั้น ยิ่งกว่าอะไรอีกเพราะว่าเราสะสมความไม่รู้มานานสุดที่จะประมาณได้ กี่กัปนะคะ ที่ไม่รู้มา พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าหลังจากที่ได้ทรงรับคำพยากรณ์จาก พระพุทธเจ้าทรงพระนามทีปังกรเมื่อครั้งที่พระองค์เป็น สุเมธดาบสเป็นพระโพธิสัตว์ พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าทีปังกรทรงพยากรณ์ว่าอีกสี่อสงไขยแสนกัป สุเมธะดาบสจะได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่าโคตมะ ขณะนั้นก็มีเห็น สุเมธะก็เห็น ได้ยินแต่ยังไม่รู้ความจริงของเห็นได้ยินซึ่งเห็นมาแล้วสี่อสงไขยแสนกัปหลังจากที่ได้รับคำพยากรณ์ไม่รวมถึงก่อนหน้านั้นด้วย
เพราะฉะนั้น ในสังสารวัฎที่ยาวนานมาก ที่จะมีความรู้จริงในสิ่งที่กำลังปรากฏเนี่ย หวังไหมคะ หรือว่าค่อยๆ เข้าใจไปเรื่อยๆ นี่เป็นหนทางเดียว เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ค่ะความไม่รู้ทำให้มีความติดข้องทุกอย่าง บางคนก็อยากจะใช้คำว่าไปนิพพานเพราะไม่รู้ว่านิพพานคืออะไรอยู่ที่ไหนได้ยินก็จะไปละ จะไปไหนละคะยังไม่รู้เลยว่าไปไหน แล้วจะถึงได้ยังไง และไปนิพพานคืออะไรก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้น พระธรรมไม่ได้แสดงให้ไม่รู้ แต่ว่าทรงแสดงให้เข้าใจขึ้นในสิ่งที่มีจนกระทั่งเป็นความเข้าใจที่ชัดเจนตรงลักษณะนั้นจริงๆ
เพราะฉะนั้น ไม่ใช่หวังว่าจะให้ทุกคนดับกิเลสถึงนิพพานโดยไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น แต่ว่าค่อยๆ เข้าใจ จากการฟัง และไตร่ตรองเป็นการละความหวัง ละความติดข้องเพราะเหตุว่าถ้าไม่มีการละความติดข้องนะคะ อริยสัจจะที่ ๓ ไม่มีทางที่จะรู้ได้เลยหรือแม้อริยสัจจะทั้ง ๔ หรือแม้แต่อริยะสัจจะที่ ๑ ก็จะไม่ใช่รู้ได้โดยความหวัง เพราะสภาพธรรมกำลังเกิดดับ ใครอยากรู้บ้างไม่มีทาง แต่ปัญญาที่เกิดจากการค่อยๆ เข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย ทุกอย่างด้วย
เพราะฉะนั้น ต้องเป็นชีวิตปกติตามความเป็นจริงเพราะว่าชีวิตปกติตามความเป็นจริงของแต่ละหนึ่งเนี่ยนะคะ หลากหลายมากสุดที่จะประมาณได้เพราะว่าจิตหนึ่งขณะดับแล้ว เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อทันที และจิตขณะก่อนเป็นอะไร ก็มีธรรมที่ปรุงแต่งให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้นเป็นไปเรื่อยๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่าถ้ามีความเข้าใจจริงๆ หนทางนั้นเป็นหนทางที่ถูกต้องทางเดียวที่จะทำให้ละความหวัง และความติดข้องซึ่งทรงแสดงไว้นะคะ อริยสัจจะที่ ๒ แม้มีการรู้ในทุกข์ซึ่งเกิดดับก็ยังต้องละแต่ก่อนที่จะประจักษ์ทุกขะอริยสัจจะที่ ๑ ก็ยังต้องละ คือว่าศึกษาด้วยการที่ไม่ใช่เรา ฟังเพื่อเราจะได้รู้เผื่อเราจะได้เข้าใจเพื่อเราจะได้เก่ง เพื่อเราจะได้หมดกิเลส ไม่มีเรา ขั้นต้นเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง
อกุศลไม่ดีเลยใช่ไหมคะ โลภะ โทสะ โมหะคนไทยก็คล่อง ๓ คำเนี่ยค่ะ ไม่ดีทั้งนั้นแต่ก็มี แล้วก็ไม่ใช่ใครด้วยเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไปแต่ก็เดือดร้อนเพราะคิดว่า อกุศลของเรา เพราะฉะนั้น ที่สำคัญที่สุดเพราะไม่รู้ความจริงว่าทุกอย่างเป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วดับ ถ้ารู้ความจริงอย่างนี้จะเดือดร้อนไหมคะ โลภะก็ค่อยๆ ลดลงไป ไม่ยึดมั่น ไม่ติดข้องในสิ่งซึ่งมีอยู่ทุกวันแต่ไม่เคยรู้ เพราะฉะนั้น การฟังธรรมแต่ละครั้งก็มีความเข้าใจเพิ่มขึ้น และบุคคลนั้นก็จะรู้เองว่ามากน้อยแค่ไหนไม่มีการเปรียบเทียบ ไม่มีการเป็นเราเพียงแต่รู้ว่าจากที่ไม่เคยฟังแล้วก็เข้าใจหลายคนก็บอกว่าฟังมา ๒๐ ปี ๓๐ ปีไม่ได้อะไรถูกต้อง เพราะเหตุว่ายังอยากได้อยู่ก็ไม่ได้นั่นแหละ ยังไงอยากได้อยู่ก็ไม่ได้แต่เข้าใจขึ้นหรือเปล่า นั่นคือประโยชน์ในเข้าใจระดับในปริยัติ เข้าใจในพระพุทธพจน์ ไม่ใช่เข้าใจเรื่องอื่นเลย แล้วเราคิดถึงคำว่าพระพุทธพจน์ คำนี้ก็ต้องบูชาอย่างสูงสุดว่าไม่ใช่คำของคนอื่นเลยแต่เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเข้าใจ คิดดู ปัญญาใช่ไหมที่สามารถจะเข้าใจได้แต่ถ้าไม่ใช่ปัญญาจะเข้าใจได้ไหม แต่ละครั้งที่เป็นพระพุทธพจน์เข้าใจเองไม่ได้เลยด้วยเหตุนี้นะคะ เป็นผู้ที่ตรงทุกอย่างเกิดเพราะเหตุปัจจัยรู้อะไรได้ก็ต่อเมื่อสิ่งนั้นเกิดขึ้นให้รู้ เพราะฉะนั้น ไม่ต้องไปทำอะไรไม่ต้องคิดที่จะเปลี่ยนนะคะ คิดก็เกิดแล้วก็ดับไปแล้วด้วยก็ไม่ใช่ใคร
เพราะฉะนั้น ถ้ามีการเข้าใจจริงๆ เมื่อไหร่ นั่นคือประโยชน์ของการฟังต้องเป็นไปตามลำดับด้วย เพราะฉะนั้น เรื่องสติปัฏฐานไม่ต้องพูดกันหรือจะพูดแต่ว่าเข้าใจธรรมไม่ดีกว่าหรือคะ เพราะว่าจะนำไปสู่ความเข้าใจอีกระดับหนึ่งแน่นอนเมื่อมีความเข้าใจที่เป็นพื้นตามลำดับขั้น
ผู้ฟัง ขอเรียนถามท่านอาจารย์ครับ ว่าเมื่อตายไปแล้ว แล้วก็เกิดใหม่มีชีวิตใหม่อัตภาพใหม่
ท่านอาจารย์ ชีวิตใหม่มาจากไหน ก็มาจากการที่ ตายจากสภาพนี้ไปแล้ว และก็ไป
