ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1903


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๑๙๐๓

    สนทนาธรรม ที่ บ้านท้ายหาด รีสอร์ท จ.สมุทรสงคราม

    วันที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๗


    ท่านอาจารย์ คงยังไม่คิดจะถามอะไร แต่ว่าให้ทราบว่าเป็นบุญที่ได้สะสมมาแล้วแต่ปางก่อนที่มีโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรมจากคำซึ่งเป็นเสียงที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้แล้ว ๒๕๐๐ กว่าปี ณ พระวิหารเชตวันบ้าง พระวิหารเวฬุวันบ้าง และทุกแห่งที่ทรงแสดงธรรมเพื่ออนุเคราะห์คนอื่น ตามที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีเพื่อที่จะอนุเคราะห์แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่พระองค์ทรงตรัสรู้ ยากหรือง่าย

    ยากมาก เพราะเหตุว่ากว่าจะเป็นพระสัมสัมพุทธเจ้าพระบารมีที่ทรงบำเพ็ญนานแสนนานหลังจากที่ได้ทรงได้รับคำพยากรณ์แล้ว ๔ อสงไขยแสนกัป เพราะฉะนั้น แต่ละคำไม่ควรเผิน แล้วก็เป็นผู้ที่ตรง แล้วก็จริงใจที่จะรู้ว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อะไร เดี๋ยวนี้มีไหม ทรงแสดงธรรมให้เราเข้าใจสิ่งที่มีในขณะนี้ เพื่อเราจะได้มีความเห็นถูกมีความเข้าใจถูก

    แสดงว่าก่อนฟังธรรมเราเห็นถูกรึเปล่า ไม่ถูก ไม่ถูกยังไง เห็นว่าเป็นยังไงที่ว่าไม่ถูก คือธรรมถ้าไตร่ตรอง และคิดก็เป็นความเข้าใจเพื่อที่จะสะสางความไม่รู้ และการยึดมั่น และกิเลสที่หมักหมมอยู่ในจิต เวลานี้เราพูดถึงจิต จิตถูกหมักหมมด้วยความไม่รู้มานานแสนนาน และก็ด้วยกิเลสอื่นๆ มากมายในแสนโกฏกัป

    เพราะฉะนั้น เมื่อมีโอกาสได้ฟังพระธรรมต้องตรงที่จะรู้ว่าเราฟังเพื่อเข้าใจจิตซึ่งเรายึดถือว่าเป็นเราทุกชาติเลย แต่ว่าไม่เคยรู้เลยว่า แท้ที่จริงแล้วที่เราใช้คำว่าจิตใครจะตอบได้ไหมว่าคืออะไร เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า ถ้าไม่ศึกษาพระธรรมจริงๆ เราจะพูดคำที่เราไม่รู้จักตั้งแต่เกิดจนตายไม่ว่าจะเป็นคำอะไรทั้งสิ้น ไม่รู้ความจริงเลย แต่ก็พูดเพราะว่ายึดถือสิ่งต่างๆ เหล่านั้นว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง

    เพราะฉะนั้น แม้แต่ความเห็นผิดถ้าเห็นผิดก็ต้องรู้ว่าเห็นผิดอย่างไรไม่ใช่เขาบอกว่าเราเห็นผิดเราก็เห็นผิดแต่ว่าเห็นผิดยังไง เห็นผิดว่าเดี๋ยวนี้สิ่งที่กำลังปรากฏเที่ยง ถูกต้องไหม แล้วก็เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพียงแต่หลับตา ไม่มีอะไรปรากฏให้เห็นเลย แต่พอลืมตาทำไมต่างกับที่หลับตาแสดงว่าต้องมีสิ่งหนึ่งซึ่งมีจริงๆ ที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรม ไม่หมายความว่าเราจะต้องไปรู้แจ้งอริยสัจธรรมตรงตามที่ได้ทรงแสดงโดยรวดเร็ว แต่ว่าเป็นการค่อยๆ เข้าใจขึ้นจนกระทั่งรู้ว่าคำที่เราไม่เคยได้ยินหรือว่าไม่เคยคิดมาก่อนความจริงเป็นอย่างไร และกว่าเราจะละคลายการที่เราเคยไม่รู้ และเคยยึดถือต้องนาน และต้องเป็นผู้ที่ตรงด้วยเช่นเพียงหลับตา มีต้นไม้ไหม มีเก้าอี้ มีคนไหม ถูกไหม เห็นไหมถ้าจะคิดนี่คิดได้ละเอียดมากๆ เลย ขณะที่ไม่มีต้นไม้ไม่มีคนไม่มีอะไรเลย แล้วมีอะไรถ้าเราศึกษาธรรมเราจะไม่ตามตัวหนังสือ จำแต่ตัวหนังสือเสร็จแล้วจากโลกนี้ไปลืมหมดเลย

