ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1899
ตอนที่ ๑๘๙๙
สนทนาธรรม ที่ บ้านคุณทักษพล และคุณจริยา เจียมวิจิตร จ.นครปฐม
วันที่ ๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๗
ท่านอาจารย์ ชื่อว่าชาวพุทธก็คือว่าผู้ที่รู้ประโยชน์ของการฟังธรรมเพื่อจะได้เข้าใจ และก็รู้ด้วยว่าที่ฟังเป็นธรรมเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าหรือไม่ใช่มีเครื่องพิสูจน์ง่ายมาก คือก่อนอื่นก็ต้องรู้ว่าพระพุทธเจ้าทรงพระปัญญาคุณที่ตรัสรู้ความจริง แต่ละคำนี่ต้องคิดความจริงอยู่ที่ไหน ความจริงอะไรที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ถ้าบอกว่าเดี๋ยวนี้ทุกคนจะคิดไหม ว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ แค่นี้ก็แสนยากสำหรับที่จะเห็นพระปัญญาคุณว่า ไม่เหมือนใคร ตรัสรู้สิ่งที่คนอื่นรู้ไม่ได้เช่นเดียวนี้อะไรจริง ทุกอย่างที่กำลังปรากฏว่ามีเป็นสิ่งซึ่งไม่มีใครไปสร้าง ไม่มีใครไปทำแต่กำลังมี และพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มี
เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรมสูงสุดคือฟังด้วยการรู้สึกตัวว่าพระอรหันตสัมมาสัมเจ้าเป็นใครแล้วเราเป็นใคร เพราะฉะนั้นจะคิดว่าที่ทรงแสดงแต่ละคำง่ายๆ ให้คนเพียงอ่านหรือเพียงได้ยินเข้าใจได้ก็ไม่ถูกต้องถ้าคิดถึงความห่างกันแสนไกล ระหว่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับเรา ซึ่งจะต้องรู้จักพระองค์ทีละเล็กทีละน้อยด้วยการฟังพระธรรม รับรองได้ถ้าไม่มีการฟังพระธรรม ใครรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบ้าง ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้เลยพระพุทธรูป ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องเป็นพระปัญญาคุณซึ่งทำให้พระองค์บริสุทธิ์หมดจดไม่มีกิเลสเลย ยากไหม ไม่มีเลยแล้วก็เราก็ไม่รู้ว่าเรามีกิเลสกันมากน้อยแค่ไหนทุกวันแต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าดับกิเลสไม่มีเลยซักนิดเดียว
เพราะฉะนั้น พระปัญญาที่สามารถจะทำสิ่งซึ่งยากแสนยาก คือสิ่งที่ในขณะนี้ไม่รู้แล้วค่อยๆ รู้ เพราะว่าความไม่รู้ทำให้เกิดความติดข้อง และอกุศลทั้งหลายมากมายติดตามการไม่รู้ เพราะฉะนั้น ต้องเริ่มต้นจากการรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะรู้จักด้วยวิธีอื่นไม่มีทางเลย จะไปรู้จักพระองค์ได้ยังไง ที่ประสูติตรงนั้นก็จริงแต่ไม่มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ที่ตรัสรู้ตรงนั้นจริง แต่ก็ไม่มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรงนั้นที่ปรินิพพานก็จริงแต่ว่าไม่มีพระอรหันตสัมมาสัมเจ้าแล้ว
แล้วอยู่ตรงไหนพระปัญญาคุณยังอยู่ ทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษานาน ๔๕ พรรษานานเพราะว่าเช้าก็แสดง บ่ายก็แสดง เย็นแสดง ตอนกลางคืนตอนดึกเทวดามาเฝ้าก็ยังแสดงด้วย