ถ้าไม่มีชาตินี้ภพนี้จะมีชาติหน้าภพหน้าใหม่
ผู้ฟัง ไม่มีครับ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ภพหน้ามาจากไหน
ผู้ฟัง สืบต่อจากภพนี้
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง
เพราะฉะนั้น เมื่อวานนี้กับวันนี้ วันนี้มาจากไหน
ผู้ฟัง ต่อมาจากเมื่อวาน
ท่านอาจารย์ เมื่อวานนี้เข้าใจธรรมหรือเปล่า
ผู้ฟัง เข้าใจน่าจะน้อยกว่าที่ผ่านมาน้อยกว่า
ท่านอาจารย์ น้อยกว่า เพราะฉะนั้น ภพหน้าถ้ามีการได้ฟังอีกก็เข้าใจแต่ใครจะรู้ว่ากรรมที่ได้ทำไว้แล้วมากมายนับไม่ถ้วนในแสนโกฏิกัปป์ ที่สามารถจะทำให้เกิดปฏิสนธิได้จะทำให้เกิดเป็นอะไรต่อจากชาตินี้
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1861
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1862
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1863
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1864
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1865
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1866
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1867
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1868
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1869
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1870
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1871
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1872
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1873
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1874
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1875
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1876
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1877
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1878
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1879
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1880
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1881
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1882
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1883
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1884
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1885
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1886
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1887
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1888
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1889
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1890
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1891
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1892
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1893
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1894
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1895
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1896
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1897
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1898
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1899
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1900
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1901
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1902
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1903
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1904
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1905
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1906
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1907
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1908
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1909
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1910
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1911
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1912
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1913
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1914
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1915
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1916
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1917
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1918
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1919
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1920