    ไม่ทราบชาติก่อนพูดภาษาอะไร ได้ฟังธรรมมาแล้วแต่ว่าเข้าใจเพียงจำคำเพราะเรียนแบบนั้นหรือว่าเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏว่าสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้เป็นสิ่งที่เข้าใจถูกได้ แต่ต้องอาศัยการฟังแล้วฟังอีก กว่าจะคล้อยตามค่อยๆ เข้าใจจริงๆ ว่าความจริงเป็นอย่างนั้น เพื่อละความยึดถือ ความติดข้องแต่ไม่ใช่ด้วยการไปเปลี่ยนความยึดถือติดข้องไปเป็นอยากรู้อยากถึงอยากเข้าใจ นี่คือความละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่งของธรรม ซึ่งทุกคำต้องตรง และจริงตั้งแต่ต้นจนถึงที่สุดเปลี่ยนไม่ได้เลย

    อย่างคำว่าธรรมหมายความถึงสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ สิ่งที่มีจริงมีลักษณะหลากหลายต่างกัน ขณะนี้มีอะไร มีเย็น ลมพัดใช่ไหม แต่เย็นเป็นลมพัด แล้วยังเย็นอยู่ต่อไปหรือเปล่า หรือว่าเพียงแค่กระทบปรากฏลักษณะที่เย็นแล้วก็หมดไปโดยที่ไม่ได้มีการเข้าใจถูกเลย

    เพราะฉะนั้น ความเข้าใจผิดติดทุกอย่างในสิ่งที่ปรากฏเช่นเห็น ก็ยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดมีอะไรกระทบ ก็ยึดถือในสิ่งนั้นโดยที่แท้จริงสิ่งนั้นก็หมดแล้ว เพราะฉะนั้น ในขณะนี้ต้องฟังด้วยความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อยจริงๆ ว่าเรากำลังฟังเรื่องสิ่งที่มีจริงให้มีความเห็นที่ถูกต้องตามความเป็นจริงจนกว่าจะรู้ว่า พระธรรมที่ทรงแสดงแต่ละคำเป็นคำจริงที่สามารถเข้าใจได้เดี๋ยวนี้เพิ่มขึ้น

    ขณะนี้มีสภาพธรรมที่เป็นอะไร เสียง เฉพาะเสียงเป็นเราหรือเปล่า ถ้าเข้าใจอย่างนี้จริงๆ ทีละหนึ่ง เสียงต้องเกิด ถ้าเสียงไม่เกิดจะปรากฏไหมก็ไม่ปรากฏ แล้วเสียงปรากฏแล้วก็หมดไป แต่ไม่ได้รู้ไม่ได้สังเกตไม่มีใครมาบอก ว่านี่นะความจริงของแต่ละสิ่งแต่ละสิ่งนี้เป็นอย่างนี้ เราก็ผ่านไปหมดแล้วก็ยึดถือว่าเป็นเสียงลม และก็เป็นลมพัดหรือเป็นอะไรก็แล้วแต่ไม่มีความรู้ที่ถูกต้องในสิ่งที่กำลังปรากฏ ด้วยเหตุนี้การฟังพระธรรม ฟังด้วยความเข้าใจว่ายาก แต่มีจริงแล้วก็ละเอียดแล้วก็ตรงกันข้ามกับที่เคยเข้าใจ เพราะเหตุว่าทุกคนเข้าใจว่าเกิดมาเป็นคนบ้างเป็นสัตว์บ้าง ทุกคนแต่ละหนึ่งแต่ความจริงเป็นธรรมเท่านั้นที่เกิดขึ้นแต่ละหนึ่งแม้แต่ธาตุรู้ขณะนี้ที่กำลังเห็นมีจริงๆ เราก็ไม่เคยคิดแต่บอกว่าเราเห็น เห็นมีเกิดมาก็ทั้งเห็นทั้งได้ยินทั้งคิดทั้งสุขทั้งทุกข์เราทั้งนั้นเลย แต่ว่าความจริงไม่ใช่เราทั้งนั้นเลย เป็นแต่เพียงสิ่งที่มีจริงชั่วขณะแต่ละหนึ่ง ซึ่งเกิดแล้วดับแล้วไม่กลับมาอีก