เพราะฉะนั้น พระธรรมที่ทรงแสดงที่ยังเหลืออยู่ตรงประมวลไว้ทำให้คนอื่นได้รู้จักพระพุทธเจ้ามีต่อเมื่อเข้าใจ แต่ถ้าไม่เข้าใจแต่ละคำที่ทรงแสดงไว้ในพระไตรปิฎก ไม่มีทาง เราคิดว่าคนโน้นก็รู้อย่างนี้คนนี้ก็รู้อย่างนั้น แต่รู้อย่างนี้อย่างนั้นไม่ใช่พระปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งทรงบำเพ็ญพระบารมีนานมาก ๔ อสงไขยแสนกัป กัปหนึ่งก็คือไม่ต้องนับ ทรงอุปมาว่าเกวียนซึ่งบรรทุกเมล็ดงานเต็ม และก็ร้อยปีก็ร่วง ไปซักเม็ดนึง ตกไปซักเม็ดหนึ่งจนกว่าเกวียนนั้นจะไม่มีงาเลย นั่นคือกัปหนึ่ง และนี่ ๔ อสงไขยแสนกัป เพราะฉะนั้น พอเริ่มฟัง เริ่มเห็นว่าแต่ละคำยากจริงๆ
เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรมโดยเคารพโดยไม่ประมาทก็คือว่าทุกคำไม่ผ่านได้ยินคำไหนอย่าเพิ่งคิดว่าเราเข้าใจแล้ว แม้แต่คำว่าปัญญาหรือพุทธะหรือความรู้ ก็ต้องชัดเจนรู้อะไร ถ้ายังไม่มีคำตอบ ก็ไม่ใช่การที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่ารู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้เอง ไม่ต้องไปหาที่ไหนเลยสิ่งที่มีแล้วเมื่อวานนี้หมดแล้ว พรุ่งนี้ก็ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นทางตาจะเห็นอะไร ทางหูจะได้ยินอะไร แต่ว่า เดี๋ยวนี้เองก็มีสิ่งซึ่งสามารถเข้าใจได้เพราะกำลังมี สิ่งที่หมดไปแล้วผ่านไปแล้วไม่มีทางจะรู้ได้ สิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นลักษณะนั้นจะเป็นอะไรไม่รู้ แล้วก็จะไปเข้าใจได้ยังไงต้องเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรมที่จะรู้ว่าเป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วทรงแสดงก็คือรู้ว่า คำนั้นทำให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้หรือเปล่า ถ้าไม่ใช่ ไม่ใช่คำสอนของสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น แม้แต่จะคิดว่าเดี๋ยวนี้อะไรมีจริงๆ และพระพุทธเจ้าตรัสเรื่องสิ่งที่มีจริงอย่างไร ได้ยินคำว่าธรรมบ่อยๆ แล้วอยู่ไหน แล้วก็คืออะไร
ถ้าไม่รู้ว่าธรรมคืออะไรก็หาไม่เจอใช่ไหม แต่ถ้ารู้ว่าธรรมคืออะไรก็รู้ว่าภาษาบาลีหรือภาษามคธีในสมัยโน้น ซึ่งใช้เป็นภาษาที่รักษาคำสอน แม้ว่าใครจะศึกษาธรรมก็ศึกษาภาษาบาลีเพราะว่าถ้าเปลี่ยนภาษาสันสกฤตหรือว่าเป็นภาษาอื่นความหมายคลาดเคลื่อน
ด้วยเหตุนี้แม้สิ่งเพียงเล็กๆ น้อยๆ อย่างนี้ก็ตรัสไว้ว่าการที่จะเปลี่ยนคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นภาษาอื่นทำไม่ได้ไม่ถูกต้อง แต่ว่าการศึกษาคำสอนของพระองค์ในภาษาไหนก็ได้ แต่ไม่เปลี่ยนจากคำเดิมที่ตรัสไว้โดยไปใช้คำอื่นมาลบเลือนมาค่อยๆ เปลี่ยนไป ด้วยเหตุนี้จะเป็นความต่างของศาสนาของคำสอนเช่นในอินเดียก็มีหลายภาษา แต่ภาษาที่คงดำรงไว้สำหรับคำสอนก็คือภาษามคธี ซึ่งใช้คำว่าปาละหรือปาลี หมายความถึงเป็นภาษาที่ดำรงคำสอนไว้ ภาษาไทยเต็มไปด้วยภาษามคธภาษามคธี สุขก็ใช่ กุศลก็ใช่ จิตก็ใช่ ทุกอย่างเราใช้นาม รูปใช่หมด รูปธรรมนามธรรม แต่เราไม่ได้ศึกษา
เพราะฉะนั้น เราคิดว่าเราเข้าใจคำนั้น แต่ความจริงถ้าคิดถึงพระปัญญาคุณ ต้องแสดงสิ่งซึ่งลึกซึ้งยากแต่ว่าสามารถเข้าใจได้โดยการค่อยๆ ฟัง และพิสูจน์ได้ด้วยตัวเองไม่ต้องถามใครเลย เข้าใจคำที่ได้ยินหรือเปล่า ว่าธรรมหมายความถึงสิ่งที่มีจริงภาษามคธีไม่มีคำว่าสิ่งที่มีจริง และภาษาไทยจริงๆ ก็ไม่มีคำว่าธรรม แต่เราเอาคำว่าธรรมมา แต่เราก็งงๆ ธรรมคืออะไร และก็อยู่ที่ไหน