    มีใครจะย้อนกลับไปเป็นเด็กได้ไหม ย้อนกลับไปชาติก่อนที่เพิ่งผ่านมา จนถึงชาตินี้ได้ไหม และไกลไปอีกใครจะรู้ได้ แต่ทั้งหมดก็เป็นธรรมซึ่งไม่มีใครหยุดยั้ง เพราะเหตุว่ามีปัจจัยที่จะต้องเกิดขึ้น

    เพราะฉะนั้น เวลานี้เห็นแล้ว ได้ยินอีกแล้ว คิดอีก แล้วยับยั้งไม่ได้เลยนี่คือธรรม การที่ไม่มีใครสามารถที่จะไปยับยั้งสิ่งที่มีจริงไม่ให้เป็นอย่างนั้นได้ก็เพราะเหตุว่าสภาพที่มีจริงมันนั้นๆ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร กว่าจะรู้ว่าไม่ใช่เรา และเข้าใจคำว่าธรรมเพียงแค่ธรรมเพิ่มขึ้น เราก็ต้องรู้ว่าเราศึกษาอะไร ศึกษาสิ่งที่เราไม่มีโอกาสได้ยินได้ฟังเลยถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงตรัสรู้ และไม่ทรงแสดง และศึกษาสิ่งที่มีจริงทุกกาล เกิดมาแล้วแข็ง ชาติไหนก็แข็งเสียงก็เป็นเสียงเกิดกี่ชาติก็มีแข็งมีเย็นมีร้อนมีเห็นมีได้ยิน แต่ว่าชาติก่อนๆ ไม่ได้ศึกษาไม่ได้ฟังก็ไม่เคยเข้าใจ แต่พอถึงชาตินี้มีโอกาสได้ยินได้ฟัง แต่ต้องด้วยความเคารพว่าเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งแล้วต้องตรงกัน ถ้ารู้ว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตาไม่มีใครสามารถบังคับบัญชาได้เลย เราจะทำอะไรไหมที่จะรู้ความจริง ทำได้ไหม มีใครอยากทำไหม กำลังทำบ้างหรือเปล่า นี่เป็นสิ่งที่ตรงหรือเปล่ากับความจริง

    เพราะฉะนั้น ฟังธรรมก็คือว่าสัจจธรรม เป็นธรรมที่เป็นจริงอย่างนั้นไม่ใช่ให้ใครไปเปลี่ยน หาวิธีที่จะรู้ก็ไม่ได้ แต่ว่าจากการฟัง และก็มีการเข้าใจจริงๆ ไม่เปลี่ยนก็จะรู้ว่าแม้สิ่งซึ่งมีแต่ไม่เคยรู้ ค่อยๆ รู้ค่อยๆ เข้าใจขึ้น เมื่อเข้าใจไปเรื่อยๆ มากขึ้นมากขึ้น มีหรือที่จะไม่ประจักษ์ความจริงของสิ่งซึ่งกำลังปรากฏ แต่ว่าเพียงได้ยินได้ฟังเล็กๆ น้อยๆ นิดๆ หน่อยๆ บุคคลนั้นเป็นผู้ตรงก็จะรู้ว่าเข้าใจได้เท่าที่กำลังฟัง แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้เข้าใจยิ่งกว่านี้มากมาย เทียบปัญญาของพระองค์กับฟ้าที่แสนไกลแล้วเราก็อยู่ตรงนี้ตรงดินนี่แหละ กว่าปัญญาของเราจะเข้าถึงแต่ละคำได้ต้องไตร่ตรอง แล้วก็ต้องไม่เปลี่ยน ถ้าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา จะไปทำอะไร กับธรรมได้ไหมเกิดแล้วดับแล้วทั้งนั้น

    เพราะฉะนั้น เท่าที่ได้ฟังธรรมกันมาก็คงจะมีข้อสงสัยบ้างใช่ไหม ที่น่าจะได้เข้าใจจริงๆ เพราะเหตุว่าการฟังแต่ละคำไม่ใช่ฟังเพียงเพราะเราได้ฟังแต่เราฟังแล้วเข้าใจแค่ไหน ที่สำคัญที่สุด เข้าใจมั่นคงตรงแค่ไหน ขณะนี้มีใครหรือเปล่า เดี๋ยวนี้ไม่มีแต่มีธรรมคือสิ่งที่มีจริง มีจริงๆ แต่ก็หลากหลายมาก เสียงก็เป็นธรรมอย่างหนึ่งไม่ใช่ได้ยิน สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาก็เป็นสิ่งที่มีจริงกำลังปรากฏว่าก็เห็นสิ่งที่เห็นได้สิ่งนั้นต้องมีจริงๆ จึงปรากฏให้เห็นได้ แต่ก็เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ แต่ว่าการเกิดดับของสภาพธรรมเร็วสุดที่จะประมาณได้ เหมือนลูกข่างอีกความหมายหนึ่งของวัฏฏะในภาษาบาลีก็คือลูกข่าง ลูกข่างที่หมุนเร็วๆ และก็ตั้งอยู่ใครรู้บ้าง ถ้าช้าลงล้มแน่ใช่ไหมแต่ว่าตามความจริงใครจะเปลี่ยนการเกิดดับสืบต่ออย่างเร็วที่สุดของธรรมไม่ได้ แต่สามารถค่อยๆ เข้าใจได้ค่อยๆ เพิ่มความเข้าใจขึ้น และก็เข้าใจธรรมที่ได้ฟังแต่ละหนึ่งยิ่งขึ้นเพราะว่าถ้ารวมๆ กันไม่มีทางที่เราจะเข้าใจได้ เพราะรวมกันแล้วจะเข้าใจอะไร แต่พอแยกออกไปก็จะเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง เห็นเป็นหนึ่งเกิดแล้วดับแล้วไม่ใช่ใครไม่ใช่ของใคร เพียงเท่านี้จริงไหม ดับแล้ว หมดแล้วไม่เป็นของใครเลยแต่มีจริงๆ เกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับไป ได้ยินไม่ใช่เสียงเลยไม่ใช่เห็นเลย แต่ว่าได้ยิน ถ้าไม่เกิดขึ้นรู้เสียง เสียงนั้นก็ไม่ปรากฏ

    เพราะฉะนั้น วันหนึ่งๆ มีแต่สิ่งที่ปรากฏโดยลืมว่าถ้าไม่มีธาตุรู้ที่เกิดขึ้นรู้ สิ่งนั้นๆ ก็ปรากฏไม่ได้เลย กว่าเราจะรู้ลักษณะของธาตุแต่ละอย่างสภาพธรรมแต่ละอย่าง ซึ่งถ้าไม่มีการได้ฟังตลอดชีวิตก็ไม่สามารถจะรู้ความจริงได้ หนึ่งชาติก็ผ่านไปก็ผ่านไปทุกชาติแต่ว่าชาติไหนที่มีโอกาสได้ยินได้ฟัง ก็สะสมความเห็นถูกความเข้าใจถูกจนค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่ปรากฏ ทันทีที่ได้ฟังก็รู้ว่ากำลังพูดเรื่องจริง ถูกต้องไหม กำลังพูดเรื่องสิ่งที่มีจริง ที่เข้าใจว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยงแต่ว่าถ้าแยกละเอียดยิบถึงเหตุที่ทำให้สิ่งนั้นสามารถเกิดขึ้นเป็นไปเพียงชั่วขณะสั้น และก็ดับไปก็จะรู้ว่านี่คือโล กะหรือโลกคือสภาพธรรมที่เกิดแล้วดับ ไม่มีอะไรที่เกิดแล้วจะไม่ดับ และการที่จะเกิดได้ก็ไม่ใช่เพราะว่าอยู่ลอยๆ ก็เกิดขึ้นมาได้หรืออยากให้เกิดก็เกิดแต่มีปัจจัยที่แสดงความละเอียดว่าถ้าปราศจากปัจจัยนั้นๆ แต่ละอย่างก็เกิดไม่ได้เลย