ถ้าตราบใดที่ยังไม่เรียนจริงๆ ต่อเมื่อใดเรียนก็คือว่าคำที่เราใช้ในภาษาไทยนี่แหล่ะ แต่ทรงแสดงเป็นภาษาอีกภาษาหนึ่งคือภาษามคธี ซึ่งชาวเมืองเขาพูดกันปกติธรรมดาเลยเหมือนพูดภาษาไทย
เพราะฉะนั้น ความหมายก็คือว่าต้องตรงกันเพียงแต่ว่าใช้คนละภาษาอย่างธรรมคือสิ่งที่มีจริง ถ้าไม่มีจะรู้ได้ยังไง นี่ก็ยืนยันแล้ว ธรรมต้องเป็นสิ่งที่มีจริง ถ้าอย่างงั้นเดี๋ยวนี้อะไรจริง เห็นมีจริงๆ ไม่ต้องถามใครด้วยใช่ไหม ทุกคนพอรู้ถ้าพูดถึงเห็นก็กำลังเห็น แล้วเห็นว่ามีจริงๆ เห็นนั่นแหละเป็นธรรม พระพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงของเห็นจนถึงที่สุดว่าเห็นขณะนี้ต้องเกิด ถ้าไม่เกิดจะมีเห็นไหม ฟังธรรมต้องเริ่มตั้งแต่คำแรกแล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้น ถ้าไม่เกิดเห็นๆ ไม่มี ถ้าไม่เกิดได้ยินได้ยินก็ไม่มี ถ้าไม่เกิดขึ้น คิด คิดก็ไม่มีก็มี
เพราะฉะนั้น ทุกอย่างที่มีเมื่อเกิดขึ้น ถ้ายังไม่เกิดไม่มี อย่างไรๆ ก็ไม่มี เสียงถ้าเสียงไม่เกิดขึ้นจะมีเสียงได้ยังไง แต่เสียงเกิดจึงมีเสียงแล้วก็ยินเกิดจึงมีได้ยิน
เพราะฉะนั้น ทุกอย่างขณะนี้ที่มีเป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งซึ่งเพราะเกิดขึ้น จึงมีเป็นธรรม เป็นของใครหรือเปล่า หรือว่าเป็นธรรมเป็นสิ่งที่มีจริงชั่วคราว ไม่มีใครรู้เลยว่าชั่วคราว เพราะว่าขณะที่ได้ยินไม่ใช่ขณะที่เห็นแล้ว จะเป็นขณะเดียวกันพร้อมกันไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้น ธรรมแต่หนึ่งซึ่งมีในชีวิตประจำวันตั้งแต่เกิด ทุกอย่างเป็นธรรมหมด พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้โดยละเอียดยิ่งแล้วก็รู้ด้วยว่าสิ่งนั้นเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ถ้าไม่มีปัจจัยที่สมควรที่จะให้จิตเห็นเกิด เห็นไมามี
เพราะฉะนั้น ต้องมีตา คนตาบอดไม่มีเห็น เพราะฉะนั้น เห็นเป็นเราเป็นของเราหรือเปล่า หรือว่าเห็นเป็นสิ่งหนึ่งที่มีจริง กำลังเห็นเดี๋ยวนี้แต่ไม่ใช่ขณะที่ได้ยิน
เพราะฉะนั้น ความละเอียดของธรรมคือกล่าวถึงทุกสิ่งที่มีจริงในชีวิตตามความเป็นจริงให้ค่อยๆ รู้จักว่าสิ่งที่มีจริงเกิดแล้วหมดไป จะใช้คำว่าดับก็ได้ เหมือนไฟเกิดแล้วดับ ไปหาไฟที่ไหนได้ไฟที่ดับไปแล้วไม่ได้กลับมาให้เห็นอีกเลย
เพราะฉะนั้น สภาพธรรมเดี๋ยวนี้เกิดขึ้น แล้วดับทันทีไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้น จะไม่เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถ้ารู้เหมือนคนอื่นรู้ แต่นี่รู้ความจริงถึงที่สุด ถ้าจะทำให้แต่ละคนไม่ต้องไปหมดกิเลส หมดไม่ได้หรอก เพียงเริ่มเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงก่อนว่า ความจริงพระพุทธเจ้าตรัสรู้อย่างนี้ชาวพุทธก็คือผู้ที่เคารพในพระปัญญาคุณที่ทรงตรัสรู้ และทรงแสดงความจริงให้เราซึ่งเกิดมาแล้วไม่เคยรู้เลย อาจจะมีคนที่ตายไปแต่ไม่เคยฟังไม่เคยรู้จักธรรมเลย แต่ว่าคนที่ยังมีชีวิตอยู่แล้วก็มีโอกาสที่จะได้ยินได้ฟัง ก็เริ่มที่ว่าเกิดมาแล้วก็ยังได้รู้ว่า สิ่งที่มีจริงไม่เที่ยง ใช้คำว่าไม่เที่ยงนี่ทุกคนเข้าใจใช่ไหม
อนิจจังได้ยินบ่อยมากเลย อนิจจัง แต่อนิจจังเผินๆ จากการที่วันนี้สบายดี พรุ่งนี้เกิดเป็นโรคร้าย อนิจจัง ไม่เที่ยง ไม่แน่นอน แต่ธรรมละเอียดกว่านั้นคือทุกอย่างที่เกิดสั้นยิ่งกว่านั้น คือทันทีที่เกิดแล้วดับ
เพราะฉะนั้น ก็จะมีคำ ๓ คำที่ใช้คำว่าไตรลักษณะลักษณะ ๓ อย่างประจำสิ่งที่มีจริงซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยคืออนิจจัง ทุกขังอนัตตา มีใครไม่เคยได้ยิน ๓ คำนี้บ้าง
เคยไหมอนิจจัง แล้วได้ยินคำว่าทุกขังด้วยไหม ได้ยินคำว่าอนัตตา ต้องครบ ๓ เพราะสิ่งที่เกิดแล้วดับ อนิจจัง ไม่ที่ยงไม่แน่จะหาสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยงไม่ได้เลย แม้แต่เมล็ดของต้นไม้ยังไม่มีกิ่งก้านเลย แต่ก็มีน้ำมีดินที่จะทำให้มีการงอกขึ้น และในที่สุดต้นไม้นั้นก็ตายไป อนิจจังทุกขณะ แต่เราคิดว่าตอนเกิด เกิดมาแล้วยังคงอยู่ใช่ไหม อนิจจังตอนดับไป นั่นไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าใครสอนอย่างนี้ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ละเอียดยิ่งกว่านี้ ถึงความเป็นจริงซึ่งพิสูจน์ได้จากการเริ่มฟังเริ่มเข้าใจ แล้วก็เริ่มรู้ว่าสิ่งนี้แน่นอนต้องเป็นอย่างนั้นแต่ไม่ใช่รู้เพียงขั้นฟัง แต่ต้องฟังแล้วเข้าใจขึ้นๆ
เพราะฉะนั้น ผู้ที่เป็นสาวกชาวพุทธในครั้งนั้นฟังพระธรรมแล้วก็รู้แจ้งอริยสัจธรรม เพราะฉะนั้น พระรัตนตรัยจึงประกอบ และพระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ และพระสังฆรัตนะ ถ้าพระพุทธเจ้าตรัสรู้เพียงพระองค์เดียวไม่มีประโยชน์กับชาวโลกแต่ชาวโลกนี่คือจักรวาลหมื่นแสนจักรวาลจะไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมกันสองพระองค์เลย เพราะฉะนั้น คำสอนของพระองค์ก็เป็นประโยชน์กับสิ่งที่มีชีวิตไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือว่าเป็นเทวดาหรือเป็นพรหม เพราะว่าแม้เทวดาก็ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพรหมบางคนก็ไปกราบไหว้ก็ไม่รู้จัก แต่ก็ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้น จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ต่อเมื่อฟังธรรมแล้วเริ่มเข้าใจทีละคำ จากคำว่าอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา สิ่งที่ไม่เที่ยง จะมีประโยชน์ไหม เพียงแค่เกิดปรากฏว่ามีแล้วหมดไปเลยแล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย อย่างเห็นอย่างงี้ คิดดูดีๆ เห็นแล้วสิ่งที่เห็นก็ดับ แล้วเห็นก็ดับเพราะขณะที่ได้ยิน ไม่มีเหลือไม่มีเห็นในขณะที่ได้ยินแม้แต่ในขณะที่ได้ยิน เสียงมีได้ยินมีแล้วก็หมดไม่มีเหลือ ขณะที่กำลังคิดนึกไม่ต้องเห็นไม่ต้องได้ยินก็คิด นี่คืออนิจจัง
เพราะฉะนั้น สภาพธรรมเกิดเมื่อมีเล็กน้อยมากเหมือนฟ้าแลบแล้วก็หมดไปไม่เหลือเลยตลอดเวลา เป็นสิ่งที่น่ายินดี น่าติดข้องหรือเปล่าเพราะทุกข์มีหลายความหมาย ความหมายหนึ่งก็คือว่าไม่ควรยินดี ไม่เป็นสิ่งที่ควรติดข้อง ไปติดข้องก็เปล่า สูญเปล่า ติดข้องในสิ่งที่ไม่มีหมดแล้วเลยไม่กลับมาอีก