    แล้วอย่างนี้ยังจะยึดถือว่าเป็นเราหรือเรียกว่าเราสามารถจะทำให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นได้หรือ อยากเข้าใจธรรมไหม อยากใช่ไหม แล้วจะเข้าใจได้ยังไง ก็ต้องฟัง ฟังแล้วไม่คิดไม่ไตร่ตรองไม่พิจารณาจะเข้าใจได้ไหม ก็ไม่ได้

    เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ถึงความเป็นอนัตตาแม้เริ่มต้น อยากมีปัญญาสักเท่าไหร่อยากรู้แจ้งสภาพธรรมสักเท่าไหร่พยายามทุกทางที่จะประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรมก็ผิด เพราะเหตุว่าขณะนั้นไม่ได้เข้าใจในความเป็นธรรมเดี๋ยวนี้แต่ละหนึ่งซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียด และต้องเป็นผู้ตรง และต้องเคารพ ต่อพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงตรัสรู้ทรงพระมหากรุณาแสดงพระธรรมนานแสนนานมาแล้ว แต่ก็มีผู้ที่ได้ฟังสืบต่อจนกระทั่งสามารถที่จะทำให้เราได้ยินได้ฟังแล้วก็สะสมต่อไป แล้วแต่ว่าใครจะเข้าใจมากน้อย ถ้าสะสมมาก่อนนี้มาก ฟังก็เข้าใจมาก แต่ถ้าเพิ่งฟังก็ยากที่จะเข้าใจเท่ากับคนที่เคยได้ฟังมาแล้ว

    เพราะฉะนั้น ขาดการฟังไม่ได้เลย หรือว่ามีวิธีอื่นที่จะช่วยแบ่งกันช่วยกันคิดช่วยกันทำวิธีอื่นนั่นคือไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะว่าพระธรรมที่ทรงแสดง แสดงไว้ครบถ้วน ไม่ให้เราเข้าใจผิดเลยทุกคำประกอบกันกำกับกันเพื่อที่จะให้ถูกต้องมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง

    อ.คำปั่น กราบเรียนท่านอาจารย์ในความเป็นจริงในส่วนนี้ก็ดูเหมือนว่าได้ยินขณะนี้เป็นธรรม ทุกขณะเป็นธรรมทั้งหมดเลยจะเป็นเรื่องธรรมดามากเลยกับความเป็นจริงในชีวิตประจำวันแต่ก็เป็นสิ่งที่ยากที่จะเข้าใจถึงความเป็นจริงของธรรมที่มีจริงๆ ในขณะนี้

    กราบเรียนท่านอาจารย์ ในความละเอียดของธรรม

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่เข้าใจเดี๋ยวนี้แล้วจะเข้าใจอะไรเห็นไหม ทุกคำสำหรับให้ไตร่ตรองว่าขณะนี้มีสิ่งที่มีจริงๆ กำลังปรากฏ และถ้าไม่เข้าใจสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้แล้วจะเข้าใจอะไร มีอย่างอื่นไหมที่จะเข้าใจ ขณะนี้มีเห็นเฉพาะเห็น ขณะใดก็ตามที่จิตหนึ่ง จิตเกิดขึ้นทีละหนึ่งขณะแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้น ขณะใดที่จิตเกิดขึ้นเห็น จะมีจิตอื่นไหม ไม่มี เพราะฉะนั้น ในขณะที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ จิตเกิดขึ้นเห็นจะเข้าใจอะไร ก็เข้าใจจิต และเข้าใจสิ่งที่ปรากฏธรรมดาอย่างนี้ไม่ใช่ไปเข้าใจอื่น