เพราะฉะนั้น ผู้ที่มีปัญญาจริงๆ ก็แสดงความจริงจนกระทั่งผู้ที่เคยติดข้อง เคยไม่รู้ ก็พ้นจากความติดข้องซึ่งนำมาซึ่งความทุกข์ ถ้าเราไม่ติดข้อง สิ่งนั้นหายไปสูญไปไม่ได้เกิดเดือดร้อนเลย เพราะฉะนั้น เมื่อติดข้องในสิ่งใดสิ่งนั้นแหละไม่ใช่สิ่งอื่นนำความทุกข์มาให้ คนอื่นตายร้องไห้ไหม ญาติพี่น้องตาย เปลี่ยนแล้ว ไม่เหมือนกันเลยเพราะความติดข้อง และจะบอกว่ากำลังร้องไห้ไม่ทุกข์ได้ไหม ไม่ทุกข์แล้วจะร้องไห้หรือใช่ไหม
เพราะฉะนั้น ขณะนั้นเป็นทุกข์ก็ไม่รู้ว่าเป็นทุกข์ เพราะฉะนั้น พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนที่ตรัสรู้ ใช้คำว่าโพธิสัตว์ สิ่งที่มีชีวิตทั้งหมด ใช้คำสัตว์โลก เพราะฉะนั้น โพ ธิหมายความถึงสัตว์โลกหรือผู้ที่ข้องในการรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ นี่คือความหมายของโพธิสัตว์ และเราก็มีสิ่งที่ปรากฏตั้งแต่เกิดจนตาย เราก็หลงไหลติดข้อง แต่ไม่ใช่ติดข้อง ข้องที่จะรู้ความจริงว่าสิ่งที่เราชอบมีจริงๆ ที่เที่ยงหรือเปล่า หรือว่าเพียงแค่ปรากฏเล็กน้อยมากแล้วก็หมดไปแต่เกิดซ้ำๆ ๆ โดยไม่ปรากฏว่าเกิดดับ เมื่อไม่ปรากฏว่าเกิดดับก็คิดว่าเที่ยง เมื่อคิดว่าเที่ยงก็ยินดีในสิ่งนั้น แต่กว่าปัญญาจะรู้ความจริงได้ และก็ละคลายติดข้อง ก็คือเข้าใจความหมายของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา อยากเห็นอะไรไหม แล้วจะเห็นได้ไหมด้วยความอยาก หรือต้องมีเหตุปัจจัยที่จะเห็นสิ่งนั้นจึงมีการเห็นสิ่งนั้นได้ บางคนก็บอกว่าอยากเห็นนิพพาน รู้จักนิพพานหรือเปล่ายังไม่ทันรู้จักเลยอยากแล้ว เพราะฉะนั้น เกิดมาก็เต็มไปด้วยความอยากโดยที่ไม่รู้ความจริง เพราะฉะนั้น ฟังธรรมนี้ถ้าไม่จริงคำไหนเลยถามได้เลย ค้านได้เลย แล้วก็จะมีคำแปล และคำตอบ ทุกคำตอบจนถึงที่สุด เพราะว่าไม่ใช่ความรู้ของคนที่ตอบแต่จากการศึกษาจากการเข้าใจแต่ละคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงโดยไม่ประมาท ไม่ประมาทด้วยความเคารพจริงๆ ว่าแต่ละคำต้องมีประโยชน์ แม้แต่คำว่าทุกสิ่งทุกอย่างแม้เที่ยงสอนทำไม น่าจะสอนให้เราเพลิดเพลินหลงไหลทุกสิ่งทุกอย่างที่ยังเป็นเรา แต่ว่าความจริงไม่เป็นอย่างนั้นก็ต้องพูดคำจริงวาจาจริง ไม่ใช่วาจาที่ไม่จริง เพื่ออนุเคราะห์คนที่ไม่รู้ ความจริงได้ค่อยๆ เข้าใจขึ้น
เพราะฉะนั้น พระพุทธศาสนาก็เป็นศาสนาที่ทำให้ผู้ที่ได้ยินได้ฟังเกิดปัญญาคือความเห็นถูกความเข้าใจถูก ในทุกสิ่งที่มี และแต่ละคำก็ไม่เผินด้วย เพราะฉะนั้น ตอนนี้ก็เข้าใจคำที่เราใช้คำว่าธรรม ใครจะว่ายังไงก็ตามแต่ แต่ธรรมต้องเป็นสิ่งที่มีจริงๆ ใครจะสอนยังไงพูดยังไงก็แล้วแต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง และทรงแสดงว่าทุกสิ่งที่มีเพราะเกิดขึ้น เกิดแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะมีลักษณะเฉพาะสิ่งนั้นเลย ๓ อย่างคืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ตอนนี้เราก็ไม่งงไม่สงสัยเลยใช้ลมพัดมาเกิดมีลมพัดหมดไปแล้ว อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นี่คืออย่างหยาบแต่ว่าอย่างละเอียดนี่จะละเอียดกว่านั้นมาก เพราะเหตุว่าสภาพธรรมที่จะเข้าใจแต่ละหนึ่งได้จริงๆ ชัดเจนต้องไม่ปะปนกับอย่างอื่น ต้องทีละหนึ่ง แล้วลองคิดถึงความหมายของธรรมทีละหนึ่งว่ากว่าจะเป็นทีละหนึ่งได้ต้องมีความเข้าใจ คือไม่มีเราแต่มีธรรม เพราะฉะนั้น อย่างมั่นคงก็คือว่า