    เพราะฉะนั้น ก็เป็นการที่เราได้รู้จักตัวเอง ฟังแล้วฟังอีกฟังซ้ำฟังบ่อยๆ เพื่ออะไร จะได้ไม่คิดเรื่องอื่นไม่คิดว่าเราจะต้องไปเข้าใจเรื่องโน้นเรื่องนี้เลย แต่ว่าขณะนี้กำลังเห็นๆ อย่างนี้แหละ และผู้มีพระภาคก็ทรงแสดงเรื่องสิ่งที่มีจริงไม่ว่าจะที่ไหน ตา หูจมูก ลิ้น กาย ใจ เพราะว่าขณะนั้นกำลังมี

    เดี๋ยวนี้ก็เหมือนกันที่พระนครสาวัตถีหรือที่นี่ไม่ได้ต่างกันเพราะว่ามีเห็น คนที่เฝ้าฟังพระธรรมขณะนั้นเห็นขณะนั้นได้ยินขณะนั้นคิดนึกแล้วเดี๋ยวนี้ก็มี เห็นก็มีได้ยินก็มีคิดนึกก็มีใช่ไหม เพราะฉะนั้น เราศึกษาธรรมทราบว่าจิตเกิดขึ้นได้ทีละหนึ่งขณะ เพราะฉะนั้น ในขณะที่เห็นต้องไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้นนอกจากสิ่งที่ปรากฏให้เห็นกับเห็นถูกไหม

    หมดแล้ว แล้วก็ใครยับยั้งไม่ให้จิตเกิดสืบต่อกันไม่ได้เลยจะรู้หรือไม่รู้เวลานี้ จิตมากมายเกิดดับไปแล้ว และก็เกิดดับสืบต่อแต่ก็ยังปรากฏว่ายังมีอยู่หมายความว่ายังเห็นอีกยังได้ยินอีกไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีในชีวิตประจำวันทั้งหมดเราไม่เคยรู้ไม่เคยสนใจ จึงต้องพูดถึงบ่อยๆ จะให้พูดถึงอย่างอื่นหรือพูดถึงสิ่งที่เดี๋ยวนี้กำลังมีให้รู้ว่าไม่ได้เข้าใจความจริงของเห็นกับสิ่งที่กำลังปรากฏ การศึกษาธรรมก็เผินมากใช่ไหม ในพระสูตรก็มีคำว่าจักขุวิญญาณ ภาษามคธีภาษาบาลี ไม่ใช่ภาษาไทย ภาษาไทยคือเห็นมีรูปารมณ์ ถ้าจักขุวิญญาณเกิดขณะนั้นต้องมีรูปารมณ์ ภาษาไทยก็คือเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นเดี๋ยวนี้เอง เพราะฉะนั้นขณะนั้นปัญญาก็คือว่าสามารถที่จะเริ่มเข้าใจว่าไม่มีอย่างอื่นในขณะนี้ที่เห็นเมื่อเห็นมีเฉพาะเห็นเกิดขึ้นเห็นกับสิ่งที่ปรากฏให้เห็นเท่านั้นแล้วก็ดับไป นี่เป็นปัญญาหรือเปล่า เป็นการรู้ความจริงหรือเปล่า แต่เมื่อยังไม่รู้ก็ต้องพูดบ่อยๆ ให้เมื่อไหร่ใครที่เริ่มรู้ว่าขณะนี้ไม่มีอะไรเลยนอกจากสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นได้ แล้วใจแล้วก็จำไว้เลย มีคนมีต้นไม้มีโต๊ะมีเก้าอี้แต่ว่าไม่เห็นใช่ไหม เห็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้สิ่งนั้นดับแล้วแต่สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ หลากหลายมากรูปร่างสัณฐานต่างๆ เพราะเหตุว่าสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้เป็นสิ่งที่มีจริงอย่างหนึ่ง ซึ่งอยู่ที่มหาภูตรูป ธาตุดินน้ำไฟลม ที่ใดที่มีมหาภูตรูปที่นั่นต้องมีสิ่งที่กระทบตาแต่มหาภูตรูปกระทบตาไม่ได้