ทั้งหมดเป็นธรรมตรงกับคำที่ทรงแสดง สัพเพ ธัมมา อนัตตา ใครพูดไม่ใช่คนหนึ่งคนใดจะมาพูด หรือว่าพูดเล่นๆ แต่พูดเพราะเข้าใจ ว่าสัพเพหมายถึงทุกอย่าง ธัมมาธรรมทั้งหมดเลย อนัตตาไม่เว้นเลย แม้แต่นิพพานหรืออะไรทั้งหมด รวมความว่าพุทธพจน์เป็นวาจาสัจจะไม่มีใครสามารถจะเปลี่ยนได้ เพราะฉะนั้น เวลาที่ได้ฟังเรื่องของสิ่งที่มีจริง แม้แต่คำเริ่มต้นคำว่าธรรมก็รู้ว่าถ้าใครพูดถึงเห็น ให้รู้ว่าอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าใครพูดถึงได้ยินอนิจจัง ทุกขังอนัตตาเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคำกำลังมีในขณะนี้สามารถที่จะเริ่มฟังแล้วเข้าใจได้จริงๆ เพราะฉะนั้น จึงรู้ความต่างของพระรัตนะทั้งสามคือพระพุทธรัตนะพระธรรมรัตนะ และพระสังฆะรัตนะ
ถ้าเป็นพระพุทธรัตนะแต่ไม่ทรงแสดงพระธรรม จะมีอะไรที่เป็นรัตนะ แต่ว่าพระธรรมทุกคำ เป็นรัตนะ หาค่าไม่ได้เลยถ้าเราสามารถเข้าใจจริงๆ ว่าเดี๋ยวนี้ สิ่งที่มี มีเพราะเกิดขึ้น แล้วก็ดับไป ชั่วคราวสั้นที่สุดถูกต้องไหม และเป็นประโยชน์ไหม ที่วันหนึ่งก็ต้องจากไปแต่วันนั้นช้า ไม่เหมือนเดี๋ยวนี้เลยเกิดปุ๊บดับปั๊บ ถ้าเราสามารถมีความเข้าใจอย่างนี้จริงๆ
จิตขณะสุดท้ายเกิดแล้วดับ จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อเหมือนเมื่อกี้กับเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้น ก็จะไม่มีข้อสงสัยว่าตายแล้วเกิดไหม ตายแล้วไปไหน หรือว่าตายก็จะเป็นอะไรใช่ไหม เพราะว่าความจริงอะไรตาย อะไรเกิด สิ่งนั้นเป็นธรรมซึ่งใครเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย มีปัจจัยเกิดรู้ดับไป จะเป็นเห็นก็ตามแต่ เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปธาตุรู้เกิดสืบต่อทันทีไม่มีระหว่างคั่น
เพราะฉะนั้น จิตเกิดขณะแรก ก็เกิดดับสืบต่อ ทุกขณะจนถึงขณะสุดท้ายของชาตินี้ก็ไม่จบ ก็มีขณะต่อไป เหมือนเดี๋ยวนี้ ใครจะห้ามจิตที่ดับไปแล้วไม่เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดก็ไม่ได้ นี่คือธรรม เพราะฉะนั้น ถ้าฟังอย่างนี้สิ่งนั้นกำลังมีเดี๋ยวนี้เข้าใจเดี๋ยวนี้ นั่นคือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขั้นเริ่มต้น ขั้นเริ่มต้นคือคำเดียวแต่คำนี้จะตลอดไปเพราะไม่มีอะไรที่ไม่ใช่ธรรม ทุกอย่าง ตรงกับที่ตรัสไว้ว่าสัพเพ ธัมมา อนัตตา ตรงกันข้ามกับ นิจจัง สุขขังอัตตา เพราะไม่รู้ใช่ไหม ไม่รู้ว่าสภาพธรรมที่เกิดแล้วดับไปก็ยังมีเรา ก็เมื่อกี้เห็นก็เป็นเรา เดี๋ยวนี้ได้ยินก็เป็นเรา อ้าวแล้วได้ยินดับแล้ว เราอยู่ไหน ก็ดับไปด้วยก็ไม่รู้ใช่ไหม เพราะจริงๆ แล้วก็คือว่าไม่มีอะไรที่จะยั่งยืน และคงทนได้ เกิดดับอย่างรวดเร็ว
เพราะฉะนั้น ถ้ายังเข้าใจว่าเป็นเรา ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะเข้าใจพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะค้านกับคำจริง และคำจริงที่ทรงตรัสรู้ว่าไม่มีเราเลยที่เป็นอัตตา สิ่งหนึ่งสิ่งใดทั้งหมดเป็นอนัตตา ถ้ารู้ความจริงทีละหนึ่ง ต้องทีละหนึ่ง พอปนกันเมื่อไหร่ เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดทันที ได้ยินเสียงใช่ไหม เสียงอะไร นก เห็นไหมปนแล้วจำแล้ว เด็กเกิดใหม่ไม่รู้ แต่ว่าคนที่ได้ยินบ่อยๆ ก็รู้ว่าไม่ใช่เสียงคนใช่ไหมแล้วที่จำ จำเสียง พอได้ยินก็จำเลยว่าเป็นนก และหมดไปแล้ว และคิดเรื่องอื่นด้วย เพราะฉะนั้น ไม่หยุดนิ่ง สังสารวัฎไม่หยุดนิ่ง เกิดดับสืบต่อโดยไม่มีใครจะรู้ได้นอกจากผู้ที่ได้บำเพ็ญบารมี ทรงตรัสรู้แล้วทรงแสดงพระธรรมให้ผู้ที่ได้สะสมการเห็นประโยชน์ของการที่เกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์นี้สามารถฟังแล้วก็คิด แล้วก็ไตร่ตรอง แล้วก็เข้าใจได้ ขณะนี้ก็มีมดมีนกได้ยินเสียงอย่างนี้ นกก็มีหูก็ได้ยิน แต่ไม่สามารถจะเข้าใจคำที่เรากำลังฟังแล้วก็เข้าใจได้
เพราะฉะนั้น กว่าจะได้เป็นมนุษย์ แล้วก็ได้ฟังพระธรรม มีคำที่ว่า รู้คำได้โดยยาก เห็นไหมคำธรรมดาๆ แต่รู้ได้โดยยากยิ่ง เพราะยากยิ่งแม้แต่จะได้ฟัง เมื่อวานนี้ได้ฟังหรือเปล่าวันก่อนได้ฟังหรือเปล่า เกิดมากี่ปีได้ฟังหรือเปล่าหรือเพิ่งจะได้ฟังหรือว่าฟังมา ๑๐ ปีแล้วการได้ฟังก็ยากยิ่ง ฟังแล้ว ยังรู้คำที่ได้ยินได้โดยยากยิ่ง เมื่อเป็นอย่างนี้ กราบไหว้นมัสการพระอรหันต์สัมมาสัมพระเจ้า ด้วยความเคารพสูงสุด ไม่มีอะไรที่จะเปรียบปานได้เลย เป็นรัตนะจริงๆ เป็นสิ่งที่มีค่าเหนือจักรพรรดิรัตนะ เหนืออะไรทุกอย่าง เพราะสิ่งต่างๆ เหล่านั้นไม่ได้ทำให้เกิดความเห็นที่ถูกต้อง ไม่ทำให้เข้าใจความจริงที่สามารถที่จะรู้ว่า แท้ที่จริงแล้วไม่มีอะไรนอกจากธรรม เห็นไหม ตรงกับคำแรกทุกอย่างเป็นธรรมแต่เราก็กล่าวได้อีกนัยหนึ่งว่าไม่มีอะไรนอกจากธรรม
หรือว่ามีอะไรนอกจากธรรม มีอะไรไหมนอกจากธรรม เสียงก็เป็นธรรมถ้าเข้าใจว่ามีจริงๆ หมดแล้ว คิดเป็นเราหรือว่าเป็นธรรม เห็นไหม จากเดิมที่เกิดเป็นเราทั้งหมดก็เป็นธรรมหมดเลย นั่นคือฟังพระธรรม แล้วรู้ว่าธรรมคืออะไร คือคำสอนเรื่องความจริงจนถึงที่สุด ถ้าเข้าใจแล้วไม่เบื่อ แต่คนที่เบื่อเพราะไม่เข้าใจ ใช้ภาษาซึ่งเราไม่รู้เรื่อง ใช่ไหม ปฏิจสมุปปาท อายตน อริยสัจจ อะไรต่างๆ เหล่านี้ แต่ภาษาไทยก็คือสิ่งที่มีจริงๆ นี้แหละจะใช้คำไหนก็ได้ ให้เข้าใจถูกต้อง แต่ว่าสิ่งที่มีจริงได้หลากหลายมากใช้คำเดียวไม่ได้ ต้องแต่ละหนึ่งคำ เพื่อรู้ว่าแต่หนึ่งคำหมายความถึงอะไร
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1861
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1862
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1863
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1864
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1865
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1866
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1867
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1868
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1869
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1870
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1871
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1872
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1873
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1874
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1875
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1876
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1877
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1878
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1879
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1880
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1881
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1882
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1883
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1884
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1885
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1886
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1887
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1888
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1889
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1890
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1891
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1892
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1893
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1894
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1895
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1896
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1897
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1898
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1899
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1900
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1901
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1902
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1903
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1904
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1905
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1906
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1907
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1908
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1909
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1910
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1911
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1912
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1913
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1914
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1915
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1916
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1917
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1918
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1919
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1920