    เพราะฉะนั้น ธาตุที่มีอยู่ที่สามารถกระทบตาได้ไม่ได้อยู่ที่อื่น แต่อยู่ที่นี่ เพราะฉะนั้น เมื่อกระทบตาแล้ว ก็สามารถที่จะทำให้เกิดดับสืบต่อเพราะเหตุว่ารูปที่มหาภูตรูปทั้งหมดเวลานี้ อย่างที่โต๊ะเนี่ยมหาภูตรูปทั้งนั้น เพราะฉะนั้น แต่ละสิ่งที่กระทบตาได้ก็อยู่ที่มหาภูตรูปแต่ละรูป จึงทำให้ปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐาน ตามมหาภูตรูปที่มีอยู่ใช่ไหม อย่างสองสิ่งนี่ก็เป็นมหาภูตรูป เพราะฉะนั้น เราเห็นรูปร่างสัณฐานของสิ่งนี้ที่มีอยู่ที่นี่ และเห็นรูปร่างสัณฐานของมหาภูตรูปนี้ที่อยู่ที่นี่ตามมหาภูตรูปเกินมหาภูตรูปไม่ได้

    เพราะฉะนั้น ก็ทำให้ปรากฏเป็นนิมิตต่างๆ ทำให้เห็นเป็นรูปร่างสัณฐานอย่างเร็วมากจนกระทั่งปรากฏให้จำได้ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง นี่คือเดี๋ยวนี้ของทุกคนซึ่งเพราะมีการเห็นแล้วไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น และธาตุรู้ซึ่งเห็นแล้วก็ดับไปเร็วมากเวลานี้ถ้าไม่ทรงแสดงธรรมโดยละเอียดจะไม่ทราบเลยว่าไม่ได้มีแต่เฉพาะจิตเห็น ทั้งๆ ที่กำลังเห็น มีจิตซึ่งเกิดสืบต่อจากจิตเห็นอย่างเร็วมาก ทรงแสดงโดยขณะจิตพร้อมทั้งเจตสิกซึ่งเกิดร่วมกับจิตนั้นๆ ให้เห็นความเป็นอนัตตาว่าบังคับบัญชาไม่ได้ แต่ไม่รู้ เพราะฉะนั้น การฟังก็ฟังเพื่อเข้าใจถูกว่าขณะนี้ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แต่คนที่เพียงฟังยังไม่ได้ตรัสรู้คือรู้จะแจ้งตามความเป็นจริงที่เป็นสัจธรรมไม่ใช่เพียงแต่ฟังเข้าใจ เราฟังเข้าใจได้ว่าขณะนี้เห็นเกิดแล้วดับ ใช่ไหม เข้าใจได้แต่ไม่ได้ประจักษ์ธาตุซึ่งเกิดขึ้นเห็นแล้วดับ แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประจักษ์ธาตุนั้นชั่วหนึ่งขณะที่เกิดขึ้นแล้วดับไป และจิตที่เกิดต่อไม่เห็น เรารู้ไหม เราไม่รู้ แต่พระอรหันตสัมมาสัมเจ้าทรงแสดงความละเอียดยิ่งของจิตแต่ละหนึ่งขณะซึ่งเกิดดับสืบต่อ เราจะรู้อย่างพระองค์ไหม แค่เห็นแล้วก็ยังไม่รู้เลยใช่ไหมแล้วก็จะไปรู้ว่าเห็นขณะนี้มีเจตสิกเกิดร่วมด้วยเท่าไหร่ ดับไปแล้วมีจิตต่อไปเกิดร่วมด้วยมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยเท่าไหร่นี่ใครจะรู้แต่ด้วยพระมหากรุณาที่ทรงแสดงให้แม้ไม่รู้แต่ก็ฟัง ฟังเพื่อที่จะได้เริ่มเข้าใจว่าใครก็ทำอะไรไม่ได้ จิตนั้นต้องมีเจตสิกนั้นๆ เกิดร่วมด้วยจึงเกิดได้เป็นปัจจัย จิตอีกประเภทหนึ่งก็ต้องมีเจตสิกนั้นๆ ที่เกิดร่วมด้วยจึงเป็นจิตนั้นเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปนี่คือการสะสม เหมือนเมื่อครั้งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นพระโพธิสัตว์ ไม่ได้มีการรู้แจ้งสภาพธรรมอย่างที่ได้ทรงแสดง เพราะขณะนั้นยังไม่ได้ตรัสรู้แต่ก็ได้ฟังพระธรรม ในชาติที่เป็นโชติปาลมานพก็ได้บวชอยู่ในสำนักของพระกัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องเคยฟังมาแล้ว แต่ว่ากว่าจะได้รู้คิดดู และก่อนนั้นอีกๆ ๆ กว่าจะได้รู้ เพราะฉะนั้น การฟังวันนี้ไม่เสียหายเลย ถ้าเรารู้ประโยชน์ว่าเรากำลังได้ฟังความจริง ซึ่งคนอื่นไม่สามารถที่จะบอกได้เลย และความจริงอันนี้เดี๋ยวนี้ก็เป็นอย่างนั้น แต่ว่าจากการฟังทีละเล็กทีละน้อยๆ ค่อยๆ สะสมไปจนกระทั่งคุ้นเคยต่อการที่จะเข้าใจว่าพระพุทธเจ้าตรัสถึงอะไร ตรัสถึงธาตุรู้ว่าเห็นขณะนี้มีจริงๆ ไม่ใช่ใครเลย เป็นแต่เพียงธาตุสิ่งที่ไม่เป็นของใคร ไม่มีใครทำให้เกิดขึ้น แต่ว่ามีปัจจัยทำให้เกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้น ธาตุรู้มี ถ้าไม่มี ไม่มีสัตว์ไม่มีบุคคลเลย ต้นไม้ไม่เห็นไม่ได้ยินไม่คิดไม่นึกไม่โกรธไม่รู้อะไรเลย แต่ว่าธาตุรู้ตรงกันข้ามเกิดขึ้น แล้วต้องรู้ เช่นขณะนี้เห็นเป็นธาตุที่รู้เพราะรู้ว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นอย่างนี้ชัดเจน ถ้าไม่เห็นหลับตาไม่เหมือนเห็นใช่ไหม หลับตาแล้วก็จำได้ว่ามีต้นไม้กี่ต้นหรือเปล่าแต่ละกิ่งแต่ละใบเป็นยังไงก็จำไม่ได้ แต่พอลืมตาเห็นชัดเจน แต่ว่าไม่รู้ความจริงว่าชั่วขณะที่เห็นซึ่งไม่ใช่ใครเกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับไป

    เพราะฉะนั้น ตลอดชีวิตเป็นธรรมทุกชาติ มีแต่ธรรม คือสิ่งที่มีจริงซึ่งมีจริงเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ฟังเท่านี้เพื่อที่จะได้เห็นความลึกซึ้งของธรรมที่จะต้องฟังต่อไป และก็ซ้ำๆ อย่างนี้ เดี๋ยวนี้ถ้าไม่พูด เรื่องเห็นจะนึกถึงเห็นไหม ไม่ใช่ไหม นึกเรื่องอื่นแต่พูดถึงเห็นยังไม่คิดถึงเห็นเลย ก็ได้เห็นไหมความยากความละเอียดความลึกซึ้งกว่าที่เราจะรู้ว่าขณะใดก็ตามที่พูดถึงสิ่งใดกำลังเข้าใจสิ่งนั้นขณะนี้เพียงเข้าใจว่ามีแต่ไม่สามารถที่จะรู้ธาตุที่เกิดขึ้นเห็นแล้วดับ

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 201
    27 พ.ค. 2567

    ซีดีแนะนำ